-
@ Jakk Goodday
2025-03-06 12:41:15สายลมพัดกระโชกแรง แทรกซึมผ่านแนวต้นไม้สูงใหญ่ในป่าทึบ รัตติกาลโอบล้อมทุกสิ่งไว้ในความมืดมิด ร่างของเอี้ยก้วยเคลื่อนผ่านเส้นทางขรุขระ ย่ำเดินไปบนโคลนที่เปียกชื้นจากฝนที่ตกพรำมาทั้งวัน
ทุกย่างก้าวหนักอึ้ง... ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย แต่เป็นภาระของหัวใจที่แบกรับไว้—มันหนักเสียยิ่งกว่าภูเขาหลายลูก
เซียวเหล่งนึ่ง... จากไปแล้ว
ราวกับสวรรค์เล่นตลก เหมือนโชคชะตากำลังทดสอบจิตวิญญาณของเขา ทุกสิ่งที่เขาต่อสู้เพื่อมัน ทุกสิ่งที่เขาหวงแหน... กลับถูกพรากไปอย่างโหดร้าย ไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดมากไปกว่าการยืนอยู่เพียงลำพังในโลกกว้างใหญ่ที่ไร้เงาของนาง
ไม่นานก่อนหน้านี้ เอี้ยก้วยและเซียวเหล่งนึ่งยังคงอยู่ด้วยกันภายใน หุบเขาสุสานโบราณ—สถานที่ที่ทั้งสองเคยให้คำมั่นว่าจะครองรักกันไปชั่วชีวิต แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันอย่างโหดร้าย
เซียวเหล่งนึ่งเชื่อว่า ตนเองถูกวางยาพิษร้ายแรง นางไม่ต้องการให้เอี้ยก้วยต้องทนทุกข์ทรมานกับการเห็นนางจากไปช้าๆ—นางจึงเลือกที่จะทิ้งเขาไว้
“อย่าตามหาข้า...”
เสียงของนางยังคงก้องอยู่ในใจเขา แม้จะเป็นเพียงกระซิบแผ่วเบาในคืนฝนตก แต่สำหรับเอี้ยก้วย มันราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำลายทุกสิ่ง
เขาเคยสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างนาง แต่สุดท้ายนางกลับเลือกหนทางนี้...
ฝนยังคงโปรยปราย สายลมยังคงโหมพัด แต่ในใจของเอี้ยก้วย กลับเงียบงันยิ่งกว่าทะเลทรายอันว่างเปล่า
ตั้งแต่วันที่เซียวเหล่งนึ่งจากไป เขาออกเดินทางโดยไร้จุดหมาย เท้าของเขาพาเขาไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ใด
หรือบางที... อาจเป็นเพราะเขาไม่สนใจอีกแล้ว
เขาเดินฝ่าภูเขา ป่าทึบ ลัดเลาะเส้นทางอันเปลี่ยวร้างของยุทธภพ แววตาของเขามิได้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นอีกต่อไป แต่มันกลับกลายเป็นความว่างเปล่า ราวกับวิหคที่บินหลงทางในฟากฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด
เขาไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปที่สุสานโบราณ เพราะเขารู้ว่า—ต่อให้กลับไป ก็จะไม่พบสิ่งใดอีกแล้ว
เสียงฟ้าคำรามก้องกังวาน สายฟ้าผ่าลงมาส่องแสงวาบผ่านม่านเมฆดำสนิท ลำแสงสีขาวแหวกทะลุเงาของต้นไม้สูงใหญ่ เผยให้เห็นร่างของเอี้ยก้วยที่ยังคงยืนอยู่กลางพายุ
เสื้อคลุมของเขาเปียกโชกจากสายฝน น้ำฝนไหลซึมผ่านผิวกาย แต่อากาศหนาวเย็นกลับไม่อาจทำให้เขาสั่นสะท้านได้ เพราะจิตใจของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายลมที่พัดผ่าน
“ทำไมกัน...”
เสียงของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพายุ เอี้ยก้วยกำมือแน่น รู้สึกถึงอารมณ์ที่ปะทุขึ้นภายใน—มันเป็นทั้งความเจ็บปวด ความโกรธ ความสับสน และความสิ้นหวัง
แต่ทันใดนั้นเอง...
เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง
มันไม่ใช่เพียงเสียงพายุ หรือเสียงใบไม้ไหวในสายลม—แต่เป็นสายตา... สายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่
ร่างของเอี้ยก้วยตวัดสายตามองไปรอบตัว ลมหายใจของเขาติดขัด ฝนที่ตกหนักบดบังทุกสิ่งรอบกาย แต่มันมิอาจบดบังสัมผัสของเขาได้
จากมุมหนึ่งของม่านฝน...
เงาหนึ่งขยับเข้ามาอย่างแผ่วเบา
แม้ไม่มีเสียงฝีเท้า แต่พลังที่เปล่งออกมากลับหนักหน่วง ยิ่งกว่าคลื่นของมหาสมุทร
เสียงหนึ่งดังขึ้น แทรกผ่านสายฝน...
"ดูเหมือนเจ้ายังไม่เข้าใจสายฝนดีพอ..."
มันไม่ดังนักแต่กลับทะลวงเข้าสู่หัวใจ เอี้ยก้วยหันขวับ ดวงตาจ้องเขม็งผ่านม่านน้ำ
แล้วเขาก็เห็น...
ชายผู้นั้นยืนอยู่กลางสายฝน แต่เสื้อคลุมขาวของเขากลับมิได้เปียกโชกแม้แต่น้อย ร่างสูงโปร่งแต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอันไม่อาจหยั่งถึง ดวงตาของเขาสงบนิ่งยิ่งกว่าน้ำในบึงลึก ทว่ากลับสะท้อนความลี้ลับดุจมหาสมุทร
“ข้าแซ่ JAKK นามว่า Goodday”
เสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับทำให้หัวใจของเอี้ยก้วยเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ มันไม่ใช่พลังข่มขู่ แต่เป็นแรงกดดันที่มาโดยธรรมชาติ ราวกับภูเขาสูงตระหง่านที่มิได้พยายามบดบังแสงอาทิตย์ แต่กลับบังมันไว้โดยสมบูรณ์
“เจ้าคือใครกันแน่?” เอี้ยก้วยเอ่ยถาม ดวงตาจ้องมองชายลึกลับตรงหน้า “เจ้ามีจุดประสงค์ใดถึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้า?”
JAKK เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ แต่ในดวงตานั้นกลับฉายแววที่ทำให้หัวใจของเอี้ยก้วยสั่นสะท้าน
“ข้าคือผู้เดินทางผ่าน เช่นเดียวกับสายฝนนี้”
เอี้ยก้วยขมวดคิ้ว คำพูดเหล่านั้นช่างคลุมเครือ ราวกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นแต่กลับไร้รูปร่างจับต้อง
ทันใดนั้นเอง สายลมกระโชกแรงขึ้น ฝนที่เคยสาดกระหน่ำกลับเปลี่ยนทิศทาง หยาดน้ำที่ตกลงมากลางอากาศดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ก่อนจะไหลวนตามแรงที่มองไม่เห็น ราวกับทั้งสายฝนนี้กำลังถูกควบคุม
ฟึ่บ!
เสี้ยววินาทีถัดมา เอี้ยก้วยสัมผัสได้ถึงแรงบางอย่างที่พุ่งผ่านใบหน้า ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ฝน แต่มันคือบางสิ่งที่จับต้องไม่ได้!
เขาตวัดกระบี่ขึ้นอย่างฉับพลัน แต่กลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า พริบตานั้นเอง... ใบไม้ด้านหลังเขาถูกเฉือนขาดเป็นเส้นตรง!
เอี้ยก้วยเบิกตากว้าง "นี่มัน..."
JAKK เอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาฉายแววของผู้ที่มองเห็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่ออก
“ฝนสามารถทำให้ดินชุ่มชื้น หรือสามารถกัดเซาะภูเขาได้” เขากล่าวช้า ๆ “แต่เจ้ากลับปล่อยให้มันตกต้องโดยไร้ความหมาย”
เอี้ยก้วยกำกระบี่แน่น รู้สึกถึงความโกรธที่แล่นขึ้นมาในอก "เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"
JAKK ไม่ตอบ แต่เพียงยื่นมือออกไป หยดน้ำฝนที่ปลายนิ้วของเขาค่อย ๆ ไหลรวมกันเป็นเส้นบางเบา ส่องประกายราวใยไหมในความมืด
"น้ำ... ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด"
"แต่มันไม่มีใครทำลายมันได้"
เอี้ยก้วยขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจ... หรือบางที เขาอาจไม่อยากเข้าใจ
JAKK ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา แต่แหลมคมกว่ากระบี่ใด ๆ
"เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับสายฝน... หรือเจ้ากำลังปล่อยให้มันกลืนกินเจ้า?"
คำถามที่ดูเหมือนไร้ความหมาย... กลับหนักหน่วงยิ่งกว่าสายฝนที่โหมกระหน่ำ เอี้ยก้วยรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังสั่นคลอนอยู่ในจิตใจของตนเอง
"ฝนเป็นเพียงฝน ข้าจะไปอยู่เหนือมันหรือถูกมันชะล้างได้อย่างไร?" เขาตอบโดยไม่ต้องคิด
JAKK ยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนกล่าวคำที่ทำให้เอี้ยก้วยต้องนิ่งงัน
"เช่นนั้น เจ้าก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่กำลังมองหา..."
สายฝนยังคงโปรยปราย ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับมหาสมุทรที่คว่ำลงสู่พื้นพิภพ ฟ้าคำรามก้อง ลำแสงสายฟ้าแหวกม่านเมฆดำสาดลงมาราวกับต้องการเปิดโปงความลึกลับที่ปกคลุมค่ำคืนนี้
เอี้ยก้วยยืนตระหง่านอยู่กลางลานหิน สายตาของเขามิได้จดจ้องสายฝนที่ซัดกระหน่ำร่างของเขาอีกต่อไป หากแต่จับจ้องอยู่ที่ชายตรงหน้า—บุรุษผู้เผยตนจากม่านฝน ร่างสูงสง่าในอาภรณ์ขาวสะอาดไร้รอยเปียก ดวงตาสงบนิ่งดังมหานทีอันลึกล้ำ
“เจ้ากำลังต้านฝน…” JAKK กล่าวเสียงเรียบ “แต่สายฝนนี้มิใช่ศัตรูของเจ้า”
เอี้ยก้วยสูดลมหายใจเข้าลึก กระชับกระบี่ในมือแน่น
“ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อทดสอบความหมายของหยาดฝน” เสียงของเขาเด็ดเดี่ยว “แต่เพื่อพิสูจน์ว่าข้ายังยืนหยัดอยู่ได้ แม้สวรรค์จะทอดทิ้งข้า”
JAKK มิได้กล่าวตอบ แต่ปลายนิ้วของเขายื่นออกมาเพียงเล็กน้อย
ฟึ่บ!
สายฝนรอบตัว JAKK คล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นเส้นสายโปร่งใสราวกับใยไหมสะท้อนแสงจันทร์
“ใยวารี”
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังลอดออกจากริมฝีปากของ JAKK และในพริบตานั้นเอง เส้นสายเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธแห่งธารา แหวกอากาศพุ่งเข้าหาเอี้ยก้วยด้วยความเร็วเหนือมนุษย์!
เคร้ง!
เอี้ยก้วยสะบัดกระบี่ปัดป้อง แต่บางสิ่งผิดปกติ เส้นใยน้ำมิได้ถูกเฉือนขาด กลับพันรอบคมกระบี่ราวกับเถาวัลย์ที่ไร้ตัวตน ร่างของเขาถูกดึงรั้งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว!
“อะไร!?”
ฟึ่บ!
เอี้ยก้วยตัดสินใจกระโจนขึ้นกลางอากาศ หมุนตัวเพื่อสะบัดใยวารีออกจากร่าง แต่ในขณะที่เขาลอยตัวกลางหาว ใยโปร่งใสเหล่านั้นกลับเคลื่อนตามมาอย่างลื่นไหล ปรับทิศทางเหมือนมันมีชีวิต!
JAKK มองภาพนั้นนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาไร้แววเย้ยหยัน มีเพียงประกายแห่งการสังเกต
“สายน้ำไม่เคยยึดติด ไม่เคยต่อต้าน” JAKK กล่าวเรียบ ๆ “มันซึมซับทุกสิ่งอย่างไร้รูปร่าง เจ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”
เอี้ยก้วยกัดฟันแน่น ฝ่ามือที่จับกระบี่เริ่มสั่นเล็กน้อย นี่มิใช่วิชาที่เขาเคยประมือมาก่อน…
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำให้มันแตกสลาย!”
กระบี่วิหคโบยบิน!
เอี้ยก้วยระเบิดพลังสุดกำลัง กวัดแกว่งกระบี่เป็นวงกว้าง ตวัดเป็นแนวสายลมกรรโชก!
ลำแสงแห่งกระบี่พุ่งตัดผ่านม่านฝน ปะทะเข้ากับใยวารีที่พุ่งมาอย่างแรง!
ฉัวะ!
สิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่การแตกสลายของใยวารีไม่ เส้นใยเหล่านั้นกลับยืดหยุ่นและดูดซับแรงปะทะของกระบี่ ราวกับมันมิใช่ของแข็งหรือของเหลว แต่เป็นสภาวะที่อยู่เหนือขึ้นไป!
เคร้ง!
แรงสะท้อนทำให้เอี้ยก้วยเสียหลัก กระบี่ของเขาถูกดูดซับพลังไปในชั่วพริบตา ร่างของเขาถอยหลังไปหลายก้าว หัวใจเต้นแรง
“เป็นไปไม่ได้...”
JAKK ก้าวเข้ามาช้า ๆ สายตาไร้แววสมเพชหรือโอ้อวด มีเพียงความสงบเช่นผืนน้ำที่ไร้คลื่น
“พลังที่แข็งแกร่งที่สุด มิใช่พลังที่เผชิญหน้า” เขากล่าว “แต่คือพลังที่อยู่เหนือการเผชิญหน้า”
เอี้ยก้วยยังไม่เข้าใจ แต่จิตใจของเขาเริ่มหวั่นไหว
JAKK มองเขาเงียบ ๆ ก่อนจะพลิกมืออย่างแผ่วเบา
ฟึ่บ!
ใยวารีสายสุดท้ายพุ่งตรงเข้าหาร่างของเอี้ยก้วย!
เอี้ยก้วยสะบัดกระบี่ขึ้นสุดกำลังเพื่อป้องกัน แต่…
ครั้งนี้ เขารู้สึกว่า มันมิใช่สิ่งที่สามารถต้านทานได้ด้วยพลังเพียงอย่างเดียว
เขายังคงหอบหายใจหนัก สองมือกำกระบี่แน่น สายตาจับจ้องไปยังชายตรงหน้า—JAKK บุรุษผู้ควบคุมน้ำฝนได้ดั่งอวัยวะของตนเอง เขาเพียงยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาเรียบนิ่ง ไม่แสดงความเหนือกว่า แต่กลับเปล่งพลังลี้ลับราวกับสายน้ำในห้วงลึก
เอี้ยก้วยไม่เคยเจอศัตรูเช่นนี้มาก่อน
ทุกกระบวนท่าของเขาถูกทำให้ไร้ความหมาย ดุจพายุกระหน่ำใส่ธารน้ำ มันมิได้แตกหัก แต่มันกลืนกินและซึมซับทุกสิ่งที่เข้ามา
“ข้ายังไม่เข้าใจ…”
เสียงของเอี้ยก้วยแผ่วเบา แต่หนักแน่นในความสงสัย ดวงตาของเขายังคงคุกรุ่นด้วยไฟแห่งการต่อสู้ แต่ในแววตานั้น เริ่มฉายแววของบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
JAKK พินิจเขาครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น “เจ้ายังมิอาจปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านใจเจ้า”
เขายื่นมือออกไป หยดน้ำฝนที่ตกลงมากลางอากาศหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหว หมุนวนในอากาศดุจเส้นไหมโปร่งใส เอี้ยก้วยจ้องมองมัน หัวใจเต้นแรง
มันไร้รูปร่าง ไร้ขีดจำกัด…
เช่นนั้นข้าจะทำลายมันได้อย่างไร?
เอี้ยก้วยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าไม่อาจพึ่งพากระบี่ของตนเองได้
“ข้าคิดว่าข้ารู้จักกระบี่ของข้าดีที่สุด แต่เหตุใดมันจึงไร้พลังต่อหน้าเจ้า?”
JAKK มิได้ตอบ แต่พลิกฝ่ามือเบา ๆ เส้นใยวารีที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มขยับ เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ตลอดเวลา บางครั้งมันรวมกันเป็นหยดน้ำเดียว บางครั้งมันแตกออกเป็นเส้นสายมากมาย ไร้รูปแบบตายตัว
“แล้วเจ้าคิดว่าตนเองคืออะไร?” JAKK เอ่ยขึ้น
เอี้ยก้วยขมวดคิ้ว “ข้าเป็นข้า… เอี้ยก้วย”
JAKK ส่ายหน้า “หากเจ้ามีตัวตนเช่นนั้น เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจวารี”
เอี้ยก้วยเม้มริมฝีปากแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองถูกผลักให้ตกลงสู่ห้วงแห่งความเงียบ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
สายฝนยังคงตกลงมา แต่บัดนี้ มันมิได้รู้สึกเหมือนดาบนับพันที่โหมกระหน่ำลงบนร่างของเขาอีกต่อไป
มันค่อย ๆ ซึมผ่านผิวหนัง คล้ายกับเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน
ปลายนิ้วของเขาขยับเพียงเล็กน้อย—และในวินาทีนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง
เขาสัมผัสได้ถึงสายน้ำรอบตัว
แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใจมันอย่างแท้จริง—
ฟึ่บ!
JAKK พลิกฝ่ามือเสี้ยววินาที เส้นใยวารีสะบัดวูบ ปลดปล่อยแรงกระแทกมหาศาล!
เอี้ยก้วยลืมตาขึ้น แต่คราวนี้ เขามิได้ต้านทานมัน
เขาเคลื่อนตัวไปกับมัน—
ร่างของเขาหลุดจากการจู่โจมได้อย่างฉิวเฉียด โดยที่มิได้ออกแรงฝืนเลยแม้แต่น้อย!
หยาดน้ำเย็นเฉียบโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง สายลมพัดโหมรุนแรงพอจะถอนรากต้นไม้ แต่ภายในใจของเอี้ยก้วย กลับสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อครู่... ร่างของเขาหลุดพ้นจากการจู่โจมของ "ใยวารี" โดยที่มิได้ต่อต้าน แต่มันไม่ใช่เพราะเขาเร็วขึ้น หรือแข็งแกร่งขึ้น
เขาเพียง ‘ปล่อยให้มันไหลไป’
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ความรู้สึกหนึ่งพลันแล่นผ่านจิตใจราวกับสายฟ้าที่ส่องลงบนมหาสมุทรอันมืดมิด
JAKK มองเขาอยู่ห่าง ๆ มุมปากของชายลึกลับผู้นี้ยกขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่แฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ
“เริ่มเข้าใจแล้วหรือไม่?”
เอี้ยก้วยกำกระบี่แน่น... แต่ครั้งนี้ มิใช่ด้วยความโกรธ มิใช่เพื่อจู่โจม มิใช่เพื่อพิสูจน์ตนเองต่อโชคชะตา แต่เพื่อสัมผัสถึงบางสิ่งที่เคยถูกซ่อนเร้นมาตลอดชีวิต
“ข้าเริ่มสัมผัสได้... แต่ข้ายังไม่เข้าใจ”
JAKK ยกมือขึ้น นิ้วชี้แตะกลางอากาศ—
ฟึ่บ!
หยดฝนที่โปรยปรายอยู่พลันรวมตัวกันกลางอากาศ หมุนวนเป็นเกลียว ก่อนจะยืดขยายออกเป็น กระบี่วารี—ใสกระจ่างประหนึ่งกระจก แต่มิใช่ของแข็ง มิใช่ของเหลว มันไร้ตัวตนและมีอยู่ในคราวเดียวกัน
“เจ้าจะต้องเรียนรู้ด้วยร่างกายของเจ้าเอง”
“มาเถิด เอี้ยก้วย”
เอี้ยก้วยมิใช่คนที่หวั่นเกรงต่อความท้าทาย เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวขาขึ้นหน้าอย่างมั่นคง ดวงตาทอประกาย ครั้งนี้ เขาจะมิใช่ผู้ที่ปล่อยให้คลื่นซัดไปตามใจมันอีกต่อไป
เขาตวัดกระบี่ขึ้น—
ฟึ่บ!
JAKK เคลื่อนกาย กระบี่วารีของเขาโค้งงอ ปรับเปลี่ยนรูปทรงไปราวกับธารน้ำที่ไหลเวียน ไม่มีมุม ไม่มีองศา ไม่มีวิถีที่คาดเดาได้
เอี้ยก้วยตวัดกระบี่เข้าปะทะ—
เคร้ง!
ปลายกระบี่กระทบกัน แต่กลับมิได้มีเสียงกังวานของโลหะ กลับเป็นเสียงสายน้ำแตกกระจาย ก่อนจะรวมตัวกันใหม่ราวกับไม่เคยแปรเปลี่ยน
“กระบี่ของเจ้ามีขอบเขต” JAKK กล่าว “แต่วารี... ไร้ขอบเขต”
เอี้ยก้วยมิได้ตอบ แต่ร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง สายตามิได้จับจ้องไปที่กระบี่ของ JAKK อีกต่อไป แต่กลับมองไปที่ ‘กระแสน้ำ’ ที่กำลังไหลเวียนอยู่รอบตัวเขา
เขาต้องไม่ต่อสู้กับมัน แต่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับมัน
ร่างของเอี้ยก้วยเริ่มขยับไหลลื่นขึ้น ความแข็งแกร่งของกระบี่วิหคถูกหลอมรวมเข้ากับความอ่อนโยนของสายน้ำ ทุกก้าวย่างของเขาเบาหวิว ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกไป ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ
JAKK มองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นก่อนจะค่อย ๆ ลดกระบี่วารีลง
“เข้าใจแล้วหรือยัง?”
เอี้ยก้วยมิได้ตอบ เขาเพียงปล่อยให้หยาดฝนซึมผ่านร่างของตนเอง แต่ครั้งนี้ มิใช่เพราะมันตกลงมา แต่เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน
JAKK ยิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวทิ้งท้าย—
“เมื่อเจ้าเป็นวารี เจ้าจะไม่มีวันถูกทำลาย”
สิบหกปีต่อมา..
สายลมอ่อนพัดผ่านแมกไม้ เสียงน้ำไหลจากลำธารเล็ก ๆ ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความสงบ ฟากฟ้าไร้เมฆฝน แสงอาทิตย์อ่อนจางทอดผ่านปลายใบไผ่ ดุจรอยยิ้มของสวรรค์หลังจากผ่านพายุอันเกรี้ยวกราดมาเนิ่นนาน
เอี้ยก้วยยืนอยู่บนโขดหินริมลำธาร มองสายน้ำที่ไหลผ่านราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ในแววตานั้นมีเพียงความสงบและลึกซึ้ง ร่างของเขายังคงองอาจเช่นวันวาน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือพลังอันเงียบสงบที่แผ่ซ่านอยู่รอบกาย มิใช่เพลิงแห่งโทสะ หากแต่เป็นสายธารที่ไหลลื่น ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นเบื้องหลัง เซียวเหล่งนึ่ง ก้าวออกจากร่มเงาของต้นไม้ นางยังคงงดงามดังเดิม แม้กาลเวลาจะล่วงผ่าน ทว่าดวงตาของนางยังเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน และรอยยิ้มที่มอบให้เอี้ยก้วยยังคงเป็นเช่นเดิม
เอี้ยก้วยหันมองนาง ก่อนยิ้มบาง ๆ แล้วทอดสายตากลับไปยังลำธาร “มีผู้หนึ่งเคยกล่าวกับข้า... วารีไม่เคยต่อต้านสิ่งใด แต่ไม่มีสิ่งใดทำลายมันได้”
เซียวเหล่งนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใด?”
เอี้ยก้วยนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนตอบ “อาวุโสผู้หนึ่งนามว่า Jakk Goodday ไม่เพียงยอดฝีมือ แต่เป็นผู้ที่เข้าใจธรรมชาติแห่งทุกสรรพสิ่ง” เขายิ้มเล็กน้อย “เขาสอนข้าถึงพลังที่แท้จริงของวารี”
เซียวเหล่งนึ่งรับฟังเงียบ ๆ นางมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ
เขาหย่อนปลายนิ้วลงไปในน้ำเบื้องหน้า แหวนน้ำกระจายออกเป็นวง ทว่าไม่นานก็คืนสู่สภาพเดิม "แรงที่รุนแรงที่สุด ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างแตกสลาย... แต่มันจะถูกดูดซับไปในที่สุด" เอี้ยก้วยพึมพำเบา ๆ
“เมื่อก่อน ข้ามักต่อต้านทุกสิ่ง” เอี้ยก้วยเอ่ยขึ้น แววตาสะท้อนถึงอดีตที่ผ่านมา “ข้าสู้กับโชคชะตา ข้าท้าทายทุกสิ่งที่ขัดขวางข้า ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือมนุษย์”
เอี้ยก้วยหลับตาลง สายลมพัดผ่านร่างของเขาเย็นเยียบ ก่อนจะเปิดตาขึ้นช้า ๆ "เมื่อก่อนข้าต้านทานทุกสิ่ง แต่บางครั้ง... ทางที่มั่นคงที่สุด อาจเป็นทางที่ไม่มีเส้นทางเลย" เขาเอ่ยเสียงเบา คล้ายกล่าวกับตนเองมากกว่านาง
เซียวเหล่งนึ่งก้าวเข้าไปใกล้ มองสบตาเขานิ่ง ๆ "แล้วตอนนี้ เจ้าจะไหลไปตามกระแสน้ำ... หรือเจ้ายังต้องการกระบี่ของเจ้าอยู่?"
“น้ำไม่เคยฝืนตัวมันเอง มันไม่แข็งกร้าว แต่มันชนะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหินแข็งหรือเหล็กกล้า” เขายื่นมือแตะผิวน้ำเบา ๆ “กระบี่ของข้าเคยเป็นดังเปลวไฟที่เผาผลาญทุกสิ่ง แต่ตอนนี้... มันเป็นสายธารที่ไหลไปตามใจของมัน”
เซียวเหล่งนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ แสงอาทิตย์ส่องต้องนางราวกับนางเป็นภาพฝัน “ข้าดีใจที่เจ้ากลับมา... และข้าดีใจที่เจ้าพบสิ่งที่เจ้าตามหามาตลอด”
เอี้ยก้วยหันกลับมาสบตานาง แววตาของเขาอ่อนโยน "ข้ารู้แล้วว่า การรอคอยที่แท้จริง... มิใช่เพียงรอคอยเจ้า แต่เป็นรอคอยวันที่ข้าจะเข้าใจตัวข้าเอง"
เซียวเหล่งนึ่งยิ้ม “และตอนนี้ เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
เอี้ยก้วยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว” เขากุมมือนางเบา ๆ “รักที่แท้จริงมิใช่พันธนาการ มันเป็นดั่งสายน้ำ ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องครอบครอง แต่ไหลไปตามทางของมันเอง”
เซียวเหล่งนึ่งเงยหน้าขึ้นสบตาเขา นางไม่ต้องการคำพูดใดอีก เพราะทุกสิ่งอยู่ในดวงตาของเขาแล้ว
สายลมพัดผ่านเบา ๆ ลำธารยังคงไหลไปข้างหน้า ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งมันได้ เช่นเดียวกับเวลาที่เคลื่อนผ่าน และความรักที่ไม่มีวันจืดจาง
และในที่สุด... เอี้ยก้วยก็ได้กลายเป็นดั่งสายน้ำ ที่ไม่มีวันถูกทำลาย