-
@ HereTong
2025-05-26 01:12:10ปลายศตวรรษที่ 20 โลกเรายังหมุนไปตามจังหวะของธรรมชาติ ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทั้งการเมือง สังคม และเทคโนโลยี มีชายคนหนึ่งจากดินแดนกังหันลมชื่อว่า Willem van Eelen เขาไม่ใช่คนธรรมดา หากแต่เป็นนักคิดนักฝันที่เห็นภาพอนาคตอาหารแตกต่างจากคนทั่วไป เขาเติบโตขึ้นในช่วงเวลาที่โลกยังไม่ตระหนักถึงภาระหนักหน่วงของการเลี้ยงสัตว์ในระบบอุตสาหกรรมอย่างแท้จริง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยังเลือกทานเนื้อเหมือนเคย Willem กลับตั้งคำถามลึก ๆ ว่า “ทำไมเราต้องฆ่าสัตว์เพื่อจะได้เนื้อกินในเมื่อเราน่าจะสร้างเนื้อจากเซลล์โดยตรงได้?” คำถามนั้นกลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความหวังและการเปลี่ยนแปลงที่รอวันเติบโตในใจเขาอย่างเงียบ ๆ
Willem van Eelen เป็นอดีตทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเคยถูกจับเป็นเชลยในช่วงเวลาที่โหดร้ายที่สุดของชีวิต เขาได้เห็นการฆ่าสัตว์อย่างโหดเหี้ยมและได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง ความทรงจำและความเห็นใจนั้นกลายเป็นแรงผลักดันให้เขามุ่งมั่นพัฒนาแนวคิดที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดและการทำลายล้างในวงจรของอาหารแบบเดิม ๆ ในยุคที่คำว่า “อาหารทางเลือก” ยังแทบไม่มีใครพูดถึง
ในยุคนั้น เทคโนโลยีชีวภาพยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เซลล์ต้นกำเนิดยังเป็นเรื่องลึกลับและต้องใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ระดับสูงมากมาย Willem ลงมือศึกษาอย่างจริงจังถึงวิธีเพาะเลี้ยงเซลล์สัตว์ในห้องแล็บ เพื่อผลิตเนื้อโดยไม่ต้องฆ่าสัตว์ ความท้าทายสำคัญคือเขาต้องค้นหาวิธีให้เซลล์เนื้อเติบโตจนเป็นก้อนเนื้อที่นุ่มและมีโครงสร้างเหมือนเนื้อจริง ซึ่งในตอนนั้นยังไม่มีคำตอบแน่ชัดว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่
ในปี 1999 Willem van Eelen ได้จดสิทธิบัตรเทคโนโลยี “เนื้อเพาะเลี้ยงเซลล์” หรือ Cultured Meat ไว้กับสำนักงานสิทธิบัตรของเนเธอร์แลนด์ สิทธิบัตรฉบับนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของวงการอาหารแห่งอนาคต แม้ว่าในเวลานั้นไอเดียของเขายังถูกมองด้วยความสงสัย หลายคนมองว่าเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์เกินจริง และการผลิตเนื้อในห้องแล็บเป็นเรื่องไกลตัว
Willem ไม่ได้เดินทางนี้คนเดียว เขาทำงานร่วมกับนักชีววิทยา นักเทคโนโลยีชีวภาพ และนักสิ่งแวดล้อมหลายคนในยุโรป เขาตั้งกลุ่มผู้สนใจและเครือข่ายนักวิจัยเพื่อขยายงานและแบ่งปันความรู้ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัย Maastricht ในเนเธอร์แลนด์ ยังเป็นฐานวิจัยหลักที่สนับสนุนงานของเขาในช่วงแรก ๆ แม้จะยังขาดแคลนทุนสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชนก็ตาม
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของการเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อในยุคนั้นคือการหาอาหารสำหรับเซลล์ หรือที่เรียกว่า Growth Medium โดยส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเซรุ่มจากเลือดวัว (Fetal Bovine Serum) ซึ่งมีราคาแพงและขัดแย้งกับหลักจริยธรรมของการลดการเบียดเบียนสัตว์เอง ความยากลำบากนี้ทำให้การพัฒนาเทคโนโลยีนี้เดินหน้าอย่างช้า ๆ
Willem ต้องพึ่งพิงทุนส่วนตัวและเงินบริจาคจากองค์กรสิ่งแวดล้อมและกลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสัตว์ที่เห็นด้วยกับแนวคิดของเขา ถึงแม้ว่าจะไม่มีการสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลและภาคธุรกิจในช่วงแรก แต่ความมุ่งมั่นของเขาก็ไม่เคยจางหาย
ประวัติศาสตร์อาหารจึงมีบทเล็ก ๆ ที่บันทึกว่า Willem van Eelen เป็นนักฝันผู้ปลูกเมล็ดพันธุ์ของเนื้อเพาะเลี้ยงไว้ในดินแดนที่ยังไม่พร้อม แต่เมล็ดพันธุ์นั้นกลับเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นรากฐานของบริษัทและเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันที่พยายามสร้างเนื้อที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์แต่ยังคงรสสัมผัสและคุณค่าทางอาหาร
ปัจจุบัน เราเห็นบริษัทชื่อดังมากมายจากทั่วโลกล้วนแต่ก้าวตามรอยแนวคิดของ Willem โดยใช้เทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อที่พัฒนาขึ้นจนใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจและการทดลองของชายผู้ไม่ยอมแพ้ต่อความท้าทาย แม้จะต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางเทคนิค ต้นทุนสูง และความไม่เชื่อมั่นจากสังคม
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยีอาหาร แต่มันคือเรื่องของหัวใจที่ตั้งคำถามถึงความยั่งยืนและศีลธรรมในการบริโภคอาหารของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงได้
คำว่า “เนื้อที่ไม่ต้องฆ่าสัตว์” ที่เรากล่าวถึงกันทุกวันนี้คือมรดกจากความฝันและความพยายามของ Willem van Eelen ที่เริ่มต้นมากว่าหนึ่งทศวรรษก่อนยุคสมัยจะพร้อมรับ
This is just a beginning ครับ #pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr