-
@ HereTong
2025-05-21 07:49:22หลายคนอาจแปลกใจว่า ทำไมน้ำมันจากผลไม้แบบอโวคาโดถึงกล้าขึ้นชั้น “ไขมันดี” ไปเทียบกับน้ำมันมะกอกได้ ทั้งที่ฟังดูไม่หรูเท่า แต่ความจริงแล้ว น้ำมันอโวคาโดคือหนึ่งในไม่กี่ชนิดของน้ำมันพืชที่สกัดจาก “เนื้อผล” ไม่ใช่เมล็ด ทำให้มีโครงสร้างไขมันที่ต่างจาก seed oils ทั่วไป ทั้งในแง่กรดไขมัน สารต้านอนุมูลอิสระ และวิธีที่มันตอบสนองต่อความร้อน
น้ำมันอโวคาโดมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียว (MUFA) เป็นหลัก โดยเฉพาะ กรดโอเลอิก (Oleic acid) ซึ่งคิดเป็นประมาณ 65–70% ของไขมันทั้งหมด ใกล้เคียงน้ำมันมะกอกเลย แต่เหนือกว่าเล็กน้อยในแง่ของ ค่าควัน (smoke point) ที่สูงถึง 250°C (แบบ refined) และราว 190–200°C (แบบ cold-pressed) ทำให้เหมาะกับการผัดหรือทอดแบบเบา ๆ โดยไม่ทำให้เกิดสารพิษจากไขมันไหม้เร็วเท่าน้ำมันที่ค่าควันต่ำ
นอกจาก MUFA แล้ว น้ำมันอโวคาโดยังมี PUFA อยู่เล็กน้อย ประมาณ 10–14% ส่วนใหญ่คือ โอเมก้า-6 (linoleic acid) ซึ่งก็มีปริมาณไม่มากจนถึงขั้นต้องห่วงเรื่องการอักเสบ เหมือนที่เจอกับพวกน้ำมันรำข้าวหรือถั่วเหลืองที่ PUFA พุ่งสูงเกิน 50% ขึ้นไป และที่สำคัญ...โอเมก้า-3 ในอโวคาโดก็มีอยู่บ้างในรูปของ ALA แม้ไม่เยอะ แต่ก็บอกได้ว่าโครงสร้างโดยรวมของมันสมดุลพอควร ถ้ามองในรูปแบบพลังงานไขมัน ก็ถือว่าใช้ได้เลย
อโวคาโดออยล์แบบไม่ผ่านกระบวนการ (unrefined) ยังมีพวก วิตามินอี (tocopherols) ในระดับประมาณ 13–20 มก. ต่อ 100 กรัม และสารโพลีฟีนอลบางชนิดราวๆ 30–50 mg GAE/100 กรัม เช่น catechins และ procyanidins อยู่บ้าง ซึ่งช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระตอนเจอความร้อน และยังดีต่อผิวหนังในมิติของ skincare ด้วยนะ
ถ้าใช้แบบ cold-pressed, unrefined กลิ่นมันจะออกคล้ายอะโวคาโดสุก ๆ หน่อย มีความเขียวอ่อน ๆ และครีมมี่เล็ก ๆ ซึ่งเหมาะกับการคลุกหรือปรุงแบบ low heat มากกว่าการทอดแรง ส่วนถ้าจะใช้ทำอาหารจริงจัง น้ำมันอโวคาโดแบบ refined ก็จะกลิ่นอ่อนลง สีใสขึ้น และทนไฟได้ดีขึ้นมาก เหมาะจะเอาไปทำ steak หรือผัดไฟกลางได้แบบไม่กังวล อันนี้ก็แล้วแต่จะเลือกนะครับ
ถ้าจะพูดให้ตรง… น้ำมันอโวคาโดคือ “ไขมันผลไม้สายกลาง” ที่ทั้งทนไฟพอใช้ ทำครัวได้หลากหลาย และไม่บิดเบือนสัดส่วนไขมันในร่างกายเราจนเกินไป และถ้าเลือกแบบที่ผลิตดี ไม่โดนสารเคมี ไม่โดนไฮโดรเจนเสริม ก็ถือว่าเป็นน้ำมันดีอีกตัวที่วางใจได้ในครัวจริง ๆ
ใครอยากลองทำเองที่บ้านก็ได้นะ แบบง่ายๆแค่มีผ้าขาวบาง https://youtu.be/gwHGgoMuRnI?si=ehcQceabdbMGfkwG
นอกจากนี้บางคนอาจเคยเห็นโฆษณาสินค้าที่มีน้ำมันจากเมล็ดและเปลือกด้วยใช่ไหมครับ
เมล็ดอโวคาโดนั้นอุดมไปด้วย ไขมันน้อยกว่ามาก เมื่อเทียบกับเนื้อผล แต่มีสารพฤกษเคมีบางชนิดที่นักวิจัยสนใจ เช่น ฟีนอลิกส์ (phenolics), ฟลาโวนอยด์, สารต้านจุลชีพ และ ไฟเบอร์ละลายน้ำสูง การสกัดน้ำมันจากเมล็ดมักจะใช้ ตัวทำละลาย (solvent extraction) หรือ วิธี supercritical CO₂ ไม่ค่อยทำแบบ cold-pressed เพราะน้ำมันน้อยเกิน ปริมาณน้ำมันจากเมล็ดนั้นต่ำมาก คือไม่ถึง 5% ของน้ำหนักแห้ง ทำให้ไม่ค่อยนิยมในเชิงพาณิชย์ น้ำมันจากเมล็ดมักไม่ได้เอาไว้ปรุงอาหาร แต่เอาไปใช้ ด้านเวชสำอาง หรือ functional food มากกว่า เช่น ครีมทาผิว แชมพู หรือผลิตภัณฑ์ชะลอวัย
เปลือกอโวคาโดมี สารต้านจุลชีพและสารต้านออกซิเดชัน บางชนิดเช่นกัน แต่มีไขมันน้อยมากแทบจะไม่มีเลย บางงานวิจัยพยายามสกัดพวก polyphenols หรือสารสีธรรมชาติจากเปลือก เพื่อใช้ในอาหารเสริม หรือผลิตภัณฑ์สุขภาพ ไม่ได้สกัดน้ำมันโดยตรง แบบเนื้อผล แต่ใช้เปลือกเป็นวัตถุดิบเสริมมากกว่า เช่น ผสมในน้ำมันหลักเพื่อเพิ่มคุณสมบัติด้านสุขภาพ
ส่วนตัวคิดว่าไม่ต้องทำเองหรอกครับ ซื้อกินเหอะ 555 เจ้านี้ดีนะ อยู่คู่วงการสุขภาพมาแต่แรกๆเลย https://s.shopee.co.th/8zsnEsLrvh
#pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr