-

@ maiakee
2025-04-20 05:22:10
https://image.nostr.build/ca5b21ca1a152c6010d93537bce432eb7129665871a78e25159338399ae12ec7.jpg
👑ไขความลับ “Inventing Bitcoin” — เมื่อเทคโนโลยีเป็นคำตอบของความไม่ไว้ใจกับระบบการเงินแบบเดิมๆ
โลกที่เต็มไปด้วยเงินปลอม ๆ และระบบที่ต้องพึ่งพาความไว้ใจบุคคลที่สาม (เช่น ธนาคาร รัฐบาล) กำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนที่สำคัญ Bitcoin ไม่ใช่แค่ “เงินดิจิทัล” แต่มันคือ “การปฏิวัติทางแนวคิด” เกี่ยวกับเงินและความเชื่อใจ หนังสือ Inventing Bitcoin โดย Yan Pritzker พาเราย้อนกลับไปเข้าใจคำถามพื้นฐานว่า “Bitcoin ถูกประดิษฐ์ขึ้นมา ทำไม และ อย่างไร?” ที่จะเปลี่ยนมุมมองของคุณต่อโลกการเงินอย่างสิ้นเชิง
⸻
บทที่ 1: เงินคืออะไร และทำไมเราต้องการ Bitcoin
Yan เริ่มหนังสือด้วยการเขย่าโลกทัศน์ผู้อ่านทันที:
“เงินที่คุณใช้ทุกวัน จริง ๆ แล้วคืออะไรกันแน่?”
หลายคนคิดว่าเงินคือเหรียญกับธนบัตร แต่ Yan แฉตรง ๆ ว่า เงินทุกวันนี้เป็นแค่ตัวเลขในฐานข้อมูล ที่อยู่ในธนาคาร มันไม่ได้มีทองค้ำประกัน ไม่มีอะไรรองรับทั้งนั้น มันคือสิ่งที่รัฐบาล “สั่ง” ให้เรายอมรับว่าใช้ซื้อของได้ เพราะเขาเป็นคนควบคุมระบบเงินทั้งหมด
แล้วเกิดอะไรขึ้น?
เมื่อใดที่ธนาคารกลางต้องการ “ช่วยเศรษฐกิจ” เขาก็แค่ “พิมพ์เงิน” ขึ้นมาเพิ่ม ซึ่งไม่ใช่การพิมพ์กระดาษ แต่คือ กดปุ่มเปลี่ยนตัวเลขในระบบคอมพิวเตอร์ แล้วแจกจ่ายเข้าสู่ระบบผ่านสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ไม่ผ่านคุณ ไม่ผ่านชาวบ้าน
ผลลัพธ์:
• เงินในระบบเยอะขึ้น
• มูลค่าเงินที่คุณถืออยู่ลดลง
• ของแพงขึ้นแบบไม่มีใครต้องรับผิด
Bitcoin จึงเกิดขึ้นมา เพื่อตอบโต้ระบบนี้โดยตรง มันไม่ต้องการให้ใครคนใดคนหนึ่งมีอำนาจสร้างเงินขึ้นมาจากอากาศ เพราะนั่นไม่ต่างจากการขโมยความมั่งคั่งจากคนที่ทำงานทั้งชีวิตแลกเงินมา
⸻
บทที่ 2: ความขาดแคลนแบบดิจิทัล และการกระจายอำนาจ
Yan อธิบายว่าในโลกดิจิทัล “สำเนาทุกอย่างได้ง่าย” ลองคิดดู — ถ้าคุณส่งภาพให้เพื่อนหนึ่งคน คุณก็ยังมีภาพนั้นอยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน
ถ้าเงินดิจิทัลสามารถก๊อปได้เหมือนรูปภาพ มันก็ไม่มีความหมายเลย
ใครจะอยากถือ “เงิน” ที่ทุกคนสร้างขึ้นเองได้?
Bitcoin จึงถูกออกแบบให้มีสิ่งที่เรียกว่า Digital Scarcity — หรือ “ความขาดแคลนแบบดิจิทัล”
มันคือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เรา สามารถสร้างทรัพย์สินดิจิทัลที่ไม่สามารถก๊อปได้ โดยไม่มีใครควบคุมศูนย์กลาง
แล้วเขาทำได้ยังไง?
ด้วยระบบที่เรียกว่า blockchain — มันคือสมุดบัญชีที่เปิดเผยให้ทุกคนเห็น พร้อม ๆ กันทั่วโลก ทุกคนมีสำเนาเหมือนกันหมด ทุกครั้งที่มีธุรกรรมใหม่ มันจะถูกตรวจสอบและบันทึกในบล็อก แล้วกระจายไปทั่วเครือข่าย
ไม่มีใครสามารถโกง ไม่มีใครสามารถแก้ไขข้อมูลเก่าได้ โดยไม่มีใครรู้
และที่สำคัญ: ไม่มีศูนย์กลาง ไม่มีเจ้าของ ไม่มีรัฐบาล
Bitcoin คือ อำนาจทางการเงินแบบใหม่ ที่อยู่ในมือประชาชนทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ต
⸻
บทที่ 3: ปัญหา “ใช้ซ้ำ” ในโลกดิจิทัล และวิธีที่ Bitcoin ปิดเกม
Yan หยิบประเด็นสำคัญที่เคยเป็นจุดอ่อนของ “เงินดิจิทัล” มาตลอด:
“ถ้าไฟล์สามารถก๊อปได้ แล้วจะป้องกันไม่ให้คนใช้เงินเหรียญเดียวซ้ำสองครั้งได้ยังไง?”
ปัญหานี้เรียกว่า Double Spending — สมมติคุณมีบิทคอยน์ 1 เหรียญ แล้วคุณส่งให้ A และส่งให้ B พร้อมกันสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน ระบบจะรู้ได้ยังไงว่าเหรียญไหนของจริง?
ระบบธนาคารแก้ปัญหานี้ด้วยการมี “ตัวกลาง” คือธนาคารหรือ Visa ตรวจสอบให้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้อง “เชื่อใจ” คนกลางเสมอ
Bitcoin ปฏิวัติวิธีคิดนี้โดยใช้ “คณิตศาสตร์แทนความเชื่อใจ”
เขาใช้ระบบที่ชื่อว่า Proof-of-Work ซึ่งทำให้ทุกธุรกรรมต้องผ่านการพิสูจน์ทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนก่อนจะถูกยอมรับและบันทึกลง blockchain
ไม่ใช่ใครอยากจะส่งเหรียญซ้ำก็ส่งได้ มันต้อง “แข่งกันคำนวณ” เพื่อยืนยันธุรกรรม และใครชนะจะได้สิทธิ์บันทึกธุรกรรมใหม่ลงไป และรับ “รางวัล” เป็น bitcoin
นี่ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหา Double Spending — แต่มันคือ การล้มล้างแนวคิดแบบเดิมทั้งระบบ
⸻
บทที่ 4: ทำไม Bitcoin ถึงกระจายอำนาจได้จริง ไม่ใช่แค่คำโฆษณา
หลายคนพูดว่า Bitcoin “กระจายอำนาจ” แต่จริง ๆ มีกี่ระบบที่ทำได้จริง?
ในบทนี้ Yan สอนให้เรารู้จัก “โครงสร้างกระจายอำนาจที่จับต้องได้” ของ Bitcoin ผ่าน 3 กลไกหลัก:
1. Nodes – คือคอมพิวเตอร์ที่ทุกคนติดตั้งได้ฟรี ๆ เพื่อช่วยเก็บสำเนา blockchain และตรวจสอบธุรกรรม ถ้ามีใครโกง ทุก node จะรู้ทันที เพราะข้อมูลไม่ตรงกัน
2. Miners – กลุ่มคนที่ใช้คอมแรง ๆ ขุด block ใหม่ผ่านการแข่งขันคำนวณ Proof-of-Work เพื่อให้ระบบดำเนินไป
3. Consensus Rules – กฎกลางที่ทุกคนในเครือข่ายยอมรับเหมือนกัน และใครฝืนจะถูกเตะออกจากระบบอัตโนมัติ
ผลลัพธ์:
ไม่มีใครสั่งปิด Bitcoin ได้ เพราะไม่มีใครควบคุมมันอยู่
ไม่มีใครแก้ blockchain ได้ เพราะมันจะถูกปฏิเสธจากระบบทันที
Bitcoin ไม่ได้กระจายอำนาจเพราะ “พูดว่าเป็น” แต่มัน สร้างกลไกที่ทำให้รวมอำนาจไม่ได้ตั้งแต่แรก
⸻
บทที่ 5: การขุด และระบบที่ทำให้ Bitcoin ไม่พัง
นี่คือหัวใจของระบบทั้งหมด — Yan อธิบายว่าการ “ขุดบิทคอยน์” (mining) ไม่ใช่แค่ขุดเอาเหรียญออกมาจากอากาศ แต่มันคือการ “ป้องกันระบบจากการโกง”
การขุดหมายถึงการแข่งกันแก้ปริศนาทางคณิตศาสตร์ที่ยากมาก และใครที่แก้ได้ก่อนจะได้ “สิทธิ์” ในการสร้าง block ใหม่
ใน block นั้นจะมี:
• รายชื่อธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น
• hash ที่เชื่อมโยงกับ block ก่อนหน้า
• คำตอบของปริศนา (proof-of-work)
เมื่อ block ถูกสร้างสำเร็จ:
• ข้อมูลจะถูกส่งต่อให้ nodes ทั่วโลกตรวจสอบ
• ถ้าผ่านหมด ทุกคนจะยอมรับ block นี้ลงใน blockchain
• คนขุดจะได้ “รางวัล” เป็น bitcoin ที่ถูกปล่อยออกมาใหม่
นี่คือกลไกที่:
• ป้องกันการแก้ข้อมูลย้อนหลัง
• ทำให้ต้องใช้พลังงานและต้นทุนในการโกงสูงมาก
• สร้างแรงจูงใจให้คนมาร่วมรักษาระบบ แทนที่จะทำลายมัน
Bitcoin คือ “ระบบที่หล่อเลี้ยงตัวเอง” ได้อย่างสมบูรณ์ โดยไม่มีหัว ไม่มีผู้นำ ไม่มีสำนักงานใหญ่ และไม่มีทางที่ใครจะเข้ามากดปุ่มปิดได้
⸻
บทที่ 6: การกระจาย Bitcoin ออกสู่โลก
หลังจากเรารู้ว่า Bitcoin ถูกสร้างได้อย่างไร บทนี้เข้าเรื่องทันทีว่า เหรียญที่ถูกสร้างมันกระจายไปหาใคร? แล้วคนธรรมดาจะได้ยังไง?
Satoshi Nakamoto ไม่แจกเหรียญให้ใครเปล่า ๆ ไม่มี ICO ไม่มีเจ้าสร้างโทเคนแล้วปั่นราคา Satoshi วางระบบที่ทุกคนต้อง “ลงแรงขุด” ถึงจะได้เหรียญ
Block แรก (Genesis Block) ในปี 2009 คือจุดเริ่มต้น — มีรางวัล 50 BTC สำหรับใครที่ “ขุดสำเร็จ”
ขณะนั้นยังไม่มีมูลค่าเงิน แต่ก็ไม่มีใครได้เปรียบ เพราะ ทุกคนเริ่มจากศูนย์พร้อมกัน ใครมีคอม ใครมีความรู้ ใครอยากลองก็ลงแข่งได้เลย
ระบบรางวัลที่ลดลงเรื่อย ๆ (Halving):
• ทุก 210,000 blocks (ประมาณทุก 4 ปี) รางวัลจะลดลงครึ่งหนึ่ง
• เริ่มต้นที่ 50 BTC > เหลือ 25 BTC > 12.5 > 6.25 … จนสุดท้ายจะเป็น 0
สรุป:
1. บิทคอยน์จะถูกขุดหมดในปี 2140 หรือไม่?
• บิทคอยน์มีจำนวนที่จำกัดที่ 21 ล้าน BTC และรางวัลการขุดจะค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งไม่เหลือให้ขุดในปี 2140.
2. Halving คืออะไร?
• Halving คือกระบวนการที่ รางวัล ที่นักขุดได้รับจากการขุดแต่ละบล็อกจะลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 4 ปี หรือทุก ๆ 210,000 บล็อก.
• ตัวอย่าง: เริ่มต้นนักขุดจะได้รับ 50 BTC ต่อบล็อก, แต่หลังการ halving ครั้งแรก รางวัลจะเหลือ 25 BTC ต่อบล็อก และยังลดลงเรื่อย ๆ จนถึง 0 BTC ในปี 2140.
3. Right Shift คืออะไรในทางโค้ด?
• Right shift เป็นการเลื่อนบิตของตัวเลขไปทางขวา ซึ่งทำให้ค่าของตัวเลขลดลงครึ่งหนึ่งในแต่ละครั้งที่ทำการ right shift.
• เช่น หากเริ่มต้นที่ 16 (ในฐานสองคือ 10000), การ right shift 1 ตำแหน่งจะทำให้ค่าลดลงเป็น 8 (ในฐานสองคือ 1000).
• ในกรณีของ Bitcoin halving, การลดรางวัลการขุดครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 4 ปีเหมือนกับการทำ right shift 1 ตำแหน่งทางคณิตศาสตร์.
4. ผลของ Halving ต่อการขุด Bitcoin:
• เมื่อการ halving เกิดขึ้น, จำนวนบิทคอยน์ที่ขุดได้จะลดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ไม่มีบิทคอยน์ใหม่ให้ขุดอีกต่อไปในปี 2140. หลังจากนั้น, นักขุดจะได้รับค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมเป็นหลัก แทนที่จะได้รับรางวัลจากการขุดบิทคอยน์ใหม่.
สรุปง่าย ๆ:
• Halving ทำให้รางวัลจากการขุดลดลงครึ่งหนึ่งทุก ๆ 4 ปี
• ในที่สุด บิทคอยน์ทั้งหมดจะถูกขุดหมดในปี 2140 และหลังจากนั้นนักขุดจะได้รายได้จากค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมแทน
• Right shift คือการเลื่อนบิตในตัวเลขไปทางขวา ทำให้ค่าลดลงครึ่งหนึ่ง เหมือนกับการทำ halving ในการขุดบิทคอยน์.
สุดท้ายจะมีเพียง 21 ล้านเหรียญ เท่านั้น และเมื่อขุดครบแล้ว Bitcoin จะไม่มีการสร้างเหรียญเพิ่มอีกตลอดไป
นี่คือการป้องกันเงินเฟ้อด้วย “โค้ด” ไม่ใช่ด้วย “สัญญาจากรัฐบาล”
⸻
บทที่ 7: ใครเป็นคนควบคุม Bitcoin?
“ถ้าไม่มี CEO ไม่มีรัฐบาล แล้วใครเป็นคนควบคุมระบบนี้?”
Yan ตอบชัด ๆ ว่า ทุกคนควบคุมร่วมกันผ่านกฎทางเทคนิคที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับร่วมกัน
Bitcoin ใช้ระบบที่เรียกว่า “Rules Without Rulers” — มีกฎชัดเจน แต่ไม่มีคนปกครอง
ทุกคนที่เชื่อมต่อกับระบบ ไม่ว่าจะเป็น node หรือ miner จะทำตามกฎเดียวกันหมด ถ้าใครเปลี่ยนกฎ จะถูกระบบปฏิเสธอัตโนมัติ
Nodes — คือเครือข่ายสมองกลที่คอยตรวจสอบทุกธุรกรรม
Miners — คอยแข่งกันขุด block ใหม่
Users — คนธรรมดาอย่างเรา ๆ ก็เป็นเจ้าของ Bitcoin โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร
อำนาจไม่ได้อยู่ที่ศูนย์กลาง แต่อยู่ที่ “เครือข่ายร่วมมือ” ของคนทั่วโลก
ทุกฝ่ายคานอำนาจกัน ไม่มีใครควบคุมใครได้คนเดียว
Bitcoin จึงไม่ใช่แค่เงินใหม่ แต่มันคือ โครงสร้างอำนาจรูปแบบใหม่ที่ไม่มีผู้นำ
⸻
บทที่ 8: Bitcoin ใช้ทำอะไรได้จริง?
บทนี้ Yan พาผู้อ่านหลุดออกจากโลกเทคนิค แล้วถามคำถามตรง ๆ:
“แล้วจะมีเหรียญแบบนี้ไปเพื่ออะไร?”
เขายกตัวอย่างว่า Bitcoin เป็นทางออกของประเทศที่มีเงินเฟ้อรุนแรง เช่น เวเนซุเอลา, ซิมบับเว หรือแม้แต่ตอนวิกฤตการเงินในไซปรัส
ผู้คนในประเทศเหล่านี้ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งแล้วพบว่า เงินออมทั้งชีวิตหายไปครึ่งหนึ่งเพราะธนาคารปิดบัญชีหรือรัฐบาลพิมพ์เงินจนหมดค่า
Bitcoin เป็นหนทางเดียวที่ คุณถือเงินไว้กับตัวเองได้โดยไม่ต้องไว้ใจใคร
• ไม่มีใครปิดบัญชีคุณได้
• ไม่มีใครอายัดทรัพย์สินคุณได้
• ไม่มีใครแฮกบัญชีคุณได้ ถ้าคุณเก็บคีย์ไว้อย่างถูกต้อง
มันไม่ใช่เรื่องของ “ราคาขึ้น” แต่มันคือ สิทธิ์ในการควบคุมทรัพย์สินของตัวเองอย่างแท้จริง
⸻
บทที่ 9: ทำไมต้องใช้พลังงานในการขุด?
นี่คือบทที่หลายคนเข้าใจผิดที่สุด และ Yan เข้ามาแก้เกมแบบเฉียบ:
“Bitcoin ใช้ไฟเยอะไปมั้ย?”
คำตอบ: ใช่ — แต่มันไม่สูญเปล่า
การใช้พลังงานเพื่อขุด Bitcoin = การใช้พลังงานเพื่อรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย
มันเหมือนกับ “กำแพงป้องกัน” ที่สูงจนไม่มีใครปีนเข้าไปเปลี่ยนประวัติธุรกรรมได้
หากไม่มี Proof-of-Work ที่ใช้พลังงานสูง ระบบก็จะถูกแฮกง่าย แก้ข้อมูลย้อนหลังได้ และ กลายเป็นระบบปลอมไร้ความน่าเชื่อถือทันที
ยิ่งมีพลังขุดมาก = ยิ่งปลอดภัย
และที่สำคัญ: คนที่ขุด ต้องจ่ายค่าไฟเองล่วงหน้า ไม่มีใครได้เปรียบฟรี ๆ
ถ้าจะโกง ก็ต้องเสียเงินก่อน
ถ้าโกงไม่สำเร็จ = ขาดทุน
ถ้าขุดถูกต้องตามระบบ = ได้รางวัล
แรงจูงใจมันตรงและเป็นธรรมชัดเจน
⸻
บทที่ 10: การป้องกันการเปลี่ยนแปลงกฎกลางทาง
Bitcoin ไม่ใช่ระบบที่ใครอยากเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ — Yan อธิบายว่า
“ถ้าจะเปลี่ยนกฎ ต้องได้รับความยินยอมจากคนส่วนใหญ่ในระบบ”
นี่ต่างจากระบบเดิมที่เจ้าหน้าที่นโยบายการเงินประชุมกันแล้วก็ตัดสินใจ “พิมพ์เงิน” โดยไม่ถามประชาชน
ใน Bitcoin ถ้าคุณอยากเปลี่ยนกฎ เช่น เพิ่มจำนวนเหรียญจาก 21 ล้านเป็น 30 ล้าน คุณต้องทำให้เครือข่ายทั้งหมดเห็นด้วย — ถ้าไม่? ระบบจะไม่ยอมรับ
สิ่งนี้เรียกว่า “Consensus by Choice”
คุณเลือกเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ที่จะรัน
ถ้าคุณเลือกเวอร์ชันที่ไม่มีใครยอมรับ — คุณจะอยู่นอกเครือข่ายทันที
Bitcoin จึงไม่สามารถถูกแทรกแซงหรือเปลี่ยนทิศทางตามใจคนใดคนหนึ่งได้
อำนาจในการปกป้องกฎ อยู่ในมือผู้ใช้ทุกคน
⸻
บทที่ 11: ปัญหาความเร็ว — Bitcoin มันช้าไปหรือเปล่า?
Yan เปิดหัวแรง ๆ เลยว่า Bitcoin ไม่ได้ออกแบบมาให้เร็วแบบ Visa หรือ Mastercard
เพราะอะไร? เพราะความช้า = ความปลอดภัย
• Bitcoin จำกัด block ให้มีขนาดแค่ ประมาณ 1MB
• และเวลาสร้าง block ใหม่ = ทุก ๆ 10 นาที
ทำให้ใน 1 วินาที Bitcoin ทำธุรกรรมได้เพียงไม่กี่รายการเท่านั้น
Visa ทำได้เป็นพันครั้งต่อวินาที
ดูเหมือนอืดใช่มั้ย? แต่จริง ๆ คือมันตั้งใจให้เป็นแบบนั้น
ทำไมต้องจำกัด?
• เพื่อป้องกันไม่ให้ใครสามารถรัน node ได้แค่คนรวย
• เพื่อให้ทุกคนสามารถตรวจสอบธุรกรรมได้ด้วยเครื่องธรรมดา
Bitcoin ไม่ได้ออกแบบมาเป็นระบบจ่ายกาแฟหน้าปากซอย
แต่มันคือ Layer แรกของระบบการเงินใหม่ — ที่ปลอดภัยและเปลี่ยนแปลงไม่ได้
เร็ว = เสี่ยง
ช้า = มั่นคง
Bitcoin เลือกมั่นคงไว้ก่อน
⸻
บทที่ 12: Layer 2 — ทำให้ Bitcoin ใช้ได้เหมือนเงินสด
แล้วถ้าจะให้ Bitcoin ใช้ในชีวิตประจำวันได้ล่ะ?
คำตอบ: ต้องสร้างระบบบน Layer 2 ที่เร็วกว่า
Yan อธิบายถึง Lightning Network ซึ่งเป็น Layer 2 ที่รันอยู่บน Bitcoin
มันคือระบบช่องทางการชำระเงิน (payment channels) ที่ไม่ต้องไปบันทึกทุกธุรกรรมลงบน blockchain ทันที
วิธีทำงานของ Lightning:
1. สองคนเปิด “ช่องทาง” ด้วยการล็อกบิทคอยน์ไว้ใน smart contract บน chain
2. แล้วพวกเขาก็ทำธุรกรรมกันได้ไม่จำกัด — “นอกระบบ”
3. สุดท้ายค่อยปิดช่องทาง แล้วบันทึกยอดสุดท้ายกลับเข้า blockchain
ประโยชน์:
• โอนเร็วทันทีแบบไม่ต้องรอ
• ค่าธรรมเนียมต่ำ
• ไม่รก blockchain หลัก
Lightning ทำให้ Bitcoin กลายเป็นเงินสดดิจิทัลที่ใช้งานจริงได้ในชีวิตประจำวัน
โดยที่ยังคงรักษาความปลอดภัยระดับ Bitcoin ดั้งเดิมไว้ทุกอย่าง
⸻
บทที่ 13: Bitcoin เปลี่ยนความคิดเรื่อง “เงิน” อย่างไร
Yan เริ่มเปิดเกมใหญ่:
“Bitcoin ไม่ได้เปลี่ยนแค่เทคโนโลยี — มันเปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งโลกเกี่ยวกับ ‘เงิน’”
ระบบเดิม:
• เงิน = สิ่งที่รัฐบาลบอกว่ามีค่า
• ธนาคาร = คนที่ควบคุมบัญชีของคุณ
• อัตราเงินเฟ้อ = ภาษีที่คุณไม่รู้ตัวว่าโดนเก็บทุกวัน
ระบบใหม่:
• เงิน = สิ่งที่โปรแกรมไว้ตายตัว ไม่พิมพ์เพิ่ม
• คุณ = ผู้ถือกุญแจ คุณคือธนาคารของตัวเอง
• ไม่มีเงินเฟ้อ ไม่มีการลดค่าเงิน ไม่มีการช่วยเหลือแบงก์ล้มละลายด้วยภาษีคุณ
Bitcoin คือการปฏิวัติจิตสำนึกของคนทั้งโลก
มันทำให้คุณเริ่มถามคำถาม:
• ทำไมฉันต้องเชื่อถือธนาคาร?
• ทำไมเงินฉันถึงหายค่าทุกปี?
• ทำไมฉันถึงไม่มีอำนาจในการถือเงินของตัวเอง?
⸻
บทที่ 14: Bitcoin กับอำนาจอธิปไตย
เมื่อคุณเข้าใจ Bitcoin คุณจะเริ่มรู้ว่า มันไม่ใช่แค่เรื่อง “เทคโนโลยี” แต่มันคือ “อำนาจ”
Yan ย้ำจุดนี้ด้วยหมัดหนัก:
“Bitcoin ไม่สนว่าคุณอยู่ประเทศไหน เป็นใคร รัฐบาลของคุณถูกหรือผิด”
มันให้คุณสามารถ
• โอนเงินข้ามประเทศได้ในไม่กี่วินาที
• รักษาเงินไว้ได้โดยไม่พึ่งธนาคาร
• เลือกใช้เงินแบบไม่ต้องขออนุญาตจากใครทั้งสิ้น
และเพราะมัน ไม่มีศูนย์กลางควบคุม
รัฐบาลเผด็จการ หรือ ระบบธนาคารผูกขาด ไม่สามารถควบคุมมันได้
Bitcoin = เครื่องมืออิสรภาพระดับโลก
มันเป็นเทคโนโลยีที่ไม่ได้แค่ “รันอยู่” — แต่มัน “ต่อต้านการควบคุมโดยอำนาจรัฐ” ได้จริง
⸻
บทที่ 15: แล้วคนทั่วไปควรเริ่มยังไง?
Yan ปิดท้ายครึ่งหลังของหนังสือด้วยการชี้ทางชัด ๆ:
“คุณไม่ต้องเข้าใจทุกอย่าง 100% เพื่อเริ่มใช้ Bitcoin — คุณแค่ต้องเริ่มเรียนรู้”
แนวทางเริ่มต้น:
• เปิดกระเป๋า (wallet) ที่คุณถือ private key เอง
• โอนเงินเข้ากระเป๋าเล็กน้อย
• ลองรับ–ส่งเอง
• ศึกษาเรื่องการเก็บรักษา (cold wallet vs hot wallet)
Bitcoin เป็นเหมือนการกลับมาเรียนรู้ว่า ‘เงินคืออะไร’ อีกครั้ง
และครั้งนี้ — คุณจะไม่ฝากชีวิตไว้กับใครอีกแล้ว
⸻
บทที่ 16: ระบบการเงินเก่าพังจากข้างใน
Yan ไม่อ้อม — เขาตรงเข้าจู่โจมว่า
“ระบบเงินที่คุณใช้อยู่ตอนนี้คือมายาคติล้วน ๆ”
ลองดูปัญหา:
• รัฐบาลสามารถสร้างเงินจากอากาศได้ (ผ่านการพิมพ์เงิน – QE)
• ธนาคารปล่อยกู้มากกว่าที่มีเงินสำรองจริง ๆ (Fractional Reserve)
• เงินคุณในธนาคารไม่ใช่ของคุณ แต่เป็น ‘หนี้’ ที่แบงก์ติดคุณอยู่
และที่หนักที่สุด:
• เวลาเกิดวิกฤติ รัฐบาลใช้ภาษีของประชาชนช่วยพยุงระบบที่ล้มเอง
พังจากข้างใน = เพราะไม่มีอะไร “บังคับให้หยุดโกง”
ระบบเดิม = รอวันล่ม โดยไม่มี “กลไกตรวจสอบถาวร” จากประชาชน
Bitcoin มองเห็นช่องว่างนี้ และบอกว่า
“ถ้าเราสร้างระบบที่ไม่มีใครสามารถโกงได้ล่ะ?”
⸻
บทที่ 17: Bitcoin คือการล้มล้าง ‘ธนาคารกลาง’ อย่างเป็นระบบ
Yan แฉให้เห็นว่า ธนาคารกลาง (Central Banks) คือจุดศูนย์รวมอำนาจที่อันตรายที่สุดในระบบเศรษฐกิจโลก
• เขากำหนดอัตราดอกเบี้ย
• ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ (หรือทำให้มันพุ่งก็ได้)
• เปลี่ยนนโยบายได้ตลอดเวลา โดยประชาชนไม่มีสิทธิโต้แย้ง
นี่คืออำนาจที่ใหญ่เกินรัฐประชาธิปไตยด้วยซ้ำ
Bitcoin จึงไม่ได้แค่มา “เพิ่มทางเลือก” แต่มาเพื่อล้มโครงสร้างอำนาจนี้โดยตรง
เพราะ Bitcoin:
• ไม่มีคนควบคุม
• ไม่มีใครปรับอัตราเงินได้
• ไม่มี “แบงก์ชาติ” หรือ “กองทุนกลาง”
มันคือ ระบบที่ปฏิเสธการควบคุมทั้งหมดโดยดีไซน์
⸻
บทที่ 18: โปร่งใสทุกการเคลื่อนไหว — ไม่เหมือนระบบธนาคาร
Yan เปรียบชัด ๆ ว่าในโลกเดิม
• คุณไม่รู้ว่าเงินคุณในธนาคารไปอยู่ไหน
• คุณไม่รู้ว่าธนาคารปล่อยกู้กับใครบ้าง
• คุณไม่รู้ว่าเงินสำรองมีจริงเท่าไหร่
ใน Bitcoin:
• ทุกธุรกรรมตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์
• ไม่มีบัญชีลับ ไม่มีออฟชอร์ ไม่มีบัญชีซุก
• ไม่มีอภินิหารบัญชีที่ทำให้เงินหายข้ามคืน
ระบบนี้เปิดให้ทั้งโลกเห็นหมด — ไม่มีห้องประชุมลับ ไม่มีล็อบบี้แบงก์
ความโปร่งใสไม่ใช่แค่ฟีเจอร์ — มันเป็นรากฐานของ Bitcoin
⸻
บทที่ 19: คุณไม่ต้อง “เชื่อใจ” — เพราะระบบมันบังคับให้ทุกคนทำตามกฎ
นี่คือหัวใจของ Bitcoin และเป็นประโยคที่เด็ดที่สุดของหนังสือ:
“Don’t trust. Verify.”
อย่าเชื่อใคร — ให้ตรวจสอบเอง
ระบบเดิมต้องใช้ “ความไว้ใจ”:
• เชื่อแบงก์ว่าจะไม่โกง
• เชื่อรัฐจะไม่พิมพ์เงินเกิน
• เชื่อเจ้าหน้าที่ไม่ฉ้อโกง
แต่ใน Bitcoin:
• ทุกคนดู Source Code ได้
• ทุกคนรัน node ตรวจสอบได้
• ทุกคนดูได้ว่าใครส่งเหรียญให้ใคร ไม่ต้องขออนุญาต
นี่คือระบบที่สร้างจาก Zero Trust Architecture จริงจังที่สุดที่โลกเคยมีมา
ไม่ต้องขอ “ความเชื่อใจ” จากใคร — เพราะมันพิสูจน์ได้หมดด้วยคณิตศาสตร์
⸻
บทที่ 20: Bitcoin คือการกู้คืนเสรีภาพระดับโลก
บทนี้ Yan เทให้หมดใจ — เขาบอกว่า Bitcoin ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี ไม่ใช่แค่เงินใหม่ แต่มันคือ “การเคลื่อนไหวทางจิตวิญญาณ” แห่งอิสรภาพ
มันคือ:
• การทวงคืนสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน
• การทวงคืนอำนาจจากรัฐบาลที่ทำลายเงินเรา
• การต่อต้านการควบคุมประชาชนด้วยเงินเฟ้อและหนี้
Bitcoin คือเงินที่คุณถือได้จริง โอนให้ใครก็ได้ทั่วโลก และเก็บรักษาได้เอง โดยไม่มีใครยึดไปจากคุณได้
มันคืออาวุธสงบที่ปฏิวัติระบบโดยไม่ต้องยิงปืนแม้แต่นัดเดียว
⸻
บทที่ 21: Bitcoin ไม่ใช่แค่ “อนาคต” แต่มันคือ “ตอนนี้”
Yan เปิดหัวแรงแบบไม่มีแผ่ว:
“คนส่วนใหญ่คิดว่า Bitcoin ยังเป็นของคน geek, nerd หรือเล่นเก็งกำไรเท่านั้น แต่ความจริงคือ — โลกกำลังเปลี่ยนโดยที่คุณไม่รู้ตัว”
Bitcoin:
• ถูกใช้จริงในประเทศที่เศรษฐกิจล่ม เช่น เวเนซุเอลา, ลิเบีย, อาร์เจนตินา
• ถูกถือโดยบริษัทระดับโลก (เช่น MicroStrategy, Tesla)
• กลายเป็นสินทรัพย์สำรองของรัฐเล็ก ๆ แล้ว (เช่น เอลซัลวาดอร์)
และตอนนี้ระบบดั้งเดิมกำลัง:
• พิมพ์เงินเหมือนไม่มีพรุ่งนี้
• เสี่ยงฟองสบู่ทุกสินทรัพย์
• ทำให้คนหนุ่มสาวไม่สามารถมีบ้านได้อีกต่อไป
Bitcoin คือแสงเดียวที่ยัง “ซื่อสัตย์” ในระบบที่โกงคุณทุกวันโดยที่คุณไม่รู้ตัว
Yan ตะโกนชัด:
“คุณไม่ต้องรอให้โลกพร้อม — เพราะมันพร้อมแล้ว
สิ่งที่ต้องเปลี่ยน คือ ‘ความคิดของคุณเอง’”
⸻
บทที่ 22: จงเริ่มตอนนี้ — หรือจะตื่นอีกทีตอนมันสายไปแล้ว
บทสุดท้าย Yan ทิ้งไว้ด้วยพลังมหาศาลแบบกระแทกหน้า:
“สิ่งที่ Bitcoin ต้องการจากคุณ ไม่ใช่ศรัทธา — แต่คือ ‘ความเข้าใจ’”
เขาย้ำว่า ไม่มีใครมาช่วยคุณในระบบนี้ได้
เพราะใน Bitcoin:
• ไม่มีฝ่ายบริการลูกค้า
• ไม่มี “รีเซ็ตพาสเวิร์ด” ถ้าคุณทำ seed phrase หาย
• ไม่มีใครมาอุ้มถ้าคุณทำผิดพลาด
อิสรภาพมาก = ความรับผิดชอบมาก
และนั่นแหละคือสิ่งที่ระบบเดิมพยายามพรากไปจากคุณมาตลอด — การคิดเอง ตัดสินใจเอง เก็บทรัพย์สินเอง
⸻
Yan ฝากไว้ 3 สิ่งที่คุณควรเริ่มทำตอนนี้เลย:
1. ศึกษาเอง อย่าฟังแค่ข่าวหรือเพื่อน
เพราะ 90% ของข่าวที่คุณได้ยินเรื่อง Bitcoin = เข้าใจผิด
2. เริ่มเล็ก ๆ ทดลองเอง
ไม่ต้อง all-in แต่ควรลองโหลด wallet, ส่ง–รับ BTC จริง
เพราะคุณจะเข้าใจทุกอย่างเมื่อได้ “ลงมือ”
3. คิดแบบใหม่ — ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไรถ้าคุณไม่ต้องไว้ใจใครเลยอีกต่อไป
⸻
บทสรุปสุดท้ายแบบจัดหนัก: Bitcoin คืออะไรในสายตา Yan Pritzker?
• มันไม่ใช่เหรียญสำหรับซื้อกาแฟ
• มันไม่ใช่ของเก็งกำไร
• มันคือระบบการเงินใหม่ที่ปลอดการโกง 100%
• มันคืออิสรภาพในการถือครองทรัพย์สินโดยไม่มีใครแทรกแซงได้
• มันคือการประกาศอิสรภาพทางเศรษฐกิจของประชาชนทั่วโลก
และเขาสรุปไว้ตรง ๆ:
“คุณอาจจะยังไม่สน Bitcoin
…แต่ Bitcoin สนใจคุณแน่นอน
เพราะมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโลกที่คุณกำลังจะตกอยู่ในความไม่แน่นอนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ”
⸻
ภาคเสริม: เจาะกลไก Bitcoin แบบลึกสุดใจ
หัวข้อที่ 1: Seed Phrase คืออะไร และสำคัญขนาดไหน?
Seed Phrase = ชุดคำ 12 หรือ 24 คำ ที่เป็น “กุญแจหลัก” สำหรับเข้าถึง Bitcoin ทั้งหมดในกระเป๋าของคุณ
ถ้าคุณมี Seed Phrase = คุณคือเจ้าของ Bitcoin จริง
ถ้าคุณไม่มี = ต่อให้ใครบอกว่าเป็นเงินคุณ ก็ไม่มีใครกู้กลับมาให้ได้
มันทำงานยังไง?
• กระเป๋า Bitcoin จะสร้าง Seed Phrase มาให้คุณตอนเปิดใช้ครั้งแรก
• คำเหล่านี้เป็นการ “เข้ารหัส” กุญแจส่วนตัว (private key) ของคุณ
• คุณสามารถใช้มันเพื่อกู้คืนกระเป๋าได้ทุกที่ทุกเวลา — แม้เปลี่ยนเครื่อง, ลบแอป, หรือมือถือหาย
สำคัญแค่ไหน?
• ถ้าหาย = จบ
• ถ้าถูกขโมย = เงินคุณก็ถูกขโมยไปด้วย
• ถ้าแชร์ให้ใคร = เค้าสามารถโอนเงินคุณออกได้หมด
สรุป:
• ระบบธนาคารใช้ “ชื่อ + รหัสผ่าน” = เขาเป็นเจ้าของจริง
• Bitcoin ใช้ “Seed Phrase” = คุณเป็นเจ้าของ 100%
⸻
หัวข้อที่ 2: Custody — เก็บ Bitcoin แบบไหนดี?
หลังจากมี Bitcoin คำถามถัดมาคือ: ควรเก็บไว้ที่ไหน?
1. Custodial Wallet = ฝากไว้กับคนอื่น เช่น exchange
• ง่าย สะดวก
• แต่ไม่ปลอดภัย — ถ้า exchange ล่ม, โดนแฮ็ก, หรือปิดหนี = เงินหายหมด
• คุณไม่ได้ถือ key จริง — แปลว่าไม่ใช่เงินคุณ
2. Non-custodial Wallet = กระเป๋าที่คุณถือ key เอง
• เช่น BlueWallet, Phoenix, Muun
• คุณถือ Seed Phrase เอง = คุณคือเจ้าของจริง
• ต้องเรียนรู้เรื่องการ Backup, ความปลอดภัย
3. Hardware Wallet = เครื่องเก็บกุญแจแบบ offline
• เช่น Trezor, Ledger
• เหมาะกับการเก็บระยะยาว
• ปลอดภัยจากมัลแวร์หรือคนแฮ็กจากมือถือ/คอม
คำจำง่าย:
“Not your keys, not your coins.”
⸻
หัวข้อที่ 3: ทำไม Supply ของ Bitcoin จำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญ?
นี่คือรากฐานของความศักดิ์สิทธิ์ของ Bitcoin
จำนวน Bitcoin ทั้งหมดจะไม่มีวันเกิน 21 ล้านเหรียญ — ตลอดไป
มันมีไว้เพื่อ:
• ต่อต้านเงินเฟ้อ
• สร้างความขาดแคลน (scarcity) แบบทองคำ
• ให้แน่ใจว่าไม่มีใคร “พิมพ์เพิ่ม” แล้วลดค่าของคุณได้อีกต่อไป
ระบบถูกฝังลงใน code ตั้งแต่ต้น:
• ทุก ๆ 210,000 blocks (ประมาณ 4 ปี) จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า Halving
• รางวัลที่คนขุดได้จะ “ลดครึ่ง”
• จาก 50 BTC → 25 → 12.5 → 6.25 → ปัจจุบัน 3.125 BTC ต่อ block (หลัง halving เม.ย. 2024)
เมื่อขุดครบ 21 ล้าน:
• จะไม่มี Bitcoin ใหม่เกิดขึ้นอีก
• ผู้ขุดจะได้ค่าธรรมเนียมเท่านั้น
ผลลัพธ์:
Bitcoin คือเงินเดียวในโลกที่ “ไม่มีวันเฟ้อ”
และจะยิ่ง “หายากขึ้นเรื่อย ๆ” ตลอดไป
⸻
หัวข้อที่ 4: Proof of Work — หัวใจของ Bitcoin ที่ทำให้โกงไม่ได้
Proof of Work (PoW) คือกลไกที่ทำให้ Bitcoin “กันโกงได้ 100%” โดยไม่ต้องมีคนกลางหรือศาลตัดสิน
กลไกนี้ทำให้ทุกบล็อกใหม่ใน Bitcoin ต้องผ่านการ “แข่งขันทางคณิตศาสตร์”
ซึ่งใช้พลังคอมพิวเตอร์มหาศาลในการแก้โจทย์
มันทำงานยังไง?
1. นักขุด (miners) จากทั่วโลก แข่งกันหาค่าเฉพาะ (nonce) ที่จะทำให้ block hash มีค่า “ต่ำกว่าค่าที่ระบบกำหนด”
2. ใครหาค่าได้ก่อน = ได้สิทธิ์ “เพิ่มบล็อกใหม่” เข้าสู่ blockchain
3. คนที่ชนะ จะได้รางวัลเป็น Bitcoin + ค่าธรรมเนียม
ทำไมมันกันโกงได้?
• ถ้าใครอยากโกง เช่น “เปลี่ยนธุรกรรมย้อนหลัง”
ต้อง “แก้ block hash” ทั้งหมดตั้งแต่บล็อกนั้นถึงปัจจุบันให้สำเร็จ
ซึ่งต้องใช้พลังงานระดับประเทศ — และมีโอกาสล้มเหลวตลอดเวลา
สรุปแบบเดือด ๆ:
Proof of Work = ระบบที่ “ใช้ไฟแลกความจริง”
ทำให้ ข้อมูลใน blockchain เปลี่ยนไม่ได้ และไม่มีใครลบอดีตได้
⸻
หัวข้อที่ 5: Blockchain — หนังสือบัญชีที่ไม่มีวันถูกเผา
Blockchain = ฐานข้อมูลที่ทุกคนมีสำเนา และไม่มีใครสามารถแก้ไขได้ย้อนหลัง
ทุก block คือหนึ่งหน้าบัญชี
ทุกธุรกรรมคือหนึ่งบรรทัดในหน้านั้น
ใครจะแก้ = ต้องแก้ทุกหน้าที่ผ่านมาและให้ทุกคนยอมรับ
โครงสร้างพื้นฐาน:
• ทุก block เชื่อมโยงกับ block ก่อนหน้าแบบเข้ารหัส (cryptographic hash)
• ถ้ามีใครแก้ block เดิม = hash จะเปลี่ยน → chain จะ “พัง”
• ทุก node บนเครือข่ายจะตรวจสอบกันเอง → ไม่มี block ปลอมหลุดผ่านได้
ทำไม Blockchain สำคัญ?
• ไม่มีเซิร์ฟเวอร์กลางที่สามารถลบหรือ “ล่ม” ได้
• ไม่มีใครควบคุมการเขียนข้อมูล
• ทุกการเปลี่ยนแปลงต้องได้รับ “เสียงข้างมาก” จาก node ทั่วโลก
Blockchain ของ Bitcoin มีคุณสมบัติ:
• Decentralized (ไร้ศูนย์กลาง)
• Immutable (เปลี่ยนแปลงไม่ได้)
• Transparent (โปร่งใส 100%)
• Censorship-resistant (ไม่สามารถปิดกั้นได้)
⸻
หัวข้อที่ 6: Lightning Network — ทางด่วน Bitcoin สำหรับโลกจริง
Bitcoin ดั้งเดิมช้า (7 ธุรกรรม/วินาที)
ค่าธรรมเนียมแพงเมื่อมีคนใช้งานเยอะ
Lightning Network คือ Layer 2 ที่ทำให้ Bitcoin “เร็วขึ้นแบบสายฟ้า” และ “ค่าธรรมเนียมต่ำมาก”
มันทำงานยังไง?
• เปิดช่องการโอน (payment channel) ระหว่าง 2 คน โดยล็อก Bitcoin จำนวนหนึ่งไว้
• ทั้งคู่สามารถโอนกันไป–มาได้ “นอก blockchain” แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง
• เมื่อปิดช่อง → สรุปยอดเข้า blockchain ทีเดียว
ผลลัพธ์:
• ความเร็ว = ทันที (milliseconds)
• ค่าธรรมเนียม = ต่ำกว่า $0.01
• ใช้ได้จริงในร้านค้า, แอป, เว็บไซต์, เกม และการส่งเงินข้ามประเทศ
แอปที่ใช้ Lightning ได้ทันที:
• Wallet of Satoshi
• Phoenix
• Muun
• Blink
• Breez
Lightning = ระบบโอนเงินทั่วโลกในพริบตา
แบบที่รัฐบาล, ธนาคาร, หรือ PayPal ก็ “ตามไม่ทัน”
⸻
หัวข้อที่ 7: ความต้านทานต่อการเซ็นเซอร์ (Censorship Resistance)
นี่คือคุณสมบัติที่ทำให้ Bitcoin เป็นอาวุธเสรีภาพโดยสมบูรณ์
คุณสามารถส่ง Bitcoin ให้ใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ บนโลกนี้ —
โดยไม่มีใครหยุดคุณได้
มันเป็นไปได้ยังไง?
• ไม่มีตัวกลางให้รัฐบาลมาบล็อกได้
• ไม่มีบัญชีให้ปิด
• ไม่มีเซิร์ฟเวอร์ให้โจมตี
• ทุก node และ miner กระจายทั่วโลก
ยิ่งมีคนพยายามแบน Bitcoin = มันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
เพราะ:
• ผู้ใช้งานหนีไปใช้ VPN, Tor
• นักพัฒนาออกแอปแบบกระจายศูนย์
• เครือข่ายปรับตัวแบบไม่หยุด
เคยมีประเทศที่แบน Bitcoin แล้วล้มเหลว เช่น:
• ไนจีเรีย
• อินเดีย
• จีน (หลายรอบมาก)
สรุป:
Bitcoin = เงินที่ “ไม่มีใครหยุดคุณจากการใช้มันได้”
และนั่นคือคำจำกัดความของ “อิสรภาพ” ที่แท้จริง
⸻
หัวข้อที่ 8: Social Engineering และการรักษาความปลอดภัยของ Bitcoin
แม้ Bitcoin จะมีความปลอดภัยในแง่ของ blockchain และ cryptography แต่มีส่วนหนึ่งที่คนมักพลาด — นั่นคือ “มนุษย์”
Social Engineering คือ กลยุทธ์ที่หลอกลวงให้คนเปิดเผยข้อมูลสำคัญ เช่น Seed Phrase หรือ Private Key ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการเข้าถึง Bitcoin
วิธีป้องกัน:
1. ไม่แชร์ข้อมูล Seed Phrase หรือ Private Key กับใคร
ห้ามแม้แต่เพื่อนสนิทหรือคนในครอบครัว!
2. ไม่ตอบข้อความหรืออีเมลที่ขอข้อมูลสำคัญ
ใช้การตรวจสอบหลายขั้นตอน (2FA) เพื่อเพิ่มชั้นป้องกัน
3. ใช้กระเป๋าเงินที่รองรับหลายลายเซ็น (Multisig)
คีย์หลายตัวจะเพิ่มความยากในการโจมตี
คำแนะนำสุดท้าย:
• อย่าเชื่อคำพูดที่ดูดีเกินไปจากคนแปลกหน้า
• เชื่อในตัวเองมากกว่าคำสัญญาจากคนอื่น!
Bitcoin ต้องการความรับผิดชอบ คุณต้องรักษาความปลอดภัยด้วยตัวเอง!
⸻
หัวข้อที่ 9: Bitcoin กับ Central Bank Digital Currencies (CBDC)
เมื่อรัฐเริ่มหันมาสนใจ Central Bank Digital Currencies (CBDCs) การแข่งขันระหว่าง Bitcoin และ CBDC จึงเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามอง
ความแตกต่างหลัก ๆ:
• CBDC จะถูกควบคุมและออกโดยรัฐบาลและธนาคารกลาง
• Bitcoin เป็นเงินที่ไม่ได้ควบคุมโดยใคร และไม่สามารถพิมพ์เพิ่มได้
จุดเด่นของ Bitcoin ที่ CBDC ทำไม่ได้:
1. ความเป็นอิสระ: คุณไม่ต้องพึ่งพารัฐบาลในการควบคุมทรัพย์สิน
2. ความต้านทานต่อการเซ็นเซอร์: รัฐบาลไม่สามารถปิดกั้นการโอนหรือปิดบัญชีได้
3. การกระจายศูนย์: ไม่มีอำนาจส่วนกลางที่จะเข้ามาควบคุมหรือแก้ไขข้อมูล
ข้อเสียของ CBDC:
• สามารถถูกควบคุมโดยรัฐและตรวจสอบการใช้จ่ายได้
• หากการใช้ CBDC กลายเป็นปกติ, รัฐสามารถปิดการใช้เงินของคุณหากไม่พอใจ
สรุปง่าย ๆ:
• Bitcoin เป็น การเงินของอิสรภาพ
• CBDC เป็น การเงินที่มีการควบคุมจากรัฐ
⸻
หัวข้อที่ 10: Bitcoin ในอนาคต — 2025–2030
การทำนายอนาคตของ Bitcoin ไม่ง่าย แต่มีหลายปัจจัยที่บ่งชี้ทิศทางในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
แนวโน้มที่ต้องจับตา:
1. การเพิ่มขึ้นของ Adoption: ผู้คนทั่วโลกจะเริ่มใช้ Bitcoin ในการซื้อของทั่วไปมากขึ้น
2. การบรรลุมูลค่าทางการเงินที่สูงขึ้น: Bitcoin อาจกลายเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
3. การพัฒนาของ Lightning Network: จะทำให้การชำระเงินด้วย Bitcoin เร็วขึ้นและถูกลง
4. การยอมรับจากประเทศใหญ่ ๆ: อาจมีประเทศต่าง ๆ ที่เริ่มรับรอง Bitcoin ในฐานะเงินอย่างเป็นทางการ
สิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น:
• Halving ในปี 2028 จะทำให้รางวัลจากการขุดลดลงและเพิ่มความหายากของ Bitcoin
• การพัฒนา Layer 2 เช่น Liquid Network และ Lightning Network จะช่วยให้การทำธุรกรรม Bitcoin เป็นเรื่องที่ใช้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
คำทำนายที่เราคาดว่าเกิดขึ้นได้จริง:
• Bitcoin อาจจะกลายเป็น “การเงินดิจิทัลหลัก” ในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี
• กลุ่มประเทศที่ยอมรับ Bitcoin อาจเติบโตขึ้นจาก 1–2 ประเทศในปัจจุบัน (เช่น เอลซัลวาดอร์) ไปยังกลุ่มประเทศในอนาคต
⸻
หัวข้อที่ 11: Bitcoin ในโลกแห่งสถาบันการเงิน
แม้ในตอนนี้หลาย ๆ ธนาคารและสถาบันการเงินจะดูหมิ่น Bitcoin แต่มีบางกรณีที่เห็นว่าพวกเขาเริ่มปรับตัวเพื่อรองรับการใช้งาน Bitcoin
ตัวอย่าง:
1. MicroStrategy ได้ทำการซื้อ Bitcoin จนกลายเป็นสินทรัพย์หลักของบริษัท
2. Tesla ยอมรับ Bitcoin ในการชำระสินค้า
3. PayPal และ Square เปิดให้ผู้ใช้งานซื้อและขาย Bitcoin ได้ง่าย ๆ
4. การเปิดตัว Bitcoin ETFs ทำให้การลงทุนใน Bitcoin ง่ายขึ้นสำหรับนักลงทุนทั่วไป
เหตุผลที่สถาบันการเงินต้องพิจารณา Bitcoin:
• Bitcoin เป็น สินทรัพย์ที่หายาก และกำลังถูกมองเป็น ทองคำดิจิทัล
• ด้วยจำนวนที่จำกัด (21 ล้าน BTC) Bitcoin มีศักยภาพในการเก็บมูลค่าระยะยาว
• การยอมรับจากประเทศและองค์กรต่าง ๆ กำลังเพิ่มขึ้น
คำถามสำคัญ:
จะมีการรวม Bitcoin และระบบการเงินดั้งเดิมเข้าด้วยกันไหม?
คำตอบคือ อาจจะเป็นได้, แต่มันจะเกิดขึ้นในรูปแบบที่ Bitcoin ยังคงเป็นตัวกลางที่ผู้คนไม่สามารถถูกควบคุมได้
⸻
สรุป: ความรู้ที่คุณต้องรู้ตอนนี้เพื่อไม่พลาด Bitcoin
Bitcoin กำลังกลายเป็นเสาหลักของระบบการเงินในอนาคต ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไร แต่เป็นการเงินที่มีหลักการและนวัตกรรมที่ไม่เคยมีมาก่อน การเข้าใจ Bitcoin จากพื้นฐานและการมีส่วนร่วมในชุมชนนี้จะทำให้คุณไม่เพียงแค่ติดตามเทรนด์ แต่เป็นผู้ที่เข้าใจและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง
สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้:
• ศึกษา seed phrase, private key, และ wallet
• เริ่มใช้งาน Lightning Network สำหรับการโอนเงินที่รวดเร็วและราคาถูก
• คิดให้รอบคอบเกี่ยวกับการลงทุนใน Bitcoin อย่างเข้าใจถ่องแท้
Bitcoin ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี มันคือ การปฏิวัติทางการเงิน ที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง ๆ โลกไม่ได้รอคุณ — ถึงเวลาแล้วที่คุณจะก้าวไปข้างหน้า!
#Siamstr #nostr #bitcoin #BTC #finance