-
@ GaLoM ₿maxi
2025-04-21 23:18:20"ประวัติศาสตร์ก็เฉกเช่นธรรมชาติ — การเกิดและการตายล้วนดำเนินไปอย่างสมดุล" -โยฮัน ฮุยซิงกา3
การเสื่อมถอยของโลกยุคใหม่
พวกเรากำลังอยู่ในช่วงปลายของสิ่งที่เรียกว่า “ยุคใหม่” — ระบบโลกที่ถูกจัดระเบียบผ่านรัฐชาติอันรวมศูนย์ ซึ่งเคยพาเราผ่านยุคอุตสาหกรรม สงครามโลก และการสร้างโครงสร้างทางสังคมที่เข้มแข็งด้วยภาษี สวัสดิการ และระบบราชการ แต่ยุคนี้กำลังเคลื่อนเข้าสู่ฉากสุดท้ายของมันอย่างเงียบงัน โดยไม่มีใครในกระแสหลักพูดถึงอย่างจริงจัง และสิ่งที่กำลังมาแทนที่ก็จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงในเชิงคุณภาพจากโลกที่เราคุ้นเคย
เช่นเดียวกับที่สังคมเกษตรกรรมเคยมาแทนที่สังคมสัตว์-หาของป่า และระบบอุตสาหกรรมเคยมาแทนระบบศักดินา สังคมใหม่ที่กำลังปรากฏขึ้นจะเป็นการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ โดยในยุคใหม่นี้ “ประสิทธิภาพ” จะไม่ผูกติดกับ “ขนาด” อีกต่อไป อำนาจแบบรวมศูนย์ของรัฐจะถูกสั่นคลอน และระบบใหม่จะเกิดขึ้นซึ่งเล็กกว่า คล่องตัวกว่า และยากที่รัฐแบบเดิมจะควบคุม
นักประวัติศาสตร์ในอนาคตอาจมองว่าการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี 1991 หรือการพังทลายของกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 คือจุดสิ้นสุดของยุคสมัยนี้ และเปิดฉากสู่สิ่งใหม่ — บ้างเรียกมันว่ายุคหลังสมัยใหม่ บ้างว่าโลกไซเบอร์ หรือสังคมสารสนเทศ ไม่ว่าจะตั้งชื่ออย่างไร สิ่งที่ทุกคนยอมรับคือมันคือ "โลกใบใหม่" ที่แตกต่างอย่างถึงแก่นจากโลกเดิม
ความเข้าใจของมนุษย์ต่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ระดับอารยธรรมมักมาช้า เพราะขาดกรอบความคิดและภาษาที่จะมองเห็นมันได้ในขณะที่มันเกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่างเช่น ไม่มีใครในยุคศักดินาคิดว่าตนเองอยู่ใน “ยุคกลาง” จนกระทั่งยุคใหม่เข้ามาเปรียบเทียบ ในทำนองเดียวกัน พวกเราทุกวันนี้ก็อาจไม่รู้ตัวว่าเรากำลังอยู่ในช่วงสิ้นสุดของยุคหนึ่ง และจุดเริ่มต้นของอีกยุคหนึ่ง
ระบบสังคมใดก็ตามมักฝังข้อสันนิษฐานโดยปริยายว่าระบบของตนคือสิ่งสูงสุด เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยน และไม่ควรถูกตั้งคำถาม การตั้งคำถามถึงความอยู่รอดของระบบ จึงเป็นเรื่องที่ถูกกีดกันโดยไม่รู้ตัว เพราะยิ่งระบบใกล้ล่มสลายเท่าไร มันก็ยิ่งต้องพยายามปกปิดไม่ให้ใครรับรู้ถึงความเปราะบางของมัน
ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์เช่น การล่มสลายของจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. 476 ก็ไม่ได้รับการรับรู้ว่าเป็น “จุดจบ” ในเวลานั้น แม้เมื่อจักรพรรดิองค์สุดท้าย(โรมุลุส เอากุสตุส)ถูกปลด แต่ผู้คนและโครงสร้างเดิมของโรมันก็ยังคงแสร้งทำว่าทุกอย่างดำเนินไปตามปกติ รูปแบบของรัฐบาลเก่ายังคงถูกรักษาไว้ พิธีกรรมในระบบเดิมยังคงจัดขึ้น วุฒิสภายังคงประชุม กงสุลยังได้รับการแต่งตั้ง และระบบราชการก็ยังคงอยู่เกือบครบถ้วน พวกป่าเถื่อนที่เข้ามาปกครองก็ยังแสดงตนว่าให้ความเคารพต่อจักรวรรดิไบแซนไทน์และกฎหมายโรมัน ศาสนาคริสต์ยังคงดำรงเป็นศาสนาประจำรัฐ เครื่องราชสัญลักษณ์ยังถูกใช้ในพิธีสาธารณะ ทั้งหมดนี้เป็นฉากหน้าของการพยายามรักษาภาพความต่อเนื่องในขณะที่แก่นของอำนาจได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้สอนให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงใหญ่ในระดับอารยธรรมมักถูกซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ความเฉื่อยของสังคมที่ไม่ยอมรับความเป็นจริง คนในยุคนั้นไม่ได้รู้สึกว่าโรมล่มสลายไปแล้ว พวกเขาเพียงรู้สึกว่าชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ แม้ภายใต้ระเบียบใหม่ที่ซ้อนทับเข้ามาโดยไม่ได้ประกาศตนอย่างเป็นทางการ ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจึงไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันใดวันหนึ่ง แต่เป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปที่อาศัยแรงเฉื่อยของความเชื่อเก่าว่าสิ่งต่างๆ “ยังเหมือนเดิม”
ผู้เขียนใช้ตัวอย่างนี้เพื่อสะท้อนมาสู่โลกปัจจุบันว่า แม้ตัวอย่างโรมจะดูไกลตัว แต่ก็มีลักษณะใกล้เคียงกับสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ ระบบรัฐชาติสมัยใหม่ก็อาจกำลังเข้าสู่ภาวะเสื่อมถอยโดยที่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้ตั้งต้นจากการคาดเดาอนาคตอย่างลอย ๆ หากแต่เสนอว่า เราจะเข้าใจอนาคตได้ดีขึ้น ถ้าเริ่มจากการเรียนรู้กระบวนการเปลี่ยนผ่านในอดีต โดยเฉพาะพลวัตทางการเมืองและตรรกะของอำนาจ
จุดเปลี่ยนของโรมันไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นการล่มสลายของรัฐรวมศูนย์ แต่ยังเผยให้เห็นว่าการล่มสลายนั้นสามารถเปิดทางให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่นเบ่งบานขึ้นได้ ในยุคของเรา แม้สาเหตุจะต่างกัน — โรมล่มเพราะขยายเกินตัว เศรษฐกิจเกษตรกรรมไม่สามารถรองรับภาระรัฐ การเก็บภาษีที่หนักหนาและทหารที่ใช้อำนาจในทางมิชอบ — แต่สิ่งที่คล้ายกันคือ การไม่ยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่กำลังก่อตัว
เรายังเห็นการเปรียบเทียบถึงผลกระทบจากโรคระบาดในอดีต เช่น โรคฝีดาษที่ทำให้โรมอ่อนแอลง เช่นเดียวกับความกังวลเรื่องไวรัสกลายพันธุ์ในยุคปัจจุบัน ที่บ่งชี้ถึงความเปราะบางของโครงสร้างสังคม แม้รูปแบบของภัยคุกคามจะต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ “ความไม่พร้อมของระบบ” ที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงใหญ่
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้เขียนต้องการชี้ ไม่ใช่แค่สาเหตุของการล่มสลาย แต่คือความจริงที่ว่า ผู้คนในยุคนั้น “ไม่เห็น” ว่าตนเองอยู่ในจุดเปลี่ยน เพราะแรงเฉื่อยทางความคิดและการเมืองทำให้พวกเขายึดมั่นในสิ่งที่เคยรู้จัก โดยไม่รู้เลยว่าโลกได้เคลื่อนเข้าสู่ระยะใหม่แล้ว และเราทุกวันนี้ก็อาจกำลังทำเช่นเดียวกัน
เรากำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ไมโครโปรเซสเซอร์ เทคโนโลยีดิจิทัล และโครงสร้างไร้ศูนย์กลางจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์ของอำนาจอย่างรุนแรง แต่ผู้คนกลับพยายามตีความสิ่งเหล่านี้ผ่านเลนส์ของโครงสร้างอุตสาหกรรมแบบเดิม ซึ่งอาจทำให้พลาดโอกาสที่จะเข้าใจการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
ผู้เขียนเตือนว่าแม้บางหนังสือว่าด้วยอนาคตจะเต็มไปด้วยข้อมูล แต่กลับพาเราเข้าใจผิด เพราะยังยึดติดอยู่กับกรอบคิดเดิม เช่น การเชื่อว่ามนุษย์สามารถควบคุมทิศทางประวัติศาสตร์ได้เสมอ ทั้งที่ในความจริงแล้ว ปัจจัยที่ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์นั้น มักเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ และไม่ได้อยู่ในความสนใจของการเมืองกระแสหลัก
มนุษย์มักไม่เปลี่ยนแปลงเพราะ “ต้องการเปลี่ยน” แต่เพราะ “ไม่เปลี่ยนไม่ได้แล้ว” และการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นมักเกิดสวนทางกับความต้องการของคนส่วนใหญ่ที่อยากรักษาสถานะเดิม
ชีวิตที่ขาดวิสัยทัศน์
ความไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่กำลังก่อตัวขึ้นรอบตัวเรา อาจไม่ได้เกิดจากความไม่รู้ แต่เพราะเราลึกๆ แล้ว “ไม่อยากเห็น” ความเปลี่ยนแปลงนั้นเอง ความต้านทานนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ บรรพบุรุษของเราที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์และหาของป่าก็อาจเคยดื้อรั้นไม่ต่างกัน เพียงแต่พวกเขามีข้อแก้ตัวที่ฟังขึ้นมากกว่า เพราะในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ไม่มีใครอาจคาดเดาว่า “การปฏิวัติการเกษตร” จะเปลี่ยนโลกไปในระดับใด พวกเขาไม่มีปฏิทิน ไม่มีการบันทึก ไม่มีแบบจำลองใดจากอดีตให้ใช้ทำนายอนาคต แม้แต่แนวคิดเรื่อง “เวลา” ก็ยังไม่มีอยู่ในจิตสำนึก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ใน “ปัจจุบันที่ไม่สิ้นสุด” และเมื่อพูดถึงการคาดการณ์อนาคต พวกเขาก็เป็นเหมือน “คนตาบอด” ที่ยังไม่เคยลิ้มรส “ผลไม้แห่งความรู้” (ตามคำเปรียบในพระคัมภีร์) แต่ต่างจากพวกเขา พวกเราในวันนี้มีเครื่องมือและมุมมองที่ลึกซึ้งกว่า จากองค์ความรู้ของบรรพบุรุษกว่าสี่ห้าร้อยรุ่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และอัลกอริธึมของคอมพิวเตอร์ความเร็วสูง ช่วยให้เราทำความเข้าใจระบบที่ซับซ้อนอย่างเศรษฐกิจมนุษย์และพลวัตของสังคมได้ดียิ่งขึ้น แม้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะไม่สามารถอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ได้แบบสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้เราเข้าใจว่า “แรงจูงใจ” คือแรงผลักดันสำคัญ เมื่อผลตอบแทนสูงขึ้น หรือความเสี่ยงต่ำลง พฤติกรรมย่อมเกิดขึ้นถี่ขึ้น และนี่คือหลักการที่แม่นยำอย่างยิ่งในการวิเคราะห์อนาคต
แรงจูงใจนี้เองที่เป็นหัวใจของการพยากรณ์ และการพยากรณ์ที่ดีไม่ได้ขึ้นกับการรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าแบบเฉพาะเจาะจง แต่ขึ้นอยู่กับการเข้าใจโครงสร้างของแรงขับเคลื่อน เช่นเดียวกับที่เราอาจไม่รู้ว่าเมื่อไรเสียงฟ้าร้องจะดังขึ้น แต่เมื่อเห็นฟ้าแลบ ก็สามารถคาดหมายได้ว่าจะมีเสียงตามมา เช่นกัน หากเราสามารถเข้าใจ “ตรรกะของความรุนแรง” ที่กำลังเปลี่ยนไปในระดับการเมืองมหภาคได้ เราก็จะมองเห็น “โอกาส” หรือ “ช่องโหว่” ของระเบียบเดิม และใครจะเป็นผู้ฉวยโอกาสเหล่านั้น
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอดีต เช่น การปฏิวัติการเกษตร หรือการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ล้วนเกิดขึ้นช้าและกินเวลาหลายศตวรรษกว่าจะเผยผลเต็มที่ ในทางตรงกันข้าม การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคสารสนเทศกลับเกิดขึ้นรวดเร็วเพียงช่วงชีวิตเดียว
ผู้เขียนวางกรอบเพื่อให้เราเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมหภาคมักมาก่อนการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของรัฐอย่างเป็นรูปธรรม รายได้ที่ลดลง วิกฤตที่เกิดจากทรัพยากรจำกัด และแรงกดดันจากประชากร ล้วนเป็นผลพลอยได้จากความไม่สามารถของระเบียบเดิมในการรองรับแรงกระแทกของโลกใหม่ และการพูดถึงการเปลี่ยนแปลงจาก “ภายนอกระบบ” มักถูกห้ามหรือมองว่าเป็นเรื่องต้องห้ามในทุกยุคทุกสมัย ยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในระดับนี้มักก่อให้เกิดแรงปะทะทางวัฒนธรรมระหว่างผู้ที่ยึดมั่นในกรอบศีลธรรมดั้งเดิมกับผู้ที่เปิดรับแนวคิดใหม่ และไม่ใช่เรื่องแปลกที่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะไม่เป็นที่นิยม เพราะมันลดคุณค่าของทุนทางปัญญาเดิม ทำให้ระบบเก่าไร้ความหมาย และบีบบังคับให้สังคมต้องเรียนรู้ใหม่เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง
สัญญาณของการเสื่อมถอยมักปรากฏในรูปของคอร์รัปชัน ความไร้ประสิทธิภาพ และการสูญเสียศีลธรรมของผู้มีอำนาจ ซึ่งมักเป็นสัญญาณล่วงหน้าของการเปลี่ยนแปลงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าเร็วขึ้น กระบวนการเหล่านี้ก็จะยิ่งเร่งตัว จนทำให้เวลาที่เหลืออยู่สำหรับการปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ
"เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดหลายศตวรรษ — หรือแม้แต่แค่ในปัจจุบัน — เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มีผู้คนจำนวนมากที่สร้างรายได้(บ่อยครั้งเป็นรายได้จำนวนมาก) จากทักษะในการใช้ความรุนแรงผ่านอาวุธ และกิจกรรมของพวกเขาเหล่านี้มีบทบาทอย่างสำคัญยิ่งในการกำหนดว่าทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดในสังคมจะถูกจัดสรรไปในทิศทางใด." --เฟรเดอริก ซี. เลน
แนวคิดของการเมืองมหภาค(megapolitics) เป็นกรอบความคิดที่ทรงพลัง ซึ่งช่วยให้เรามองเห็นกลไกเบื้องหลังเหตุการณ์ที่ดูซับซ้อนหรือลึกลับในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลที่บางรัฐบาลเจริญรุ่งเรือง ขณะที่บางแห่งกลับล่มสลาย เหตุใดสงครามจึงอุบัติขึ้น และเหตุใดฝ่ายหนึ่งจึงมีชัย หรือแม้กระทั่งว่าอะไรเป็นตัวแปรที่กำหนดวงจรแห่งความรุ่งเรืองและความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ทั้งหมดล้วนสามารถอธิบายได้ผ่านเลนส์ของการเมืองมหภาค ซึ่งเน้นวิเคราะห์ว่า "ต้นทุนและผลตอบแทนของการใช้ความรุนแรง" เปลี่ยนไปอย่างไรในแต่ละบริบทของเวลา หากต้นทุนในการใช้อำนาจบังคับลดต่ำลง เช่น การเข้าถึงอาวุธที่ง่ายขึ้นและราคาถูกลง ก็ทำให้อำนาจเปลี่ยนมือได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย หลักการนี้ยังคงใช้ได้ตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงโลกยุคไซเบอร์สเปซในปัจจุบัน
ใน Part 2 เราจะมาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ to be continue....