-
@ GaLoM ₿maxi
2025-05-12 03:56:36“ฉันยังคงเชื่อและหวังว่า สักวันหนึ่งการเมืองและเศรษฐกิจจะลดบทบาทลงจากความสำคัญที่เคยมีในอดีต วันหนึ่งจะมาถึง วันที่ข้อถกเถียงทั้งหลายที่เรามีอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จะดูเล็กน้อยหรือไร้ความหมาย ไม่ต่างจากการโต้แย้งทางเทววิทยาในยุคกลาง ซึ่งแม้แต่ปัญญาชนที่เฉียบแหลมที่สุดก็ยังทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับมันอย่างไร้ประโยชน์”
— อาร์เธอร์ ซี. คลาร์ก
บทนี้เปรียบเทียบการล่มสลายของโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในยุคปัจจุบันกับความเสื่อมถอยของศาสนจักรในยุคกลาง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าการเมืองสมัยใหม่—ในฐานะกิจกรรมที่เน้นการแย่งชิงอำนาจรัฐและให้เหตุผลแก่การใช้อำนาจ—เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์ชั่วคราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผลตอบแทนจากการควบคุมรัฐมีสูง โดยเฉพาะในช่วงหลังการปฏิวัติดินปืน ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนตรรกะของการใช้ความรุนแรงอย่างรุนแรง
ก่อนหน้าการปฏิวัติดินปืน อำนาจทางทหารกระจัดกระจายอยู่ในมือของชนชั้นสูงตามระบบศักดินา อัศวินม้าหุ้มเกราะคือศูนย์กลางของกองกำลัง ซึ่งควบคุมได้ยากและมีต้นทุนสูง เมื่อมีดินปืนเข้ามาแทนที่ มันทำให้รัฐสามารถจัดตั้งกองทัพถาวรที่ควบคุมจากส่วนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้นทุนต่อหน่วยของความรุนแรงลดลง แต่กำลังทำลายล้างกลับเพิ่มขึ้น ทำให้การผูกขาดการใช้กำลังโดยรัฐกลายเป็นสิ่ง “คุ้มทุน” และส่งเสริมให้เกิดรัฐชาติสมัยใหม่ที่มีการเก็บภาษีอย่างเป็นระบบ มีระบบราชการ และกองทัพประจำการ
การเมืองในความหมายใหม่จึงถือกำเนิดขึ้นจากการแย่งชิงทรัพยากรและอำนาจรัฐที่เติบโตจากอิทธิพลของดินปืน ความสำคัญของคำถาม “ใครควบคุมรัฐ?” จึงกลายเป็นแกนกลางของความขัดแย้งทางการเมืองตลอด 500 ปีที่ผ่านมา ในมุมมองของผู้เขียน การเมืองไม่ได้เป็นแก่นแท้ของการดำรงอยู่ของมนุษย์ แต่เป็นผลพลอยได้จากเงื่อนไขทางเทคโนโลยีและภูมิสังคมในช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งกำลังหมดสภาพไปอย่างช้าๆ จากอิทธิพลของการปฏิวัติสารสนเทศ เช่นเดียวกับที่ระบบศักดินาเคยสิ้นสุดลงเมื่อสิ้นยุคกลาง
กระบวนการนี้เริ่มสังเกตได้จากความเบื่อหน่ายและการเสื่อมศรัทธาที่ผู้คนมีต่อการเมืองทั่วโลก ความไม่พอใจต่อการทุจริตของผู้นำ ความล้มเหลวในการบริหาร และความไร้ประสิทธิภาพของรัฐชาติ สะท้อนถึงการหมดอำนาจของโครงสร้างทางการเมืองแบบเดิมในระดับลึก แม้ในปัจจุบันผู้คนยังไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตที่ปราศจากการเมืองได้อย่างสิ้นเชิง แต่กระแสความเสื่อมถอยได้เริ่มขึ้นแล้ว เหมือนกับที่ผู้คนในยุคกลางยังเชื่อในอำนาจของศาสนจักร ทั้งที่ศรัทธาที่แท้จริงได้เสื่อมสลายไปก่อนหน้านั้นนาน
ผู้เขียนเปรียบการล่มสลายของการเมืองสมัยใหม่กับการล่มสลายของพระศาสนจักรในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 โดยให้เหตุผลว่า ในช่วงนั้นผู้คนเริ่มหมดศรัทธาในนักบวช ทั้งระดับสูงและระดับล่าง มีการกล่าวหาว่าหิวเงิน คาวโลกีย์ และขายบาป ผู้คนยังเชื่อในศรัทธาภายนอก แต่ในความเป็นจริง สถาบันศาสนากลับไร้อำนาจในการควบคุมสังคม ความเปรียบเทียบนี้นำไปสู่ข้อเสนอว่ารัฐชาติกำลังเดินตามเส้นทางเดียวกัน คือหมดอำนาจลงทั้งในทางปฏิบัติและความชอบธรรม ในโลกยุคสารสนเทศ การควบคุมของรัฐมีต้นทุนสูงขึ้น เทคโนโลยีทำให้ผู้คนหลีกเลี่ยงอำนาจรัฐได้มากขึ้น รัฐไม่สามารถผูกขาดการใช้ความรุนแรงหรือการเก็บภาษีได้ง่ายเหมือนเดิม รัฐชาติจึงจะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยรูปแบบใหม่ของอธิปไตย เช่น เมืองอิสระหรือสาธารณรัฐพ่อค้า ซึ่งต้องแข่งขันกันเสมือนบริษัทเอกชน คิดค่าบริการตามคุณค่าที่ให้กับพลเมือง ผู้เขียนยังวิจารณ์มายาคติของยุคต่าง ๆ ที่บดบังความเข้าใจความจริงของโครงสร้างอำนาจ เช่น มายาคติเรื่องอัศวินในยุคกลาง หรือมายาคติเรื่องประชาธิปไตยในยุคปัจจุบัน ทั้งสองต่างเป็นภาพลวงที่ผูกปัจเจกบุคคลเข้ากับอำนาจรัฐเพื่อระดมทรัพยากรและแรงงาน ในยุคที่ต้นทุนของการใช้อำนาจเปลี่ยนไป บทบาทของทั้งอัศวินในยุคศักดินา และพลเมืองในยุคประชาธิปไตย ก็จะเสื่อมลงตามไปด้วย
กล่าวโดยสรุป บทนี้เสนอว่าเรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์ เมื่อระบบรัฐชาติและการเมืองในรูปแบบที่เราคุ้นเคยกำลังถึงจุดจบ เทคโนโลยีสารสนเทศจะปลดล็อกพลังของปัจเจกบุคคลให้มีทางเลือกที่หลากหลายกว่าการอยู่ภายใต้รัฐเพียงแบบเดียว และโลกใหม่ที่กำลังจะมาอาจไม่ต้องการ “การเมือง” อย่างที่เราเคยรู้จักอีกต่อไป...
สามารถไปติดตามเนื้อหาแบบ short vdo ที่สรุปประเด็นสำคัญจากแต่ละบท พร้อมกราฟิกและคำอธิบายกระชับ เข้าใจง่าย ได้ที่ TikTok ช่อง https://www.tiktok.com/@moneyment1971