-
@ SOUP
2025-04-12 11:21:59เศรษฐศาสตร์ออสเตรียนคืออะไร?
แนวคิดที่รัฐไม่อยากให้คุณเข้าใจ
ของแพงขึ้นทุกปี แต่ไม่มีใครบอกเราว่า...ใครกันแน่ คือคนที่ทำให้มันเกิดขึ้น ?
คุณทำงานหนักขึ้นแต่กลับรู้สึกว่าได้ “น้อยลง” แล้วก็ถูกบอกให้เชื่อว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของตลาด” ว่าเป็นเพราะพ่อค้าโก่งราคา เป็นเพราะต้นทุนสูง เป็นเพราะคนไม่ขยัน หรือเพราะเงินไม่พอในระบบ จากนั้นรัฐก็เข้ามา พิมพ์เงิน แจกเงิน ออกกฎหมายควบคุมราคา หรือไม่ก็ดันดอกเบี้ยต่ำลงเพื่อให้คนใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะช่วยในระยะสั้น แต่มันกลับทำให้ทุกอย่างเละเทะในระยะยาวยิ่งขึ้นอีก แล้วคำถามก็เกิดขึ้นว่า จริง ๆ แล้ว…ปัญหามาจากตลาดจริงหรือ? หรือเราทั้งหมดกำลังติดอยู่ใน “ระบบที่มีใครบางคนกำลังควบคุม” โดยที่เราไม่เคยมีโอกาสตั้งคำถามเลยว่า มันควรถูกควบคุมตั้งแต่แรกไหม
ความจริงที่เก่ากว่าร้อยปี
นี่คือจุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามที่นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “เศรษฐศาสตร์ออสเตรียน” หรือ Austrian Economics แนวคิดที่ดูเหมือนใหม่ในยุคนี้ แต่แท้จริงแล้ว...มันคือความจริงเก่าที่เคยถูกลืม เศรษฐศาสตร์ออสเตรียนเชื่อว่า มนุษย์คือผู้กระทำที่มีเหตุผล ราคาคือผลลัพธ์ของการแลกเปลี่ยนอย่างเสรี และตลาดจะสมดุลได้ด้วยตัวของมันเอง ถ้าไม่มีใครไปบิดเบือนมัน แต่สิ่งที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นคือ แนวคิดนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นแค่เมื่อร้อยปีก่อน ไม่ได้เกิดที่เวียนนา หรือห้องวิจัยเศรษฐศาสตร์ใด ๆ แต่มันมีรากเหง้ามาจากการตั้งคำถามของมนุษย์ตั้งแต่สองพันปีก่อนแล้ว
ปรัชญาเสรีภาพจากอดีตที่ถูกลืม
โสเครติสเคยตั้งคำถามกับสิ่งที่รัฐบอกว่า “ถูกต้อง” อย่างเงียบ ๆ ผ่านการเสนอให้เลิกรองเท้าไซส์เดียวที่บังคับใช้ทั้งประเทศ เพราะเขารู้ว่าไม่มีอะไรที่เหมาะกับทุกคนเสมอไป เขาไม่ได้แค่คัดค้านรองเท้า แต่เขากำลังคัดค้าน “ความจริงที่ถูกยัดเยียด” โดยรัฐ ภายใต้ชื่อของ “ความดีส่วนรวม” สิ่งที่โสเครติสทำ ไม่ใช่การจลาจล ไม่ใช่การปฏิเสธทุกอย่าง แต่เป็นการชี้ให้เห็นว่า ความจริงไม่ควรถูกนิยามโดยคนกลุ่มเดียว และความเข้าใจของมนุษย์ ควรเกิดจาก “การตั้งคำถามอย่างมีเหตุผล” ไม่ใช่การยอมรับอย่างเชื่อฟัง นี่คือแก่นกลางของสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนเชื่อว่าราคาควรเกิดจากการตัดสินใจเสรีของผู้คนในตลาด ไม่ใช่จากสูตรหรือคำสั่งของเจ้าหน้าที่รัฐที่อ้างว่า “รู้ดีที่สุด” ข้ามมาที่แนวคิดสโตอิก (Stoicism) ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแนวคิดรากฐานของปรัชญาตะวันตก ลัทธินี้ไม่ได้สอนให้คนยอมจำนนต่อโชคชะตา แต่กลับเชื่อว่า อิสรภาพที่แท้จริงคือการควบคุมตัวเอง ไม่ใช่การรอให้รัฐหรือใครมาชี้ทางชีวิตให้เรา พวกเขาเชื่อใน “ธรรมชาติของมนุษย์” และการรับผิดชอบต่อการเลือกของตัวเอง ไม่ใช่การโยนภาระให้กับนโยบายรัฐ ปรัชญาสโตอิกเห็นว่า ความสงบในชีวิตไม่ใช่สิ่งที่รัฐสามารถแจกจ่ายได้ แต่เป็นผลจากความสามารถในการตัดสินใจภายใต้เหตุผลและการยอมรับว่าโลกนั้นไม่แน่นอน เปรียบเสมือนแนวคิดของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนที่ไม่พยายามควบคุมตลาดให้แน่นอน แต่ยอมรับว่าความไม่แน่นอนคือธรรมชาติของเศรษฐกิจ และมนุษย์จะตัดสินใจได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีใครกดทับ ข้ามฟากมายังตะวันออก แนวคิดของ “เต๋า” (Taoism) ของเหล่าจื่อก็พูดในภาษาที่ต่างกัน แต่ด้วยจิตวิญญาณเดียวกัน เต๋าเชื่อว่าทุกสิ่งมีหนทางธรรมชาติของมัน (เต๋า) และยิ่งเราพยายามควบคุมสิ่งที่เราไม่เข้าใจ โลกก็ยิ่งปั่นป่วน เต๋าเรียกภาวะสมดุลว่า “อู๋เว่ย” หรือ “การไม่ฝืน” เมื่อปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เป็นไปตามหนทางของมัน มันจะคืนสมดุลของตัวเองโดยไม่ต้องมีใครไปควบคุม แนวคิดนี้สะท้อนกับสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนชี้ไว้ว่า ตลาดไม่ใช่สิ่งที่ควบคุมได้จากเบื้องบน หากแต่เป็นผลรวมของการเลือกของผู้คนนับล้าน ที่ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมชาติ หากปล่อยให้เป็นไป มันจะหาสมดุลของมันเอง เพราะในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะจากฝั่งตะวันตกหรือตะวันออก เส้นทางของอิสรภาพทั้งหมดก็นำมาสู่จุดเดียวกันการไม่ฝืนธรรมชาติของมนุษย์ และนั่นคือหัวใจของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน
จากนักบวชสเปน...สู่กรุงเวียนนา
ในอีกฟากของยุโรป ย้อนกลับไปตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 กลุ่มนักบวชสายคาทอลิกที่รู้จักกันในชื่อ Late Scholastics จากมหาวิทยาลัย Salamanca ประเทศสเปน ได้เริ่มต้นการปฏิวัติความคิดบางอย่างที่ “ล้ำยุคเกินไปสำหรับยุคของเขา” พวกเขาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของผู้คนจริง ๆ ไม่ใช่ทฤษฎีที่ลอยอยู่บนตำรา และพบว่า มูลค่าของสิ่งของไม่ใช่สิ่งที่คงที่ตายตัว แต่มันเปลี่ยนไปตามมุมมอง ความต้องการ และสถานการณ์ของแต่ละคน พวกเขาคือผู้บุกเบิกแนวคิด “มูลค่าเชิงอัตวิสัย” (Subjective Value) ก่อนที่ Carl Menger จะสรุปมันไว้ในศตวรรษที่ 19 และคือคนกลุ่มแรกที่เข้าใจว่า ราคาคือผลของการประเมินคุณค่าภายในใจมนุษย์ ไม่ใช่ผลจากต้นทุนการผลิตหรือคำสั่งจากรัฐ นอกจากเรื่องมูลค่า พวกเขายังตั้งข้อสังเกตถึง ผลเสียของการพิมพ์เงินมากเกินไป และเตือนว่าเงินเฟ้อไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่ลึกลับ แต่คือสิ่งที่รัฐ “สร้างขึ้นเอง” ผ่านการออกเหรียญเกิน, ลดค่ามาตรฐานโลหะ, หรือควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม ที่น่าทึ่งคือ พวกเขาเสนอความคิดแบบเดียวกับที่ Mises และ Rothbard จะพูดอีกหลายร้อยปีให้หลังว่า... หน้าที่ของนักเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริง ไม่ใช่เสนอวิธีควบคุมผู้คน แต่คือการบอกให้รัฐรู้ว่า “อะไรที่มันไม่มีสิทธิ์ทำ” พวกเขาไม่เพียงวิจารณ์การเก็บภาษีแบบไร้เหตุผล แต่ยังคัดค้านกฎหมายควบคุมราคา การผูกขาดโดยพระราชวงศ์ และการใช้กฎหมายในการแทรกแซงกลไกตลาด ที่สำคัญ พวกเขามองเห็นว่า ธุรกิจและตลาดเสรี ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจเหมือนที่อำนาจนิยมหลายยุคพยายามทำให้เป็น แต่คือกระบวนการธรรมชาติที่ผู้คนแลกเปลี่ยนกันอย่างสมัครใจ เพื่อสร้างความมั่งคั่งร่วมกัน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้หมวกของ “นักบวช” ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ แต่งานของพวกเขาได้วางรากฐานให้กับสิ่งที่ Rothbard ยกย่องว่าเป็น “นักเศรษฐศาสตร์ตัวจริงกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์” และพวกเขานี่เอง...คือผู้จุดประกายปรัชญาเศรษฐศาสตร์สายตลาดเสรีที่ต่อมาจะกลายเป็น “สายออสเตรียน”
Carl Menger: ผู้จุดไฟแห่งความเข้าใจใหม่
ในปี 1871 Carl Menger หยิบแนวคิดเหล่านี้มาต่อยอด ด้วยหนังสือชื่อ Principles of Economics เขาได้เปลี่ยนวิธีมองโลกของทั้งวงการเศรษฐศาสตร์ เขาเขียนไว้อย่างเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งว่า...
“มูลค่าไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในตัวสินค้าด้วยตัวมันเอง แต่มันเกิดจากการตัดสินของมนุษย์ผู้มีเหตุผลในการใช้ทรัพยากร” – Carl Menger, 1871
แนวคิดนี้เรียกว่า “มูลค่าเชิงอัตวิสัย” (Subjective Value) ซึ่งปฏิวัติความเข้าใจด้านเศรษฐศาสตร์ที่เคยคิดว่ามูลค่าเป็นผลลัพธ์ของแรงงานหรือวัตถุดิบ เขาอธิบายว่า มูลค่าของสิ่งของไม่ได้เกิดจากต้นทุนหรือแรงงาน แต่มาจากความต้องการเฉพาะเวลาของผู้คนในสถานการณ์เฉพาะที่แตกต่างกัน เขาเสนอว่าเงินไม่ควรเกิดจากคำสั่งของรัฐ แต่มาจากการที่ผู้คนเลือกใช้สิ่งที่แลกเปลี่ยนได้ดีที่สุด จนกลายเป็นเงินโดยธรรมชาติ
เขาวางรากฐานให้เศรษฐศาสตร์กลายเป็น “ศาสตร์ของการเลือก” มากกว่าจะเป็น “ศาสตร์ของตัวเลข” ในมุมมองของเขา เศรษฐศาสตร์ไม่ใช่เรื่องของการสะสมข้อมูล แต่คือการทำความเข้าใจ “มนุษย์” ที่มีเป้าหมาย มีทางเลือก และเลือกการกระทำตามเหตุผลของตนเอง นี่คือจุดเริ่มต้นของเศรษฐศาสตร์แบบอิงพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งกลายมาเป็นแก่นกลางของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน
หลังจาก Carl Menger วางรากฐานสำคัญไว้ ศิษย์ผู้สืบทอดแนวคิดของเขาอย่าง Eugen Böhm-Bawerk ได้ขยายความเข้าใจนั้นให้ลึกขึ้นอีกระดับ โดยเฉพาะในเรื่องของ ทุน, ดอกเบี้ย, และ มิติเวลาของการผลิต Böhm-Bawerk อธิบายว่า อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่สิ่งที่รัฐควรกำหนด แต่มันสะท้อนพฤติกรรมของมนุษย์ที่มี “ระดับความเห็นแก่เวลา” แตกต่างกัน คนที่ยอมรอ เพื่อให้ได้ผลตอบแทนในอนาคต คือคนที่มี Time Preference ต่ำ ขณะที่คนที่อยากได้ตอนนี้ ย่อมต้องยอมจ่ายเพิ่ม นี่คือธรรมชาติของดอกเบี้ยในตลาดเสรี เขายังแสดงให้เห็นว่า ทุนไม่ได้มีลักษณะ “ก้อนเดียว” แต่เป็นโครงสร้างซับซ้อนที่กินเวลาและสัมพันธ์กับกระบวนการผลิตในโลกจริง มันคือความเข้าใจเศรษฐกิจในแบบที่รัฐไม่สามารถ "จัดการจากบนลงล่าง" ได้เลย F.A. Hayek หนึ่งในศิษย์สายตรงของแนวคิดนี้ ขยายต่อโดยชี้ว่า ข้อมูลที่จำเป็นในการตัดสินใจทางเศรษฐกิจไม่ได้ถูกรวมไว้ในสมองของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหรือรัฐมนตรีคลัง แต่กระจายอยู่ในพฤติกรรมของคนธรรมดาทุกคนในระบบเศรษฐกิจ และเมื่อมีใครพยายามควบคุมมันจากศูนย์กลาง นั่นแหละคือจุดเริ่มของการบิดเบือน
การควบคุมตลาดคือจุดเริ่มของการทำลายเสรีภาพ
เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียนจึงไม่มองว่า "ตลาด" คืออะไรที่ซับซ้อนเกินเข้าใจ แต่มองว่ามันคือภาพสะท้อนของชีวิตมนุษย์จริง ๆ คนที่ซื้อกาแฟตอนเช้า คนที่ไม่ซื้อของที่คิดว่าแพงไป คนที่เลือกเก็บเงินไว้ใช้ในอนาคต พฤติกรรมเหล่านี้คือเศรษฐกิจจริง ๆ ที่เกิดขึ้นทุกวัน และนั่นคือเหตุผลที่ไม่มีใครควรไปควบคุมมัน Ludwig von Mises ยืนยันว่าการพิมพ์เงินโดยรัฐไม่ใช่นโยบายเศรษฐกิจ แต่คือการปล้นอย่างถูกกฎหมาย เขาแสดงผ่านทฤษฎี “regression theorem” ว่า เงินที่แท้จริงต้องมีจุดเริ่มจากตลาดเสรีเสมอ และเมื่อรัฐพยายามสร้างเงินจากความว่างเปล่า สุดท้ายมันจะทำลายมูลค่าทุกอย่างในระบบ แนวคิดเรื่อง “Time Preference” หรือความเห็นแก่เวลา ก็เป็นหนึ่งในแกนสำคัญที่ Mises และ Böhm-Bawerk พูดถึงว่า มนุษย์มักให้คุณค่ากับปัจจุบันมากกว่าอนาคต เมื่อระบบการเงินเอื้อให้ใช้เงินง่าย ใช้เร็ว แต่ไม่มีแรงจูงใจให้เก็บหรือลงทุนระยะยาว สังคมจะค่อย ๆ กลายเป็นสังคมบริโภค และสูญเสียวัฒนธรรมของความยั่งยืน นั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนจึงยอมรูดบัตรก่อน เก็บเงินทีหลัง และทำให้ระบบการเงินทั้งระบบ...เร่งให้เราใช้จ่ายแบบไม่ยั้งคิด Murray Rothbard คือผู้ที่นำแนวคิดทั้งหมดนี้มาขยายให้ถึงที่สุด เขาไม่เพียงแต่วิเคราะห์ว่าอะไรทำให้เศรษฐกิจล่ม แต่ยังเชื่อมมันกับหลักปรัชญาธรรมชาติ โดยวางรากฐานว่า หากรัฐไม่มีสิทธิ์บังคับร่างกายของเรา มันก็ไม่มีสิทธิ์บังคับทรัพย์สินของเราเช่นกัน เขาอธิบายว่า การแทรกแซงทุกรูปแบบของรัฐ ล้วนเป็นการทำลายเสรีภาพของการเลือกในระดับรากฐาน
แล้วเราทำอะไรได้ ?
คำตอบของออสเตรียนไม่ใช่ “รอให้รัฐฉลาดขึ้น” แต่คือ “หยุดให้รัฐยุ่งมากเกินไปตั้งแต่แรก” ตลอดประวัติศาสตร์ เราเห็นมาแล้วว่ารัฐสามารถพิมพ์เงินจนเงินเฟ้อ ยึดทองคำของประชาชน เปลี่ยนระบบการเงินโดยไม่ขอความเห็นจากผู้ใช้ และในโลกปัจจุบัน มีสิ่งหนึ่งที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้จริงที่สุด นั่นคือบิตคอยน์ บิตคอยน์ไม่ได้เป็นแค่เงินสดดิจิทัล แต่มันคือ “เงินที่รัฐพิมพ์เพิ่มไม่ได้” ไม่มีใครเปลี่ยนกติกากลางเกม ไม่มีธนาคารกลาง ไม่มีใครควบคุมอัตราเงินเฟ้อด้วยปลายนิ้ว มีเพียงผู้ใช้ที่ยินยอมแลกเปลี่ยนกันอย่างเสรี บิตคอยน์คือเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนในรูปธรรม คือคำประกาศของเสรีภาพทางการเงินในยุคดิจิทัล
เศรษฐศาสตร์ออสเตรียนจึงไม่ใช่แค่เศรษฐศาสตร์ทางเลือก แต่มันคือวิธีมองมนุษย์อย่างเคารพ เข้าใจ และยอมรับว่าเราทุกคนต่างมีเหตุผล มีความต้องการ มีจุดมุ่งหมาย และควรมีเสรีภาพในการตัดสินใจด้วยตนเอง มันคือแนวคิดที่กล้าบอกว่ารัฐไม่ได้รู้ดีที่สุด และคนธรรมดาไม่ควรถูกบังคับให้เล่นในระบบที่พวกเขาไม่เคยเลือกกติกาได้เอง
มันไม่ใช่แค่แนวคิดใหม่ แต่มันคือความจริงเก่า ที่โลกเคยลืม และกำลังกลับมา…เพื่อทวงคืน “อิสรภาพ” ที่หายไปจากกระเป๋าเงินของเรา ทั้งหมดนี้จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม “เศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน” ไม่ได้เป็นแค่ทางเลือกของเศรษฐกิจ แต่มันคือ “อาวุธทางความคิด” สำหรับคนที่ไม่ยอมจำนนให้ใครควบคุมชีวิต
อ้างอิง Menger, Carl. Principles of Economics. 1871. Böhm-Bawerk, Eugen von. Positive Theory of Capital. 1889. Mises, Ludwig von. The Theory of Money and Credit. 1912. Hayek, Friedrich A. The Use of Knowledge in Society. 1945. Rothbard, Murray N. For a New Liberty: The Libertarian Manifesto. 1973. Ammous, Saifedean. The Bitcoin Standard: The Decentralized Alternative to Central Banking. 2018. Mises Institute. “Promoting teaching and research in the Austrian school of economics.” Rothbard, Murray N. An Austrian Perspective on the History of Economic Thought, Volume I. Ludwig von Mises Institute, 2006.
Siamstr