-
@ SOUP
2025-03-22 03:31:14“คุณจะจัดการกับมลพิษฝุ่น PM2.5 โดยไม่ต้องอาศัยการออกกฎควบคุมจากรัฐได้ยังไง” ถ้าคุณเคยตั้งคำถามนี้ บทความนี้มีคำตอบ...และคำตอบอาจสวนทางกับความเชื่อของคุณโดยสิ้นเชิง . ลองย้อนกลับไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ในวันที่กรมควบคุมมลพิษประกาศว่า “ค่าฝุ่น PM2.5 เกินมาตรฐานใน 43 จังหวัด” และโรงเรียนหลายแห่งต้องสั่งปิดชั่วคราว คุณอาจนึกถึงภาพผู้คนใส่หน้ากากเดินท่ามกลางหมอกควัน แล้วถามตัวเองว่า “เรากำลังแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีที่ถูกต้องจริงหรือ?” ฝุ่น PM2.5 ปัญหาของ "Externalities" หรือปัญหาของการไม่มี "สิทธิในทรัพย์สิน" ที่ชัดเจน? . ในคลิปวิดีโอ จาก CDC Bitcointalk EP3 เมื่อปี 2020 อ.พิริยะ สัมพันธารักษ์ ได้เสนอแนวคิดที่ขัดแย้งกับสิ่งที่รัฐและสื่อกระแสหลักมักพูดถึงเสมอเมื่อพูดถึงฝุ่น PM2.5 ว่า... “ฝุ่น PM2.5 ไม่ใช่ปัญหาที่จะถูกแก้ได้ด้วยการออกกฎหมายควบคุมหรือแจกหน้ากากฟรี...แต่ต้องแก้ด้วยการ สร้างกลไกตลาดและสิทธิในทรัพย์สินที่ชัดเจน เพื่อให้คนที่ก่อมลพิษต้อง จ่าย ให้กับผู้ได้รับผลกระทบ” . . แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Hazlitt ??? Henry Hazlitt กล่าวไว้ในบทแรกของ Economics in One Lesson ว่า ความผิดพลาดทางเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เกิดจากการมองแค่ผลกระทบเฉพาะหน้า และมองเฉพาะผลที่เกิดกับคนบางกลุ่ม แต่ละเลยผลระยะยาวกับทั้งระบบและมองไม่เห็น “สิ่งที่ไม่ปรากฏต่อสายตา” เช่นเดียวกับกรณีฝุ่น PM2.5 . การที่รัฐเข้ามาควบคุม เช่น การสั่งห้ามเผา อาจฟังดูดีในระยะสั้น แต่มันยังไม่มีแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้ผู้เผาหยุดทำ เพราะต้นทุนการก่อมลพิษยัง “ฟรี” ถ้ามลพิษมีต้นทุน คนก็จะคิดก่อนเผา . ลองนึกถึงแนวคิดของการซื้อ-ขายสิทธิในเชิงสมัครใจ (Voluntary Emissions Trading) ซึ่งต่างจากระบบ Cap-and-Trade ที่ภาครัฐเป็นผู้กำหนดเพดานและบังคับใช้ แต่ในแนวทางตลาดเสรีนั้น หากสิทธิในอากาศหรือพื้นที่ถูกระบุอย่างชัดเจน เจ้าของสิทธิสามารถตกลงซื้อขายกับผู้ก่อมลพิษได้โดยตรงโดยไม่ต้องพึ่งรัฐเป็นคนกลาง . แล้วในบริบทแบบ Hazlitt ถ้าคุณให้ความเป็นเจ้าของอากาศแก่คนในเมือง คนเหล่านั้นสามารถ “ฟ้องร้อง” หรือ “เรียกค่าเสียหาย” จากผู้ที่ปล่อยมลพิษได้ ซึ่งจะทำให้เกิดต้นทุนที่แท้จริงกับผู้ก่อมลพิษ . กลไกตลาดไม่ได้หมายถึง “แค่ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ” แต่มันคือการสร้างระบบ “แรงจูงใจ” ที่ทำให้คนเลือกทางออกที่ดีที่สุดเอง โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ . ผมนึกถึงที่ Murray Rothbard เคยพูดไว้ว่า “สิทธิในทรัพย์สิน คือสิ่งเดียวที่จะทำให้ผู้คนมีแรงจูงใจในการดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่คำสั่งจากเจ้าหน้าที่รัฐ” เพราะเมื่อคุณเป็นเจ้าของสิ่งใด คุณย่อมมีแรงจูงใจในการรักษามัน มากกว่าการที่รัฐสั่งให้คุณต้องแคร์ ดังนั้น แทนที่จะใช้ระบบ Cap-and-Trade ที่รัฐควบคุม บทความนี้เสนอแนวทางที่ไม่พึ่งพารัฐ เช่น ชุมชนหรือเอกชนรวมตัวกันตกลงไม่เผา และใช้กลไกจ่ายชดเชยกันเองหากละเมิดสิทธิ หรือกรณีเจ้าของบ้านฟ้องโรงงานที่ทำให้บ้านหรือพื้นที่ที่อยู่อาศัยเสียหาย ทั้งหมดนี้คือการใช้สิทธิในทรัพย์สินและกลไกกฎหมายแพ่งเพื่อสร้างแรงจูงใจ โดยไม่ต้องให้รัฐเข้ามาควบคุมหรือกำกับ แต่ยังคงอาศัยศาลเพื่อปกป้องสิทธิ เมื่อเกิดการละเมิด . . แล้วทำไมแนวคิดแบบให้รัฐควบคุมถึงล้มเหลวเสมอ...? Hazlitt เตือนว่า รัฐมักคิดว่าตัวเองมองเห็นผลดี แต่ไม่เคยมองเห็นผลเสียที่มองไม่เห็น เช่น เมื่อรัฐประกาศห้ามเผาซังข้าวโพดหรือฟางข้าวในภาคเหนือโดยเด็ดขาด ชาวไร่จำนวนมากที่เคยใช้วิธีเผาเพื่อคืนโพแทสเซียมและแร่ธาตุให้ดินแบบต้นทุนต่ำ ต้องหันไปซื้อปุ๋ยเคมีแทน ซึ่งมีราคาสูง กลายเป็นภาระทางเศรษฐกิจที่ถาโถมใส่เกษตรกรรายย่อยโดยตรง ทั้งที่พวกเขาไม่ได้มีทางเลือกอื่นมากนัก นี่คือ “ต้นทุนที่มองไม่เห็น” ตามที่ Hazlitt เตือน รัฐเห็นแค่ "ผลดีเฉพาะหน้า" เช่น ค่าฝุ่นลดชั่วคราว แต่ไม่เห็นผลเสียระยะยาวต่อความยั่งยืนของชุมชนเกษตรกรรม แล้วทั้งหมดนี้คือการเอื้อประโยชน์ให้คนกลุ่มหนึ่ง แต่กระจายต้นทุนไปให้ทั้งสังคม ซึ่งตรงกับที่ Hazlitt วิจารณ์ในหนังสือ . . แล้วเสรีภาพในตลาดกับอากาศที่สะอาด...ไปด้วยกันได้ไหม? อ.พิริยะ ยกตัวอย่างบิตคอยน์ว่าเป็นระบบที่ไม่ต้องพึ่งรัฐหรือคนกลาง แต่สามารถสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจให้คนทั่วโลกเข้าร่วมโดยสมัครใจ และตรวจสอบได้แบบโปร่งใสผ่านกลไกกระจายศูนย์ แสดงให้เห็นว่าแนวคิดตลาดเสรีสามารถทำงานได้จริงหากออกแบบแรงจูงใจให้เหมาะสม แนวคิดเดียวกันนี้ใช้ได้กับปัญหาฝุ่น PM2.5 ถ้าเรามองว่าอากาศคือทรัพยากรที่มีเจ้าของ และอนุญาตให้มีการซื้อ-ขายหรือฟ้องร้องโดยไม่ต้องพึ่งรัฐเข้ามาจัดการจากส่วนกลาง คำตอบคือ ได้...ถ้าเราให้ “ตลาด” ทำงาน -ถ้ามลพิษทำให้ที่อยู่อาศัยเสียหาย เราสามารถฟ้องผู้ก่อมลพิษได้ -ถ้าโรงงานต้องซื้อสิทธิปล่อยมลพิษ พวกเขาจะมีแรงจูงใจลดฝุ่น -ถ้าประชาชนขาย “เครดิตอากาศสะอาด” ได้ จะเกิดอาชีพใหม่ เช่น การปลูกป่าคาร์บอน นี่ไม่ใช่จินตนาการ แต่คือหลักคิดที่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น แคลิฟอร์เนีย เยอรมนี และสิงคโปร์ . . สรุปเศรษฐศาสตร์ของฝุ่น...อยู่ที่ใครจ่ายต้นทุน Hazlitt ไม่เคยพูดถึง PM2.5 โดยตรง แต่แนวคิดของเขาชัดเจนว่า ทุกนโยบาย ต้องถูกมองในแง่ของผลกระทบที่มองไม่เห็นในระยะยาวด้วย และนั่นคือสิ่งที่รัฐไทยและคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจเมื่อพูดถึงปัญหาฝุ่น ตลาดไม่ได้ไร้หัวใจ แต่มัน บีบให้คนรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองก่อ ข้อเสนอเชิงนโยบาย -ส่งเสริมการกำหนดสิทธิในอากาศหรือสิทธิในพื้นที่อยู่อาศัยให้ชัดเจน -เปิดตลาดซื้อ-ขาย “เครดิตฝุ่นสะอาด” สำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเน้นว่าเป็นระบบที่เกิดจากความสมัครใจของภาคเอกชนหรือชุมชน ไม่อยู่ภายใต้การกำกับหรือควบคุมโดยรัฐ -ส่งเสริมการลงทุนเอกชนด้านเซ็นเซอร์วัดฝุ่นแบบกระจายตัว (decentralized air quality monitoring) . . แล้วคุณล่ะ คิดว่าฝุ่นควรจัดการโดยรัฐ หรือโดยตลาด 💬 คุณคิดว่าเราควรเริ่มสร้าง “ระบบสิทธิและแรงจูงใจเพื่อรักษาคุณภาพอากาศ” ได้อย่างไร หรือทำไมคุณยังเชื่อว่ารัฐควรเป็นคนจัดการควบคุมทั้งหมดอยู่ และถ้าคุณยังเชื่อว่ารัฐควรเป็นผู้ดูแลควบคุม ลองถามตัวเองดูว่ารัฐเคยสามารถจัดการอะไรได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ในระยะยาวหรือไม่ หากคุณสนใจแนวคิดตลาดเสรีและเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่าย ๆ ผมแนะนำหนังสือ Economics in One Lesson โดย Henry Hazlitt หนังสือที่เปลี่ยนวิธีคิดของคนทั้งโลกเกี่ยวกับ “สิ่งที่มองไม่เห็น” ของเศรษฐกิจ มีฉบับแปลไทยแล้วนะ 🙃
เศรษฐศาสตร์เล่มเดียวจบ #EIOL #Siamstr
EconomicsinOneLesson #RightBook #PM25