-
@ HereTong
2025-06-02 02:59:55ย้อนกลับไปเมื่อปี 2015 ในเมืองเบิร์กลีย์ รัฐแคลิฟอร์เนีย มีนักชีววิทยาเชิงวิศวกรรมชื่อ Dr. Uma Valeti ผู้เป็นทั้งนักวิจัยโรคหัวใจและอดีตศัลยแพทย์หัวใจ เกิดแนวคิดที่ไม่ธรรมดาว่า "เขาจะสร้างเนื้อในห้องแล็บ เหมือนที่เราสร้างหัวใจเทียมในโรงพยาบาล" นั่นคือการสร้างเนื้อโดยไม่ต้องฆ่าสัตว์เลยแม้แต่ตัวเดียว เขาไม่ได้เพ้อฝันแบบลอยๆ เพราะเขาเองเป็นคนอินเดียที่เติบโตมาในครอบครัวมังสวิรัติ แต่กลับทำงานในวงการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่หลายปี และวันหนึ่ง เขาเห็นความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างเซลล์กล้ามเนื้อของหัวใจกับกล้ามเนื้อของเนื้อสัตว์
Valeti มองเห็นปัญหาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในแง่มลพิษ การใช้ทรัพยากร และความโหดร้ายของระบบผลิตอาหารในโลกยุคใหม่ แนวคิดนี้กลายเป็นจริงเมื่อเขาร่วมก่อตั้งบริษัท Memphis Meats ขึ้นในปีนั้น พร้อมกับเพื่อนร่วมอุดมการณ์อีกสองคน ได้แก่ Nicholas Genovese นักวิจัยด้านสเต็มเซลล์ และ Will Clem นักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชีวภาพผู้เคยมีประสบการณ์จากการเปิดร้านบาร์บีคิวของตัวเอง ความฝันของพวกเขาคือการสร้าง "เนื้อแท้" ที่ไม่ต้องใช้ฟาร์ม ไม่ต้องฆ่าสัตว์ และไม่ต้องพึ่งทรัพยากรธรรมชาติอย่างมหาศาลแบบระบบปศุสัตว์ทั่วไป โดยนำเซลล์กล้ามเนื้อจากสัตว์มาเพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการ แล้วกระตุ้นให้เติบโตด้วยสารอาหาร สารกระตุ้นการเจริญเติบโต และโครงสร้างที่เลียนแบบเนื้อเยื่อจริง ผลลัพธ์ที่ได้คือเนื้อไก่ เนื้อวัว และเนื้อหมู ที่หน้าตา กลิ่น และรสชาติเหมือนเนื้อที่ผู้คนคุ้นเคย แต่อยู่ในจานโดยไม่ต้องผ่านชีวิตสัตว์แม้แต่ชีวิตเดียว
เทคโนโลยีที่ Memphis Meats ใช้คือการเก็บเซลล์ต้นกำเนิดกล้ามเนื้อ (muscle stem cells) จากสัตว์ แล้วนำมาบ่มเพาะในห้องแล็บในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ด้วยอาหารเหลวที่มีสารอาหารครบถ้วน เซลล์เหล่านั้นจะเจริญเติบโต แบ่งตัว และก่อตัวเป็นกล้ามเนื้อที่เหมือนกับเนื้อจริงทุกประการ การทดลองแรกประสบผลสำเร็จในปี 2016 เมื่อพวกเขาสร้างลูกชิ้นเนื้อวัวเพาะเลี้ยงได้เป็นครั้งแรกของโลก แม้ราคาจะสูงถึง 18,000 ดอลลาร์ต่อปอนด์ก็ตาม แต่สิ่งนี้คือการประกาศว่า "ของจริง" มาแล้ว
ความสำเร็จนี้ดึงดูดทั้งสายตาของโลก และเงินทุนจากบริษัทยักษ์ใหญ่ หนึ่งในผู้ลงทุนรายแรกคือ Tyson Foods บริษัทเนื้อสัตว์รายใหญ่ของอเมริกา ตามมาด้วย Bill Gates, Richard Branson และ Cargill ซึ่งต่างเห็นตรงกันว่านี่คือทิศทางใหม่ของอุตสาหกรรมอาหารโลก แต่การที่บริษัทเนื้อสัตว์ใหญ่ๆ เข้ามาร่วมลงทุน กลับสร้างคำถามถึงความจริงใจหรือการวางหมากล่วงหน้าเพื่อควบคุมอนาคตของอาหารในรูปแบบใหม่
เม็ดเงินจากภาคเอกชนไหลเข้ามาไม่ขาดสาย รวมถึงการสนับสนุนเชิงนโยบายจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เริ่มวางกรอบกำกับดูแลอาหารเพาะเลี้ยงอย่างจริงจัง ทว่าเบื้องหลังภาพฝันของเนื้ออนาคตนั้นก็มีมุมที่ต้องจับตามอง เพราะแม้จะใช้คำว่า “ปลอดภัย” และ “ยั่งยืน” เป็นหัวใจหลักในการสื่อสาร แต่องค์ประกอบหลายประการในกระบวนการผลิต เช่น เซรั่มจากเลือดวัว (FBS) ที่ยังใช้ในบางเฟสของการทดลอง หรือการเพาะเลี้ยงในสารอาหารสังเคราะห์ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง ล้วนเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากคำว่า "ธรรมชาติ" ไปมากโข
เมื่อเข้าสู่ปี 2021 บริษัท Memphis Meats ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Upside Foods พร้อมกับการขยับสถานะจากสตาร์ตอัปมาเป็นผู้นำในตลาดเนื้อเพาะเลี้ยงอย่างเต็มตัว พร้อมกับเปลี่ยนโลโก้และทิศทางแบรนด์จากภาพลักษณ์นักวิทยาศาสตร์มาสู่แบรนด์ที่เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น เน้นความยั่งยืน ความเป็นมิตรกับสัตว์ และวิธีการผลิตที่ "ชนะใจ" คนรุ่นใหม่ การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้ไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ด้านแบรนดิ้ง แต่สะท้อนถึงความทะเยอทะยานที่ต้องการให้ผู้บริโภคมองอาหารในมุมใหม่ ไม่ใช่สิ่งที่มาจากฟาร์ม แต่เป็นสิ่งที่มาจากการออกแบบ วิศวกรรม และนวัตกรรม
บริษัทเปิดโรงงานเชิงพาณิชย์แห่งแรกในปี 2022 ที่เมือง Emeryville แคลิฟอร์เนีย ชื่อว่า EPIC (Engineering, Production and Innovation Center) ซึ่งสามารถผลิตเนื้อไก่เพาะเลี้ยงในปริมาณมากได้จริง เพื่อรองรับการผลิตเชิงพาณิชย์ในอนาคต พร้อมกับสร้างความร่วมมือกับภาครัฐเพื่อเร่งให้ผลิตภัณฑ์ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของ FDA และ USDA
สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่านั้นคือ ความร่วมมือระหว่าง Upside Foods กับหน่วยงานรัฐ เช่น FDA และ USDA เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์เนื้อเพาะเลี้ยงได้รับอนุญาตวางขายในตลาดอเมริกา ซึ่งกลายเป็นจริงในกลางปี 2023 เมื่อ Upside Foods และ Good Meat ได้รับไฟเขียวอย่างเป็นทางการจาก FDA ให้สามารถวางจำหน่ายเนื้อไก่เพาะเลี้ยงแก่ผู้บริโภคได้
ความสัมพันธ์ระหว่าง Upside Foods กับรัฐบาลนั้นน่าสนใจไม่น้อย เพราะนี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่หน่วยงานรัฐของสหรัฐฯ อย่าง FDA อนุมัติการบริโภคเนื้อสัตว์เพาะเลี้ยงจากห้องแล็บเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2022 โดยระบุว่า “ไม่มีข้อกังวลทางความปลอดภัย” แม้จะยังไม่มีข้อมูลเปิดเผยครบทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตอย่างโปร่งใสก็ตาม การอนุมัติครั้งนี้จึงเป็นได้ทั้งจุดเริ่มต้นของการปฏิวัติอาหาร หรือจุดเริ่มต้นของการสร้างอำนาจผูกขาดของบริษัทที่ครอบครองสิทธิบัตรเทคโนโลยีเพาะเลี้ยงเนื้อ เพราะในอนาคตอันใกล้ ถ้าอาหารทุกอย่างต้องผ่านระบบแล็บ ผ่านเทคโนโลยีเฉพาะ และผ่านลิขสิทธิ์เฉพาะ ประชาชนก็จะไม่มีวันเป็นเจ้าของอาหารได้อีกต่อไป
แต่มากกว่าความสำเร็จด้านเทคโนโลยีคือคำถามที่ลึกซึ้งยิ่งกว่า ว่าการผลิตอาหารในห้องแล็บเช่นนี้ ทำให้เกษตรกรรายย่อยหมดสิทธิ์ในการผลิตเนื้อหรือไม่? เพราะเทคโนโลยีระดับสูงนี้ต้องใช้เครื่องมือ ห้องปฏิบัติการ และต้นทุนที่เกษตรกรธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้ และสุดท้ายแล้ว ผู้บริโภคต้องซื้อเนื้อจากบริษัทยักษ์ใหญ่เท่านั้น โลกใหม่ของอาหารกำลังผลักมนุษย์ให้เป็นเพียงผู้ซื้อ ไม่ใช่ผู้ผลิตอีกต่อไป
แน่นอนว่า Upside Foods อาจไม่ได้ตั้งใจผูกขาดตั้งแต่แรก แต่เมื่อเงินทุน เบื้องหลัง และการอนุญาตจากรัฐ เริ่มขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน มันก็ไม่ต่างอะไรจากการร่างระบบเศรษฐกิจอาหารขึ้นใหม่ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ห้องแล็บ ไม่ใช่ทุ่งหญ้า การเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของนวัตกรรมเทคโนโลยี แต่คือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับอาหารอย่างสิ้นเชิง และนั่นคือสิ่งที่เฮียอยากให้เพื่อนๆได้คิดก่อนกลืนคำแรกลงไป
สิ่งที่น่าคิดนั้นก็คือ ในโลกที่อาหารกลายเป็นสินทรัพย์ปัญญาแทนที่จะเป็นสิทธิพื้นฐาน การจะปลูก เลี้ยง หรือแลกเปลี่ยนอาหารอาจกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย และเกษตรกรอาจเหลือบทบาทเพียงคนเฝ้าเครื่องจักรให้กับบริษัทข้ามชาติที่ถือสิทธิบัตรเนื้อ ความฝันที่สวยงามของเนื้อที่ปลอดการฆ่า จึงควรถูกตรวจสอบด้วยสายตาที่เปิดกว้างแต่ไม่ไร้เดียงสา เพราะอนาคตของอาหารนั้น ไม่ใช่แค่เรื่องบนโต๊ะอาหาร แต่เป็นเรื่องของอำนาจ ความเป็นเจ้าของ และสิทธิของประชาชนในฐานะมนุษย์ผู้มีชีวิตบนโลกใบนี้ #pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr