-

@ maiakee
2025-02-24 13:20:20
https://image.nostr.build/8b7ab3d47eb95d74c05cd8a1af3c551ca8638237601bae18fbf4e351fb25e8e1.jpg
เห็นว่าน่าสนใจดีเลยอยากลองมาแชร์ครับ พี่ตั้ม nostr:nprofile1qqsdsv8w0d7rpgmykyjykau6lw60z4nn8laceper2zrwy6ctfesu6cssqq0l6 🥰
🕸️Morphic Resonance: กลไกและความสัมพันธ์กับจิตสำนึก
Morphic Resonance เป็นแนวคิดที่เสนอโดย Rupert Sheldrake นักชีววิทยาชาวอังกฤษ ซึ่งอธิบายว่า สรรพสิ่งในธรรมชาติมีสนามพลังงานที่เชื่อมโยงกันผ่านคลื่นความถี่เฉพาะตัว และการส่งผ่านข้อมูลทางชีววิทยาไม่ได้จำกัดอยู่แค่พันธุกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ความจำร่วมกัน” ในระดับสากล
1. Morphic Field: สนามมอร์ฟิกคืออะไร?
Morphic Field เป็นแนวคิดหลักที่สนับสนุน Morphic Resonance โดย Sheldrake อธิบายว่า Morphic Field คือสนามพลังงานที่ครอบคลุมและจัดรูปแบบพฤติกรรมของสิ่งมีชีวิตและระบบทางธรรมชาติ
Morphic Field ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระดับสิ่งมีชีวิต แต่รวมถึง ระดับอะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ สังคม และจิตสำนึก โดยสนามพลังงานนี้จะ เป็นตัวกำหนดรูปแบบพฤติกรรมและโครงสร้างของสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติ
ตัวอย่างของ Morphic Field:
1. การพัฒนาของตัวอ่อน – ตัวอ่อนของมนุษย์หรือสัตว์สามารถเจริญเติบโตมาเป็นรูปร่างเฉพาะได้ แม้ว่าเซลล์เริ่มต้นจะมี DNA เหมือนกัน เพราะสนามพลังงานมอร์ฟิกเป็นตัวกำหนด “โครงสร้าง” ของร่างกาย
2. รูปแบบของฝูงนกและฝูงปลา – ฝูงนกหรือฝูงปลาสามารถเคลื่อนไหวเป็นรูปแบบที่ซับซ้อนและประสานกันอย่างสมบูรณ์ราวกับมี “สนามพลัง” ที่เชื่อมโยงพวกมัน
3. จิตสำนึกและพฤติกรรมของมนุษย์ – ความเชื่อ ประเพณี และพฤติกรรมของมนุษย์สามารถส่งผ่านกันไปได้ในระดับที่ลึกกว่าการสอนโดยตรง
2. กลไกของ Morphic Resonance: การสื่อสารและการเรียนรู้ผ่านคลื่นพลังงาน
Morphic Resonance เป็นกระบวนการที่ ข้อมูล รูปแบบ และพฤติกรรมสามารถถ่ายทอดจากอดีตไปยังปัจจุบัน ผ่านสนามพลังงานมอร์ฟิก โดยไม่ต้องมีการส่งผ่านข้อมูลทางกายภาพโดยตรง
หลักการสำคัญของ Morphic Resonance ได้แก่:
1. การเชื่อมโยงแบบไร้สาย (Non-local Influence)
• สิ่งมีชีวิตสามารถรับ “รูปแบบความทรงจำ” จากสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกันในอดีต ผ่านสนามมอร์ฟิก
• ตัวอย่าง: ถ้าสัตว์ชนิดหนึ่งในส่วนหนึ่งของโลกเรียนรู้ทักษะใหม่ สัตว์ชนิดเดียวกันในอีกซีกโลกอาจสามารถเรียนรู้สิ่งนั้นได้ง่ายขึ้น
2. การสะสมของความทรงจำ (Collective Memory Storage)
• พฤติกรรมและรูปแบบโครงสร้างทางชีววิทยาไม่ใช่แค่ผลลัพธ์ของ DNA แต่ยังได้รับอิทธิพลจาก “ความจำร่วมกัน” ของสปีชีส์
• ตัวอย่าง: สุนัขอาจเรียนรู้ท่าทางหรือพฤติกรรมบางอย่างได้โดยธรรมชาติ เพราะมันมี “ความจำร่วมกัน” กับสุนัขรุ่นก่อน ๆ
3. การสั่นพ้องของความถี่ (Resonant Frequencies)
• การเชื่อมโยงผ่าน Morphic Resonance เกิดขึ้นเมื่อสิ่งมีชีวิตปรับ “ความถี่” ของตนเองให้ตรงกับสนามมอร์ฟิกที่สอดคล้องกัน
• ตัวอย่าง: ถ้ามนุษย์สนใจเรื่อง Bitcoin และศึกษาอย่างจริงจัง สมองจะปรับคลื่นพลังงานให้ตรงกับ Morphic Field ของความรู้นี้ ทำให้สามารถเรียนรู้ได้เร็วขึ้น
3. ความสัมพันธ์ระหว่าง Morphic Resonance และสมองมนุษย์
Sheldrake เสนอว่าจิตสำนึกของมนุษย์อาจไม่ได้อยู่เพียงแค่ในสมองเท่านั้น แต่ เป็นส่วนหนึ่งของสนามพลังงานมอร์ฟิกที่สามารถเชื่อมโยงกันในระดับควอนตัม
การทำงานของสมองกับ Morphic Resonance
1. Microtubules และ Quantum Coherence
• สมองมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ประสาทที่เชื่อมโยงกันผ่าน Microtubules ซึ่งอาจเป็นตัวกลางที่ช่วยให้จิตสำนึกสามารถ “รับ” ข้อมูลจาก Morphic Field ได้
• คล้ายกับแนวคิด Orchestrated Objective Reduction (Orch OR) ของ Roger Penrose และ Stuart Hameroff ที่เสนอว่า จิตสำนึกเกิดจากการสั่นพ้องของควอนตัมภายใน Microtubules
2. การสื่อสารแบบ Telepathy และ Collective Consciousness
• Morphic Resonance อาจเป็นกลไกที่อธิบาย Telepathy หรือการสื่อสารทางจิตระหว่างบุคคล
• ตัวอย่าง: ถ้าครอบครัวหนึ่งมีสมาชิกที่สามารถรับรู้ความคิดของกันและกัน นั่นอาจเป็นผลจากการที่สนามมอร์ฟิกของพวกเขาสั่นพ้องกัน
3. อิทธิพลต่อพฤติกรรมและสังคม
• พฤติกรรมของมนุษย์อาจได้รับอิทธิพลจาก Morphic Field ของวัฒนธรรม
• ตัวอย่าง: ศาสนา ประเพณี และแนวคิดทางปรัชญาอาจส่งผ่านกันไปในสังคมผ่านกลไกของ Morphic Resonance
4. ความสัมพันธ์ระหว่าง Morphic Resonance และพุทธปรัชญา
1. กฎแห่งกรรมและ Morphic Resonance
Morphic Resonance อธิบายว่า พฤติกรรมในอดีตส่งผลต่อปัจจุบัน และข้อมูลของพฤติกรรมเหล่านั้นถูกเก็บไว้ในสนามมอร์ฟิก ซึ่งสอดคล้องกับกฎแห่งกรรมของพระพุทธเจ้า
“จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยจิต ถ้าผู้ใดคิดดี พูดดี ทำดี ผลที่ได้รับย่อมเป็นสุข ถ้าผู้ใดคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ผลที่ได้รับย่อมเป็นทุกข์”
(ธรรมบท, มโนปุพพังคมา ธัมมา)
ในมุมมองของ Morphic Resonance
• กรรมดี = พลังงานบวกที่ส่งผ่านไปยังสนามมอร์ฟิก และทำให้จิตของเราสั่นพ้องกับสิ่งดี ๆ
• กรรมชั่ว = พลังงานลบที่สะสมในสนามมอร์ฟิก และทำให้เราดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาในชีวิต
2. การเวียนว่ายตายเกิด (สังสารวัฏ) และ Morphic Field
พุทธศาสนาเชื่อว่าจิตวิญญาณเดินทางต่อไปตามภพชาติ ซึ่งอาจอธิบายได้ว่า จิตไม่ได้อยู่ในร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นส่วนหนึ่งของสนามพลังงานมอร์ฟิก
“จิตนี้เป็นธาตุรู้ มิใช่ตัวตน เป็นเพียงการสืบต่อของพลังงาน เมื่อจิตหลุดพ้นจากขันธ์ทั้งห้าแล้ว ก็หลุดพ้นจากสังสารวัฏ”
(ขุททกนิกาย, อังคุตตรนิกาย)
แนวคิดนี้สอดคล้องกับ Morphic Field ที่กล่าวว่า
• เมื่อเราตาย ข้อมูลของจิตไม่ได้หายไป แต่ยังคงอยู่ในสนามพลังงาน
• จิตอาจกลับมาเกิดใหม่ หรือส่งผลต่อสนามพลังงานของผู้อื่น
สรุป (ครึ่งแรก): Morphic Resonance คืออะไร และทำงานอย่างไร?
1. Morphic Resonance คือการสื่อสารของข้อมูลผ่านสนามพลังงานที่ไม่ได้อาศัยการถ่ายทอดทางกายภาพโดยตรง
2. Morphic Field เป็นสนามพลังที่ควบคุมรูปแบบของสรรพสิ่ง ตั้งแต่โครงสร้างของสิ่งมีชีวิตไปจนถึงจิตสำนึก
3. จิตและพฤติกรรมของมนุษย์อาจได้รับอิทธิพลจาก Morphic Resonance
4. Morphic Resonance อาจอธิบายกฎแห่งกรรม และการเวียนว่ายตายเกิดในพุทธศาสนา
ดังนั้น Morphic Resonance อาจเป็นกลไกที่ทำให้ทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกันผ่านพลังงานที่มองไม่เห็น
🕸️Morphic Resonance ใช้กระบวนการคลื่นควอนตัมหรือไม่?
Morphic Resonance ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แบบดั้งเดิม แต่มันมี ลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับกระบวนการควอนตัม โดยเฉพาะในแง่ของ Quantum Entanglement, Wave Function, และ Non-locality
1. ความคล้ายคลึงระหว่าง Morphic Resonance และ Quantum Mechanics
1.1 Non-locality: การเชื่อมโยงที่ไม่จำกัดระยะทาง
Quantum Mechanics: ในกลศาสตร์ควอนตัมมีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Quantum Entanglement ซึ่งอนุภาคที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันสามารถส่งผลกระทบต่อกันได้ทันที ไม่ว่าจะแยกออกจากกันไกลแค่ไหน
Morphic Resonance: แนวคิดของ Sheldrake อธิบายว่า สิ่งมีชีวิตและระบบทางชีววิทยาสามารถสื่อสารและได้รับอิทธิพลจากกันได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการส่งผ่านข้อมูลทางกายภาพ ซึ่งคล้ายกับ Non-locality ในควอนตัม
ตัวอย่าง:
• ถ้าสัตว์ทดลองชนิดหนึ่งในประเทศหนึ่งเรียนรู้พฤติกรรมใหม่ สัตว์ชนิดเดียวกันในอีกประเทศหนึ่งอาจสามารถเรียนรู้พฤติกรรมเดียวกันได้เร็วขึ้น
• คล้ายกับการที่อนุภาคควอนตัมสองอนุภาคที่อยู่ห่างกันหลายล้านปีแสงสามารถสื่อสารกันแบบ “ทันทีทันใด”
1.2 Wave Function และ Field Theory: สนามพลังงานและรูปแบบคลื่น
Quantum Mechanics: ระบบควอนตัมทั้งหมดอยู่ในรูปของ Wave Function จนกว่าจะถูกสังเกตหรือวัดค่า ซึ่งจะทำให้เกิด Wave Function Collapse และกลายเป็นค่าที่แน่นอน
Morphic Resonance: Sheldrake อธิบายว่า Morphic Field มีลักษณะเป็นสนามพลังงานที่เก็บข้อมูลทางชีววิทยาและจิตสำนึก คล้ายกับสนามควอนตัมที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับอนุภาค
ตัวอย่าง:
• พฤติกรรมของฝูงนกที่บินเป็นฝูงใหญ่โดยที่ไม่มีผู้นำชัดเจน อาจเป็นเพราะ Morphic Field กำหนดการเคลื่อนไหวของพวกมัน คล้ายกับการที่ คลื่นควอนตัม (Quantum Waves) นำทางอนุภาค
1.3 ความเป็นไปได้ของ Quantum Coherence ในสมอง
Quantum Mechanics: แนวคิด Orchestrated Objective Reduction (Orch OR) ของ Roger Penrose และ Stuart Hameroff อธิบายว่า จิตสำนึกอาจเกิดจากการสั่นพ้องควอนตัมใน Microtubules ของเซลล์ประสาท
Morphic Resonance:
• ถ้าจิตสำนึกสามารถรับข้อมูลจาก Morphic Field ได้จริง อาจหมายความว่า Microtubules ในสมองทำงานเป็นตัวกลางที่รับ “สัญญาณควอนตัม” จาก Morphic Field
• สมองอาจเป็น “ตัวรับคลื่น” ที่ปรับจูนความถี่ของมันให้ตรงกับข้อมูลในสนามพลังงานเหมือนกับ การเกิด Quantum Coherence ในระบบชีวภาพ
ตัวอย่าง:
• ถ้าคนรุ่นก่อนมีประสบการณ์บางอย่างมาก่อน คนรุ่นใหม่อาจสามารถเรียนรู้เรื่องเดียวกันได้ง่ายขึ้นผ่าน Morphic Resonance ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่ามันทำงานผ่าน Quantum Coherence ในสมอง
2. Morphic Resonance ต้องใช้กระบวนการคลื่นควอนตัมหรือไม่?
2.1 ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้
จากที่กล่าวมา มี ความเป็นไปได้สูงที่ Morphic Resonance อาจอาศัยกระบวนการคลื่นควอนตัม เพราะ:
• Non-locality: สนามมอร์ฟิกอาจเป็นสนามพลังงานที่ทำงานแบบ Non-local คล้ายกับ Quantum Entanglement
• Wave Function: ข้อมูลในสนามมอร์ฟิกอาจอยู่ในรูปแบบของคลื่นพลังงานที่รอให้จิตสำนึก “สังเกต” หรือ “จูนความถี่” ให้ตรง
• Quantum Coherence: อาจมีบทบาทสำคัญในการที่สมองสามารถเชื่อมโยงกับสนามมอร์ฟิก
2.2 ข้อจำกัดที่ต้องพิจารณา
• ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่แน่ชัดว่า Morphic Field มีสถานะเป็นสนามพลังงานจริงหรือเป็นเพียงแนวคิดสมมุติ
• Quantum Mechanics มีสมการที่แน่นอนในการคำนวณปรากฏการณ์ต่างๆ แต่ Morphic Resonance ยังไม่มีสมการที่สามารถพิสูจน์หรือทดสอบได้โดยตรง
3. สรุป: Morphic Resonance มีความเกี่ยวข้องกับคลื่นควอนตัมหรือไม่?
คำตอบ: อาจเป็นไปได้ ที่ Morphic Resonance ใช้กระบวนการคลื่นควอนตัม แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน
• ถ้า Morphic Resonance มีอยู่จริง มันอาจใช้หลักการของ Quantum Entanglement และ Wave Function ในการส่งข้อมูลข้ามกาลเวลาและสถานที่
• ถ้าจิตสำนึกของมนุษย์เป็นปรากฏการณ์ควอนตัมจริง การที่สมองสามารถรับข้อมูลจากสนามมอร์ฟิกอาจเกิดจาก Quantum Coherence
ความเป็นไปได้ในอนาคต
• การศึกษาด้าน Quantum Biology อาจช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นว่า Morphic Resonance อาจใช้กระบวนการควอนตัมได้อย่างไร
• การทดลองเกี่ยวกับ Quantum Entanglement ในระบบชีวภาพ อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยพิสูจน์ว่า สนามพลังงานมอร์ฟิกมีอยู่จริงหรือไม่
พุทธพจน์ที่เกี่ยวข้อง
“สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา” (สรรพสิ่งทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน)
(พระไตรปิฎก, ขุททกนิกาย, อุทาน)
หมายความว่า สรรพสิ่งในจักรวาลเป็นเพียงพลังงานและรูปแบบที่แปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งคล้ายกับแนวคิด Quantum Mechanics และ Morphic Resonance ที่กล่าวว่า ทุกสิ่งในจักรวาลเชื่อมโยงกันในระดับพลังงาน
ดังนั้น Morphic Resonance อาจเป็นเพียงอีกมุมมองหนึ่งของกฎแห่งกรรมที่เชื่อมโยงกันผ่านกลไกของควอนตัม
#Siamstr #พุทธวจน #ปรัชญาชีวิต #quantum #nostr #ธรรมะ