-
@ HereTong
2025-06-10 01:37:32ถ้าเฮียบอกว่า “นมข้นหวานคืออาหารของสงคราม” หลายคนอาจขมวดคิ้ว ว่าอาหารหวานมันเกี่ยวอะไรกับดินปืน กระสุน และการยิงปะทะกันกลางสนามรบ แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เราจะเห็นชัดว่า ไม่ใช่แค่ปืนที่รัฐทุ่มเทวิจัย แต่รวมไปถึง “อาหารเก็บได้นาน ส่งถึงปากทหารโดยไม่เน่า” ซึ่งเป็นหัวใจของความอยู่รอดในสนามรบ และหนึ่งในของวิเศษนั้นก็คือ “นมข้นหวาน” ที่ภายหลังจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในวิถีอาหารของคนทั่วโลก รวมถึงในแก้วชาเย็นของคนไทยเรานี่แหละ
จุดเริ่มต้นของนมข้นหวานต้องย้อนไปก่อนสงครามกลางเมืองอเมริกาเล็กน้อย ราวปี 1856 ชายชื่อ Gail Borden คิดค้นวิธีการทำให้นมสดไม่บูดง่าย ด้วยการเอานมไปต้มหรือระเหยน้ำออก (evaporation) แล้วเติมน้ำตาลเข้าไปเพื่อยืดอายุการเก็บรักษา สูตรนี้ทำให้เขาตั้งบริษัท Borden Condensed Milk Company ขึ้นในปี 1857 และทันทีที่สงครามกลางเมืองอเมริกาเริ่มในปี 1861 รัฐบาลสหรัฐก็หันมาซื้อ “นมข้นหวาน” จำนวนมากเพราะมันเก็บได้นาน ไม่เสียง่ายเหมือนนมสด และพกพาง่ายกว่า
ปรากฏว่าทหารที่ไปรบกลับมาติดใจ เพราะไม่เคยได้กินอะไรหวานมันกลมกล่อมขนาดนั้นมาก่อน พอสงครามจบ ตลาดคนทั่วไปก็เริ่มรับรู้และนิยมบริโภคของชนิดนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ แถมยังใช้ในเด็กด้วย เพราะช่วงนั้นมีความเชื่อว่านมข้นหวานคือ “นมสำหรับเด็ก” ที่ปลอดภัยกว่าเพราะผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว แม้จะขาดสารอาหารสำคัญหลายตัวก็ตามทีเรื่องนี้จริงนะครับ รัฐบางแห่ง เช่น สหรัฐฯ และฝรั่งเศส มีเอกสารแนะนำให้ใช้นมข้นแทนนมแม่หากไม่สามารถให้นมเองได้ โดยอ้างความปลอดภัยจากการฆ่าเชื้อ แม้ในช่วงศตวรรษที่ 19 มีเด็กทารกเสียชีวิตเพราะพ่อแม่ใช้นมข้นหวาน จนทำให้หลายประเทศต้องออกคำเตือนภายหลัง
พอเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914–1918) นมข้นหวานก็กลับมาเป็นฮีโร่อีกครั้ง คราวนี้รัฐบาลสหรัฐจัดเต็ม สั่งผลิตเพื่อส่งไปแนวหน้าให้ทหารพันธมิตรในยุโรป จนทำให้ supply ไม่พอกับ demand และบริษัทใหญ่ ๆ เช่น Nestlé และ Borden เริ่มขยายฐานการผลิตในระดับอุตสาหกรรม จนกลายเป็นเจ้าตลาด และนี่เองคือช่วงเวลาที่ “นมข้นหวานกลายเป็นสินค้าระดับโลก” แบบไม่ตั้งใจ
ในช่วง Great Depression (1929 เป็นต้นไป) นมข้นหวานกลายเป็น อาหารราคาถูก ที่ “แทน” อาหารสดในครัวคนจนได้ เพราะไม่ต้องแช่เย็น และให้พลังงานสูง ซึ่งส่งผลให้มันเจาะตลาดแม้ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ เป็นช่วงทองของการขยายฐานการตลาดของนมข้นหวาน ขอบคุณสงครามที่ป้อนผู้บริโภคให้ฟรี ๆ มานานหลายปี มันเริ่มเข้าครัวคนทั่วไปและกลายเป็นวัตถุดิบในเมนูประจำวัน ไม่ว่าจะใส่กาแฟ โปะขนมปัง หรือใส่ขนมหวาน ซึ่งประเทศที่อยู่ในอาณานิคมตะวันตกก็รับวัฒนธรรมนี้ไปโดยปริยาย ไทยเองก็ไม่รอด และเริ่มมีเมนูอย่างชาเย็น กาแฟเย็น ที่ต้องใช้นมข้นหวานเป็นหลัก เพราะมันทั้งหอม มัน หวาน และสำคัญสุดคือ “เก็บได้นาน” ในยุคที่ตู้เย็นยังไม่แพร่หลาย
แต่อย่าเพิ่งนึกว่าเรื่องนี้จะจบแค่นี้ เพราะพอสงครามโลกครั้งที่ 2 มาถึงในปี 1939 สหรัฐฯ ก็กลับมาใช้สูตรเดิมอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่นมข้นหวานที่ถูกอัดใส่ลังขึ้นเรือไปแนวหน้า แต่รวมถึงสินค้าประหลาดหน้าใหม่ที่ถูก “แปรรูปเพื่อความอยู่รอด” ทั้งหมดซึ่งเดี๋ยวจะทะยอยเล่าให้อีกครั้ง เพราะทั้งหมดนี้คือสิ่งที่รัฐร่วมมือกับบริษัทใหญ่ผลิตเพื่อ “ให้ทหารอิ่มรอด” แต่เมื่อสงครามจบ สินค้าเหล่านี้ไม่หายไปไหน ตรงกันข้าม พวกมันถูก “ประชาสัมพันธ์ว่าเป็นของดีต่อสุขภาพ” มีการเอาผลวิจัยรองรับ (บางอันเป็นของรัฐเองด้วยซ้ำ) และกระตุ้นให้คนเชื่อว่า “นี่คืออาหารสมัยใหม่ของโลกที่ก้าวหน้า” เพราะมันถูกตั้งการผลิตมาในระดับมโหฬารไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมันเริ่มแล้วมันก็ย่อมทำลายทิ้งไม่ได้ นอกจากครอบงำให้ประชากรบริโภคสิ่งเหล่านี้เข้าไปตลอดกาล อย่าลืมว่า บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ไม่มีทางยอมให้สินค้าตายไปจากตลาดแน่นอน
นมข้นหวานก็เช่นกัน มีการจัดโฆษณาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ว่านมสดไม่สะอาดเท่า นมข้นหวานสะอาดกว่าเพราะฆ่าเชื้อแล้ว บางโฆษณาแถมการ์ตูนเด็กชายหญิงหน้าน่ารักพร้อมประโยคว่า “เด็กทุกคนต้องเติบโตด้วยนมข้นหวาน” ซึ่งแน่นอนว่า “หวาน” นั้นแปลว่ามีน้ำตาลระดับสูงจนอาจเทียบเท่าน้ำเชื่อมข้น ๆ ได้
เมื่อคนเริ่มติดรสชาติและบริษัทมีโครงสร้างอุตสาหกรรมรองรับแล้ว ก็ไม่แปลกที่มันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก และพอรัฐไม่เตือน แถมยังสนับสนุนเป็นนัย ๆ นานวันเข้าเราก็เลิกตั้งคำถามกันไปเองว่า “แล้วเรากินมันทำไมกันนะ?”
ปัจจุบัน เราอาจรู้ว่านมข้นหวานคือของหวานจัด มีน้ำตาลราว 45–55% ต่อปริมาตร ไม่ใช่แค่ “หวานนิด ๆ” แต่คือ “หวานระดับฆ่าเชื้อได้เลย” และไม่ได้มีสารอาหารเทียบเท่านมจริง ๆ แต่มันกลับยังฝังแน่นในหลายวัฒนธรรมอาหารอย่างแนบเนียน เพราะรากของมันไม่ใช่แค่ในครัว แต่อยู่ในสนามรบ อยู่ในคำสั่งของรัฐ และอยู่ในภาพจำของความหอมหวานที่ไม่มีอะไรมาแทนได้
และนั่นแหละเฮียว่า คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยน “อาหารเพื่ออยู่รอด” ให้กลายเป็น “อาหารครองโลก” และมันกลายเป็นบรรพบุรุษของแนวคิด “Ultra-Processed Food” ในยุคอุตสาหกรรมอาหารหลังสงคราม โดยไม่ต้องยิงปืนสักนัดเดียว หลายคนอาจจะมองว่า เห้ยทุกวันนี้เราก็รู้แล้วนี่นาว่ามันไม่ได้ดีต่อสุขภาพ ใช่ครับ กว่าเราจะรู้ เขาก็มีแผนใหม่มาครอบงำเราไปเรียบร้อยแล้ว เหมือนกับที่พยายามเล่าให้ทราบใน ep ที่ผ่านๆมานี่ไง สัปดาห์นี้เรากำลังคุยเรื่องอดีต ซึ่งในยุคนั้นประชากรเชื่อจริงๆว่า นมข้นหวาน มันคือของดี งดงามกว่านมสดง่อยๆที่แป๊บเดียวก็เสีย บูด เน่า ลองเอาภาพร่างนี้มาทาบกับปัจจุบันและอนาคตครับ
#pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr