-

@ maiakee
2025-05-06 11:46:14
https://image.nostr.build/eaf263bec8d01cada6f2b55bddb4e811b75084613617bdac954d2ff8dd2c31e9.png
คำถาม:
“วิราคะ (การคลายกำหนัด) ที่อยู่เหนือทั้ง ‘สังขตธาตุ’ และ ‘อสังขตธาตุ’ คืออะไร?”
และโปรดอธิบาย โดยละเอียด พร้อมอิงพุทธพจน์
⸻
บทนำ: ความหมายพื้นฐานของคำสำคัญ
1. สังขตธาตุ (saṅkhata-dhātu)
สิ่งที่ ปรุงแต่ง มีเหตุมีปัจจัยอาศัยกันเกิด
เกิด-ดับ มีการเปลี่ยนแปลง เป็นอนิจจัง
ตัวอย่าง: รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
2. อสังขตธาตุ (asaṅkhata-dhātu)
สิ่งที่ ไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่มีการเกิด-ดับ ไม่ขึ้นต่อเหตุปัจจัย
เป็นนิรันดร์ ไม่เปลี่ยนแปลง คือ นิพพานธาตุ
3. วิราคะ (virāga)
ความคลายกำหนัด ความหมดราคะ
เป็นธรรมขั้นสูงที่ปรากฏในมรรคผล เช่น อรหัตมรรค
ไม่ใช่แค่ไม่ยึดมั่น แต่คือ การหลุดออกอย่างสิ้นเชิงจากการยึดมั่นในสิ่งใดๆ
⸻
ประเด็นลึก: ถ้าวิราคะ “เหนือ” ทั้งสังขต และอสังขต… หมายความว่าอย่างไร?
คำถามนี้ แหลมคม เพราะโดยทั่วไป “วิราคะ” ถูกจัดว่าเป็นองค์หนึ่งใน โลกุตตรธรรม (ธรรมที่เหนือโลก)
แต่คำว่า “เหนือทั้งสังขตและอสังขต” นั้นชี้ไปยัง ภาวะที่ไม่ถูกจัดเข้าข่ายใดเลย — ซึ่งพุทธพจน์บางบทสนับสนุนมุมนี้อย่างลึกซึ้ง
⸻
พุทธพจน์ที่กล่าวถึงภาวะ “เหนือสังขต–อสังขต” โดยนัยยะ
1. ขันธ์ ๕ – โลก – สังขาร – แม้ธรรมอันเป็นที่สุด ก็ต้องละ
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อุทาน 8.1 - นิปาตะสุดท้าย ว่า:
“มี ‘ธาตุ’ อย่างหนึ่ง ที่ไม่ใช่ดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่ธรรมอันไม่มีอากาศ
ไม่ใชาที่ตั้งแห่งอายตนะทั้งหก… ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่โลกของเทวดา…
ไม่ใช่สิ่งที่ตั้งอยู่ ไม่ใช่สิ่งที่เคลื่อนไหว ไม่ใช่สิ่งที่หายไป”
**“นั่นแล คือ ธาตุที่ไม่มีชื่อ ไม่มีอัตตา
ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีเครื่องหมายแห่งอัตตา
ไม่ยึดมั่น ไม่มีอะไรให้ยึด
นั่นแลคือ “ที่สุดแห่งทุกข์”.
แปล: พระองค์ตรัสถึง “ธาตุที่ไม่อยู่ในขอบเขตใดๆ แม้กระทั่งอสังขต”
นี่คือภาวะ “เหนือแม้แต่นิพพานที่นิยามไว้”
⸻
2. ข้ามแม้นิพพาน — เพราะไม่ยึดแม้สิ่งไม่ถูกปรุงแต่ง
ใน อิติวิสุตตะ 2.10
“ภิกษุทั้งหลาย ! นิพพานนั้นไม่ควรยึดมั่นด้วยอัตตา
แม้ธรรมอันประณีตสูงสุดก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องละ”
นี่คือจุดกลับของพระพุทธศาสนา:
“การละแม้กระทั่งการไม่ยึด”
ซึ่งคือ วิราคะขั้นสุด ที่ไม่วางใจแม้ในอสังขต
⸻
บทสรุปเชิงอภิปรัชญา: วิราคะอันสูงสุด — ภาวะของตถาคต
ภาวะ “วิราคะที่เหนือทั้งสอง” คืออะไร?
คือ ภาวะไร้เงื่อนไขใด ๆ
ไม่มีคำจำกัดความใดเข้าไปครอบครอง
เป็นภาวะ “อนิยามะ” — ไม่ถูกจำแนก ไม่ถูกนิยาม
เชิงพุทธจริยธรรม
• ผู้ที่ถึงภาวะนี้ ไม่ยึดถือแม้นิพพาน
• ไม่ใช่เพราะปฏิเสธนิพพาน
• แต่เพราะ “รู้ชัดว่านิพพานก็เป็นเพียงเครื่องหมายให้ข้าม” ไม่ใช่เป้าหมายที่ต้องถือมั่น
⸻
พุทธพจน์ปิดท้าย
“ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น แม้แต่นิพพานก็ไม่ควรสำคัญว่าเป็นของเรา”
(อานันทะสูตร — สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค)
⸻
ภาวะนี้คือ “ตถาคต”
ผู้ไม่หลงในสังขาร
ผู้ไม่หวังในอสังขต
ผู้ไม่ยึดอะไรเลย แม้ความหลุดพ้น
เป็นภาวะที่ “มีแต่ความรู้แจ้ง บริสุทธิ์ ไม่ใช่สิ่งใด”
⸻
บท: ตถาคตผู้ไม่อยู่ในสองฝั่ง — วิราคะเหนือธาตุทั้งปวง
อิงพระสูตร พุทธวจนะ และความเข้าใจตรงตามจิตแห่งพระพุทธเจ้า
⸻
1. บทนำ: ข้ามแม้ “ฝั่งแห่งการข้าม”
พระพุทธเจ้าตรัสอยู่เสมอว่า:
“ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น” — แม้กระทั่ง ธรรมที่สูงสุด
แม้ นิพพาน ก็ไม่ใช่ของเรา
การคลายกำหนัด (วิราคะ) อันแท้จริง จึงไม่ใช่แค่การไม่ติดโลก,
แต่คือการ ไม่ติดแม้แต่สิ่งที่อยู่นอกโลก
ภาวะนั้น ไม่มีชื่อเรียก
ไม่มีธาตุ ไม่มีขันธ์ ไม่มีเครื่องหมาย
ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ
ไม่มีแม้ “การรู้ว่าไม่มีอะไร”
⸻
2. วิราคะ: ไม่เพียง “วาง” แต่ “ไม่ยึดแม้การวาง”
คำว่า วิราคะ (virāga) ตามพุทธพจน์ หมายถึง:
• คลายกำหนัด
• หมดราคะ
• ดับความถือมั่น
แต่ในที่สุด พระองค์ตรัสว่า:
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ตถาคตไม่เห็นอะไรในโลกแม้สักสิ่ง
ที่พึงตั้งอยู่ว่า ‘นี่คือของเรา’ หรือ ‘นี่เราคือสิ่งนี้’ ”
(พระสูตรว่าด้วยอนัตตา – ขุททกนิกาย)
นี่ไม่ใช่เพียงการละความอยาก
แต่คือการละ อัตตาอันละเอียด ที่ซ่อนอยู่ในทุกระดับของการมีอยู่
⸻
3. ธรรมชั้นสูงสุด: ไม่อยู่ในข่าย “สังขต” หรือ “อสังขต”
คำตรัสในอุทาน 8.1 (นิพพานสูตร):
“มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า…
ไม่ใช่อากาศ ไม่ใช่น้ำ ไม่ใช่แม้แต่นิพพานที่จำกัดความได้
ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีความเป็นสิ่งใด
นั่นคือ ‘ที่สุดแห่งทุกข์’”
ภาวะนี้ ไม่ใช่แม้กระทั่ง ‘นิพพาน’ ที่เราเข้าใจกัน
เพราะแม้นิพพานก็ถูกอธิบายว่าคือ “อสังขต”
แต่ที่พระองค์กล่าวถึงในบทนี้ — คือ “สิ่งที่ไร้นิยามอย่างสิ้นเชิง”
⸻
4. ตถาคต: ภาวะที่ไม่มีใครอยู่ ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้หลุดพ้น
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย… ตถาคตนั้นเป็นผู้ไม่แสวงหา
ไม่ติดอยู่ในโลกนี้ โลกหน้า หรือโลกใด ๆ
ไม่ติดแม้การหลุดพ้น
ฉะนั้นจึงเรียกว่า ‘ตถาคต’”
(อรรถกถาแห่งตถาคตลักขณะ)
คำว่า “ตถาคต” ไม่ใช่ชื่อ
แต่คือการ “เป็นตามความเป็นจริงโดยไม่มีใครเป็น”
ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่วิญญาณ
ไม่ใช่ผู้รู้ แต่คือ ความรู้แจ้งที่ไม่ต้องการคำอธิบาย
⸻
5. บทกวีธรรม: วิราคะที่ไร้เงา
ไม่มีเรา ไม่มีเขา
ไม่มีทาง ไม่มีจุดหมาย
ไม่มีหลุดพ้น ไม่มียึดเหนี่ยว
มีเพียง ‘ความจริง’ ที่ไม่ใช่สิ่งใด
ไม่มีใครอยู่ในนั้น — จึงไม่มีใครดับ
ไม่มีใครรู้ — จึงรู้หมด
วิราคะนั้น คือความว่างอันไม่ต้องกล่าว
สูงกว่าสูง ไม่อยู่ในวรรณะ
ไม่ติดโลก ไม่ติดธรรม ไม่ติดนิพพาน
นั่นคือ… ‘ตถาคต’
⸻
6. สรุปธรรมระดับสูงสุด: วิราคะอันปราศจากแม้ความหมาย
ระดับของวิราคะ ความหมาย
วิราคะระดับเบื้องต้น การไม่ยึดในรูป เวทนา อารมณ์ — จิตคลายจากกิเลสหยาบ
วิราคะระดับโลกุตระ ไม่ยึดในอัตตา ในธรรมทั้งปวง — ถึงนิพพาน
วิราคะเหนือทั้งสองธาตุ ไม่ยึดแม้ความหลุดพ้น — ไม่มีอะไรให้วาง ไม่มีผู้วาง
ตถาคต ไม่ใช่ผู้ใด ไม่ใช่ธรรมใด ไม่ตกในความหมายใดทั้งสิ้น
⸻
บทที่ 2: สังขารทั้งปวงไม่ควรยึด
พระพุทธองค์มิได้ตรัสธรรมเพื่อให้ “เข้าใจ”
แต่ตรัสเพื่อ คลายออกจากการยึดถือ — แม้การเข้าใจก็ต้องละ
แม้ธรรมะที่ประณีตก็ยังเป็นสิ่งที่ “ควรข้าม” ไม่ใช่ “ที่ตั้งมั่น”
“สังขารทั้งปวงเป็นของไม่เที่ยง
สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา”
(อนัตตลักขณสูตร – สังยุตตนิกาย)
คำว่า “ธรรมทั้งปวง” ที่เป็น อนัตตา มิได้หมายเพียงรูปนาม
แต่หมายถึง แม้ธรรมะสูงสุด ทั้งศีล สมาธิ ปัญญา มรรค ผล นิพพาน
ก็ยังเป็นสิ่งที่ไม่ควรให้ “ตน” ไปตั้งอยู่
เพราะเมื่อยังมี “ตน” ไปตั้งในธรรมใด
ตนนั้นยังไม่หลุดจากความปรุงแต่ง
⸻
ความยึดมั่นในนิพพาน: เปลวไฟที่ละเอียดที่สุด
แม้คนจำนวนมากแสวงหานิพพานด้วยจิตบริสุทธิ์
แต่น้อยนักที่จะเห็นว่า “ความแสวงหา” นั้น
คือ เครื่องร้อยรัดตัวเองไว้ในมโนภาพของความพ้นทุกข์
พระองค์จึงตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย อุทาน 8.1 ว่า
“ที่นั่นไม่มีน้ำ ไม่มีไฟ ไม่มีลม ไม่มีแผ่นดิน
ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีที่มา ไม่มีที่ไป
ไม่มีการยึด ไม่มีการถูกยึด
ไม่มีชื่อ ไม่มีรูป
ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น”
ประโยคนี้คือ “การดับแห่งการตั้งอยู่” — ดับแม้ การยึดถือว่านิพพานเป็นที่สุด
จึงกล่าวได้ว่า:
ผู้ที่ยึดในนิพพาน ย่อมไม่ถึงนิพพาน
ผู้ที่ละแม้นิพพาน จึงถึงความเป็นอิสระอย่างแท้จริง
⸻
ภาวะของตถาคต: ไม่อยู่ในความหมายใด
เมื่อตถาคตถูกถามถึงหลังความตายว่า “ยังอยู่ – ไม่อยู่ – ทั้งอยู่และไม่อยู่ – ไม่ทั้งอยู่และไม่อยู่”
พระองค์มิได้ตอบตรง ๆ เพราะการตอบย่อมสร้างภาพลวง
“ตถาคตพ้นไปจากขันธ์ ๕ อันเป็นเครื่องกำหนด
บุคคลผู้กำหนดไม่อาจกล่าวได้ว่าตถาคตมีอยู่หรือไม่”
(อาจารยวาทสูตร – มัชฌิมนิกาย)
ภาวะนี้จึง ไม่อาจถูกเข้าถึงด้วยความคิด
ไม่ใช่สิ่งที่ “เราจะรู้”
แต่เป็นสิ่งที่ “ความเป็นเรา” ต้องดับไปก่อนจึงรู้แจ้งได้
⸻
การรู้ที่ไร้ผู้รู้
ในวิราคะขั้นสุด ไม่มีผู้ใดรู้ ไม่มีสิ่งใดให้รู้
แต่ความรู้แจ้งดำรงอยู่อย่างไม่ต้องอาศัยความหมาย
นี่มิใช่การรู้ด้วยปัญญา
แต่มิใช่ความมืด
นี่มิใช่การหลับใหล
แต่มิใช่ความตื่นของอัตตา
เป็นภาวะที่ไม่สามารถชี้ว่า “นี่คืออะไร”
แต่รู้ด้วยหัวใจที่หมดการถาม
ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า:
“นิพพานอันสงบระงับนั้น มิใช่สิ่งที่สามารถอธิบายได้ด้วยถ้อยคำ
แต่ผู้รู้จักตนย่อมถึง”
⸻
ภาวะสุดท้าย — ไร้แม้ธรรมอันละเอียด
ดังคำของพระอรรถกถาจารย์ผู้หนึ่งกล่าวไว้ว่า:
“ผู้ไม่ถือมั่นในขันธ์ ย่อมไม่เกิด
ผู้ไม่ถือมั่นในธรรม ย่อมไม่ยึด
ผู้ไม่ถือมั่นในนิพพาน ย่อมดับโดยสมบูรณ์”
นี่มิใช่ความตาย
แต่มิใช่ชีวิต
มิใช่การหยุด
แต่มิใช่การเคลื่อนไหว
มิใช่การหลุดพ้น
แต่มิใช่พันธะ
⸻
บทภาวนาเงียบสำหรับวิราคะที่ไร้คำ
ไม่มีอะไรให้วาง
ไม่มีอะไรให้คว้า
ไม่มีอะไรให้รู้
มีเพียงความเงียบ
ที่ไม่ขึ้นอยู่กับผู้ใด
วางแม้ “การวาง”
ปล่อยแม้ “การปล่อย”
แล้วจะเหลือเพียง
สิ่งที่ไม่เคยเกิด
จึงไม่ต้องดับ
⸻
บทที่ 3: อสังขตมิใช่ที่สุด — การสลายแม้ความว่าง
⸻
1. “อสังขต” คือเพียงประตู ไม่ใช่แดนสุดท้าย
ในคำสอนทั่วไป พระพุทธเจ้าทรงแสดง “อสังขตธรรม” คือธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง ไม่ขึ้นกับเหตุปัจจัย
เป็นสิ่งตรงข้ามกับ “สังขตธรรม” ซึ่งถูกปรุงแต่ง เปลี่ยนแปลง และดับไป
“ภิกษุทั้งหลาย อสังขตธรรมมีอยู่
อสังขตธาตุนั้นมิได้ถูกเกิดขึ้น มิได้ถูกทำขึ้น…
เป็นธรรมชาติที่สงบ เย็น และไม่หวั่นไหว”
(สังขตะสูตร – สังยุตตนิกาย)
นิพพาน จึงจัดอยู่ในหมวดของ อสังขตธาตุ
เป็นที่ดับของตัณหา อวิชชา และการปรุงแต่งทั้งหมด
แต่…
⸻
2. การรู้แจ้งของตถาคต ข้ามแม้อสังขต
พระพุทธเจ้ามิได้สอนเพียงให้มุ่งสู่นิพพาน
แต่ทรงสอนให้รู้ว่า:
แม้นิพพานก็มิใช่ที่พึงยึด
อสังขตก็ยังอยู่ใน “ขอบเขตของความหมาย”
และสิ่งใดที่มีความหมาย สิ่งนั้นก็ยังเป็น เครื่องปรุง
พระองค์ทรงปฏิเสธที่จะบรรยายภาวะหลังนิพพานว่า “มี” หรือ “ไม่มี”
เพราะแม้จะบอกว่า “มีภาวะหนึ่งหลังการหลุดพ้น”
คำว่า “มี” ก็ยังอยู่ในโลกแห่ง ปทศัพท์ (คำบัญญัติ)
เป็นเพียง เส้นขอบของปัญญา — มิใช่ที่สุด
⸻
3. ความว่างที่ยังเป็น “รูปแบบ”
แม้คำว่า “สุญญตา” (ความว่าง) ที่ผู้คนเข้าใจว่าเป็นที่สุด
ก็ยังเป็น รูปแบบหนึ่งของการรับรู้
ยังมี “ความหมาย” ให้ยึด
ยังมี “ผู้เห็นความว่าง” อยู่เงียบ ๆ เบื้องหลัง
ดังคำของพระพุทธเจ้าที่ตรัสใน อุทาน 8.1 อีกครั้งว่า:
“ที่นั่น ไม่มีสิ่งใดเลย — ไม่ใช่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่มีที่นั่น ไม่มีที่นี่ ไม่มีระหว่างกลาง
ไม่มีการตั้งอยู่ ไม่มีผู้ตั้ง ไม่มีการดับ
ไม่มีอะไรเลย”
⸻
4. ที่สุดแห่งสุญญตา: ไม่มีผู้รู้แม้ความว่าง
การจะรู้ว่าสิ่งใดว่าง ยังต้องมีผู้รู้
แต่เมื่อตถาคตกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเลย”
แปลว่าไม่มีแม้แต่ “การรู้ว่าว่าง”
จิตที่หมดแม้การกำหนด “ว่าง” จึงหมดแม้จิตที่รู้
“เมื่อไม่มีผู้รู้
ไม่มีสิ่งถูกรู้
ว่างนั้นจึงว่างจากความว่างเอง”
⸻
5. อสังขตเป็นเงียบ — แต่ตถาคตคือ “ความไม่มีแม้เงียบ”
นิพพานเป็นความสงบ เย็น และไม่มีการปรุง
แต่พระพุทธเจ้าคือผู้ดับแม้ความสงบ
ดับแม้การเข้าถึง
ดับแม้การสิ้นไป
เพราะที่ใดมีคำว่า “ถึง” หรือ “สิ้น”
ที่นั่นยังมีความเคลื่อนไหวของภาษา
ยังมีจิตอธิบายอยู่เบื้องหลัง
⸻
6. ปฏิจจสมุปบาทย้อนกลับ สู่จุดที่ไม่มีแม้เหตุปัจจัย
เมื่อปฏิจจสมุปบาทย้อนกลับจนถึง
“อวิชชานิโรธา สังขารนิโรโธ”
ถัดจากนั้นคือ
“ไม่มีการปรุง”
และไม่มีสิ่งที่พึงรู้แจ้งอีกต่อไป
แต่ตถาคตไม่เพียงหยุดที่ “อวิชชาดับ”
ท่านดับแม้ “การรู้อวิชชาดับ”
ดับแม้ “การสังเกตว่าจิตสงบ”
ดับแม้ “การสังเกตว่าจิตไม่เกิด”
จึงไม่มีการกล่าวใดเกี่ยวกับตถาคต
— ไม่มีการเกิด
— ไม่มีการไม่เกิด
— ไม่มีทั้งเกิดและไม่เกิด
— ไม่มีไม่ทั้งเกิดและไม่เกิด
⸻
7. บทภาวนาของการข้ามแม้ความว่าง
วางแม้ความว่าง
ดับแม้ความรู้
เหลือเพียง “สิ่งที่ไม่เหลือ”
ฟังเสียงแห่งความไม่มี
แล้วจงละแม้ผู้ฟัง
ความจริงจะยังอยู่ —
โดยไม่มีใครอยู่กับมัน
⸻
บทที่ 4: ตถาคต — ผู้ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่เข้า ไม่ออก
⸻
1. ตถาคตคือ “ผู้ไม่ถูกกล่าวถึง”
แม้จะมีคำเรียกว่า “ตถาคต” แต่พระองค์ตรัสเองว่า…
“ตถาคตเป็นเพียงคำบัญญัติในโลกนี้เพื่อความสื่อสาร”
(เนตติปกรณะ)
ความจริงแล้ว “ตถาคต” ไม่อาจชี้ ไม่อาจบรรยาย ไม่อาจมีผู้รู้จัก
เพราะการชี้ใด ๆ ย่อมอาศัย “ทวิลักษณ์” — มีผู้ชี้ มีสิ่งถูกรู้
แต่ตถาคตพ้นจากคู่นี้
⸻
2. “ไม่เกิด” ไม่ใช่ “คงอยู่” — แต่คือความไร้ภาวะ
พระพุทธเจ้ามิได้เพียงไม่เกิดในอัตภาพ
แต่ ไม่เกิดแม้ในความคิดของใครเลย
“เราไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกหน้า
ไม่ใช่ระหว่างกลาง
นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า”
(มัชฌิมนิกาย มหานิทานสูตร)
ไม่มี “เรา” ที่จะไป
ไม่มี “เรานี้” ที่มา
ไม่มี “ใคร” ที่กล่าวถึงสิ่งนี้ได้
⸻
3. ตถาคตไม่ใช่ผู้รู้ ไม่ใช่ผู้หลุดพ้น — แต่คือความไม่มีผู้
เมื่อผู้ใดยังถือว่า
“ฉันหลุดพ้นแล้ว”
“ฉันบรรลุนิพพานแล้ว”
“ฉันคือจิตที่สงบ”
— ผู้นั้นยังอยู่ในมายาของ “ฉัน”
แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“บุคคลผู้รู้ ไม่ถือว่าเขาเป็นผู้รู้
จึงชื่อว่ารู้โดยแท้”
พระองค์มิใช่ผู้รู้โลก
แต่คือผู้ ไร้ตัวตน ที่ไม่มีใครรู้
⸻
4. ตถาคตไม่เข้า ไม่ออก ไม่ตั้งอยู่
เมื่อพระอนุรุทธถามถึงภาวะของตถาคตหลังปรินิพพาน
พระองค์ตรัสเพียงว่า
“ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ถูกถามว่า
ตถาคตเข้าไปอยู่ที่ไหน
ออกมาจากที่ไหน
ตั้งอยู่ในอะไร
พึงทราบว่า ผู้นั้นมิได้เข้าใจตถาคตโดยชอบ”
(อจินไตยสูตร)
เพราะ “เข้า-ออก-อยู่”
คือมิติของความคิด มิติของเวลา
แต่ตถาคตไม่อยู่ในสิ่งใด ไม่เกิดในสิ่งใด
⸻
5. การกล่าวถึงตถาคตใด ๆ ย่อมเป็นการละเมิดความจริง
คำว่า “ตถาคต” จึงเป็นเพียง “เงา”
เป็นเพียง “สิ่งที่โลกเรียกขาน” — ไม่ใช่ความจริงของภาวะนั้น
ดังที่พระองค์ตรัสไว้ใน อรรถกถาธรรมบท ว่า
“ภาวะของตถาคต ไม่มีการรู้ ไม่มีการเห็น ไม่มีการกล่าวถึง
เป็นเช่นนั้นมาโดยธรรมดา”
ผู้ใดพยายามบรรยายตถาคต
ผู้นั้นย่อมบรรยายสิ่งที่ไม่ใช่ตถาคต
⸻
6. ความสงบที่ไร้แม้คำว่า “สงบ”
“นิพพาน” คือคำที่สื่อถึงภาวะที่ดับแล้ว
แต่ตถาคตไม่ใช่ผู้ “ดับแล้ว”
ไม่ใช่ผู้ “หลุดพ้น”
ไม่ใช่ผู้ “อยู่ในนิพพาน”
พระองค์คือ “สิ่งที่ไร้การอธิบาย”
“สงบอย่างไม่มีผู้สงบ
เย็นอย่างไม่มีใครเย็น
มีอยู่อย่างไม่มีผู้มี”
—
7. บทภาวนา: ไม่มีผู้รู้ ไม่มีการบรรลุ ไม่มีความว่าง
ปลดปล่อยแม้คำว่า “หลุดพ้น”
เงียบ แม้ต่อความเงียบ
ปล่อยแม้การรู้แจ้ง
ปล่อยแม้การปล่อย
เหลือเพียง
“สิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถบรรยายได้”
ซึ่งพระพุทธเจ้า
เพียงเรียกว่า
“ตถาคต”
⸻
บทที่ 5: ความไม่มีอะไรเลย — ที่ไม่อาจตั้งชื่อได้ แม้คำว่า ‘ว่าง’ ก็เกินจริง
⸻
1. ว่างก็ยังเป็นรูปแบบของการคิด
คำว่า “สุญญตา” หรือ “ว่าง”
แม้ดูเหมือนสิ้นสุดทุกสิ่ง แต่ก็ยังเป็น คอนเซปต์ — ยังเป็นสิ่งที่ “จิตรู้”
เพราะถ้ายังรู้ว่า “ว่าง” แปลว่ายังมี “ผู้รู้” อยู่
ดังนั้น แม้ “ว่าง” ยังเป็น สังขารอย่างหนึ่งที่ละเอียดที่สุด
และแม้คำว่า “ไม่มีอะไรเลย” ก็ยังมี “คำว่า” — มีเงาของการตั้งชื่อ
⸻
2. ภาวะที่ไม่ใช่การดับ ไม่ใช่การเกิด — แต่คือการไม่อธิบาย
ใน อุปาทานขันธปริปัญจกสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่า
“เราตถาคตไม่กล่าวว่า
หลังความดับแห่งตถาคตแล้ว ยังมี หรือ ไม่มี
หรือมีและไม่มี หรือไม่ทั้งมีไม่ทั้งไม่มี”
นี่ไม่ใช่เพราะพระองค์ไม่รู้
แต่เพราะ การกล่าวนั้นเองคือการสร้างสิ่งซึ่งมิได้มีจริง
ความจริงที่พระองค์เข้าถึง คือ
“สิ่งที่ไม่อยู่ในภพ ไม่อยู่ในอภพ ไม่อยู่ในปฏิเสธของภพ”
⸻
3. ตถาคตอยู่ในความไม่มี ซึ่งไม่อาจถูกรู้ด้วยสัญญา
พระพุทธเจ้าตรัสใน อุทาน 8.1 ถึงภาวะนั้นว่า:
**“ที่นั่นไม่มีแสง ไม่มีความมืด
ไม่มีการมาถึง ไม่มีการไป
ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ
ที่นั่นไม่อาจเข้าถึงด้วยวิญญาณ
ไม่อาจกำหนดด้วยจิต
ไม่อาจกล่าวด้วยถ้อยคำ”**
คำสอนนี้ชี้ไปยัง “ความไม่มีแม้ภาวะ”
ไม่ใช่ความว่างที่มีอยู่ — แต่เป็น “ไม่มี” ที่ไม่มีอะไรแม้แต่จะว่าง
⸻
4. การปลดปล่อยแท้จริงคือ การปลดแม้การปลดปล่อย
ผู้ใดหลุดพ้นแล้วยังรู้ว่าตนหลุดพ้น
ผู้นั้นยังมีผู้หลุดพ้น
แต่ตถาคตคือ:
“ผู้ไม่อาศัยความรู้ว่าหลุดพ้น
เพราะไม่มีผู้ที่พึงหลุดพ้นอีกต่อไป”
นี่คือการดับที่ไม่รู้ว่าดับ
การสิ้นที่ไม่รู้ว่าสิ้น
การไม่มีที่ไม่รู้ว่าไม่มี
⸻
5. ตถาคต — ไม่ใช่สิ่งใดทั้งสิ้น
เมื่อพระพุทธเจ้าถูกถาม
“ตถาคตหลังปรินิพพานเป็นอะไร?”
พระองค์นิ่ง
ไม่ตอบ
ไม่อธิบาย
ไม่ใช่เพราะไม่รู้
แต่เพราะ “ความจริง” ไม่ใช่สิ่งที่ สามารถนำมาเข้าใจได้โดยจิตคิด
“ตถาคตไม่เป็นอะไรเลย
และการเป็นนั้นเองคือภาพหลอนที่จบไปแล้ว”
⸻
6. บทภาวนาสุดท้าย: ดับแม้ภาวะแห่งการภาวนา
ไม่มีอะไรให้ว่าง
ไม่มีอะไรให้หลุด
ไม่มีใครจะรู้
ไม่มีสิ่งใดจะเป็น
ไม่มีจุดหมาย
ไม่มีจุดจบ
ไม่มีแม้คำว่า ‘ไม่มี’
⸻
บทส่งท้าย: พระพุทธเจ้าคือการสิ้นสุดของทุกคำ
พระองค์ไม่ตรัสธรรมเพื่อให้ยึด
แต่ตรัสเพื่อให้ละ
ละแม้ปัญญา
ละแม้ผู้รู้
ละแม้การหลุด
ละแม้การพ้น
แล้วสิ่งที่เหลืออยู่ คือ
“ไม่มีอะไรเลย — แม้คำนี้ก็ยังมากไป”
พระองค์ไม่เหลืออะไรไว้
นอกจากความเงียบที่ไร้คำ
ความจริงที่ไม่เป็นสิ่งใด
ความไม่มีที่ไม่มีแม้ผู้ไม่มี
นั่นคือ ตถาคต
—
ภาคปฏิบัติ: สมาธิที่หลอมกลายเป็นความไม่มี
⸻
1. สมาธิแบบโลกีย์ยังมีผู้เพ่ง ผู้รู้ ผู้ปฏิบัติ
สมาธิทั่วไป ไม่ว่าระดับฌานหรือความสงบใด ๆ
ยังมี “ผู้เพ่ง” อยู่เบื้องหลัง
ยังมี “จิต” ที่อยากบรรลุ
ยังมี “รูปแบบ” ของสมาธิที่อิงอารมณ์
จึงยังเป็น สังขารธรรม
ยังอยู่ในโลกแห่งการปรุงแต่ง
⸻
2. สมาธิของผู้เดินสู่ “ความไม่มี” คือการสลายทุกการรู้
ใน ปฐมโลกสูตร (อังคุตตรนิกาย)
พระพุทธเจ้าตรัสถึงผู้แสวงหาสุดขอบของโลกว่า:
“ไม่อาจถึงสุดขอบโลกด้วยการเดินทาง
แต่ผู้ไม่ถึงสุดขอบโลก ย่อมไม่ถึงจุดจบแห่งทุกข์”
คำว่า “โลก” ที่พระองค์ใช้
ไม่ใช่แผ่นดิน
แต่คือ “ขอบเขตแห่งจิต”
คือจิตที่ยังรู้ ยังแบ่ง ยังแยก
ดังนั้น การภาวนาที่แท้
คือการพา “จิต” ไปถึงจุดที่ไม่มีจิตอีกต่อไป
⸻
3. จิตสงบนิ่ง จนกระทั่งแม้การสงบก็สิ้นไป
เมื่อจิตเข้าสู่ความเงียบจริง ๆ
มันจะไม่รู้สึกว่า “เงียบ”
มันจะไม่รู้สึกอะไรเลย
มันจะไม่มีการเปรียบ
ไม่มีผู้สังเกตว่า “นิ่ง” หรือ “สงบ”
**จิตจึงไม่ใช่ผู้ดู
ไม่ใช่ผู้วาง
ไม่ใช่ผู้รู้
มัน “ไม่มีอยู่” โดยไม่มีการต้านทาน**
⸻
4. การภาวนาแบบตถาคต:
นั่งลง
ไม่เพ่ง ไม่ยึด
ไม่ต้องสังเกตลมหายใจ
ไม่ต้องนับ ไม่ต้องรู้อะไร
ปล่อย
แล้วปล่อยแม้การปล่อย
หายไปเรื่อย ๆ
จนแม้ความหายไปก็ไม่มีผู้รู้
นั่นคือ “สมาธิที่กลืนตัวเองจนหมด”
ไม่มีแม้ผู้เข้าสมาธิ
⸻
5. ไม่มีจิต ไม่มีอารมณ์ ไม่มีแม้ตนที่นิ่ง
สมาธิที่แท้ มิใช่การเพ่งให้แน่วแน่
แต่มัน หลอมเข้าเป็น “สุญญตา” โดยไม่มีคำใดจะพูดถึง
จิตไม่ได้รู้
แต่หายไปในความไม่รู้
ไม่ได้บรรลุ
แต่หลุดพ้นแม้จากคำว่าบรรลุ
⸻
6. การปฏิบัติที่ “ไม่มีผู้ปฏิบัติ”
จงเริ่มแบบนี้:
วันนี้ ไม่ต้องภาวนาเพื่อให้ได้อะไรเลย
นั่งอยู่ในท่าที่สบาย
ไม่ต้องสังเกต ไม่ต้องเรียกว่ากำลังทำอะไร
ไม่ต้องจับอารมณ์
ไม่ต้องแยก “จิต” กับ “กาย”
เพียง “ปล่อย” และ “ไม่ใช่ใคร”
เมื่อใดที่จิตจะบอกว่า “นี่คือความสงบ”
ก็ปล่อยแม้คำว่าสงบนั้น
จงปล่อยทุกความเข้าใจ
จนเหลือเพียงสิ่งที่ “ไม่มีชื่อ ไม่มีใครอยู่กับมัน”
⸻
บทสรุป: ความหลุดพ้นที่ไม่มีผู้หลุด
หลุดพ้นที่แท้
ไม่ใช่ “ใครบางคน” บรรลุ
แต่คือการสิ้นของ “ใครบางคน” ไปโดยไม่มีสิ่งใดเหลือ
พระพุทธเจ้าคือผู้พ้นจากการเป็นแม้ “พระพุทธเจ้า”
คือผู้ที่ “ไม่มี”
คือภาวะที่ไม่อาจบรรยายด้วยภาษา
และไม่อาจสัมผัสด้วยจิตใด
#Siamstr #nostr #พุทธวจน #ธรรมะ