-
![](https://image.nostr.build/7aa2c8cac857f02e26070656579d917e308b237beac05b4f242fd427a647aa78.jpg)
@ sakkasem suwandee
2024-11-17 13:56:30
ช่วงนี้ Bitcoin ราคากำลังขึ้น ทำให้มีผู้คนมือใหม่สนใจ เราอยากจะเป็นส่วนนึงให้ความเข้าใจ
สำหรับคนที่อยากรุ้ว่า Bitcoin คืออะไร อยากมาสรุปเนื้อหาของหนังสือ The Bitcoin Standard
ให้คนที่เริ่มสนใจได้เข้าใจ Bitcoin สามารถอ่านเเละหาความรู้เพิ่มเติมต่อได้ครับ
***หัวข้อ***
1. **เงินคืออะไร**
2. **เงินในอดีตมีอะไรบ้าง**
3. **ทองคำเเละยุครุ่งเรืองของทองคำ**
4. **เงินตรารัฐบาล**
### เงินคืออะไร
การที่จะเข้าใจว่า Bitcoin เกิดขึ้นมาทำไมต้องเข้าใจก่อนว่า เงินคืออะไร
ในสมัยก่อนคนเราก็ใช้ ระบบเเลกเปลี่ยนสินค้าโดยตรง( Barter )
เเต่ได้เฉพาะในวงเล็กๆเท่านั้น เช่น
เเลกหมา เเลกเเมวกัน พอใจที่จะเเลกสินค้า
เเต่เป็นเรื่องยากมากๆ ถ้ามีระบบเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อน
ความต้องการสินค้าไม่สอดคล้องกันจะเเลกเปลี่ยนกันไม่ได้ เช่น เราเป็นช่างสร้างบ้าน คุณอยากได้บ้าน
เเต่คุณเป็นช่างรองเท้า
เราคงไม่อยากได้รองเท้า 100 คู่ มาเเลกให้เราสร้างบ้านให้ (เยอะเกิ้น)
หรือคุณปลูก เเอปเปิ้ล มาเเลกกับเรา ก็มีโอกาสที่จะเน่าเสียอีก
ซึ่งต้องมีตัวกลางมีหน้าที่ ในการเเลกเปลี่ยนสินค้า (Medium of Exchage)
และเป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับโดยวงกว้างนั้นคือ เงิน (Money)
***ระดับศักยภาพในการเเลกเปลี่ยน***
สินค้าที่เป็นเงินก็มีมาหลายเเบบ ในอดีต
เเต่เงินที่ดี ควรตรวจสอบที่
ศักยภาพแลกเปลี่ยนเชิงปริมาตร (Salaility across scale)
คือ สามารถเเตกหน่วยย่อยได้ เช่น มีเพชรเป็นก้อน เเต่จะซื้อกาแฟ ตัดเพชร คงจะยากใช่มั้ย หรือมีคนทำจริงๆ 5555
ศักยภาพแลกเปลี่ยนเชิงระยะทาง (Salaility across space)
คือ พกพาได้สะดวก ถ้ายาก หรือหนักเราคงไม่อยากใช้
ศักยภาพแลกเปลี่ยนเชิงเวลา (Salaility across time)
คือ การรักษามูลค่าได้ ไม่เน่าเปื่อย (Store of Value ) คงไม่มีใครเอาเนื้อวัวมาเป็นเงิน
เเละต้องสามารถที่จะเก็บความมั่งคั่งได้
**Stock to flow** (SF)
เงินที่เก็บมูลค่าได้ควรเป็นเงินที่มีการเพิ่มของ Supply ที่น้อย มีต้นทุนการผลิตสูง
เเละยากต่อการผลิตเพิ่ม เรียกว่า เงินสร้างยาก (Hard Money)
ส่วนเงินผลิตง่าย คือเงินสร้างง่าย (Easy Money)
(ก็ตรงตัวนะ 5555)
เงินที่มีความมั่นคงเช็คได้โดยใช้ StocktoFlow
เเละ StocktoFlow คืออะไร
Stock หมายถึง ปริมาณปัจจุบันทั้งหมดที่ผลิตออกมาเเล้ว
Flow หมายถึง ปริมาณที่ผลิตในช่วงถัดมา
เเล้วจับมาหารกัน
ถ้ามีค่ามาก เเสดงถึง มีความสามารถในการเก็บมูลค่าได้ดี
มาดูตัวอย่างกันเลย
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/52adc2ef265d6627e11ce40d532fd208f13bf24c2b5ab6f82c929aed9f4bc0ba/files/1731504856679-YAKIHONNES3.jpg)
*ที่มา https://www.coinglass.com/pro/i/S2F*
จากรูป เส้นสีเทาคือ เส้น Stock to flow มีค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะ Bitcoin ประมาณ 4 ปีจะมี Having ทำให้ Flow หรือการผลิตหายไปครึ่งนึง
(Halving คือ การที่ supply ของ Bitcoin ถูกลดการผลิตลงครึ่งนึง ทุก 210,000 Block หรืออประมาณ 4 ปี)
เมื่อจับหาร ตัวหารค่าน้อยลงเรื่อยๆ เเสดงว่าค่า SF มีค่ามากขึ้น ซึ่งค่าที่มากหมายถึงเป็นสินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้ดี
เเต่ถ้ากลับกัน ถ้าตัวหารมาก ค่า SF จะน้อยลง สินทรัพย์ที่เก็บมูลค่าได้ไม่ดี
เงินที่ผลิตได้ง่ายเช่น การพิมพ์ธนบัตร จะสูญเสืยสถานะการเป็นเงินได้สูงกว่า เเละผู้คนก็จะย้ายเงินไปที่ เงินที่สร้างได้ยากกว่าเสมอ
**Network Effect**
ทำไมในเมืองไทยใช้ Line ในการคุยสื่อสารกัน เพราะเนื่องจาก ได้รับการยอมรับในวงกว้าง
จึงทำให้ทุกคนต้องมาใช้สื่อกลางอันนี้
เงินก็คล้ายกัน เมื่อมีสื่อกลางที่สามารถเก็บมูลค่าได้ ก็จะทำให้ผู้คนยอมรับในวงกว้างขึ้น
ทำให้เกิดอีกหน้าที่ คือ การเป็นหน่วยวัดราคาสินค้า (unit of accout)
ราคาทำให้เกิดเกิดวงจรเศรษฐกิจที่ซับซ้อนได้
เเละถ้าเกิดจากเงินสร้างยาก สามารถที่จะวางแผนในอนาคตได้ดีกว่าเพราะ จะรู้ต้นทุนในการผลิตได้เเม่นยำกว่า
เเละผลิตสินค้าให้ดีที่สุดได้
กลับกันถ้าราคาคาดเดาไม่ได้ เพราะเงินสร้างง่าย จะไม่สามารถวางแผนอะไรได้เลย ต้นทุนจะถูกปรับเมื่อไหร่คาดไม่ได้
ทำให้ผลิตสินค้าที่อาจจะเห็นเเก่เงินเฉพาะหน้ามากกว่า
สรุปเงินที่ดีควรมี
หน้าที่ที่สำคัญ 3 อย่าง
*Medium of Exchage
Store of Value
unit of accout*
### เงินในอดีตเคยมีเป็นอะไรบ้าง
หินรายแห่งเกาะเเยป (Rai Stone)
ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย อดีตเกาะนี้ไม่มีไม่มีหินราย ต้องนำเข้ามาจากเกาะข้างเคียง
ด้วยความหายากของหิน ซึ่งมีหินขนาดเล็กจนถึงขนาด 4 ตัน
เเต่มีหินรายบางก้อนใหญ่มาก การใช้งานของเงินนี้ทำโดยเจ้าของหินไม่จำเป็นต้องยกหรือเคลื่อนย้ายมัน เพื่อเเค่ประกาศความเป็นเจ้าของ
ให้คนในหมู่บ้านรู้ว่าตอนนี้ใครเป็นเจ้าของใหม่
(เรียกได้ว่าเป็น Decentralized ได้เลย เป็นการต่างคนต่างถือบัญชีกันคนละเล่มเเละจดบันทึกเหมือนกัน)
หินรายสามารถเรียกได้ว่าทำหน้าที่ของเงินได้ดีทีเดียว
จนกระทั่งปี 1871 ชายจากยุโรปชื่อ เดวิด โอคีฟ เห็นโอกาสตรงนี้
โอคีฟใช้เครื่องมือสมัยใหม่ไปทำการระเบิดหินราย เเทนการไปขุดหินของชาวบ้านที่ใช้เเรงงานคน
หินราย กลายเป็นของหาง่ายมากขึ้น SF น้อยลง จนในที่สุดหินรายลดมูลค่าเเละล่มสลายไป
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/52adc2ef265d6627e11ce40d532fd208f13bf24c2b5ab6f82c929aed9f4bc0ba/files/1731546093140-YAKIHONNES3.webp)
*รูปหินราย (Rai Stone)*
หรือในแอฟริกา ใช้ลูกปัดเป็นเงินในการเเลกเปลี่ยน ต่อมาพ่อค้ายุโยปได้เข้าไป ก็ใช้เทคโนโลยี
ผลิตลูกปัดสูบความมั่งคั่งของชาวแอฟริกา จากเงินสร้างยากเป็นเงินสร้างง่าย
หรือจะเป็นเปลือกหอยหรือเกลือ ที่เคยทำหน้าที่เป็นเงินมาก่อน มีจุดจบคล้ายๆกัน
จากตัวอย่างที่ยกมา การที่ทีคนผลิตเงินได้ง่าย คนที่ได้ประโยชน์คือคนที่ผลิตเงิน ส่วนคนที่เก็บออมหรือเชื่อในเงินนั้น เงินก็จะด้อยค่าไปเรื่อยในที่สุด
(คุ้นๆเหมือนปัจจุบันมั้ยครับ 555)
### ทองคำ
ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาทองคำได้พิสูจน์ตัวเองเรื่องบทบาทการเป็นเงินของมันเอง
ทั้งเรื่องตัวกายภาพของมันเองกล่าวคือ ทองคำทำลายไม่ได้ ไม่ขึ้นสนิม คงทน เเละขึ้นรูปกลับมาโดยการหลอมใหม่
เเละไม่สามารถปลอมเปลงได้
ส่วนเรื่องการขุดทองคำทำได้ยากมาก ต้นทุนสูง ส่งผลให้ปริมาณที่ผลิตออกมาเเต่ละปีน้อยมากประมาณ 1.5% ต่อปี
และ SF ค่อนข้างคงที่
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/52adc2ef265d6627e11ce40d532fd208f13bf24c2b5ab6f82c929aed9f4bc0ba/files/1731548103188-YAKIHONNES3.jpg)
*ที่มา US Geological Survey, Incrementum AG*
ซึ่งในประวัติศาสตร์ มีหลายช่วงที่ทองคำถูกใช้ทำหน้าที่เป็นเงินทำให้อาณาจักรรุ่งเรืองเเละสุดท้ายเสื่อมถอย โดยผู้ที่ควบคุมมัน
เช่น ยุคโรมัน
มีเหรียญ Aureus ประกอบด้วยทองคำ 8 กรัม การค้ารุ่งเรืองเป็นปกติ จนกระทั่งมีการใช้ประชานิยม ต้องใช้เงินจำนวนมาก
มีการผลิตทองเพื่ม โดยใช้ทริค Coin Cliping คือ ค่อยลดจำนวนทองคำในเหรียญลง จาก 8 กรัม เหลือเพียง 4.5 กรัม (ผลิตเพิ่มเกือบ 50% เเน่ะ)
ทำให้เกิดเงินเฟ้อ จนอาณาจักรล่มสลายไป ซึ่งไม่ใช่เเค่โรมัน อาณาจักรไบเซนทีนก็เป็นลักษณะเดียวกัน
**ยุครุ่งเรืองของทองคำ**
ถ้าพูดถึงยุค เรเนสซองส์ ประวัติศาสตร์ต่างพูดถึงในเเง่มุมของ ศิลปะ วิวัฒนาการ คงมีมากเเล้ว
เเต่ยังไม่มีพูดในส่วนที่ใช้เงินที่เเข็งเเกร่งทำให้เกิดยุคนี้ขึ้นมาได้
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/52adc2ef265d6627e11ce40d532fd208f13bf24c2b5ab6f82c929aed9f4bc0ba/files/1731591297410-YAKIHONNES3.jpg)
เหรียญ Florin ที่มา https://en.wikipedia.org/wiki/Florin
ยุคนั้นมีการเริ่มผลิตเหรียญทอง Florin ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ใช้กันอย่างกว้างขวางในยุโรป จนโลกพัฒนาการมาเรื่อยๆ
จนถึงยุคที่เทคโนโลยีมีการสื่อสารติดต่อทางไกลกันได้ เช่น ระบบรถไฟ เเละ ระบบโทรเลข เริ่มในปี 1837
ตอนนั้นก็เริ่มมีธนาคารเเล้ว ส่งผลทำให้ ธนาคารสามารถทำบัญชีการเงินหักตัวเลขทางบัญชี เเทนที่จะทำการขนส่งเงินจริงๆ
เนื่องจากการขนส่งที่ไม่สะดวก อาจจะทำการขำระธุรกรรมเป็นเดือน หรือ ปี ในการเคลื่อนย้ายทองคำ
สิ่งนี้ทำให้เกิดการใช้ธนบัตร เช็ค ใบเสร็จรับเงิน เเทนทอง ในทางกายภาพ เพราพกพาสะดวกกว่า เเละปลอดภัยกว่าการขนย้ายทองคำจริงๆ
(ง่ายๆน่าจะเป็น Layer 2 ของ ทองคำ)
ทำให้ประเทศต่างๆใช้ระบบมาตรฐานที่มีธนบัตรมีมูลค่าหนุนหลังเป็นโลหะมีค่า (ทองคำ)เต็มจำนวน
เเละสามารถไปเเลกเปลี่ยนเป็นทองคำที่ธนาคารได้ทันที
โดยระบบสมัยใหม่นี้เริ่มที่ประเทศอังกฤษ ยุคเซอร์ไอแซกนิวตัน
เเทนที่ผู้คนจะพกเหรียญทองในการใช้จ่ายเริ่มปรับเปลี่ยนเป็นถือ ใบรับฝากทองคำ
ทั้งสะดวกกว่า เเละ เเก้ปญหาของการเเตกหน่วยย่อยได้
(ทองคำเเตกย่อยเเยกกว่า ธนบัตรอยู่เเล้ว ก่อนหน้าจะเป็นระบบมาตรฐานโลหะคู่ คือทองคำเเละเเร่เงิน
เเร่เงินใช้ในส่วนย่อยกว่าทองคำ)
ต่อมาการค้าขายในยุโรปเฟื่องฟูขีดสุด เพราะทุกประเทศใช้มาตรฐานการเงินเเบบเดียวกัน เกิดการค้าเสรี
การเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้ง่าย ไม่มีกำเเพงระบบเงินต่างสกุลมากั้น
เเต่เมื่อทองคำถูกรวมศูนย์มากขึ้นเรื่อยๆ อำนาจตกไปอยู่กับนายธนาคาร เเละผู้ที่เกี่ยวข้อง
ส่งผลทำให้เงินสูญเสียอำนาจอธิปไตยส่วนบุคคล
ซึ่งจะเป็นปัญหาที่เราทราบในปัจจุบัน เมื่อมีการรวมศูนย์ของเงินทำให้มีปัญหาได้ยังไง
ปัญหาสองอย่างที่ตามมาคือ รัฐบาลเเละธนาคารเริ่มมีการผลิตตั๋วเเลกทอง เกินปริมาณทองคำที่มีอยู่
ปัญหาที่สอง หลายๆประเทศเริ่่มใช้สกุลเงินของประเทศอื่นๆเป็นเงินกองทุนสำรองเพิ่มมากขึ้น
จนกระทั่งเริ่มมีการตั้งระบบธนาคารกลางขึ้น ในระบบมาตรฐานทองคำ
ทำให้รัฐบาลสามารถมีอำนาจที่จะควบคุมเเละกำหนดนโยบายต่างๆได้
ผ่านนโยบายทางการเงิน เเบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
### เงินตรารัฐบาล (Fiat Money)
ยุคสมัย Fiat Money เริ่มต้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1
สิ่งที่สำคัญคือเงินของรัฐบาล รัฐมีหน้าที่ผลิตหน่วยของเงินเเทนที่ทองคำ
(คือทำให้สะดวกเฉยๆ)
เเละมีความเสี่ยงที่มีการผลิตอุปทานของเงินได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เงินเฟ้อ
(ซึ่งเป็นการทำลายการเก็บออมของคนที่ใช้เงินนั้น เหมือนตัวอย่าง ชาวเกาะเเยป)
สงครามโลก
สงครามทุกสงครามจริงๆเเล้ว ควรจบอย่างรวดเร็ว เพราะต้นทุนสูงมาก
รัฐบาลถ้าจะทำสงครามทำได้อย่างเดียวคือ การขึ้นภาษี
เเต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ยื้อเยื้อยาวถึง 4 ปี
เนื่องจากมีการผลิตเงินในการทำสงคราม
ระยะเริ่มต้นประชาชนอาจจะเห็นด้วยกับการทำสงคราม เเต่ผ่านนานวัน ประชาชนต้องคิดเเล้วว่าสงครามไม่ได้มีประโยชน์กับตัวเอง
สงคารมที่รบนานถึง 4 ปี เพราะมีการพิมพ์เงิน ลดมูลค่าเงินตัวเอง จนสุดท้าย อเมริกา ได้สนับสนุนกำลังทรัพย์
จนสงครามมีฝ่ายชนะ เเต่ถ้าดูมูลค่าเงินของประเทศทำสงคราม มูลค่าลดลงอย่างมากมายมหาศาล
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/52adc2ef265d6627e11ce40d532fd208f13bf24c2b5ab6f82c929aed9f4bc0ba/files/1731663243135-YAKIHONNES3.jpg)
ที่มา *https://www.sciencedirect.com/*
หลังจากจบสงคราม รัฐบาลต้องเผชิญกับความยากลำบากว่าจะเลือกกลับเข้าสู่มาตรฐานทองคำ
เเละการยอมรับมูลค่าของเงินในประเทศตัวเองที่ลดลง อาจส่งผลให้ประชาชนมีความต้องการถือทองคำมากกว่า
เเต่การผูกขาดของธนาคารกลางเเละการจำกัดสิทธิ์ในการเป็นเข้าของทองคำ
บังคับห้ามถอนทองคำ
ทำให้ประชาชนต้องถือเงินรัฐบาลต่อไป
**เบรตตันวูดส์**
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาถือว่าเป็นพี่ใหญ่ของโลก จากการชนะสงคราม
มีการประชุมเบรตตันวูดส์ เเละได้มีการก่อตั้งกองทุนระหว่างประเทศ (International Monetary Fund :IMF)
อมเริกาทำหน้าที่ประสานงานระหว่างธนาคารทั่วโล เเละประเทศสมาชิกได้มีการโอนย้ายทองคำมารวมที่สหรฐอเมริกา
เเละให้สิทธิ์เอเมริกาชำระบัญชีโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายทองคำอีกต่อไป
ให้เงินดอลล่าร์กลายเป็นเงินสกุลหลักของโลก
เงินสำรองของประเทศทั่วโลก สำรองด้วยเงินดอลล่าร์เเทน
ทำให้อเมริกามีอำนาจสิทธิพิเศษในการเป็นผู้ผลิตเงิน (Seiniorage)
เมื่อรัฐบาลต่างๆในโลกมีอำนาจในการผลิตเงิน โครงการรัฐสวัสดิการ จึงมีตามมาอย่างมากมาย เช่น
โครงการบ้านเอื้ออาทร เรียนฟรี สุขภาพ
(มันไม่มีของฟรีในโลกนะ ต้องมีคนจ่าย คือการที่ทุกคนที่ถือรัฐบาลเป็นผู้จ่าย)
เเละทำให้ประชาชนพึ่งพารัฐบาลมากขึ้น รัฐบาลตัวใหญ่ขึ้น มีอำนาจในการจัดการเเละเเทรกเเซงตลาดมากขึ้น
**ระบบ Fiat money เต็มตัว**
ปี 1971 เมื่อมีประเทศต่างๆเริ่มไม่เเน่ใจกับสกุลเงินดอลล่าร์ เริ่มมีการทยอยถอนทองคำออกมาจากอเมริกาเรื่อยๆ
ทำให้ทองคำในคลังของอเมริกาเริ่มน้อยลง
ในยุคประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ประกาศฟ้าผ่า (nixon shock )
ยุติการเเปลงดอลล่าร์เป็นทองคำ
ยกเลิกระบบมาตรฐานทองคำ
เข้าสู่ยุคระบบเงินที่ขึ้นอยู่กับระบบหนี้เเละการเชื่อใจเเทน
เเต่ระบบนี้ทำให้มีสกุลเงินของประเทศต่างๆ เป็นสื่อกลางการใช้จ่ายมากกว่าเพียงสื่อกลางเดียว เกิดอัตราเเลกเปลี่ยนสกุลเงิน
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการเเลกเปลี่ยน เป็นต้นทุนของเงินที่ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเกิดขึ้น
ระบบเศรษฐกิจของโลกตอนนี้ตั้งอยู่บนเงินที่ออกโดยรัฐบาล
ปัญหาคือการพิมพ์เงินขึ้นอยู่กับความยับยั้งชั่งใจของผู้มีอำนาจ
เเละสามารถมีอำนาจในการพิมพ์เงินไม่จำกัด
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/52adc2ef265d6627e11ce40d532fd208f13bf24c2b5ab6f82c929aed9f4bc0ba/files/1731690938840-YAKIHONNES3.jpg)
ที่มา *https://ycharts.com/indicators/us_m2_money_supply*
การควบคุมเงินของรัฐบาลสามารถทำได้โดยทันที หน้าที่ของเงินคือการเเลกเปลี่ยน กลายเป็นเครื่องมือที่ควบคุมจากรัฐบาล
เพราะรัฐบาลมีสิทธิ์ทันทีที่จะ ยึด เงินของเราได้ถ้าเราไม่เห็นด้วยกับเเนวทางรัฐบาล
(เงินที่มาด้วยความสะดวกสบาย เเลกกับการมอบสิทธิ์ให้รัฐบาลด้วย)
เมื่อก่อนเราเคยเข้าใจว่าเงินก็ต้องเป็นเงินที่รัฐบาลผลิตมาให้เราใช้สิ
หลังจากอ่านหนังสือนี้ ทำให้ีู้ว่าเราอยู่ยุคเงินรัฐบาลเเบบเต็มตัวเมื่อไม่นานมานี้เอง
เเละมีข้อดี เเละข้อเสีย ให้พิจารณากัน
เราสรุป Part ของเงินจากหนังสือ The Bitcoin Standard ไว้ก่อน
ส่วน Part อื่นๆในหนังสือ เราจะมาสรุปให้เพิ่มคราวหน้านะครับผมมม