-
@ HGGlobal
2024-10-24 09:37:21ตอนที่แล้วได้กล่าวถึงการตั้งบริษัท Holding Company เพื่อนำมาถือหุ้นในบริษัทลูก จุดประสงค์นอกจากจะเป็นการประหยัดภาษีแล้ว ยังง่ายต่อการควบคุม เนื่องจากแบ่งสัดส่วนการถือหุ้นกันตั้งแต่ต้น ซึ่งหากถือในนามบุคคลธรรมดาย่อมปกปิดตัวตนที่แท้จริงไม่ได้ ดังนั้นหลายๆบริษัทจึงนิยมตั้ง Offshore Holding (Holding ที่ตั้งในต่างประเทศ) เข้ามาถือหุ้นบริษัท Holding ในประเทศอีกทีหนึ่ง
นั่นแปลว่าวุ่นวายกับการตั้งบริษัท Offshore Holding แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็นำมาถือหุ้นใน Holding ในประเทศเพื่อเป็นเจ้าของทุกๆบริษัทในเครือ ซึ่งมีอำนาจควบคุม บังคับบัญชา และสั่งการโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง
ส่วนถ้าจะถามว่าไปตั้ง Offshore ประเทศไหนดี อันนี้ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของแต่ละท่าน ซึ่งไม่มี One Size fits all บางคนตั้ง Offshore มาเพื่อรับเงินก้อนใหญ่จากการขายหุ้น และไม่ได้ต้องการปกปิดตัวตนอะไรมากมายก็อาจจะไปตั้ง Offshore ที่ Hong Kong หรือ Singapore
แต่ถ้าวัตถุประสงค์ต้องการที่จะปกปิดตัวตน อาจจะไปตั้งในประเทศอย่าง Seychells, Vanuatu, Mauritius หรือ BVI เป็นต้น ซึ่งประเทศเหล่านี้มักมีนโยบายไม่เปิดเผยตัวตนของบุคคลที่เป็นเจ้าของหุ้นในบริษัท และที่สำคัญ ประเทศเหล่านี้บางทียอมให้นิติบุคคลต่างประเทศเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นได้ 100% (กฎหมายไทยในการตั้งบริษัทต้องมีผู้ถือหุ้น 2 คนขึ้นไป และหากไม่มีโรงงานในไทย หรือได้รับสิทธิ BOI ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ไม่เกิน 49%)
ดังนั้นหาก Offshore Company 1 ชั้นยังไม่พอ คุณก็ตั้ง Offshore ไปเลย 2 ประเทศเช่น ผมอาจจะตั้ง Offshore แรกที่ Vanuatu ซึ่งผมถือหุ้น 100% (ในนามบุคคล) แล้วจึงไปก่อตั้งอีก 1 บริษัทอีกแห่งที่ Seychells โดยให้ Vanuatu Offshore เข้าไปถือหุ้น 100% ในนามบริษัท แล้วผมจะนำ Seychells Offshore มาถือหุ้นใน Thailand Holding อีกทีหนึ่ง ซึ่งหาก Thailand Holding ไม่ได้มีโรงงาน หรือได้รับสิทธิ BOI แปลว่า Seychells Offshore จะเข้าไปถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% ส่วนอีก 51% คุณควรหานอมินี หรือคนในครอบครัวที่ไม่ได้กังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวเข้ามาถือหุ้นแทน และอาจจะจำกัดสิทธิออกเสียงผ่านกลไกการถือหุ้นบุริมสิทธิ์แทน เอาเป็นว่าเดี๋ยวจะงง แต่ให้เข้าใจไว้ว่า 51% ที่ถือหุ้นแทนมีช่องทางที่ทำให้เสียง Vote หรือสิทธิในการรับเงินปันผลน้อยกว่าฝั่ง 49% ซึ่งเดี๋ยวจะหาเวลาอธิบายเรื่องนี้โดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
แปลว่าหากทางรัฐบาลไทยตรวจสอบรายชื่อผู้ถือหุ้นหรือทรัพย์สินของคุณ หากใช้การถือทรัพย์สินแบบนี้ย่อมไม่มีทางที่รัฐจะรู้เลยว่าคุณเป็นเจ้าของทรัพย์สิน หรือกิจการอะไรกันแน่ และหากรัฐบาลไทยต้องการตรวจสอบจริงๆ การจะไปตรวจพิสูจน์ว่าใครถือหุ้น หรือมีสิทธิในการครอบงำบริษัทจะเป็นเรื่องยากมาก
ซึ่งหากคุณคิดว่านี่ยังเป็นส่วนตัวไม่พอละก็… แน่นอนมีวิธีที่จะเพิ่มความเป็นส่วนตัวมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีอีก 2 วิธี และสามารถนำมาใช้ร่วมกับวิธีนี้ได้ ส่วนจะเป็นวิธีอะไรนั้น รอติดตามตอนต่อไป
Own Nothing and be Happy ในแบบฉบับ Elite เป็นไงบ้างครับ เริ่มเห็นภาพหรือยังว่าทำไมตระกูลดังๆอย่าง Rothschild สามารถปกป้องความเป็นส่วนตัวของพวกเขาไว้ได้โดยที่คนนอกไม่รู้เลย ก็เพราะเครื่องมือแบบนี้ไง
realeakkrit #siamstr #privacy