-
@ GaLoM ₿maxi
2025-04-29 02:16:06เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เราต้องเข้าใจปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงตรรกะของความรุนแรง โดยเฉพาะปัจจัยเชิงมหภาค 4 ประเภทหลัก ได้แก่ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ จุลชีพ และเทคโนโลยี
- ภูมิประเทศ เป็นตัวกำหนดที่สำคัญมากต่อรูปแบบของรัฐและความสามารถในการควบคุมพลเมืองโดยเฉพาะเมื่อเปรียบระหว่างสภาพภูมิประเทศทางบกและทางทะเล พื้นที่ทะเลเปิดนั้นยากต่อการผูกขาดหรือควบคุม ทำให้กฎของรัฐไม่สามารถบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต่างจากแผ่นดิน ซึ่งส่งผลต่อการจัดวางอำนาจอย่างลึกซึ้ง เมื่อเศรษฐกิจเริ่มเคลื่อนเข้าสู่โลกไซเบอร์ซึ่งมีลักษณะคล้ายทะเลเปิดมากกว่าภาคพื้นดิน รูปแบบของการปกครองและการใช้ความรุนแรงจึงมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ประวัติศาสตร์ก็สนับสนุนมุมมองนี้ รัฐยุคแรก ๆ มักเกิดขึ้นในพื้นที่ราบลุ่มชลประทานที่ล้อมรอบด้วยทะเลทราย เช่น เมโสโปเตเมียและอียิปต์ ซึ่งทำให้ประชาชนจำเป็นต้องพึ่งพารัฐที่สามารถควบคุมแหล่งน้ำเพื่อดำรงชีวิตได้ ก่อให้เกิดระบบเผด็จการที่มั่นคง ขณะที่ภูมิประเทศที่กระจายอำนาจ เช่น กรีซโบราณ กลับเอื้อต่อการเกิดประชาธิปไตย เพราะผู้คนสามารถพึ่งตนเองได้มากกว่า มีอิสระในการค้าขายทางทะเล และเข้าถึงรายได้ที่นำไปแลกกับอำนาจทางทหารและการเมืองได้
- ภูมิอากาศก็มีบทบาทไม่แพ้กันในการกำหนดกรอบของอำนาจทางการเมือง เช่น หลังสิ้นยุคน้ำแข็งราว 13,000 ปีก่อน ความเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศทำให้ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ลดลง และป่าทึบเข้ามาแทนที่ ทำให้มนุษย์ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตจากนักล่ามาเป็นเกษตรกรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความสมัครใจ แต่เพราะสิ่งแวดล้อมบีบบังคับ ภูมิอากาศยังมีอิทธิพลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการเมืองอย่างชัดเจน เช่น ศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นยุคหนาวเย็นที่สุดช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ ทำให้เกิดวิกฤตอาหารและความอดอยากทั่วโลก นำไปสู่การก่อกบฏและการปฏิวัติในหลายประเทศ
- จุลชีพ ก็มีบทบาทในเชิงการเมืองมหภาคอย่างลึกซึ้ง การล่มสลายของประชากรพื้นเมืองในทวีปอเมริกาจากโรคที่ชาวยุโรปนำเข้า เช่น หัด หรือไข้ทรพิษ ทำให้ยุโรปสามารถยึดครองดินแดนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย แม้ในบางครั้งจะยังไม่ได้ลงจากเรือด้วยซ้ำ ในอีกด้านหนึ่ง จุลชีพก็เคยเป็นกำแพงที่ป้องกันไม่ให้จักรวรรดิยุโรปขยายอำนาจ เช่น มาลาเรียในแอฟริกาที่เคยทำให้พื้นที่เหล่านั้น “ต่อต้านอำนาจจากภายนอก” ได้อย่างนานหลายศตวรรษ
- เทคโนโลยี ซึ่งเป็นปัจจัยที่ที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอำนาจในประวัติศาสตร์มนุษย์ เพราะมันสามารถเปลี่ยน “ต้นทุน” และ “ผลตอบแทน” ของการใช้ความรุนแรงได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน ทั้งในแง่ของอาณาเขต ขนาดของรัฐ ลักษณะของสงคราม และแม้แต่ความชอบธรรมทางการเมือง ผู้เขียนได้แยกอิทธิพลของเทคโนโลยีออกเป็น 5 มิติหลัก ซึ่งล้วนมีบทบาทอย่างสำคัญในการจัดรูปแบบของอำนาจ ได้แก่:
A. ดุลยภาพระหว่างการโจมตีและการป้องกัน เทคโนโลยีแต่ละยุคมีผลอย่างมากต่อความได้เปรียบระหว่างฝ่ายรุกกับฝ่ายรับ หากเทคโนโลยีในยุคนั้นเอื้อต่อ “การโจมตี” (เช่น เครื่องยิงหิน, รถถัง, ระเบิดทางอากาศ) ต้นทุนของการขยายอำนาจจะต่ำลง รัฐหรือจักรวรรดิจะรวมศูนย์มากขึ้นเพราะสามารถควบคุมพื้นที่กว้างได้ด้วยกำลังที่มีประสิทธิภาพ แต่หากเทคโนโลยีเอื้อให้ “การป้องกัน” มีต้นทุนต่ำและได้เปรียบ (เช่น ปราสาทยุคกลาง, อาวุธต่อต้านอากาศยาน, การเข้ารหัสข้อมูลในโลกไซเบอร์) รัฐจะมีแนวโน้มกระจายตัว และอำนาจท้องถิ่นจะแข็งแกร่งขึ้น
B. ความเท่าเทียมกันทางทหารของพลเมือง เทคโนโลยีอาวุธยังเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดว่า “พลเมืองธรรมดา” มีอำนาจเพียงใดในการเผชิญหน้ากับชนชั้นปกครอง ตัวอย่างที่ชัดเจนคือในยุคก่อนปฏิวัติดินปืน ชาวนาที่ถือแค่ส้อมหรือจอบไม่อาจต้านอัศวินติดเกราะได้ แต่เมื่อการใช้ปืนแพร่หลาย เส้นแบ่งระหว่างสามัญชนกับขุนนางก็เริ่มจางลง และเกิดการปฏิวัติทางสังคมตามมาในหลายพื้นที่
C. ขนาดขององค์กรที่จำเป็นต่อการใช้ความรุนแรง บางเทคโนโลยีต้องการระบบสนับสนุนขนาดใหญ่ เช่น เสบียง การสื่อสาร การขนส่ง และระบบการฝึกฝนที่ซับซ้อน ซึ่งหมายความว่าเฉพาะองค์กรที่มีทรัพยากรขนาดใหญ่เท่านั้นจึงสามารถใช้อำนาจอย่างมีประสิทธิภาพได้ ตัวอย่างเช่น สมัยสงครามโลก รัฐที่มีอุตสาหกรรมและสายส่งที่มั่นคงเท่านั้นจึงสามารถรบได้นาน
D. ขนาดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในการผลิต ขนาดของหน่วยเศรษฐกิจที่ “เหมาะสมที่สุด” ในการผลิตสินค้าและบริการก็เป็นตัวแปรทางเทคโนโลยีที่ส่งผลต่อโครงสร้างของรัฐ หากเศรษฐกิจจำเป็นต้องอาศัยตลาดขนาดใหญ่ พื้นที่กว้าง หรือระบบโลจิสติกส์ที่ซับซ้อน รัฐขนาดใหญ่จะมีข้อได้เปรียบ เช่น จักรวรรดิอังกฤษที่สามารถจัดระบบเศรษฐกิจข้ามทวีปได้ในศตวรรษที่ 19 แต่หากเทคโนโลยีเอื้อให้เศรษฐกิจท้องถิ่นมีความคล่องตัว สามารถผลิตแบบกระจาย (distributed production)ได้ รัฐขนาดใหญ่ก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลง และอำนาจจะกระจายตัว
E. การกระจายของเทคโนโลยี หากเทคโนโลยีสามารถถูก “ผูกขาด” ได้โดยกลุ่มเล็ก ๆ เช่น การควบคุมแหล่งพลังงานนิวเคลียร์ หรือการพัฒนาอาวุธล้ำสมัย อำนาจจะกระจุกอยู่กับชนชั้นนำ แต่หากเทคโนโลยีแพร่กระจายได้อย่างกว้างขวาง เช่น การใช้ดินปืน แป้นพิมพ์ อำนาจก็จะสลายตัวไปยังประชาชนทั่วไป
เมื่อพิจารณาประวัติศาสตร์ในมุมของ “สิ่งที่เกิดขึ้นจริง” ควบคู่กับ “สิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้” เราจะเริ่มตระหนักถึงบทบาทของโอกาสและความเปราะบางที่มักถูกมองข้าม โดยเฉพาะในกรณีของจุลชีพ แม้จะเป็นตัวแปรที่ทรงพลังในอดีต แต่กลับดูเหมือนว่ามันมีผลกระทบต่อโครงสร้างอำนาจในยุคใหม่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่ในทางทฤษฎีแล้ว มันมีศักยภาพสูงยิ่งในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ หากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงและแพร่กระจายได้ง่าย เทียบเท่าหรือรุนแรงกว่ามาลาเรีย แพร่ระบาดในหมู่นักสำรวจโปรตุเกสช่วงต้นของยุคการเดินเรือ อาจไม่มีการสำรวจหรือขยายอาณานิคมเกิดขึ้นเลย เช่นเดียวกับหากโคลัมบัสและผู้ย้ายถิ่นกลุ่มแรกในโลกใหม่ต้องเผชิญโรคร้ายที่มีฤทธิ์รุนแรงพอ ๆ กับหัดซึ่งคร่าชีวิตชาวพื้นเมืองไปอย่างมหาศาล พวกเขาอาจไม่สามารถตั้งรกรากได้เลยด้วยซ้ำ
แต่เมื่อมองย้อนกลับไป สิ่งเหล่านี้กลับไม่เคยเกิดขึ้น และนั่นทำให้เรายิ่งมีแนวโน้มจะเชื่อใน “ชะตากรรม” บางอย่างของประวัติศาสตร์ อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่กลไกของพลังที่ขับเคลื่อนอำนาจ การที่จุลชีพกลับมีบทบาทสนับสนุนการรวมศูนย์ของรัฐในยุคใหม่มากกว่าการขัดขวาง ก็เป็นสิ่งที่น่าพิจารณา ทหารและผู้ตั้งถิ่นฐานจากโลกตะวันตกไม่ได้มีเพียงเทคโนโลยีเป็นแต้มต่อ แต่ยังมี “ภูมิคุ้มกันที่สั่งสมจากประสบการณ์กับโรค” อีกด้วย โรคที่มาพร้อมกับนักสำรวจจากยุโรปจึงกลายเป็น “อาวุธลับ” ที่ทำลายชาวพื้นเมืองก่อนที่ผู้รุกรานจะลงจากเรือด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะมีข้อสันนิษฐานว่าซิฟิลิสแพร่จากโลกใหม่กลับไปยังยุโรป แต่ผลกระทบของมันก็จำกัดอยู่ในระดับวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านศีลธรรมทางเพศ ไม่ได้ส่งผลกระทบในระดับการเมืองมหภาคอย่างที่โรคระบาดในยุคกลางเคยทำ เช่น กาฬโรคหรือโรคไข้ทรพิษ เพราะในยุคสมัยใหม่ ระบบอุตสาหกรรมและโครงสร้างทางการแพทย์มีความสามารถในการควบคุมภัยจากจุลชีพได้มากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านระบบสุขาภิบาล วัคซีน หรือยาปฏิชีวนะ
อย่างไรก็ดี การปรากฏตัวของโรคเอดส์ และความกังวลเกี่ยวกับไวรัสกลายพันธุ์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ได้แสดงให้เห็นว่า จุลชีพอาจไม่ได้เป็น “ปัจจัยรอง” ที่ไร้ฤทธิ์เสมอไป และอาจหวนกลับมาเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดแนวทางของอำนาจใหม่อีกครั้งได้ในอนาคต หากมีโรคระบาดใหญ่เกิดขึ้นซึ่งรุนแรงพอที่จะทำลายความสามารถของรัฐในการควบคุมระบบเศรษฐกิจและชีวิตสาธารณะ โครงสร้างของอำนาจอาจสั่นคลอนยิ่งกว่าผลกระทบจากภูมิอากาศหรือภูมิประเทศเสียอีก
ปัญหาคือเราไม่สามารถคาดการณ์จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างแม่นยำ ไม่มีแบบจำลองใดที่สามารถควบคุมหรือคาดเดาธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีความพยายามทางวิทยาศาสตร์และการเฝ้าระวังระดับโลก การที่เรารอดพ้นจากโรคร้ายในอดีตไม่ได้แปลว่าจะรอดได้อีกในอนาคต ความคาดหวังว่าปัจจัยมหภาคในพันปีข้างหน้าจะยังคงเป็น “เทคโนโลยี” ไม่ใช่ “จุลชีพ” จึงเป็นเพียงสมมติฐานที่ตั้งอยู่บนความหวังมากกว่าหลักประกันใด ๆ
และแม้ว่าเทคโนโลยีจะมีบทบาทอย่างล้นเหลือในช่วงห้าศตวรรษที่ผ่านมา แต่บทเรียนจากการปฏิวัติการเกษตรในยุคโบราณก็ยังคงเตือนใจว่า ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงวิถีของอำนาจในระดับรากฐานที่สุดอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือก้าวหน้าเสมอไป บางครั้งสิ่งที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างถาวร ไม่ใช่จักรกลที่ซับซ้อนหรืออาวุธล้ำยุค หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เราแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า — และมันก็อาจย้อนกลับมามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในศตวรรษของเรา.
อย่าลืมว่าหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นในปี 1997 — ยุคที่โลกยังไม่เคยรู้จักกับ COVID-19
บทถัดไปจะพูดถึงเรื่องการปฏิวัติครั้งแรกของ Sapiens การปฏิวัติเกษตรกรรม