-
@ Fastingfatdentist
2023-11-21 03:27:24ก่อนอื่นต้องขอบคุณเพื่อนในเพจของเรานะครับ คุณ @Ruedee Saengdeunchay 🙏🙏ที่ได้ส่งลิ้งคลิปนี้มาให้ผมฟัง ซึ่งบางคนอาจจะเคยฟังแล้วก็ได้
โดยคลิปนี้เป็น live สด ของบุคคลท่านหนึ่งที่รู้จักกับ Dr.Erik Fleischman ซึ่งเป็นอดีตที่ปรึกษาของอดีตประธานาธิบดีบิลคลินตัน ในเรื่อง HIV AIDS แล้วได้นำข้อมูล COVID19 ที่ Dr. erik มาพูดคุย มาแบ่งปัน ( https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=10216687082398647&id=1508726571&cft[0]=AZXiXCYsg8p9uCKYaFKr2RQKHqX47VA4tcjvbiN42iePsTA_fV4K6VmdxuDCM60EsVtJ6fRiBzjHMU4DHuktS6ZxR4o-ERVf-DMnJ30HXX7v3G67QXo7Mcx5hB83PIkVscg&tn=-UK-R ) ซึ่งจากที่ผมได้ฟังจนจบ ร่วมกับข้อมูลที่ผมรวบรวมมาโดยตลอด ทำให้ผมจับต้นชนปลายปะติดปะต่อ ข้อมูลเรื่อง COVID19 ได้อย่างค่อนข้างจะสมบูรณ์
ผมจึงรีบทำบทความนี้อย่างรวดเร็ว 5555 และขออนุญาตปาดหน้าบทความประจำในวันศุกร์ ถ้าไม่ผิดพลาดอะไร เดี๋ยวเย็นนี้ คงจะลงให้ทันนะครับ
ผมคิดว่าบทความนี้น่าจะเป็นบทสรุปสุดท้ายของเรื่อง COVID19 ภาคประชาชน (ไม่ลงวิชาการ) ที่ผมจะเผยแผ่ออกไป เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและปรับตัวเข้าให้ถูกต้องอย่างมีสติครับ
❤️❤️สิ่งแรกเลยที่เราต้องเข้าใจคือ เชื้อโรคนี้ เป็นเชื้อไวรัส ที่มีต้นสายจากไวรัส CORONA แล้ว กลายพันธุ์มาเรื่อยๆจากกลายเป็น MERs SARs เมื่อหลายๆปีก่อน แล้วมาตอนนี้ได้กลายเป็น COVID19 ซึ่งมีสายรหัสที่คล้ายกับ HIV และ Ebola ซึ่งจะมีแยกออกเป็นสายพันธ์ุ L กับ S ซึ่ง S จะรุนแรงมากกว่า 😱😱
และแน่นอนครับ เชื้อไวรัสเหล่านี้ มันไม่เคยหายไปจากร่างกายของเราเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น งูสวัด ที่เป็นแล้วไม่หาย แต่จะไม่แสดงอาการถ้าเราร่างกายแข็งแรง ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ บางคนเป็นกันทั้งปีใช่ไหมครับ แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงของบางคนอาจจะไม่แสดงอาการอะไรเลย บางคนบอกที่เป็นหวัดเพราะไปติดเชื้อคนอื่นมา ลองนึกตามนะครับ ทำไมแค่เราทำงานอยู่ที่ห้อง อดหลับอดนอนซักวันสองวัน อยู่ๆก็เป็นหวัดได้ บางคนแค่ตากฝน หรือเจออาการเย็นๆ ก็เป็นหวัดได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาแพร่เชื้อให้ นั้นก็เพราะ ไวรัสมันอยู่ในร่างกายของเราไงครับ มันอยู่มาตลอด แค่ว่าเมื่อไหร่ที่เรามีสภาวะร่างกายที่อ่อนแอ ไวรัสมันก็จะฮึกเหิมแสดงอาการออกมา
ทุกวันนี้ MERs SARs Ebola ก็ยังมีอยู่นะครับ แต่มันถูกเรียกว่า เชื้อโรคเฉพาะถิ่น ไปแล้ว เพราะเรามีภูมิต้านทานแล้ว มันจึงไม่ค่อยแสดงอาการอะไรออกมา เฉกเช่น COVID19 ก็เช่นกัน ที่วันนึงมันก็จะกลายเป็น เชื้อโรคเฉพาะถิ่น ไปในไม่ช้า เมื่อร่างกายเราอ่อนแอ มันก็จะฮึกเหิมขึ้นมาใหม่อีกที (ที่เรียกว่า เชื้อเฉพาะถิ่น เพราะมันเป็นโรคของที่นั้นๆ แต่ด้วยยุคสมัยที่การเดินทางเพียงแค่หลับตา เราก็บินจากจีนไปโผล่ที่อเมริกาแล้ว มันจึงทำให้เกิดการระบาดในวงกว้าง)
นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมจึงมีข่าวว่า คนไข้ที่ได้รับการรักษาหายแล้ว แต่ยังคงพบเชื้อในร่างกายคนไข้ ยังสามารถแพร่เชื้อต่อได้ และบางคนกลับมาป่วยอีกครั้ง แถมบางคนถึงขั้นกลับมาป่วยอีกครั้งแล้วมาเสียชีวิตด้วย หรือในกรณีที่ อังกฤษหรือจีน ที่พบว่ามีการติดเชื้อจาก แม่ สู่ ลูก ได้ ในระยะที่มารดาติดเชื้อในช่วงคลอด ก็ให้มองในมุมของ HIV ที่สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้เช่นกันที่ประมาณ 25% แต่ถ้าทานยาต้านจะเหลือ 7-8% หมายถึงยังมีเชื้ออยู่ ยังติดได้อยู่ แต่ไม่100% 🧐🧐
❤️❤️เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องเข้าใจตามมาก็คือ โรคจากไวรัสนั้นไม่มียารักษาที่หายขาด เช่นเดียวกับ ไข้หวัด มียารักษาที่ทำให้เราหายขาดจากหวัดไหมครับ ไม่มี !!! มีเพียงรักษาตามอาการ ปวดหัว เป็นไข้ เจ็บคอ น้ำมูก เสมหะ เป็นต้น แล้วเราก็นอนพักผ่อน ตื่นมาก็รู็สึกดีขึ้น เพราะร่างกายเมื่อแข็งแรงก็จะกดความฮึกเหิมของไวรัสนี้ให้ลดลง
แล้วที่เราได้ข่าวต่างๆเกี่ยวกับยาและวัคซีนล่ะ ให้แยกเป็นสองอย่างครับ
💉วัคซีน คือ ยาที่ฉีดเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสแสดงความฮึกเหิมออกมาหรือน้อยลงล่วงหน้า เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่เราๆฉีดกัน ไม่ได้แปลว่า ฉีดแล้วจะไม่มีทางเป็นนะครับ แต่เพียงแค่ว่า สมมุติว่าถ้าเราติด เราจะมีอาการปอดบวม แต่เผอิญเราฉีดวัคซีนไว้มันเลยแสดงอาการแค่เป็นหวัดธรรมดา เป็นต้น แล้วในการจะผลิตวัคซีนใหม่นั้น ต้องใช้เวลาในการจะทำทดลองอย่างน้อย ปีหรือปีครึ่ง ในการวิจัยจนใช้ในคนได้อย่างปลอดภัย
💊ยาต้านไวรัส(หรือที่สื่อพาดหัวว่า ยารักษา นั้น) คือ การที่เราติดเชื้อไวรัสแล้วมีอาการแสดงที่มากหรือหนัก ยาตัวนี้จะไปเป็นกำลังเสริมให้กับร่างกายในการกดความฮึกเหิมของเชื้อลง เช่น ยาต้านไวรัส HIV ทานแล้วไม่ได้แปลว่าหายจาก HIV นะครับ แต่มันจะไปกดความฮึกเหิมของเชื้อ ที่ชอบไปกดภูมิคุ้มกันของเราให้ต่ำลง แล้วเราก็จะไปเสียชีวิตจากโรคอื่นๆเช่น TB เบาหวาน ที่เข้ามาทำร้ายจากการที่เราโดน HIV กดภูมิคุ้มกันไว้ ทำให้เมื่อทานยาต้านไปแล้วจึงสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ไม่ได้แปลว่า เราหายจาก HIV นะครับ
ที่นี้พอเราเข้าใจเรื่องเชื้อเรื่องยา แล้วที่นี้มา เรื่องความรุนแรงของโรค COVID19 กันบ้าง
สิ่งที่เราต้องตั้งสติดีๆคือ
😈++โรคนี้เราติดง่าย แต่เราตายยาก++ 😈
ย้ำอีกครั้งนะครับว่า เราติดง่าย แต่เราตายยาก ดังนั้นต้องแยกเรื่องนะครับ ผมกล้าบอกได้เลยว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อจะยังไปอีกไกลครับ แต่อัตราการตายเราจะไม่ได้เยอะขนาดยุโรปหรืออเมริกา แน่นอน
เรื่องเราติดง่ายนั้น เราคงพอทราบกันอยู่แล้ว เช่น ถ้าอยู่ในน้ำอยู่ได้ 4 วัน ติดทางละออง สารคัดหลั่ง มีอายุล่องลอยได้ 30 นาที ถ้าติดที่พื้นผิวต่างๆ สามารถอยู่ได้ 4-9 วัน ในระบบปิด ลอยไปได้ไกล 4.5 เมตร ในระบบเปิด 2 เมตร เชื้อตายที่อุณหภูมิ 56 องศา ตายง่ายเพียงน้ำสบู่ หรือ แอลกอฮอล์ 70%ขึ้นไป ระยะเวลาในการฟักตัวนั้น ตั้งแต่ 2 วันถึง 37 วัน( ข้อมูลล่าสุด 49 วัน) แต่แพร่เชื้อได้ตั้งแต่ เริ่มติดเชื้อ และ 90%ของคนที่ติด ไม่แสดงอาการ (นี้แหละครับที่ตัวเลขที่เห็นมันไม่ใช่ตัวเลขจริง เพราะเราไม่รู้ว่าติดไม่ติด) 8%แค่ป่วย 2%ที่เสียชีวิต
ส่วนเรื่องเราตายยากนั้น ตั้งสติขึ้นอีกนิดนะครับเรื่องนี้ อย่าเอาเพียงสิ่งที่สื่อพยายามยัดเยียดความน่ากลัวของโรคจนเราไม่ดูข้อเท็จจริงบางอย่าง
☠️อัตราการตายทั้งโรคเมื่อเทียบกับอัตราผู้ติดเชื้อทั่วโลกคือ 2-3% เท่านั้น น้อยกว่า โรคไข้หวัดใหญ่เสียอีกครับ
ยิ่งถ้าตัดกลุ่มเสี่ยงต่างๆออก คือ อายุมากกว่า 65 มีโรคประจำตัวกลุ่มNCDs เบาหวาน ความดัน หรือโรคทางระบบทางเดินหายใจ สูบบุหรี่ อัตราการเสียชีวิตจะเหลือไม่ถึง 1% (ในคลิปบอกว่า โอกาสถูกหวยยังมากกว่าด้วยซ้ำ)
แล้วก็จะมีคนถามผมว่า แล้วที่หลายๆประเทศตายกันเยอะๆล่ะ เช่น อิตาลี จีน สเปน อเมริกา ประเทศเหล่านี้ ถ้าไปดูให้ลึกจะพบว่าคนที่เสียชีวิตเกือบทั้งหมด คือกลุ่มเสี่ยงครับ และประเทศเหล่านี้มีอัตราประชากรที่อายุมากกว่า 65 เยอะมาก สูบบุหรี่ก็จัด ส่วนในประเทศอิหร่านนั้น เกิดจากสภาพประเทศที่ถูกกีกกันจากนานาชาติ ทำให้ระบบการสาธารณสุขแย่มาก ขาดแคลนแม้อุปกรณ์แพทย์พื้นฐาน ร่วมด้วยจึงมีผู้เสียชีวิตเยอะ
เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรต้องระวังเป็นพิเศษคือ กลุ่มเสี่ยงทั้งหลาย อายุ 65 ขึ้นไป มีโรคประจำตัว โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ สูบบุหรี่ หรือให้มองง่ายๆคือกลุ่มผู้สูงอายุในบ้านเรานั้นเองที่ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะเมื่ออยู่ในกลุ่มนี้แล้วความเสี่ยงในการเสียชีวิตจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว
ดังนั้นต้องมีสตินะครับ แยกกัน เรื่องติดเชื้อ กับ เรื่องตาย
ที่นี้เราจะทำอย่างไงดีครับให้เราไม่ติด(จริงๆก็เลี่ยงยากนะครับ) หรือถ้าติดแล้วเราจะไม่เป็นอะไร สำคัญที่สุดครับ คือสุขภาพเราต้องแข็งแรงครับ มาดูกันว่ามีปัจจัยไรกันบ้าง
1 . การนอน 😴😴😴ควรนอนหลับให้ได้วันล่ะประมาณ 7 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาในการจัดการตัวเอง รักษาตัวเอง เหมือนที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ เป็นหวัด ทานยา(รักษาตามอาการ)แล้วนอน ตื่นมาคุณจะดีขึ้นตามลำดับ ยิ่งถ้าอาการหนักก็ต้องนอนให้เยอะ รถขับทางไกลยังต้องมีพักรถ พักเครื่องเลย การไปนอนที่โรงพยาบาลก็เช่นกัน คือ การไปบังคับให้คุณนอนมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายได้รักษาตัว (เรื่องนี้ ผมติดสัญญาไว้ว่า จะมีสรุปเนื้อหาจากหนังสือ why we sleep ? เดี๋ยวผมจะเร่งสรุปเอามาให้อ่านกันนะครับ)
2 . ทานวิตามินให้เหมาะสมมากขึ้น โดยเฉพาะ วิตามิน B complex วิตามิน D3 และวิตามิน C ให้รับมากขึ้นเป็นพิเศษ ไม่ใช่แค่ วิตามิน C เพียงอย่างเดียวเพราะหลายคนขาดวิตามินอื่นๆ แล้วมาถมทาน วิตามิน C อย่างเดียว ไม่ช่วยนะครับ ทานวิตามินต่างๆให้ครบให้เหมาะสม แล้วเพิ่มปริมาณของ วิตามิน B complex และ วิตามิน C มากขึ้น (อ้าวแล้ว วิตามิน D3 ล่ะ )
3 . แสงแดด อากาศบริสุทธ์ และ วิตามิน D3 นั้นไม่ต้องไปหาซื้อทานครับเพราะ บ้านเรามีความได้เปรียบกว่า ยุโรป อเมริกา คือ แสงแดด ครับ แล้วเกี่ยวไรกับ วิตามิน D3 ล่ะ ก็แค่เราตากแดด เราก็ได้วิตามิน D3 “ the sunshine vitamin” แล้วครับไม่ต้องไปซื้อให้เสียเงิน ตากแดดยามเช้า ยามสาย ยามเย็น (รายละเอียดผมเคยเขียนลงในเพจไปแล้ว https://www.facebook.com/108522463928062/posts/174656827314625/ ) แค่นี้ก็ได้เหลือเฟือเลยครับ จริงๆมีงานวิจัยอยู่ฉบับนึง ที่ผมกำลังอ่านอยู่ว่าจะเอามาแปลสรุปให้อ่านแต่พอทำบทความนี้ เลย สรุปง่ายๆเลยว่า มีการพบว่า คนไข้ที่ติดเชื้อไวรัส เมื่อให้คนไข้ได้รับแสงแดดโดยตรง และ ออกมารับอากาศที่ปลอดโปร่งถ่ายเทข้างนอก จะทำให้คนไข้มีอาการดีขึ้น พบอัตราการตายจากไข้หวัดใหญ่ลดลงจาก 40% มาเหลือ 13% ( ในตอนที่ทำวิจัยนะครับ) เขาเรียกกระบวนการนี้ว่า “ the healing sun “ ( งานวิจัยตัวเต็ม https://medium.com/@ra.hobday/coronavirus-and-the-sun-a-lesson-from-the-1918-influenza-pandemic-509151dc8065 ) แล้วก็เรื่องอากาศนั้นย้ำนะครับว่าอากาศบริสุทธ์ ไม่ใช่อากาศที่เต็มไปด้วย PM 2.5 นะครับ เพราะถ้าแบบนั้น คุณจะยิ่งมีความเสี่ยงมากขึ้นนะครับ ( https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=153664409413867&id=108522463928062 )
4 . ภาวะน้ำตาลในเลือด ซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า โรคส่วนใหญ่ที่พวกเราเป็นกันนั้น ไม่ว่า ความดัน เบาหวาน หัวใจ โรคNCDs ทั้งหลายมีสาเหตุมากจากปริมาณน้ำตาลในเลือดที่สูงทั้งสิ้น หรือเรียกให้ดูดีก็คือ ภาวะดื้ออินซูลิน นั้นเอง ซึ่งจะทำให้เรากลายสภาพเป็นกลุ่มเสี่ยงในทันที รวมทั้ง ยารักษาโรคบางตัว ยังไปกระตุ้นให้เกิด ตัวรับ ACE2 ซึ่งเป็นตัวที่จะเพิ่มภาวะการติดเชื้อCOVID19 ได้ง่ายขึ้นและรุนแรงขึ้นด้วย ( ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมและเพื่อนๆในเพจ กำลังพยายามปรับปรุงเพื่อมาดูแลสุขภาพอย่างแท้จริงกัน ในบทความนี้ มีการสรุป เรื่องน้ำตาลมีผลต่อเชื้ออยู่นะครับ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=164382905008684&id=108522463928062 )
5 . การออกกำลังกาย วิถีชีวิตประจำวัน การงดสูบบุหรี่(เพราะบุหรี่จะทำให้เกิดการกระตุ้น ACE2 มากขึ้น) การงดแอลกอฮอล์ การจัดการความเครียด (เพราะความเครียดจะส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราลดลงและสับสน ) ส่วนในเรื่อง Social Distancing ยังเป็นเรื่องที่ดีในการระวังและระงับการติดเชื้อได้ดีในช่วงการระบาดแรกๆ ที่โรคยังเป็นโรคใหม่อยู่ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะแพร่เชื้อสู่กลุ่มความเสี่ยง รวมถึง ความเร็วในการแพร่เชื้อติดเชื้อด้วย แต่เมื่อมันกลายเป็น เชื้อเฉพาะถิ่น มันก็เหมือนการที่เราเป็นไข้หวัด ซึ่งก็ยังคงต้องมีการเว้นระยะห่างเช่นเดิม หรือใครชอบไปอยู่ชิดแนบสนิทกับคนที่เป็นหวัดครับ อิอิ
เรื่องการทำลายปอดทำลายอวัยวะภายในนั้น ถ้าภูมิคุ้มกันเราดี ก็จะไม่เป็นอะไร ที่พบการทำลายปอด ทำเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ล้วนเกิดจากการที่กลุ่มคนเหล่านั้นมีโรคประจำตัวหรือความเสี่ยงอื่นๆที่นำพาเชื้อไปทำลายในจุดนั้นๆ เช่นถ้าสูบบุหรี่ TB ก็ปอดเลยครับ ที่จะเสียหาย ถ้าเบาหวาน ก็ไปทั่วล่ะครับ (ให้จำคำว่า Cytokines strome ไว้ครับ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=206970807416560&id=108522463928062 ) เรื่องการตรวจหาเชื้อนั้น แนะนำว่าให้เรามีอาการที่ชัดเจนก่อนถึงจะไปตรวจ อาการหลักๆสามอย่างคือ ไข้ขึ้นสูง ไอแห้ง เจ็บคอ และที่สำคัญถ้าคุณเป็นกลุ่ม 90% คือติดแต่ไม่แสดงอาการแล้วไปตรวจ คุณอาจจะโชคดีถูกอัญเชิญไปกักตัวที่โรงพยาบาล แล้วได้รับยาต้านไวรัสผสม (ที่เรียกว่า ยาค๊อกเทล) เพราะหมอต้องการจะฆ่าเชื้อไวรัส (ทั้งๆที่มันไม่ได้ฆ่าเชื้อแต่แค่กดเชื้อ)
ซึ่งผมขอบอกเลยครับว่า ผลข้างเคียงของยา ต้องระวังนะครับ เพราะฉะนั้น ดูแลตัวเองให้ดี ดีกว่าครับ อย่าตื่นตระหนก อย่าpanic มีสติ ทำในสิ่งที่ควรทำ (ล่าสุดที่ แมทธิว ติดโควิท อยู่มา 27 วัน ก็ยังผลบวกอยู่ เพราะมันจะอยู่กับเราตลอดไป) จงอยู่กับมันอย่างเข้าใจและเป็นนายมันด้วยร่างกายที่แข็งแรง ย้ำนะครับ เชื้อมันจะอยู่กับเราตลอดไป เราต้องปรับวิถีชีวิตเพื่อก้าวต่อไปครับ
เป็นบทความที่น่าจะยาวที่สุดตั้งแต่ที่เปิดเพจมา แต่ผมคิดว่าน่าจะมีข้อมูลเกือบครบแล้วในการทำความเข้าใจรวมทั้งการดูแลตัวเองจากเชื้อโรค COVID19 ถ้าอยากรู้เรื่องไหนเพิ่มเติมหรือผมตกหล่นอะไร คอมเม้นต์ หรือ inbox มาได้นะครับ และบทความนี้ทำให้เห็นว่าสิ่งที่เพื่อนๆและผมในเพจนี้กำลังทำอยู่นั้นคือเส้นทางที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรงจากข้างในจริงๆ โดยเฉพาะการไม่ทำตัวเองให้กลายเป็นกลุ่มเสี่ยง ด้วย หลักการ Metabolic Flexibility แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน(โดยที่มีไวรัสตัวนี้ เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ในตัวเราตลอดไปเพิ่มไปอีกหนึ่งตัว 55555)
กราบขอบพระคุณครับที่อ่านจบ ขออภัยที่อาจจะดูลายตา แต่ถ้าคิดว่า บทความนี้ดี มีประโยชน์อย่าลืม ช่วยกด like กด แชร์ ให้หน่อยนะครับ. 💓💓💓
"เมื่อสุขภาพดีแล้วโรคภัยจะจากไปเอง"