-
![](https://image.nostr.build/cbe071870aa64b6e6729a203e891749f21584b1805f4f6b3d555f3d350330318.gif)
@ Jakk Goodday
2024-01-19 20:41:05
ดาวอส.. ณ ใจกลางแห่งเวทีเศรษฐกิจโลก ท่ามกลางคำถามที่ยังคงวนเวียนและเงาแห่งความสงสัยจากผู้สังเกตการณ์มากมาย เราได้เห็น Javier Milei ยืนหยัดขึ้นอย่างองอาจ ประหนึ่งประภาคารแห่งเสรีภาพตั้งตระหง่านท่ามกลางทะเลแห่งความคลางแคลง เสียงของเขา ดังก้องกังวานด้วยพลังที่จะปลุกเร้าแม้กระทั่งจิตวิญญาณที่กำลังหลับใหล สะท้อนผ่านไปยังห้องโถง ลมหายใจซึ่งถูกฉาบด้วยเฉดสีของประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ และความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในเสรีภาพแห่งปัจเจกบุคคล
Milei ผู้เป็นเสมือนดั่งผู้พิทักษ์แห่งกำแพงตะวันตกที่กำลังผุกร่อน.. ย่างก้าวเข้าสู่เวทีด้วยคำเตือนถึงโลกที่กำลังเอนเอียงเข้าใกล้หุบเหวแห่งความยากจน โลกที่กำลังหลงไหลไปกับเสียงโห่ร้องของพวกสังคมนิยม คำพูดของเขามันราวกับเสียงกีตาร์ร็อคที่เจ้าตัวโปรดปรานดังก้องออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เสียงดนตรีสะท้อนอารมณ์ที่ได้เห็นบ้านเกิดของเขา.. อาร์เจนตินา ร่วงลงมาจากยอดเขาแห่งเสรีภาพ สู่หุบเหวแห่งความเสื่อมโทรมแบบรวมศูนย์..
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/d830ee7b7c30a364b1244b779afbb4f156733ffb8c87235086e26b0b4e61cd62/files/1705685470361-YAKIHONNES3.jpg)
การเดินทางผ่านกาลเวลาของเขา มันได้ค่อยๆ ฉายภาพของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยการผงาดขึ้นมาดั่งนกฟีนิกซ์ของระบบทุนนิยม จากกองขี้เถ้าแห่งความซบเซา บทเรียนทางเศรษฐศาสตร์ที่เป็นเรื่องราวแห่งชัยชนะของมนุษยชาติ และเป็นการพิสูจน์คุณค่าของระบบทุนนิยม ที่ไม่ใช่ตัวร้าย แต่เป็นวีรบุรุษสำหรับเรื่องราวทางเศรษฐกิจของโลกเรา
อย่างไรก็ตาม.. ท่ามกลางเทพนิยายแห่งชัยชนะนี้ มันยังมีเสียงกระซิบแห่งความสงสัยและความเคลือบแคลง สะท้อนอยู่ภายใต้แสงทอดเงาแห่งความยินดีเหล่านั้น
Milei ที่แสดงให้เห็นว่ากล้าท้าทายได้อย่างห้าวหาญ... แต่นี่คือจุดยืนที่แท้จริงหรือเป็นเพียงแค่การแสดงที่อาจได้รับการอนุญาต หรือแม้กระทั่งมันถูกจัดฉากขึ้นโดยผู้มีอำนาจ?
เวทีเศรษฐกิจโลก.. ที่มักถูกมองว่าเป็นชุมชนของชนชั้นนำ เหล่า "อีลีท" ทั้งหลายนั้น จริงจังกับการสร้างความเปลี่ยนแปลง หรือจะแค่ทำไปเพื่อรักษาหน้า?
ความสงสัยนี้ได้ท้าทายให้เกิดการตั้งคำถาม ไม่เพียงต่อเรื่องเล่าที่ถูกจะนำเสนอ แต่ยังรวมไปถึงเวทีที่เรื่องเหล่านั้นจะปรากฏอีกด้วย เวทีที่ได้เคยสะท้อนให้เราเห็นถึงการถกเถียงกว้างๆ เกี่ยวกับการกำกับดูแลโลก และบทบาทของแพลตฟอร์มเหล่านี้ในการกำหนดนโยบายและความคิดเห็นของประชาชน
เส้นทางของ Milei สู่เวทีเศรษฐกิจโลก เปรียบได้กับการร่ายรำด้วยท่วงท่าอันซับซ้อน เป็นส่วนผสมระหว่างอุดมการณ์ กลยุทธ์ และบางทีอาจจะรวมถึงละคร สิ่งนี้ทำให้เราตระหนักกันได้ว่า.. การเปลี่ยนแปลงนั้นมักต้องก้าวเข้าไปสู่พื้นที่อึดอัด พูดคุยกับเหล่าผู้คนที่ล้วนคิดต่าง และเปล่งเสียงความเชื่อในสถานที่ที่อาจจะสร้างผลกระทบอันใหญ่หลวง
นี่คือก้าวเดินที่กล้าหาญ เสียงของ Milei อาจปูทางไปสู่ความเข้าใจและความชื่นชมในหลักการเสรีนิยม บนเวทีที่ได้เคยต่อต้านมันมานาน..
-----------
บทแปลนี้.. ผมไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหรือพยายามบิดเบือนไปจากคำกล่าวต้นฉบับจนเกินไป แต่ได้เลือกใช้คำและสำนวนที่จะเพิ่มอรรถรสให้กับผู้อ่าน และสามารถทำความเข้าใจในเนื้อหาได้ง่ายกว่า ผมเลือกบางคำที่แฝงอารมณ์และสำเนียงการพูดที่อาจจะเมามันส์ขึ้นบ้างเล็กน้อย โดยไม่ได้เคร่งครัดกับคำศัพท์ทางเศรษฐศาตร์ การเมืองมากมายแต่อย่างใด (คำไหนแปลไม่ได้ ผมก็ทับศัพท์แม่งไปเลย) ด้วยเหตุนี้จึงได้เรียกว่า "แปลนรก" หวังว่าทุกท่านจะเพลิดเพลินกับการอ่าน..
หากเพื่อนๆ ท่านใดต้องการจะอ่านต้นฉบับภาษาอังกฤษ (ที่ถอดสคริปต์มาจากคลิปยูทูปอีกที) พร้อมทั้งคำแปลภาษาไทยที่ผมได้ทำไว้ในเอกสารการแปลต้นฉบับ สามารถเข้าไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้ครับ: [Javier Milei's FULL Speech At World Economic Forum Conference
](https://docs.google.com/document/d/1E-hx4UMcQfNvIQKWWc0-5g88e1vEb2n5S2iE_TZ8vyA/edit?usp=sharing)
-----------
<iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/fWUiBDbcIFE?si=-rZIgFD0rDfKtvZ0" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe>
"สวัสดีครับ.. ขอบคุณมากๆ ที่ได้มารวมตัวกันในวันนี้ ผมขอนำข่าวร้ายมาฝากทุกๆ ท่าน.. โลกตะวันตกของเรากำลังตกอยู่ในอันตราย อันตรายเพราะพวกมือดีที่ควรจะคอยปกป้องค้ำจุน 'คุณค่าในแบบชาวตะวันตก' (The values of the West) ด้วยความความรับผิดชอบ กลับถูกดึงดูดให้ไปหลงใหลได้ปลื้มกับวิสัยทัศน์ของโลกแบบใหม่ ที่ค่อยๆ นำพาเราไปสู่ระบบ 'สังคมนิยม' ที่สุดท้ายก็ลงเอยกันด้วยความขัดสน
น่าเศร้าที่ช่วงหลายสิบปีมานี้ บรรดาผู้นำตะวันตกทั้งหลาย ต่างก็ยอมทิ้งหลักการ 'เสรีภาพ' หันไปหา 'แนวคิดรวมศูนย์' (Collectivism) แบบแปลกๆ ไปตามๆ กัน บ้างก็ด้วยน้ำใจอยากให้ความช่วยเหลือ บ้างก็เพียงเพราะอยากจะเข้าพวกกับชนชั้น 'อีลีท'!
พวกเราชาวอาร์เจนตินาขอบอกตรงๆ นะครับว่า.. การทดลองระบบรวมศูนย์เนี่ย.. มันไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่โลกต้องเผชิญ แต่มันกลับเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนนั่นต่างหาก! เชื่อผมเถอะครับ.. ไม่มีใครรู้ซึ้งมากไปกว่าพวกเราชาวอาร์เจนไตน์อีกแล้วล่ะ
แค่ปี 1860 ซึ่งเราเลือกหนทางแห่ง 'เสรีภาพ' (Model of Freedom) หลังจากนั้นเพียง 35 ปี เราก็กลายเป็นประเทศมหาอำนาจของโลก แต่พอหันไปหลงไหลกับระบบ ‘รวมศูนย์’ ในช่วงร้อยปีที่ผ่านมานี้ ดูสิครับ.. สภาพของพวกเราตอนนี้.. เราได้กลายเป็นประเทศอันดับที่ 140 ของโลกกันไปแล้ว ชาวบ้านชาวช่องจนลงกันทุกวัน!
ก่อนลงลึกกันในเรื่องนี้.. ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาลองส่องข้อมูลกันหน่อยดีกว่า มาดูกันว่าทำไม 'ระบบทุนนิยมเสรี' (Free enterprise capitalism) จึงไม่ได้เป็นเพียงแค่หนทางเดียวที่จะช่วยเรากำจัดความยากจนบนโลกนี้ แต่มันยังเป็นระบบที่ 'ถูกต้อง' ชอบธรรมอีกต่างหาก! ถ้าเรามาลองย้อนดูประวัติศาสตร์เศรษฐกิจกันดีๆ จะเห็นว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 0 จนถึง ค.ศ. 1800 นั้น ผลผลิตมวลรวมต่อหัวของโลก (GDP) แทบจะหยุดนิ่งกันไปเลย ตลอดช่วงเวลานั้นมันแทบไม่มีการขยับ
ถ้าเราลองวาดกราฟของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจแห่งมนุษยชาติ มันจะออกมาเป็นรูปไม้ฮอกกี้ ตัวเลขแทบเป็นเส้นตรง ตลอดเวลาที่ผ่านมากราฟมันนิ่งสนิทเกือบจะ 90% เพิ่งมาพุ่งกระฉูดแตกในแบบเอ็กซ์โปเนนเชียลเอาตอนศตวรรษที่ 19 นี่เอง! ก่อนหน้านั้นก็จะมีแค่ช่วงของการค้นพบอเมริกาปลายศตวรรษที่ 15 ที่พอจะทำให้อะไรๆ มันคึกคักขึ้นมาบ้าง ส่วนช่วงอื่นๆ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 0 ถึง 1800 นั้น GDP ต่อหัวทั่วโลกแทบจะไม่กระดิกเลย!
มันไม่ใช่แค่ว่า ‘ระบบทุนนิยม’ (Capitalism) ทำให้รวยปังกันตั้งแต่หันมาเริ่มใช้งานเท่านั้นนะครับ หากเราดูข้อมูลกันดีๆ จะเห็นได้เลยว่าการเจริญเติบโตมันยิ่งพุ่งทะยานฟ้าขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วย
ตั้งแต่ปี ค.ศ. 0 จนถึงปี 1800 GDP ต่อหัวนั้นแทบจะนิ่งสนิท เพิ่มขึ้นเพียงปีละ 0.02% เท่านั้นเอง เรียกได้ว่าแทบไม่มีการเติบโ แต่พอเข้าสู่ศตวรรษช่วงที่ 19 หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม GDP ต่อหัวก็ทะยานขึ้นไป 0.66% ต่อปี การจะรวยเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คุณก็ต้องใช้เวลาราว 107 ปี
ทีนี้.. ช่วงปี 1900 ถึง 1950 ความรุ่งโรจน์มันยิ่งพุ่งขึ้นแรง! GDP ต่อหัวทะยานไป 1.66% ต่อปี ทำให้ 66 ปี เราก็รวยขึ้นสองเท่า แล้วจาก 1950 จนถึง 2000 ยิ่งโหดไปกันใหญ่ GDP บินไป 2.1% ต่อปี 33 ปี รวยขึ้นเท่าตัวอีก! แต่เรื่องยังไม่จบอยู่แค่นั้นนะ ช่วงปี 2000 ถึง 2023 นี่ ยิ่งทวีคูณไปไกลครับ GDP ต่อหัวทะยานไปที่ 3% ต่อปี ผ่านไปอีก 23 ปี โลกเราก็รวยขึ้นสองเท่าอีกเหมือนกัน!
ถ้าหากเรามอง GDP ต่อหัวจากปี 1800 จนถึงทุกวันนี้ ก็ต้องบอกเลยว่าหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม GDP ต่อหัวของโลกทะยานขึ้นไปแล้วเกิน 15 เท่า! เรียกได้ว่าเราเจริญกันแบบพุ่งกระฉูด ดึงประชากรโลกกว่า 90% ขึ้นจากหุบเหวแห่งความยากจน
อย่าลืมนะครับ.. ว่าก่อนปี 1800 คนยากจนข้นแค้นทั่วโลกมีสัดส่วนถึง 95% เลยทีเดียว แต่ตัดภาพมาที่ปี 2020 ก่อนเจอโควิด มันเหลือแค่ 5% เท่านั้นเอง!
สรุปง่ายๆ เลยนะครับ.. ‘ระบบทุนนิยมเสรี’ นี่ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา แต่มันเป็นเครื่องมือเดียวที่จะพาพวกเราออกจากหลุมแห่งความอดอยาก ความยากจน และความอับจนข้นแค้นสุดขั้วได้ทั่วโลก! ข้อมูลมันชัดเจน แทบไม่มีข้อกังขา!
ดังนั้น.. พอจะเห็นกันแล้วใช่ไหมครับว่า.. ทุนนิยมเสรีนั้นเหนือกว่าในแง่ผลิตผลแบบไม่ต้องสงสัย แต่ไอ้พวกต่อต้านขี้โวยวายก็ดันออกมาโจมตีในเรื่องศีลธรรม อ้างโน่นอ้างนี่ บอกว่าระบบนี้มันเห็นแก่ตัว ไร้ความเมตตา! บอกว่าทุนนิยมมันเลวเพราะเน้นความเป็นปัจเจกนิยม แต่พวกเขาบอกว่าระบบรวมศูนย์น่ะดีกว่าเพราะมักเห็นแก่คนอื่น มีความเสียสละ
แต่เอ๊ะ!? แล้วมันเงินใครกันล่ะ?
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/d830ee7b7c30a364b1244b779afbb4f156733ffb8c87235086e26b0b4e61cd62/files/1705690117654-YAKIHONNES3.jpg)
พวกเขายกธงเรื่อง 'ความเป็นธรรมทางสังคม' (Social justice) ชูขึ้นมากจนใหญ่โต ผมขอบอกเลยว่า.. คอนเซ็ปต์ที่มันฮิตกันจังในโลกตะวันตกเนี่ย มันเป็นเรื่องเก่าๆ เล่าซ้ำๆ แถวบ้านผมมาตั้ง 80 กว่าปีแล้ว ปัญหาคือ ไอ้ 'ความเป็นธรรมทางสังคม' เนี่ย.. มันไม่ได้ 'ยุติธรรม' กันจริงๆ หรอกนะครับ แถมไม่ได้ส่งเสริม 'ความอยู่ดีกินดี' ของทุกคนอีกต่างหาก
ตรงกันข้ามเลย.. โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นแนวคิดที่ 'ขูดรีด' และ 'ไม่แฟร์' เพราะมันใช้ 'ความรุนแรง' ซ่อนอยู่ข้างใน
มัน 'ไม่ยุติธรรม' เพราะรัฐเอาเงินมาจาก 'ภาษี' ซึ่งภาษีเนี่ย.. จ่ายกัน 'โดยถูกบังคับ' ใครกล้าพูดได้เต็มปากว่า 'เต็มใจ' จ่ายภาษีกันบ้างล่ะ? รัฐอยู่ได้ด้วยการยึดเงินเราผ่านการบังคับเก็บภาษี ภาษียิ่งเยอะ ก็ยิ่งบังคับเยอะ เสรีภาพก็ยิ่งลด! พวกเรียกร้องหาความยุติธรรม มองเศรษฐกิจเหมือนดังก้อนเค้กแบ่งกันกิน
แต่อย่าลืมกันนะครับ! ก่อนจะแบ่งมันก็ต้องมีเค้กมาก่อน! มันต้องสร้างขึ้นมา ผ่านตลาดแบบที่ อิสราเอล เคิร์ซเนอร์ (Israel Kirzner) เรียกว่า 'กระบวนการค้นพบ' (Market discovery process) ต่างหากล่ะครับ
ซึ่งธุรกิจไหนที่ยอมไม่ปรับตัวตามตลาด ไม่ง้อลูกค้า ก็เจ๊งกันไปตามระเบียบ ถ้าทำของดี ราคาโดนใจ ก็จะยิ่งขายได้และยิ่งผลิตเยอะ ตลาดก็ไม่ต่างอะไรกับเข็มทิศนั่นแหละครับ คอยชี้ทางให้ผู้ลงทุนไปกันให้ถูกทาง แต่ถ้ารัฐเอาแต่คอยหาทางลงโทษนักธุรกิจเวลาประสบความสำเร็จ ขวางทางพวกเขาในการค้นหาของดี สุดท้ายพวกเขาก็หมดใจ ผลิตน้อยลง เค้กก็เล็กลง กินกันไม่ทั่ว คนทั้งสังคมก็ต้องเจ็บกันไปเต็มๆ!
พวกนิยมรวมศูนย์ (Collectivism) ติดเบรกการค้นพบในตลาด ยับยั้งการค้นหาสิ่งใหม่ๆ ทำให้พ่อค้าแม่ค้าต้องมีมือเท้าพันกัน ผลก็คือ สินค้าคุณภาพลด ราคาพุ่ง! แล้วทำไมนักวิชาการ บิ๊กองค์กรโลก ตำราเศรษฐศาสตร์ ดันไปหลงใหลในระบบที่ขัดขวางความเจริญ แทนที่จะหันมาขอบคุณระบบทุนนิยมเสรี ที่พาคน 90% ทั่วโลกหลุดพ้นหายนะจากความจน ระบบเติบโตเร็วแรงขึ้นเรื่อยๆ แบบนี้มันไม่ดี หรือมันไม่ถูกทำนองคลองธรรมตรงไหนกัน?
โลกเราตอนนี้มันสุดยอดไปเลยนะครับ ไม่เคยมีช่วงเวลาไหนในหน้าประวัติศาสตร์ที่จะรุ่งโรจน์ ปลอดภัย และมั่งคั่งเท่ายุคสมัยนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่กับบางประเทศนะ ทั้งโลกเลย! เรามีอิสรภาพกันมากกว่าเมื่อก่อน มีเงินทองมากกว่า อยู่กันสงบสุขกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไหนเคารพในสิทธิเสรีภาพ ผู้คนต่างมีอิสรภาพในทางเศรษฐกิจ มันก็ยิ่งจะดีไปกันใหญ่ เพราะประเทศเสรี มีความมั่งคั่งมากกว่าประเทศที่ถูกกดขี่ถึง 12 เท่า!
แม้แต่คนที่จนสุดๆ ในประเทศเสรี ก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่า 90% ของคนในประเทศที่ถูกกดขี่ ความยากจนในประเทศเสรีน้อยกว่า 25 เท่า ความยากจนขั้นรุนแรงน้อยกว่า 50 เท่า และคนในประเทศเสรีต่างก็มีอายุยืนยาวกว่าคนในประเทศที่ถูกกดขี่ 25% เลยทีเดียว!
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/d830ee7b7c30a364b1244b779afbb4f156733ffb8c87235086e26b0b4e61cd62/files/1705690219222-YAKIHONNES3.jpg)
ทีนี้ เรามาว่ากันถึง 'แนวคิดเสรีนิยม' (Libertarianism) กันบ้างดีกว่า! ฟังคำอาจารย์ใหญ่เรื่องอิสรภาพของอาร์เจนตินา Alberto Benegas Lynch Jr. ท่านบอกว่า.. ‘เสรีนิยม’ คือ การเคารพสิทธิ์ทำตามฝันของผู้อื่นโดยไม่ละเมิดสิทธิใดๆ เน้นปกป้องชีวิต อิสรภาพ และทรัพย์สิน สิ่งสำคัญของระบบเศรษฐกิจแบบนี้ คือ ทรัพย์สินส่วนตัว ตลาดเสรี ไร้รัฐแทรกแซง แข่งขันอย่างยุติธรรม แบ่งงานทำกัน ร่วมมือกัน สุดท้าย คนที่ชนะก็คือคนที่ให้บริการดี ราคาโดนใจ!
นักธุรกิจทุนนิยมที่ประสบความสำเร็จ เขาไม่ใช่พวกขูดรีด แต่เป็นผู้สร้างคุณูปการ! พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ช่วยเศรษฐกิจให้เฟื่องฟู แท้จริงแล้ว เถ้าแก่รวยๆ นี่แหละคือฮีโร่! นี่คือโมเดลที่เราใฝ่ฝันอยากจะเห็นในอาร์เจนตินา อนาคตที่ยึดมั่นหลักการ เสรีนิยม ปกป้องชีวิต อิสระ และทรัพย์สิน
เอาล่ะ.. หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมผมถึงพูดว่าตะวันตกกำลังตกอยู่ในอันตราย ทั้งที่ระบบทุนนิยมเสรีและเสรีภาพทางเศรษฐกิจได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า มันเป็นเครื่องมือขจัดความยากจนอันยอดเยี่ยม และตอนนี้ก็คือยุคทองของมนุษยชาติ ผมขอพูดตรงๆ ว่าสาเหตุที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะว่า... ในประเทศของเราเองที่ควรปกป้องค่านิยมของตลาดเสรี เหล่าผู้นำทางการเมืองและเศรษฐกิจบางส่วน และบางคนก็เพราะความบ้าโลภอำนาจ กำลังกัดกร่อนรากฐานของเสรีนิยม เปิดทางให้กับสังคมนิยม และอาจนำพาเราไปสู่ความยากจน ข้าวยากหมากแพง และความซบเซา
เราต้องไม่ลืมกันเด็ดขาดว่า.. ‘สังคมนิยม’ (Socialism) นั้นเป็นระบบที่นำเราไปสู่ความยากจนเสมอ และล้มเหลวมาแล้วทุกประเทศที่เคยลองใช้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ไปจนถึงการสังหารหมู่ประชาชนเกิน 100 ล้านคน ปัญหาสำคัญของตะวันตกในวันนี้ ไม่ใช่แค่การต่อกรกับพวกที่ยังสนับสนุน "ลัทธิความจน" กันอยู่แม้กำแพงเบอร์ลินจะพังทลาย และมีหลักฐานเชิงประจักษ์มากมายขนาดไหน แต่ยังรวมถึงผู้นำ นักคิด และนักวิชาการของเราเอง ที่ใช้กรอบทฤษฎีที่ผิดพลาด บ่อนทำลายรากฐานของระบบที่สร้างความมั่งคั่งรุ่งเรืองให้กับเรามากที่สุดในประวัติศาสตร์
ทฤษฎีที่ผมกำลังพูดถึงเนี่ย ก็คือเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิคนั่นแหละครับ มันออกแบบชุดเครื่องมือเจ๋งๆ มา แต่ดันไปลงเอยกับการสนับสนุนการแทรกแซงของรัฐ สังคมนิยม แล้วก็ความเสื่อมทรามทางสังคมไปซะงั้น! พวกนีโอคลาสสิคมันหลงโมเดลของตัวเอง ไม่อิงกับโลกความเป็นจริงเลย พอเกิดปัญหา ก็โทษว่าตลาดล้มเหลว แทนที่จะกลับมาทบทวนรากฐานของโมเดลตัวเอง
อ้างว่าตลาดล้มเหลว โยนกฎระเบียบลงมาเต็มไปหมด ป่วนระบบราคา บิดเบือนการคำนวณทางเศรษฐกิจ ผลก็คือเก็บเงินไม่อยู่ ลงทุนไม่ได้ เศรษฐกิจก็ไม่โต ปัญหาหลักอยู่ตรงที่นักเศรษฐศาสตร์สายเสรีนิยมแท้ๆ ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าตลาดมันคืออะไร ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่าไม่มีอะไรที่เรียกว่า "ตลาดล้มเหลว" (Market failures) แบบนั้นหรอก
ตลาดมันไม่ใช่แค่กราฟเส้นโค้งอุปสงค์กับอุปทานหรอกนะครับ มันคือเครื่องมือสร้าง 'ความร่วมมือทางสังคม' ที่เราเต็มใจแลกเปลี่ยนสิทธิ์ครอบครองกัน เพราะงั้น.. ตามนิยามนี้ คำว่า "ตลาดล้มเหลว" มันฟังเป็นเรื่องขัดกันเอง ไร้สาระไปเลย (Oxymoron) ถ้าการซื้อขายมันเกิดจากความเต็มใจ ก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่าล้มเหลวหรอก ตัวก่อปัญหาที่ทำให้เกิดความล้มเหลวจริง ๆ มีแค่ "การบังคับ" เท่านั้นเอง และไอ้ตัวบังคับตัวใหญ่ ๆ ในสังคมก็หนีไม่พ้น "รัฐ" นี่แหละครับ
ใครมาโวยวายว่าตลาดล้มเหลว ผมขอให้ลองดูซิว่ามีรัฐแทรกแซงอยู่หรือเปล่า ถ้าหาไม่เจอ ลองดูอีกทีเถอะ ยังไงก็ต้องมีอะไรผิดพลาดแหละ เพราะตลาดมันไม่ล้มเหลวหรอกครับ ตัวอย่างที่เรียกว่า "ล้มเหลว" ของพวกนีโอคลาสสิค ก็อย่างโครงสร้างเศรษฐกิจที่เข้มข้น แต่ถ้าไม่มี "ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามขนาด" (Increasing returns to scale functions) ที่ทำให้โครงสร้างซับซ้อนแบบนี้เกิดขึ้น เราจะอธิบายการเติบโตเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 1800 มาถึงวันนี้ได้ยังไงล่ะ
น่าคิดใช่มั้ยครับ? ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 เป็นต้นมา ประชากรเพิ่มขึ้น 8 หรือ 9 เท่าตัว GDP ต่อหัวโตขึ้นเกิน 15 เท่า ดังนั้น.. จึงมี ‘ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น’ ซึ่งทำให้ความยากจนขั้นรุนแรงลดลงจาก 95% เหลือเพียง 5% แต่นี่มันแปลกตรงที่ "ผลตอบแทนแบบนี้" มักเกิดขึ้นในโครงสร้างรวบอำนาจแบบผูกขาดนี่แหละ แล้วไอ้สิ่งที่สร้างความรุ่งโรจน์ให้กับทฤษฎีแบบนีโอคลาสสิค ดันกลายเป็น "ตลาดล้มเหลว" ไปได้ยังไง?
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/d830ee7b7c30a364b1244b779afbb4f156733ffb8c87235086e26b0b4e61cd62/files/1705690314433-YAKIHONNES3.jpg)
เวลาโมเดลพัง.. พวกนีโอคลาสสิคเขาไม่โวยใส่ความจริงหรอก พวกนี้มันคิดนอกกรอบ เขาไปปรับโมเดลกัน อย่าไปมัวโกรธฟ้าโกรธฝน เอาพลังมาเปลี่ยนโมเดลกันดีกว่า ปัญหาคือ พวกเขาโฆษณาว่าอยากให้ตลาดทำงานดีขึ้น ด้วยการโจมตีสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "ความล้มเหลว" แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่แค่การเปิดประตูไปสู่สังคมนิยมอย่างเดียวนะ มันยังไปสกัดดาวรุ่งเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกด้วย
ยกตัวอย่างง่ายๆ นะครับ ก็ไปปราบไอ้พวกผูกขาด อย่างการควบคุมราคา สกัดกำไร มันก็พ่วงไปทำลาย "ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้น" ทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจไปด้วย พูดอีกอย่างก็คือเวลาที่คุณอยากแก้ "ปัญหาตลาดล้มเหลว" ที่แท้จริงแล้วมันเป็นเพราะคุณนั้นไม่รู้จักตลาดหรือหลงรักโมเดลล้มๆ แจ้งๆ ผลลัพธ์มันก็หนีไม่พ้น การที่คุณไปเปิดประตูสู่สังคมนิยม ลากคนไปสู่หลุมแห่งความจนแบบเต็ม ๆ
หลักฐานท่วมหัวทั้งทฤษฎีและประสบการณ์ บอกชัด ๆ ว่ารัฐแทรกแซงมันเลวร้าย พวกหัวคอมมิวนิสต์แทนที่จะโหยหาอิสรภาพ กลับยิ่งโหยหาการควบคุม เกิดระเบียบวุ่นวายงอกงามเป็นน้ำพุ สุดท้ายพวกเราก็จนลง กลายเป็นเบี้ยล่าง ปากกัดตีนถีบ ชีวิตแขวนอยู่แค่ปลายปากกาของข้าราชการในตึกโก้หรู
เห็นๆ กันอยู่แล้วว่าโมเดลสังคมนิยมมันล้มเหลวไม่เป็นท่า ในขณะที่โลกเสรีเจริญรุ่งเรืองจนรั้งไม่อยู่ พวกสังคมนิยมก็เลยต้องเปลี่ยนกลยุทธ์จากการปลุกระดมชนชั้นกรรมาชีพ หันไปโหยหา ‘ความขัดแย้งทางสังคม’ ในแบบใหม่ๆ แทน ซึ่งก็ส่งผลเสียหายสร้างความแตกแยก ทำลายชุมชน ฉุดรั้งเศรษฐกิจไม่ได้ต่างกันหรอกครับ
ทุกท่านลองนึกดูสิ ว่าการต่อสู้ที่พวกหัวรุนแรงโหมโรงกันอยู่.oตอนนี้ มันไร้สาระและฝืนธรรมชาติมากขนาดไหน ผู้ชาย ผู้หญิง ก็เกิดมาเท่ากันอยู่แล้ว ไม่ใช่เหรอ? เสรีนิยมเราก็ยึดหลักความเท่าเทียมกันมาตั้งแต่ต้น ธรรมนูญของเรายังบอกว่า ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน มีสิทธิ์ที่ผู้สร้างประทานมาให้ไม่ว่าจะเป็นสิทธิ์ในการมีชีวิต เสรีภาพ และสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน แต่พวกเฟมินิสต์หัวรุนแรง (Radical Feminism) ทำอะไร? แค่โวยวายเรียกร้องให้รัฐเข้ามาแทรกแซงเศรษฐกิจ ยัดเยียดงานให้พวกข้าราชการ (Bureaucrats) ที่ไม่เคยทำอะไรให้สังคมเลย
อีกสมรภูมิที่พวกสังคมนิยมชงัดขึ้นมาคือการปลุกระดมให้คนสู้กับธรรมชาติ พวกเขาโวยวายว่ามนุษย์อย่างเราทำลายโลก ต้องปกป้องสิ่งแวดล้อมกันสุดโต่ง จนถึงขั้นเสนอให้คุมกำเนิดประชากรหรือส่งเสริมการทำแท้ง น่าเศร้าที่ความคิดแปลกๆ พวกนี้มันฝังรากลึกลงไปในสังคมของเราแล้ว พวกนีโอ-มาร์กซิสต์มันฉลาดนะครับ พวกเขายึดสื่อ วัฒนธรรม มหาวิทยาลัย ไปจนถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหลาย
อันตรายที่สุดก็ตรงองค์กรระดับโลกพวกนี้แหละ พวกมันมีอิทธิพลมหาศาลต่อการตัดสินใจทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ แต่โชคดีนะ เดี๋ยวนี้คนตาสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ เราเริ่มเห็นแล้วว่าอุดมการณ์บ้าๆ บอๆ พวกนี้ ถ้าไม่สู้กันจริงจัง หนีไม่พ้นหรอก พวกเราจะเจอรัฐบาลเข้มงวด สังคมนิยมเฟื่องฟู คนจนกระจาย รวยกระจุก และไร้เสรีภาพ ผลที่ตามมาก็คือ อยู่กันลำบาก เงินทองฝืดเคือง
ข่าวร้ายสำหรับพวกเรา คือ "ตะวันตก" เริ่มเดินอยู่บนเส้นทางนี้แล้ว อาจดูบ้าสำหรับหลายคน ที่จะบอกว่าตะวันตกหันไปทางสังคมนิยม มันฟังดูเป็นไร้สาระ ใช่แล้ว... แต่จะไร้สาระก็ต่อเมื่อคุณยังคงยึดติดอยู่กับนิยามสังคมนิยมในแบบเดิมๆ ที่รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต นิยามแบบนั้น.. ในสายตาผม มันล้าสมัยไปแล้วครับ โลกมันไม่เคยหยุดนิ่ง นิยามของสังคมนิยมก็ต้องอัพเดทไปตามกระแสเช่นเดียวกัน
สมัยนี้ รัฐไม่ต้องยึดโรงงาน ยึดไร่ ยึดนา เหมือนสมัยก่อนหรอกนะครับ จะบังคับชีวิตคนทั้งประเทศมันก็ง่ายนิดเดียว แค่มีของเล่นอย่าง การพิมพ์เงิน พอกหนี้ ทุ่มเงินอุดหนุน กดดอกเบี้ย คุมราคาสินค้า สร้างกฎระเบียบสารพัด แก้ปัญหาตลาดที่เค้าว่ามันล้มเหลวนั่นแหละครับ แค่นี้ก็ชักใยชักชีวิต ชักชะตาคนเป็นล้านๆ ได้สบายๆ แล้ว
นี่แหละครับ.. ทำไมข้อเสนอการเมืองที่คนนิยมกันทั่วไปในตะวันตก มันถึงดูหลากหลาย แต่ถ้าแกะเอาแก่นมันออกมา ก็มักจะเป็นไอเดียแบบ 'รวมศูนย์' ไปซะหมด ทั้งพวกคอมมิวนิสต์ตัวจริง เสแสร้งเป็นซ้ายจัด (Openly Communist) หรือพวกเผด็จการลับๆ ล่อๆ อ้างโน่นอ้างนี่ (Fascist) ไม่ว่าจะเป็นนาซี (Nazis) สังคมนิยมแบบเบ็ดเสร็จ (Socialists) ประชาธิปไตยแบบคุมเข้ม (Social democrats) พวกแอบชาตินิยม (National socialists) หรือแม้แต่คริสต์ประชาธิปไตย (Christian democrats), Progressive, Populist, Nationalists หรือ globalists ปฏิรูปสุดโต่ง ยึดหลักคนส่วนใหญ่ อะไรทำนองนั้น
ซึ่งถ้าดูเผินๆ เหมือนจะไม่เหมือนกันใช่มั้ยครับ?
แต่ลึกๆ แล้ว แก่นมันก็เหมือนๆ กัน นั่นก็คืออยากให้ 'รัฐเป็นใหญ่' ชีวิตคนเราจะเดินไปทางไหน รัฐต้องเป็นคนกำหนด
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/d830ee7b7c30a364b1244b779afbb4f156733ffb8c87235086e26b0b4e61cd62/files/1705690495640-YAKIHONNES3.jpg)
ทุกท่านที่อยู่กันตรงนี้ ล้วนสนับสนุนแนวทางที่สวนทางกับสิ่งที่เคยพาให้มนุษยชาติเจริญรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์ ผมมาที่นี่วันนี้.. เพื่อจะชวนพี่น้องชาวโลกตะวันตกทุกคน กลับมาเดินบนเส้นทางสู่ความมั่งคั่งกันอีกครั้ง เสรีภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลที่ไม่ยุ่งรุ่มร่ามกับเรามากเกินไป และการเคารพทรัพย์สินของปัจเจกบุคคลอย่างเต็มที่ คือหัวใจสำคัญที่จะปลุกเศรษฐกิจให้คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง
อย่าคิดว่าความจนที่ระบบรวมศูนย์สร้างขึ้นมันเป็นแค่ฝันร้าย หรือเป็นโชคชะตาที่เราไม่อาจเลี่ยง พวกเราชาวอาร์เจนตินารู้ดี มันเป็นเรื่องจริงที่เราประสบมากับตัว เคยเห็นมากับตา พราะก็อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่แรก นับตั้งแต่วันที่เราตัดสินใจทิ้งโมเดลเสรีภาพที่เคยทำให้เราผงาด พวกเราก็ติดอยู่ในวังวนแห่งความตกต่ำ วันๆ จมดิ่งลงไป เรายิ่งจนลงทุกวัน
ฟังกันให้ชัดนะครับ! พวกนักธุรกิจทั้งหลาย ทั้งที่อยู่ตรงนี้หรือติดตามอยู่ทั่วโลก อย่าไปกลัว! อย่าหวั่นไหว ทั้งไอ้พวกนักการเมืองปลอมๆ หรือพวกขี้เกียจเกาะรัฐกิน อย่าปล่อยให้พวกนักการเมืองที่ห่วงแต่เก้าอี้ตัวเองมาข่มขู่ คุณคือผู้สร้างคุณูปการ คุณคือฮีโร่ คุณคือคนสร้างยุคทองของพวกเรา!
อย่าปล่อยให้ใครมาบอกว่าความทะเยอทะยานของคุณมันเลว ถ้าคุณรวยเพราะขายของดี ราคาถูก ทุกคนก็ได้ประโยชน์ร่วมกัน คุณคือคนที่สร้างประโยชน์ให้สังคม อย่าปล่อยให้รัฐเข้ามายุ่ง! รัฐไม่ใช่คำตอบ รัฐนั่นแหละตัวปัญหา! คุณต่างหากคือตัวเอกของเรื่องนี้
และจำไว้นะครับ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อาร์เจนตินาจะยืนอยู่เคียงข้างคุณ ขอบคุณมากครับ!
พวกเราตะโกนดังๆ ออกไปเลยครับ เสรีภาพจงเจริญ!!
แม่งเอ้ย!!
.
.
(Milei ได้สบถทิ้งท้ายไว้บนเวทีว่า Damn it!)
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/d830ee7b7c30a364b1244b779afbb4f156733ffb8c87235086e26b0b4e61cd62/files/1705691994123-YAKIHONNES3.jpg)
-----------
## ไฮไลท์สุนทรพจน์ของ Javier Milei
สุนทรพจน์ของ Javier Milei นั้นดุเดือด ทรงพลัง เปิดโปงความจริง ซัดนโยบายที่ฉุดรั้งความเจริญ เขาชวนให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเสรีภาพ และร่วมกันปกป้องอนาคตของสังคมอิสรภาพ พร้อมทั้งท้าทายนโยบายแบบรวมศูนย์และการแทรกแซง ผสมผสานไปด้วยปรัชญาการเงิน บทเรียนประวัติศาสตร์ และเสียงร้องขออันเร่าร้อนให้หันหน้าเข้าสู่เสรีนิยม ภาษาที่เขาใช้นั้นมีทั้งแนววิชาการ หลักฐานเชิงประจักษ์ และวาทศิลป์กระตุกเร้า จุดมุ่งหมายอยู่ที่การสนับสนุนทุนนิยมเสรีและโจมตีแนวทางสังคมนิยม
รากฐานของสุนทรพจน์นี้ฝังลึกอยู่ในหลักการเสรีนิยม (Libertarianism) และอนาธิปไตยทุนนิยม (Anarcho-Capitalism) เขาใฝ่ฝันจะได้เห็นสังคมที่ไร้รัฐบาล ทุนนิยมเสรีและกรรมสิทธิ์ของเอกชนเบ่งบานเต็มที่ เห็นได้จากการเน้นย้ำซ้ำๆ ถึงความสำเร็จของระบบทุนนิยม และการวิจารณ์โมเดลสังคมนิยม
ต่อไปนี้คือตัวอย่าง Statement ที่ถือว่าเป็นไฮไลท์บางส่วนของสุนทรพจน์ในครั้งนี้
### วิพากษ์วิจารณ์ผลกระทบของระบบรวมศูนย์
> "When we adopted the model of freedom back in 1860, in 35 years, we became a leading world power. And when we embraced collectivism over the course of the last 100 years, we saw how our citizens started to become systematically impoverished, and we dropped to spot number 140 globally".
"เมื่อเรายึดถือโมเดลแห่งอิสรภาพในปี 1860 ภายใน 35 ปี เราผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจชั้นนำของโลก แต่เมื่อเรายอมรับระบบรวมศูนย์ตลอดช่วง 100 ปีที่ผ่านมา เราเห็นพลเมืองของเราถูกกดขี่อย่างเป็นระบบ และตกลงมาอยู่ที่อันดับ 140 ของโลก"
### ปกป้องระบบทุนนิยม
> "The conclusion is obvious: far from being the cause of our problems, free trade capitalism as an economic system is the only instrument we have to end hunger, poverty, and extreme poverty across our planet. The empirical evidence is unquestionable".
"บทสรุปชัดเจน แทนที่จะเป็นสาเหตุของปัญหา ระบบทุนนิยมการค้าเสรีในฐานะระบบเศรษฐกิจ เป็นเครื่องมือเดียวที่เรามีเพื่อยุติความอดอยาก ความยากจน และความยากจนข้นแค้นบนโลกนี้ หลักฐานเชิงประจักษ์มันปฏิเสธไม่ได้"
### วิพากษ์วิจารณ์ความเป็นธรรมทางสังคม
> "So they, therefore, advocate for social justice, but this concept, which in the developed world became fashionable in recent times, in my country has been a constant in political discourse for over 80 years. The problem is that social justice is not just and it doesn't contribute either to the general well-being".
"พวกเขามุ่งส่งเสริมความยุติธรรมทางสังคม ซึ่งแนวคิดนี้เพิ่งได้รับความนิยมในโลกตะวันตก แต่ในประเทศของผม มันเป็นวาทกรรมการเมืองมาเกิน 80 ปี ปัญหาคือ ความยุติธรรมทางสังคมนั้นไม่ยุติธรรม และไม่ก่อให้เกิดความเป็นอยู่ที่ดี"
### ตลาดในฐานะกลไกค้นหา
> "If the goods or services offered by a business are not wanted, the business will fail unless it adapts to what the market is demanding. If they make a good quality product at an attractive price, they would do well and produce more".
"หากสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจเสนอนั้นไม่เป็นที่ต้องการ ธุรกิจจะล้มเหลว เว้นแต่จะปรับตัวตามความต้องการของตลาด หากพวกเขาผลิตสินค้าคุณภาพดีในราคาที่น่าดึงดูด พวกเขาก็จะประสบความสำเร็จและผลิตมากขึ้น"
### วิจารณ์เศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก
> "The theoretical framework to which I refer is that of neoclassical economic theory, which designs a set of instruments that, unwillingly or without meaning to, ends up serving the intervention by the state, socialism, and social degradation".
กรอบทฤษฎีที่ผมอ้างถึงคือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบนีโอคลาสสิก ซึ่งออกแบบชุดเครื่องมือที่โดยไม่ได้ตั้งใจหรือไม่ได้เจตนา กลับกลายเป็นเครื่องมือสนับสนุนการแทรกแซงของรัฐ สังคมนิยม และการเสื่อมโทรมทางสังคม"
-----------
ในบริบทของสุนทรพจน์ คำว่า "**ระบบรวมศูนย์**" (Collectivism) ถูกใช้เพื่อสื่อความหมายหลายอย่าง ซึ่งโดยสรุปภายในบริบทของมุมมองเสรีนิยมของ Milei ระบบรวมศูนย์ถูกมองว่าเป็นระบบสังคมเศรษฐกิจที่เน้นอำนาจรัฐและเป้าหมายของกลุ่ม บ่อยครั้งมักละเลยสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล และถูกมองว่าขัดแย้งกับหลักการของการประกอบการอย่างเสรีและเสรีภาพส่วนบุคคล
**การควบคุมและแทรกแซงของรัฐ** (State Control and Intervention): ระบบรวมศูนย์ในบริบท หมายถึงระบบเศรษฐกิจและการเมือง โดยรัฐมีบทบาทเด่นในการควบคุมและกำกับดูแลด้านต่างๆ ของสังคมและเศรษฐกิจ รวมถึงการแทรกแซงตลาด การเป็นเจ้าของทรัพยากรของรัฐ และการตัดสินใจแบบรวมศูนย์
**การปราบปรามเสรีภาพปัจเจกบุคคล** (Suppression of Individual Freedoms): การใช้คำว่าระบบรวมศูนย์ของ Milei บ่งบอกถึงระบบที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายของกลุ่มหรือประโยชน์ส่วนรวมเหนือสิทธิและเสรีภาพของปัจเจกบุคคล ในมุมมองนี้ ระบบรวมศูนย์ถูกมองว่าละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลและอำนาจตนเองของปัจเจก เพื่อสนองเป้าหมายสังคมหรือรัฐที่กว้างขึ้น
**การกระจายรายได้และความยุติธรรมทางสังคม**(Economic Redistribution and Social Justice): คำศัพท์นี้ยังใช้เพื่ออธิบายระบบเศรษฐกิจและนโยบายที่เน้นการกระจายความมั่งคั่งและทรัพยากรในนามของความเท่าเทียมและความยุติธรรมทางสังคม Milei วิพากษ์วิจารณ์แง่มุมนี้ของระบบรวมศูนย์ โดยมองว่ามันไม่ยุติธรรมและไร้ประสิทธิภาพโดยเนื้อแท้
**ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและการยอมจำนน** (Uniformity and Conformity): ระบบรวมศูนย์ ในสุนทรพจน์ของ Milei ชี้ให้เห็นแนวโน้มในการบังคับใช้ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของความคิดและการกระทำภายในสังคม ซึ่งขัดแย้งโดยตรงกับค่านิยมเสรีนิยมที่ยกย่องความหลากหลายทางความคิด เสรีภาพในการแสดงออก และการเลือกของปัจเจกบุคคล
**ความแตกต่างจากทุนนิยมเสรี** (Contrast to Free Market Capitalism): ในบทสนทนาของไมเล่ย์ ระบบรวมศูนย์มักถูกเปรียบเทียบกับทุนนิยมเสรี ในขณะที่เขาสนับสนุนระบบหลังซึ่งส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสรีภาพส่วนบุคคล ระบบรวมศูนย์ถูกมองว่าขัดขวางความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการริเริ่มของปัจเจกบุคคล
-----------
ในท่อนนี้
> "Consequently, if someone considers that there is a market failure, I would suggest that they check to see if there is state intervention involved, and if they find that that's not the case, I would suggest that they check again because obviously, there's a mistake. Market failures do not exist. An example of these so-called market failures described by the neoclassicals are the concentrated structures of the economy. However, without increasing returns to scale functions, whose counterpart are the complicated structures of the economy, we couldn't possibly explain economic growth since the year 1800 until today."
> "ดังนั้น ถ้าใครบอกว่ามี 'ความล้มเหลวของตลาด' ผมอยากให้ตรวจสอบดูก่อนว่ามีการแทรกแซงจากรัฐด้วยไหม ถ้าไม่มี ผมก็อยากให้ตรวจซ้ำอีก เพราะชัดเจนว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ 'ความล้มเหลวของตลาด' มันไม่มีอยู่จริง! ตัวอย่างของสิ่งที่พวกนีโอคลาสสิกเรียกว่า 'ความล้มเหลวของตลาด' ก็คือโครงสร้างเศรษฐกิจแบบกระจุกตัว แต่ถ้าปราศจากฟังก์ชัน 'ผลตอบแทนต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น' ซึ่งมีคู่แฝดคือโครงสร้างที่ซับซ้อนของเศรษฐกิจ เราคงอธิบายการเติบโตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 1800 จนถึงปัจจุบันนี้ไม่ได้หรอก!"
คำว่า "Increasing returns to scale functions" หมายถึง ฟังก์ชันที่ผลผลิตต่อหน่วยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อขนาดของการผลิตเพิ่มขึ้น
ตัวอย่างเช่น บริษัทผลิตรถยนต์ที่เพิ่มจำนวนสายการผลิตจาก 1 สายเป็น 2 สาย จะทำให้สามารถผลิตรถยนต์ได้มากขึ้นกว่าเดิมโดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุนมากนัก ฟังก์ชันนี้มีความสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เพราะช่วยให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าและบริการได้ในปริมาณที่มากขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง
Milei อ้างว่า Increasing returns to scale functions (ผลตอบแทนต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น) เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 จนถึงปัจจุบัน โดยกล่าวว่า หากไม่มีฟังก์ชันผลตอบแทนต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น บริษัทก็จะไม่สามารถผลิตสินค้าและบริการได้ในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงหรือหยุดชะงัก
Milei ยังได้กล่าวอีกว่าฟังก์ชัน 'ผลตอบแทนต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น' มักพบในอุตสาหกรรมที่มีโครงสร้างซับซ้อน เช่น อุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมเทคโนโลยี อุตสาหกรรมบริการ เป็นต้น อุตสาหกรรมเหล่านี้มักจะมีต้นทุนคงที่สูง (เช่น ต้นทุนในการสร้างโรงงาน ต้นทุนในการพัฒนาเทคโนโลยี ต้นทุนในการจ้างพนักงาน เป็นต้น) การเพิ่มขนาดการผลิตจึงช่วยให้บริษัทสามารถกระจายต้นทุนคงที่เหล่านี้ออกไปได้ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง
ดังนั้น Milei จึงสรุปว่า หากเราต้องการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ เราควรส่งเสริมให้เกิดฟังก์ชัน 'ผลตอบแทนต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น' ตัวอย่างเช่น รัฐบาลควรสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถผลิตสินค้าและบริการได้ในปริมาณที่มากขึ้นและต้นทุนที่ต่ำลง