@ HereTong

วันหนึ่งเฮียนั่งอ่านบทความที่ชื่อว่า “Lactose, we need to talk” จากเว็บไซต์ของบริษัท Formo ผู้ผลิตชีสที่บอกว่า “ไม่ต้องมีวัว ก็อร่อยได้” ด้วยเทคโนโลยีหมักจุลินทรีย์อัจฉริยะจากเยอรมนี ที่เราเคยคุยเรื่องนี้กันไปแล้ว มันฟังดูเหมือนจะเป็นนวัตกรรมสุดเจ๋งที่เป็นมิตรกับทั้งโลกและกระเพาะ แต่พอเฮียไล่อ่านลึกลงไปเรื่อย ๆ กลับเจอกลยุทธ์ทางการตลาดที่ชวนให้ขมวดคิ้วไม่แพ้ชีสที่กินแล้วลิ้นฝาด ขอใส่ไอคอนการ์ตูนไว้หน่อยนะครับ จะได้ไม่ลายตา เพราะเราจะแบ่งช่วงมาวิเคราะห์กันเป็นข้อๆ

🍶 บทความของ Formo เปิดประโยคด้วยการตั้งคำถามถึง “การดื่มนมจากสัตว์ต่างสายพันธุ์” พร้อมยกประเด็นเรื่อง Lactose Intolerance ว่าเป็นสิ่งผิดปกติที่คนเรายังดื่มนมทั้งที่ร่างกายคนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะชาวเอเชียและแอฟริกัน) ไม่มีเอนไซม์ย่อยแลคโตสในวัยผู้ใหญ่

ฟังผ่าน ๆ ดูน่าเชื่อ แต่อย่าลืมว่า แลคโตสไม่ได้อยู่ในชีสทุกชนิด และหลายคนที่แพ้นมกลับกินชีสแท้ ๆ จากวัวได้สบายมาก โดยเฉพาะชีสหมักระยะยาว เช่น พาร์เมซาน เชดดาร์ หรือกูด้า ที่แลคโตสแทบเป็นศูนย์ ซึ่งต่างจากชีสทางเลือกที่ผลิตด้วยกระบวนการเร่ง ที่ไม่ได้หมักตามธรรมชาติ

ดังนั้น วัวไม่ผิด แค่ถูกพูดถึงในบริบทที่เสียเปรียบ การกล่าวหานมวัวด้วยข้อมูลเรื่อง lactose intolerance โดยไม่พูดถึงชีส aged ที่ไม่มีแลคโตสเลย เป็นการจงใจเบี่ยงข้อมูลเพื่อสร้างอารมณ์ด้านลบต่อ dairy ทั้งระบบ

🧬Formo บอกว่า คนที่ย่อยแลคโตสได้ในวัยผู้ใหญ่คือ “ผู้กลายพันธุ์” เพราะธรรมชาติไม่ตั้งใจให้เราดื่มนมหลังหย่านม ฟังดูเหมือนเน้นธรรมชาติ แต่เฮียอยากถามว่า “ถ้าอย่างนั้นการสวมแว่น การกินวิตามิน การตั้งไฟหุงข้าว คือการฝืนธรรมชาติหมดเลยหรือเปล่า?” หรือจะหนักกว่านั้น ให้ย้ำไปเลยไหมว่า การกินวิตามินซี คือการทรยศต่อวิวัฒนาการ เพราะในยุคดึกดำบรรพ์มนุษย์เคยสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง ก่อนที่ความสามารถนี้จะสูญสลายไปเพราะร่างกายเลือกใช้ ยูริก ที่มีประสิทธิภาพกว่า ดังนั้น การมองยีนที่วิวัฒนาการเพื่อย่อยแลคโตสเป็น “กลายพันธุ์ผิดธรรมชาติ” นั้นย้อนแย้งกับหลักการวิวัฒนาการเอง “ยีนย่อยแลคโตส” ไม่ใช่ความผิดปกติ

🥬 ในบทความยังแนะนำว่า เราสามารถได้แคลเซียมจากคะน้า บรอกโคลี และเต้าหู้ โดยไม่ต้องพึ่งนมวัว เฮียอยากให้ใจเย็นแล้วคิดแบบไม่อคติ จริงอยู่ ผักพวกนี้มีแคลเซียม แต่ปริมาณที่กินต่อครั้ง กินง่าย และการดูดซึม (Bioavailability) แตกต่างกันมาก แถมผักใบเขียวพวกนี้ยังมี oxalate สูง ซึ่งไปจับกับแคลเซียมแล้วร่างกายดูดซึมไม่ได้ นี่ยังไม่พูดถึงว่าเต้าหู้ในบทความเป็นแบบเต้าหู้แข็งที่ทำจากแคลเซียมซัลเฟต ซึ่งเป็นแคลเซียมสังเคราะห์ ไม่ใช่แหล่งแร่ธาตุตามธรรมชาติแบบในนมวัวอยู่ดี การเปรียบเทียบแคลเซียมจากผัก ก็ไม่ต่างกับการเปรียบเทียบกล้วยกับปลา มันคนละเรื่องกัน

💔 ชูเรื่องสิว หัวใจ มะเร็ง แบบไม่มีบริบท Formo ยังโยงว่าการดื่มนมวัวสัมพันธ์กับสิว ปัญหาผิว โรคหัวใจ ไปจนถึงมะเร็งบางชนิด ซึ่งเป็นข้อมูลที่เคยถูกพูดถึงในงานวิจัยบางกลุ่ม แต่ ไม่มีฉันทามติทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน และส่วนใหญ่ปัจจัยที่เกี่ยวข้องมักจะเป็นอาหารแปรรูป น้ำตาลสูง หรืออาหาร ultra-processed dairy ไม่ใช่นมดิบหรือชีสแท้จากฟาร์มจริง

🧀 แล้วชีสจาก Formo มีดีจริงรึเปล่า ก็ต้องยอมรับว่าเทคโนโลยี precision fermentation ที่ใช้เชื้อรา (เช่น Aspergillus oryzae) ผลิตโปรตีนคล้ายเคซีนของ Formo นั้นล้ำและน่าสนใจในแง่วิทยาศาสตร์ แต่ในแง่ ความสมบูรณ์ทางโภชนาการและความใกล้ชิดธรรมชาติ ยังห่างจากชีสแท้ที่เกิดจากนมและจุลินทรีย์ตามธรรมชาติแบบหลายช่วงตัว ชีสแท้ ๆ มีจุลินทรีย์โพรไบโอติกส์ กรดไขมันสายสั้น และวิตามินจากหญ้า เช่น K2 ที่เกิดจากวัวที่เลี้ยงด้วย grass-fed ซึ่งทั้งหมดนี้ Formo ยังเลียนแบบไม่ได้ เทคโนโลยีชีสไร้วัวอาจดูสะอาดและควบคุมได้ดีในห้องแล็บ แต่ยังไม่ใช่ "อาหารตามธรรมชาติ" ที่ร่างกายรู้จักมาตลอดวิวัฒนาการ

Formo ใช้บทความ “Lactose, we need to talk” เป็นเหมือนการ “ตั้งวงซุบซิบนินทาวัว” อย่างมีชั้นเชิง ด้วยการเอาข้อเท็จจริงมาครึ่งหนึ่ง แล้วผสมกลิ่นอารมณ์และความรู้สึกผิดเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง จนกลายเป็นการเล่าเรื่องที่ดูจริงใจแต่ซ่อนความตั้งใจขายของอยู่ข้างใน

เฮียไม่มีสิทธิ์บอกว่า Formo ดีหรือไม่ดีนะครับ แม้นวัตกรรมแบบนี้อาจมีที่ยืนในโลกอนาคต ไม่ว่าเราจะเลือกได้หรือไม่ได้ก็ตาม แต่ในปัจจุบันในฐานะผู้บริโภค เราควรฝึกการมองตลาดด้วยสมองและสัญชาตญาณ ไม่ใช่แค่ตามกระแสที่โจมตีวัวในขณะที่ยกย่องแล็บ

โลกทุกวันนี้มักใช้วิธีนี้เช่นกันครับ มันเป็นวิธีเดิมๆ ที่ได้ผลเสมอ ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าพวกเขาจะพูดด้านเดียวบ่อยแค่ไหน เพราะจุดประสงค์เขาคืออยากให้เราเชื่อ ปัญหาจึงอยู่ที่พวกเราต่างหาก ว่าสะสมความรู้ให้เพียงพอกับการรับมือการใช้สื่อ จากคนบางคนได้อย่างมีภูมิคุ้มกันแค่ไหน เพราะเกมส์นี้ก็ยังคงต้องดำเนินต่อไปจนกว่าการครอบครองตลาดจะสมบูรณ์ครับ ดังนั้น information attack ก็ยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะด้านสารอาหาร การรักโลก หรือ สิ่งที่ทำให้หนักใจเสมอ แล้วมีความกดดันอย่างสูงนั่นคือ การลงมาเล่นด้าน จริยธรรม

คำถามที่สำคัญเหนือสิ่งใดคือ ทางรอดคืออะไร

ผมแนบต้นฉบับบทความนั้นมาให้ด้วยครับ ต้องยอมรับครับว่าเขียนได้ดีเลยและน่าคล้อยตามมากๆ อ่อ อ่านแล้วคุ้นๆไหมครับ ที่เฮียเคยเตือนว่า อย่าไปตั้งให้นมเป็นอาหารเทพนัก หลายๆส่วนระหว่างบรรทัด ก็ใช่ว่าจะไม่จริงไปเสียทั้งหมดนะครับ แค่บริบทโดยรวม มัน mislead ไปหน่อย

Lactose, we need to talk: The drama behind dairy’s hidden sugar

Cue the violins—it’s the classic love story with a tragic twist: us and dairy. We crave it, we drizzle it, we melt it, we scoop it. But hidden beneath that creamy, dreamy goodness? A troublemaker called lactose.

It might sound harmless, but for a lot of us, lactose is the culprit behind dairy’s not-so-pleasant side effects. In fact, the majority of the world’s population struggles to digest it properly.

So why do we keep chugging cow’s milk like it’s the elixir of life? And how did dairy become such a staple in our diets?

Grab your favorite cheese alternative (might we suggest Frischhain?) and join us for a deep dive into the world of lactose—what it is, why it matters, and how we are stepping in with our animal-free cheese to save the day.

“In a way, being able to chug a glass of milk without consequences is actually a genetic anomaly—one that we pretty much engineered ourselves over thousands of years.” The inside scoop: What’s LActose? Let’s start with the basics. Lactose is the natural sugar found in dairy milk—a built-in sweetener, if you will. But here’s the twist: your body needs a special enzyme called lactase to break it down. Without enough lactase, lactose turns into the life of the digestion-party you didn’t RSVP to: bloating, cramps, and a whole lot of regret.

As infants, our bodies produce plenty of lactase to digest breast milk. But for most of us, that enzyme naturally switches off once we grow into adulthood. In fact, until just a few thousand years ago, lactose intolerance (or “lactase nonpersistence”) was the norm for all adults.

Lactose Tolerance: A genetic Mutation Still today, nearly 70% of the global population are actually lactose intolerant—so, a heck of a lot of people. In certain regions, like East Asia and Africa, that number shoots up to almost 100%. But then, there’s a select few of us who can drink dairy milk without any drama. How’s that possible?

Well, here’s where it gets interesting. The ability to digest lactose as adults—also known as “lactase persistence”—isn’t evenly spread across the globe. Instead, it’s much more common in certain populations—specifically, those with a long history of dairying. Over 10,000 years ago, some humans began herding cows and drinking their milk, eventually triggering a genetic mutation that allowed them to keep producing lactase into adulthood. This trait is especially common in Northern Europe, for instance in Scandinavia and the Netherlands, where dairy farming has been a way of life for millennia.

It may sound weird, but essentially, some populations forced their own evolution by consuming a whole lot of dairy. That’s right. In a way, being able to chug a glass of milk without consequences is actually a genetic anomaly—one that we pretty much engineered ourselves over thousands of years.

The Dairy dilemma: why drink milk from cows? When you really stop and think about it, the need for this genetic mutation kind of makes sense—because, well, we’re not baby cows.

Just like human breast milk is designed to nourish human babies, cow’s milk is specifically made to take a tiny calf and turn it into a full-grown, 500-kilo cow—fast. It’s packed with nutrients meant to help calves double their birth weight in just a couple of months and pack on hundreds of kilos in their first year.

And yet, here we are, well past weaning age, still reaching for a glass of milk—and not just any milk, but milk from an entirely different species. Yeah… kinda weird, huh?

Wait… Do we even need Dairy milk? Remember those food pyramids we all grew up with—the ones that taught us that milk = calcium = strong bones? Well, here’s the interesting part: while we’ve been led to believe that dairy is the ultimate source of calcium, we can actually absorb up to twice as much calcium from leafy greens like kale and bok choy or from broccoli than from milk. Plus, other plant-based sources like firm tofu, fortified plant milks, and fortified juices have plenty of calcium, too.

And here’s the real kicker: more milk doesn’t always mean stronger bones. In fact, several recent studies suggest that high dairy consumption may actually increase the risk of fractures—especially in women. Who saw that coming?

Oh, and while we were all chugging milk to “build strong bones,” no one mentioned the extra ingredients tagging along—cholesterol, antibiotics, growth hormones… and who knows what else.

Some not-so-lovely side effects Alright, let’s get real for a moment. Dairy isn’t just a digestion bummer for many—it can be linked to serious health risks:

Heart Disease & High Cholesterol: Dairy is loaded with saturated fat, contributing to heart disease, type 2 diabetes, and even Alzheimer’s. Increased Cancer Risk: High dairy intake has been tied to higher risks of liver, breast, ovarian, and prostate cancers. Skin Woes: Acne, eczema, and premature aging can be unwelcome side effects of dairy consumption. Dairy has been marketed as a universal health food for decades, yet its consumption patterns have been shaped more by industry influence than genuine nutritional necessity. Lactose intolerance isn’t a niche issue—it’s a reminder that our dietary norms are far from one-size-fits-all.

Beyond lactose: The ripple effects of dairy But avoiding dairy isn’t just about avoiding an upset stomach—it’s about the planet and the animals, too. Dairy farming uses a staggering amount of water and land, and the industry is a huge contributor to greenhouse gas emissions. Not to mention, billions of cows suffer day in, day out, just so we can drink their milk.

And, while we’re at it, let’s bust a myth real quick. That comforting little story about how somehow, we’re “doing cows a favor” by milking them constantly—because otherwise, they’d explode or something? Well…that’s not exactly how it works. Like humans, cows don’t just produce milk on command. They only lactate after giving birth, and in the dairy industry, that’s usually after forcible artificial insemination. Mother and baby are separated almost immediately, and the male calves? They’re either sent to the veal industry or killed right away as surplus.

Cows aren’t built to be milked non-stop, and the constant milking can cause serious health problems, like mastitis (a painful udder infection), lameness, and other injuries.

So yeah—not exactly the family-friendly scenes you might imagine.

“Our mission goes beyond creating tasty alternatives—we’re envisioning a future where indulgence doesn’t come at the expense of animals or the planet.” The frischhain twist: animal-free, lactose-free, problem-free Let’s face it: traditional dairy has a lot of baggage. But breaking up with lactose doesn’t mean giving up on cheese*alternatives. That’s where we come in.

Our animal-free cheese is crafted without cows, using cutting-edge microfermentation to produce Koji protein—closely resembling traditional whey proteins. The result? Delicious cheese*alternatives that’s better for your tummy, your health, and the planet.

No more bloating. No more stomach aches. Just cheesy*alternative goodness—guilt-free.

What’s more, each pack of our cream cheese alternative Frischhain packs 10.9g of protein, saves 1.2kg of CO2 emissions, and uses far less water and land. If that’s not reason enough to give it a go, we’re not sure what is!

why cutting down on dairy is a win for everyone Look, even if you’re not lactose intolerant, switching to animal-free dairy has major perks:

Happy Digestion: Dairy-free options make digestion smoother and help prevent bloating, discomfort, and even energy crashes. Better Skin & Hormones: Going dairy-free can improve skin clarity, reduce inflammation, and balance hormones. Planet-Friendly: Ditching dairy helps reduce excessive water use, land destruction, and greenhouse gas emissions. It’s an easy way to reduce your carbon footprint. Cruelty-Free: Supporting dairy alternatives means less harm to animals, especially the billions of cows in factory farms the future of dairy: diverse, delicious, and dairy-free One of the most exciting aspects of shifting away from traditional dairy is the sheer diversity of alternatives. From fermented nut cheeses to innovative proteins made with micro fermentation, the industry is moving beyond simple substitutions and into entirely new taste and texture experiences. Lactose-free options have never been more delicious or more readily available. And the best part? They’re made for humans, not cows.

Our mission goes beyond creating tasty alternatives—we’re envisioning a future where indulgence doesn’t come at the expense of animals or the planet. So, whether you’re lactose-intolerant, eco-conscious, or just obsessed with really good cheesealternatives, why not give our cow-free cheesealternative a try? The future of dairy is here—and it’s deliciously dairy-free.

#pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr