-
![](https://image.nostr.build/cbe071870aa64b6e6729a203e891749f21584b1805f4f6b3d555f3d350330318.gif)
@ Jakk Goodday
2023-08-04 16:27:32
คืนหนึ่ง.. **"สติ"** ที่กำลังอยู่ท่ามกลางภวังค์แห่งการหลับไหล สิ่งที่เขาได้เห็นในเงาสลัวๆ นั้น เป็นภาพของชายคนหนึ่งรูปร่างคล้ายคลึงกับเขามาก ชายคนนั้นเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า.. เขาได้เคยสัมผัสกับความตายมาแล้ว ฟังดูแล้วก็น่ากลัว แต่ไม่ใช่ เขาแค่เกือบตาย เดชะบุญที่เขายังไม่ตายจริง สติยังคงสับสนว่าภาพที่เห็นอยู่นี้ คือ วิญญาณของใครสักคนในความฝันใช่ไหม? เขาจำได้ว่าเขากำลังหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ? ชายคนนี้มีเจตนาอะไรกัน..
ชายคนนั้นเล่าต่อว่า.. วินาทีที่ความตายกำลังใกล้เข้ามาเยื่อน เขาเกิดภาพย้อนอดีตผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เขาพบว่าตัวเองนั้นน่าสงสาร.. น้ำเสียงของเขาเหมือนคนสิ้นหวัง บ่นฮึมฮัม.. เขาเอาแต่ตัดพ้อออกมาไม่หยุด เขาบ่นว่าไม่เคยได้ฝึกตระเตรียมที่จะให้ตัวเองได้เป็นอิสระ ได้เป็นนายเหนือตัวเองมาก่อนเลย เขาไม่เคยควบคุมตัวเองได้ ไม่เคยทำในสิ่งที่ถูกต้องหลังจากทำบางอย่างผิดพลาดไป ซึ่งมันจะช่วยให้เขาเริ่มต้นใหม่ได้อย่างถูกทางเลยสักครา.. ไม่เคยได้ทำสิ่งดีๆ เพื่อชดเชยให้กับสิ่งที่สูญเสียหรือติดลบไปบ้างเลย.. ไม่เคยสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองหรือคนอื่นๆ ที่รักเขาเลย..
ชายคนนั้นยังบอกกับสติอีกว่า.. ก่อนหน้านั้นเขาเอาแต่คิดหมกมุ่นแต่กับคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทั้งที่ความจริงแล้วแค่เข้าใจให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกต้องแล้วหรือยัง แค่ยอมรับมัน ถอดบทเรียนแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะหากคิดได้เช่นนี้ ชีวิตใหม่ภายใต้การต่อสู้ภายในใจของเขาระหว่าง *คนสีขาว* กับ *คนสีดำ* ก็จะเริ่มต้นขึ้น เป็นการรบที่มีเดิมพันเป็นทางเดินที่ควรจะเป็นของชีวิต เขาคงจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้หากเข้าใจมันได้แต่แรก
วินาทีที่ความตายประชิดเข้ามาอยู่ตรงหน้า.. เขานั้นคิดเสียใจอยู่เพียงเรื่องเดียว มันเป็นเรื่องของ "เวลา" เวลาที่เขามอบให้กับคนที่เขารักนั้นน้อยเกินไป ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากจะทำเพื่อคนเหล่านั้น แต่มันสายไปเสียแล้ว เวลาของเขากำลังจะหมดลงแล้ว ณ วินาทีนั้นเอง น้ำตาของเขาก็ไหลพรั่งพรูออกมา เขารู้สึกว่าไม่เคยมีความเสียใจครั้งไหนยิ่งใหญ่เท่ากับความเสียใจในครั้งนี้มาก่อน.. เขาไม่น่าปล่อยคืนวันให้ผ่านไปอย่างไร้ความหมายแทนที่จะได้ใช้มันไปกับความพยายามในการทำความเข้าใจกับชีวิต เขาไม่ควรดิ้นรนขวนขวายจนต้องกลายเป็นทุกข์ เขาควรได้ใช้ชีวิตที่ไม่มีความอยาก หรือควรจะอยากได้อยากมีให้น้อยที่สุดหากมันจำเป็น
เขายังได้เห็นภาพสุดอุบาทว์ของตัวเองที่ทำตัวหยิ่งยโสต่อเพื่อนร่วมงาน คนใกล้ตัว และโลกใบนี้ เขาเห็นความอ่อนแอภายในใจของตัวเองที่กำลังเรียกร้องความเอื้ออาทรจากทั้งโลก ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดจะมอบอะไรให้กับโลกใบนี้ แต่กลับร้องขออะไรที่มากมายเกินกว่าที่โลกจะมอบให้เขาได้ สุดท้ายเขาเองก็ตัดสินใจเป็นปฎิปักษ์กับโลกทั้งใบด้วยความงี่เง่าอย่างสุดขีด เขามองไม่เห็นศัตรูที่แท้จริง เขาไม่เคยรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน มันทำให้เขารู้กลัว กังวล และโศกเศร้าไปกับบทละคร ที่ตัวเขาเองเป็นผู้สร้างและกำกับการแสดงนั้นด้วยตัวเอง มันเป็นละครอันน่าเบื่อหน่าย ละครที่ผู้กำกับทำหน้าที่เป็นนักแสดงมันเสียเอง เขาผูกและวางโครงเรื่องทั้งหมดเอาไว้เพื่อตัวเองแทบทั้งสิ้น
นอกจากนี้เขายังเห็นภาพในอดีตของตัวเอง.. เป็นคนทำงานที่ดูขยันขันแข็ง ดูมีไฟลุกโชนในตัวอย่างท่วมท้น แต่ลึกๆ ในใจแล้วกลับเป็นคนขี้เกียจและไม่เคยมีใจให้กับองค์กรเลย ภาพที่เขาแสดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น เขาแสดงออกต่อโลกภายนอกด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครส่งสายตาเพ่งมาที่เขา เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ไม่เคยเข้าใจ ว่าสายตาที่เขาควรแคร์มากที่สุดคือสายตาที่เพ่งมองออกจากหัวใจของตัวเอง แววตาที่ต้องการจะถามไถ่ด้วยความสงสารว่า
*"จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจในชีวิตอีกเหรอ"*
ทุกครั้งที่เขาพยายามหว่านเสน่ห์ เขาก็เสียตัวตนของเขาไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันแปลกตรงที่.. เขากลับรู้สึกถึงการหลอกลวงว่าตัวเองกำลังเป็นตัวของตัวเองนั้น มันเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นอัตตาและทิฐิซึ่งเป็นความยึดมั่นถือมั่น ทิฐิ ที่ใครผู้ใดถือเอาไว้ผู้นั้นก็เป็นเสมือนผู้ไร้ซึ่งปัญญา ผู้ซึ่งถูกอวิชชาเข้าครอบงำ ยิ่งไปกว่านั้น.. ตัวเขาเองก็เคยอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อนเหมือนกัน แต่กลับไม่เคยทำได้เพราะมัวแต่กลัวการต้องสูญเสียและเสียดายรูปแบบชีวิตอย่างเดิม ๆ ไป แม้หัวใจของเขาจะเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงเพียงใดก็ตาม
เขายังเห็นภาพของคนที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก คนที่มีเหตุผล คนที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุด แต่กลับเป็นทุกข์เหลือเกินกับการพยายามแบก พยายามรักษาภาพพจน์เหล่านั้น.. เขาเป็นคนที่ทำผิดแต่ไม่เคยสำนึกผิดชอบชั่วดี เขาไม่เคยกล่าวคำขอโทษใครแม้มันจะพ่นลมปากออกจากใจได้ง่ายๆ ก็ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว ผู้ชายคนนี้ตัดพ้อออกมาไม่ยอมหยุด
สติครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คนๆ นี้ถึงเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความทุกข์ความสิ้นหวัง ทุกเรื่องที่เล่ามานั่นก็ตัวเขาเองไม่ใช่หรือ เขามีเวลามากพอที่จะตัดสินใจทำในเรื่องต่างๆ แต่เขาก็ได้เลือกทำสิ่งเหล่านั้นลงไปเอง เหตุใด ณ ขณะเวลาที่ต้องทำเขาจึงคิดไม่ได้แบบในตอนนี้กันนะ.. นอกจากคำตัดพ้อที่เต็มไปหมดแล้ว สิ่งที่ผู้ชายคนนี้เล่ามาทั้งหมดเหมือนเป็นเพียงคำสารภาพก่อนตายของคนเลว ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เขาจะทำแบบนี้ มาเล่าแบบนี้ให้สติฟังไปเพื่ออะไรกัน..วาระของคนใกล้ตายที่พึ่งจะคิดอะไรๆ ได้หลายๆ อย่างคงจะเป็นแบบนี้เองสินะ
มีหลายอย่างที่สติพบว่าตัวเขาเองก็ทำคล้ายๆ กับผู้ชายคนนี้.. สติรู้สึกถูกดวงกับชายซึมเศร้าคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ทว่า.. ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะเข้าสู่ช่วงสำคัญ มันดันมีเสียงไก่ขันเล็ดลอดเข้ามาในภวังค์ที่กำลังก้าวสู่ฟ้าสาง สติเหมือนจะระลึกได้ว่าเดี๋ยวตัวเองก็คงต้องตื่นแล้ว เขายังไม่ได้ข้อสรุปอะไรจากผู้ชายคนนี้เลย ตกลงผู้ชายคนนี้ตายไปแล้วหรือยังไม่ตายกันแน่ ตกลงทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรือความฝัน หากทั้งหมดนี่คือความจริง และนายคนนี้ยังไม่ตาย อย่างน้อยผู้ชายที่เฉียดเข้าใกล้ความตายผู้นี้ก็ยังคงมีเวลามากพอเหลือให้กลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ล่ะนะ
ก่อนการจากไปของชายคนนั้น สติได้เอ่ยถามไปว่า.. แล้วเราจะทำอย่างไรในการที่จะหยุดความเสียใจอันมาจากความไม่เข้าใจในตัวเองเลยจนกระทั่งจวนถึงลมหายใจสุดท้ายแบบนี้?
*"คุณต้องเข้าใจ..."*
สติไม่เข้าใจประโยคนี้เท่าใดนัก สติรู้สึกเหมือนโดนยอกย้อน ที่ถามไปนั้นก็เพราะสติยังไม่เข้าใจ แล้วตกลงเขาจะต้องเข้าใจมันยังไง อะไรกันเหรอที่เราควรเข้าใจมัน?
*"คุณต้องเข้าใจว่าอะไรคืออะไร.. มันก็เหมือนกับการค้นพบต้นเหตุแห่งพฤติกรรม ต้นเหตุแห่งเรื่องราว เข้าใจในผลลัพธ์ของพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนจึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชั่วให้กลายเป็นดีได้.. "*
สติเหมือนจะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งนี้ขึ้นมาบ้าง.. แต่ชายคนนั้นก็กำลังจะเดินจากเขาไปแล้ว ก่อนที่ความมืดจะกลืนร่างของเขาให้หายไปต่อหน้า สติรีบร้องทักขึ้นมาก่อนจะไม่ทันการณ์
"คุณครับ! คุณชื่ออะไรเหรอครับ?"
*"ผมชื่อ.. สติ"*