-

@ Journaling Our Journey
2025-05-25 15:29:12
https://image.nostr.build/374107f75db4f035e20772e4f5972796ad43a80bb8f62770ffd94d617f0b3968.jpg
เวลาที่เราแขนหัก และเราไปหาหมอ ต่อให้เราต้องการรักษาให้แขนของเราหายเจ็บในท้ายที่สุด แต่เราก็รู้ว่า ในระหว่างที่เรากำลังอยู่ในกระบวนการรักษานั้น กระบวนการรักษามันอาจจะมีความเจ็บปวดอยู่บ้าง
.
การพูดคุยกับนักจิตวิทยาก็เช่นกันครับ
.
จริงอยู่ครับว่า เวลาที่เราทุกข์ใจ และเรามาพูดคุยกับนักจิตวิทยานั้น ในท้ายที่สุดแล้ว เราอาจจะคาดหวังให้ความทุกข์ใจดังกล่าวทุเลาลง
.
แต่ธรรมชาติของกระบวนการพูดคุยกับนักจิตวิทยานั้น มันอาจจะมีบางช่วงเวลาที่ดูเหมือนว่า ความทุกข์ใจเราจะทวีความเข้มข้นมากขึ้นได้
.
ยกตัวอย่างเช่น
.
หากเรามีความวิตกกังวลเวลาพูดในที่สาธารณะ (เช่น เวลานำเสนองานในที่ประชุม) และเรามาพูดคุยกับนักจิตวิทยาเพราะเราต้องการจะบริหารจัดการความวิตกกังวลนั้นให้ดีขึ้น นักจิตวิทยาอาจจะทำหลายอย่างที่ดูเป็นการ “กระตุ้น” ความวิตกกังวลให้ทวีความรุนแรงมากขึ้น
.
ไม่ว่าจะเป็นการขอให้เราอธิบาย (แบบลงรายละเอียด) ถึงช่วงเวลาที่ความวิตกกังวลของเรากำลัง peak มากๆ (ซึ่งอาจจะทำให้เรา “ใจสั่น” ระหว่างที่กำลังพูดอธิบายได้) หรือการชักชวนให้เราฝึกพูดนำเสนองานต่อหน้าคนกลุ่มเล็กๆ (ซึ่งแน่นอนครับว่ามันต้อง “กระตุ้น” ความวิตกกังวลขึ้นมาในใจอยู่แล้ว แม้จะเป็นกลุ่มคนเล็กๆก็ตาม)
.
เป็นต้น
.
นักจิตวิทยาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพราะมีเจตนาที่จะกลั่นแกล้ง (ทำนองเดียวกันกับที่คุณหมอไม่ได้มีเจตนากลั่นแกล้งเวลาเย็บแผลคนไข้) แต่นักจิตวิทยาทำสิ่งเหล่านี้เพราะมันเป็นกระบวนการทำงานที่จะช่วยให้ผู้รับบริการรับมือกับความทุกข์ใจที่หยิบมาพูดคุยกับนักจิตวิทยาได้ดีขึ้นครับ (ทำนองเดียวกันกับที่คุณหมอเย็บแผลคนไข้เพราะต้องการให้แผลคนไข้หายดี)
.
ด้วยเหตุนี้ นักจิตวิทยาจำนวนมากจึงมักจะพูดอยู่บ่อยๆว่า “It's possible to feel worse before you feel better in therapy.” ครับ
#จิตวิทยา #siamstr