-
![](https://image.nostr.build/305d04a04569d4bbe4e553976b553cef2ac6a33e16a29714ef57fc4d0a35e158.png)
@ RK Lectio
2025-02-07 04:15:17
## สาเหตุที่ผมลาออกจากที่(ทำงาน) ที่ (เคย) เรียกว่า”บ้าน”
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738755645055-YAKIHONNES3.jpeg)
-----------
สวัสดีเพื่อนๆชาว #siamstr ทุกคนครับ ผมเป็นหมอเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (Emergency physician ย่อๆว่า EP)ครับ พวกผมมีชื่ออื่นๆเรียกหลายชื่อมาก เช่นหมอเฉพาะทางแผนกฉุกเฉิน, หมอเฉพาะทาง ER หรือหมอ ER
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738755695928-YAKIHONNES3.jpeg)
ผมทำงานในแผนกฉุกเฉิน (emergency room หรือ ER) คนไข้ที่เข้ามาเจอพวกผมมีอาการวิกฤติอันตราย ใกล้ตาย หรือไม่ก็เป็นโรคกลุ่มความเสี่ยงสูงที่อาการกำลังจะแย่ จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างแม่นยำ รวดเร็วทันที ทำให้คนไข้ปลอดภัย อาการคงที่ ไมแย่ไปกว่านี้ เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ก่อนจะส่งไปพบแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่นๆ
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738756051752-YAKIHONNES3.jpg)
ทักษะเฉพาะทางของพวกผมที่ถูกฝึกอบรมมา ใช้เวลาเต็มที่ไม่เกิน **10- 15 นาที**ได้คำตอบแล้วครับว่า
- คนไข้ที่อยู่กับผมป่วยด้วยโรคอะไร (Provisional diagnosis)
- มีภาวะอันตรายถึงแก่ชีวิตประเภทไหน (immediate life threatening conditions)
- กู้ชีพรักษา (resuscitation and stabilization) แล้วผลการักษาดีมั้ย อาการคนไข้ดีขึ้นมั้ย
### โรคฉุกเฉินที่ผมเจอเป็นปกติเลยได้แก่
- กลุ่มโรคติดเชื้อในกระแสเลือด (Sepsis)
- โรคหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นหัวใจวายน้ำท่วมปอด (congestive heart failure) , โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (Acute myocardial infarction หรือ MI)
- โรคหลอดเลือดในสมอง (cerebrovascular disease , CVD หรือที่เรารู้จักกันว่า stroke)
- ผู้ป่วยได้รับสารพิษ (intoxication)
- โรคอื่นๆ ที่ไม่สามารถนั่งรอหมอได้
ด้วยลักษณะเฉพาะของคนไข้ การรักษาจะต้องมี EP และต้องมีเครื่องมือพิเศษ ทำให้ ER เป็น special unit ของรพ.ที่มีความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง
นอกจากหมอ EP เครื่องมือ และทีมพยาบาลแล้ว แนวทางปฏิบัติ (Clinical practice guideline หรือ CPG) ระหว่างแผนกฉุกเฉินกับหมอเฉพาะทางสาขาอื่นๆต้องชัดเจน ไม่เช่นนั้นการประสานงานจะมีปัญหา
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738756347633-YAKIHONNES3.jpg)
ทั้งหมดที่ผมกล่าวมานี้คือ ***"สถานที่ทำงานในอุดมคติที่ EP อยากได้"*** กระบวนการรักษาและส่งต่อคนไข้ราบรื่น ทุกคนคุยภาษาเดียวกัน เข้าใจกัน และแน่นอนครับรพ.แห่งนี้มีทุกอย่างครบ ทุกอย่างถูกทำเอาไว้เป็นแนวทางปฏิบัติชัดเจน มีการซ้อมจำลองเหตุการณ์สถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆเป็นประจำ รวมถึงมีการติดตามประเมินผลลัพธ์เป็น KPI ชัดเจน เรียกได้ว่าเข้ามาทำงานที่นี่วันแรกแล้ว “มันใช่เลย”
### บรรยากาศการทำงานระหว่างแผนกก็ดีมาก
> **น้อยมากที่ทีมแพทย์และพยาบาล ER จะเป็นมิตรกับต่างแผนก**
อธิบายเพิ่มเติมหน่อยนะครับ ด้วยเนื้องานที่ต้อง **"เร็ว แม่น จบไวและเด็ดขาด"**
ทำให้บุคคลิกพวกผมมันดูแข็งๆ ดุ พูดเสียงดังและห้วนๆ ดูน่ากลัวสำหรับแผนกอื่น
แต่ที่รพ.แห่งนี้ มีแผนกอื่นมีความเกรงใจ ER เป็นปกติ แต่เจ้าหน้าที่ทั้งรพ.รู้จักกันหมด แยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันได้ดี ทำให้ช่องว่างความกลัวคนใน ER มันแคบเมื่อเทียบกับหลายๆรพ.ที่ผมเคยเจอมาครับ สำหรับผม ถือว่าดี
เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งรักรพ.แห่งนี้มากขึ้นทุกๆวัน มันเป็นเหมือนบ้าน บรรยากาศสบายเป็นกันเอง ผมได้รับโอกาสความก้าวหน้าทางอาชีพ ได้ขึ้นเป็นกึ่งๆผู้บริหาร รับตำแหน่งหัวหน้าดูแล 3 หน่วยงาน ทีมพยาบาลเลขาที่ช่วยงานผมก็มี data หลังบ้านที่ดีมาก เมื่อรับตำแหน่งแทบจะไม่ต้องริเริ่มอะไรใหม่ แค่ดูแลกำกับติดตาม guideline ที่มีอยู่แล้ว ให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น มีปัญหาก็มองหาต้นตอของปัญหา (root cause analysis) แล้วแก้ที่ต้นเหตุ
ผมตั้งใจว่าจะทำงานที่นี่เป็นที่สุดท้ายไปจนแก่ ร่างกายทำงานไม่ไหวถึงจะเลิกอาชีพหมอครับ
-----------
### จุดเปลี่ยนเข้าสู่ยุคตกต่ำ เมื่อธุรกิจส่งต่อทายาทรุ่นที่สอง
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738757173195-YAKIHONNES3.jpg)
ปีที่ผมเข้ามาทำงานปีแรกเป็นช่วงที่เจ้าของรพ.กำลังป่วยหนัก และเสียชีวิตต่อมาไม่นานหลังจากนั้น ผมไม่เคยสัมผัสไม่เคยพูดคุยกับเขา แต่จากคำบอกเล่าของพนักงานที่อยู่มานาน ผมสรุปคุณลักษณะของเจ้าของรพ.ไว้ดังนี้ครับ
- เอาใจใส่รายละเอียด ถึงขั้นไม่ปล่อยผ่านเรื่องเล็กน้อย
- การบัญชีละเอียดยิบ ทุกเม็ดเงินที่เคลื่อนไหว โดยเฉพาะรายจ่ายต้องรู้ที่มาที่ไป รายจ่ายที่ไม่เข้าท่าแต่มีการอนุมัติรายการโดยพละการ โดนด่ายับถึงตาย
- ไม่ลงทุนกับอะไรที่เกินความจำเป็น
- ปกป้องผลประโยชน์ตัวเอง (ก็เขาเป็นเจ้าของ)
- ทุกเช้าเดินดูทุกซอกทุกมุมในรพ.ด้วยตัวเอง ถ้าเห็นอะไรไม่เรียบร้อย จะเข้าไปจัดการทันทีและสอนพนักงานหน้างาน เหมือนสอนลูกตัวเอง
- ใช้เวลาไม่ถึง 5 ปีชำระหนี้จากการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้รพ.ปลอดหนี้
- มีเมตตากับเจ้าหน้าที่ทุกระดับ รวมถึงพนักงานคนขับยานยนต์และเวรเปล
- เป็นคนไหว้พระสวดมนต์ สร้างวัดสร้างสถานปฏิบัติธรรมถวายวัด
และคุณงามความดีอื่นๆอีกมากมายที่ผมรู้ไม่หมด แต่เมื่อถึงช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นทายาทรุ่นที่ 2 ขึ้นมารับช่วงต่อ
ทายาทรุ่นที่สองมีจุดยืนชัดเจนว่า **“ไม่เอา”**
คือไม่เอาตัวลงมาบริหารธุรกิจรพ.ของพ่อแม่ รับเฉพาะเงินปันผลจากกำไรของรพ.เท่านั้น ตัวเองมีธุรกิจส่วนตัวที่ต้องดูแล ให้ผู้บริหารชุดที่ทำงานมาตั้งแต่เจ้าของชุดแรกดูแลบริหารงานต่อ
> ### เรื่องนี้ผมมองว่าไม่ผิด มันเป็นสิทธิ์ของเขาครับ
แต่ผลที่ตามมาก็คือวัฒนธรรมองค์กรเปลี่ยน ผมไม่ทราบนอกในหรอกครับว่าในบรรดาผู้บริหารเขาแบ่งพรรคแบ่งพวกกันยังไง แต่ภาพที่ทุกคนเห็นก็คืออำนาจสูงสุดตกอยู่ในมือคนไม่กี่คนที่มีสิทธิ์ขาดในการชี้นำองค์กรได้ มันรุนแรงขนาดที่ว่าผู้บริหารบางคนที่ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ ยังมีอำนาจเหนือผู้บริหารบางคนที่เป็น 1 ใน 10 ผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยซ้ำ
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738757714855-YAKIHONNES3.jpg)
เมื่อเวลาผ่านไป การลุถึงอำนาจในการกุมบังเหียนองค์กรแบบเบ็ดเสร็จมันค่อยๆสร้างปัญหาให้กับคนทำงานทีละเล็กทีละน้อย ผมใช้คำเปรียบเทียบที่ล้อไปกับเศรษฐกิจไทย “ต้มกบ” ก็แล้วกันนะครับ
<รูปต้มกบ>
-----------
### แก้วที่เริ่มร้าว
อย่างที่ผมบอกว่าผมเป็นหัวหน้า 3 หน่วยงาน ทุกๆ 1 - 2 เดือนหน่วยงานที่ผมดูแลจะมีการประชุมรายงานผลลัพธ์ KPI ที่เกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วย ผมกล้าบอกได้เลยว่าหมอในรพ.ผมเก่งมาก ให้การรักษาได้ตามมาตรฐานตามทักษะความเชี่ยวชาญของหมอแต่ละท่านได้เป็นอย่างดี สะท้อนออกมาใน KPI ที่ทำได้เกินเป้าหมายที่ 70 - 80% ตลอด KPI บางตัวเข้าเป้า 100% ต่อเนื่องโดยที่ไม่เสียคุณภาพเลยก็มี
แต่แล้ว เมื่อผู้บริหารเห็นตัวเลขที่มันดีมากต่อเนื่องกันนานๆ ผู้บริหารก็โยนโจทย์ลงมาให้แต่ละทีมว่า
> #### จะไม่มีการยอมให้ KPI เข้าเป้า 100% นานเกินไป เพราะมันหมายถึงการไม่คิดจะพัฒนาตัวเอง
ถ้าเป็นศัพท์สมัยนี้คือโดนด่าว่า “ไม่มี growth mindset” แต่ละทีมจะต้องไปออกแบบ KPI ใหม่ หรือไม่ก็ขยับเป้า KPI ให้ทำสำเร็จยากขึ้นเพื่อเป็นการท้าทายตนเอง
… ****คือ เขามองว่า ตัวเองคะแนนต้องไม่เต็มร้อย ต้องมีการรายงาน KPI ที่มี progress เป็นเชิงบวก ถึงจะดีในสายตาเขาครับ**** …
**ผมขอยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรมจับต้องได้**
เหตุการณ์การกู้ฟื้นคืีนชีพคนไข้ในรพ.(cardiopulmonary resuscitation หรือการทำ CPR)
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738758187782-YAKIHONNES3.jpg)
ทีมผมออกแบบ KPI ว่า ถ้าหากมีคนไข้หัวใจหยุดเต้นในรพ.ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ไหน ทีม CPR จะต้องไปถึงตัวคนไข้ภายในเวลา 4 นาที
ตัวเลข 4 นาทีนี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลมา 5 ปี แล้วหาค่าเฉลี่ยว่าตัวเลขที่ท้าทายทีมกำลังพอดีอยู่ตรงไหน ที่ผ่านมาทำได้ 100% มาตลอด และกำลังจะครบ 12 เดือนที่ทางผู้บริหารโยนโจทย์พัฒนา KPI ลงมา
ล่าสุดก็มีคำสั่งให้ปรับ KPI ที่ท้าทายขึ้นครับ
… หมอ … ทำได้ 4 นาทีมาตลอด ผมขอ 3 นาทีได้มั้ย …
ผมอธิบายเหตุผลว่า รพ.ไม่ใช่เล็กๆนะครับ แล้วบางทีคนไข้เกิดเหตุที่ชั้นบนสุดของรพ. ต่อให้ทีมรปภ.ล็อคลิฟท์ไว้รอแล้ว แต่นั่นมันไม่ได้หมายความว่าลิฟท์จะไม่แวะจอดชั้นอื่นๆ แล้วต่อให้ทีมพวกผมไปถึงตัวคนไข้แล้ว มันก็ต้องเตรียมเครื่องมือ, พยาบาลแทงเส้นเพื่อให้ยา, หมอเตรียมใส่ท่อช่วยหายใจ ฯลฯอีกมากมาย ผมว่าถ้าเราขยับ KPI จาก 4 นาทีลงมา 3 นาที มันจะวัดผลอะไรไม่ได้นะครับ
… หมอ ทำไปเถอะ ผมขอ 3 นาทีได้มั้ย…
คือความสมเหตุสมผลมันเริ่มไม่มีแล้วครับ ทีม CPR ของผมไม่ใช่ทีมเดียวที่โดนขยับเป้า KPI ประหลาดๆแบบนี้ หมอทุกแผนกโดนกันอย่างทั่วถึงครับ
### การทำงานมันมีระบบ มี guideline มี protocol ของมันอยู่ บางครั้งผู้บริหารก็เอาตัวลงมาทำให้ระบบรวน
คนไข้ที่เข้า ER มี standard อยู่ครับ ว่าเคสแบบไหนต้องเจอหมอทันที เคสแบบไหนมันพอรอได้ 5 นาที - 10 นาที อะไรก็ว่าไป ผมประสบกับตัวเองครั้งหนึ่งผมให้การรักษาเคสคนไข้ที่เป็น VIP ของผู้บริหารท่านหนึ่ง ที่อาการไม่ได้แย่ ไม่ได้วิกฤติสามารถรอเจอหมอได้ภายใน 15 นาที
- 11.32 คนไข้มาลงทะเบียน
- 11.34 เข้ามาถึง ER
- 11.36 พยาบาลเข้าไปประเมินคนไข้ วัดความดัน ฯลฯ และรายงานผม
ผมสั่งการักษาทันที 11.36 และบอกว่าเดี๋ยวอีก 5 นาทีผมมาประเมินนะ เคสนี้ผมมีแผนของผมอยู่แล้วว่าจะรอดูอะไรที่ 5 นาที
- 11.41 ผมเดินออกมาเห็นคนไข้อาการดีขึ้นแล้ว ผมเลยขอเวลาไปดูประวัติเดิมพวกโรคประจำตัวของคนไข้ ได้ข้อมูลครบ 11.42 (แต่ผู้บริหารดันอยู่แถวๆนั้นพอดี)
ผู้บริหารเจ้าของเคสนี้เป็นหมอ เดินมาเล่าประวัติเพิ่มเติมให้ฟัง ผมก็คุยกับหมอเขา เป็นหมอคุยกับหมอเรื่องอาการคนไข้คุยกันไม่นาน ทุกคน happy ส่งคนไข้ admit อย่างปลอดภัย
วันรุ่งขึ้นกลับโดนผอ.รพ.เรียกพบให้ไปรายงานว่าทำไมเคสนี้ถึงปล่อยให้คนไข้รอนาน ไม่มาดูคนไข้ทันที
…ผมชี้แจง timeline ทั้งหมดให้ฟัง 11.32 11.34 11.36 11.41 ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผอ.บอกว่าอ้าว แค่ 5 นาทีเหรอ ก็ไม่ได้นานนี่
ผมก็บอกว่าไม่นานไงครับ ผมสั่งยาตั้งแต่ time zero ที่น้องพยาบาลรายงานผมแล้วด้วยซ้ำ
คุยกันไปคุยกันมาสรุปใจความได้ว่า
“มันไม่ถูกใจหมอ เจ้าของคนไข้ VIP และ ผมก็ผิดอยู่ดีที่ปล่อยให้คนไข้รอ 5 นาที”
แล้วมันจะมี guideline หรือ protocol การรักษาไว้ทำไมครับ ในเมื่อคนระดับผู้บริหารเกิดจะคิดเอาแต่ใจตนเองแหกกฏและแนวทางปฏิบัติของรพ.แล้วด่าว่าหมอทำไม่ถูก แถมเอาตัวลงมาวุ่นวายกระบวนการรักษาด้วย
### Top-down absolute power
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738759769958-YAKIHONNES3.jpg)
> ### "รับฟังปัญหา มีความเห็นต่างเสนอได้ เสนอได้แต่ไม่ฟัง จะเอาแบบเดิม"
เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการรายงานปัญหา ผมเชื่อว่ามันมีการรายงานแบบไม่เป็นความจริงซ่อนอยู่มาก ทำให้ผู้บริหารได้รับข้อมูลผิด ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ถ้าเป็นผูับริหารที่มีความเฉลียวใจอยู่บ้าง จะต้องทำการพิสูจน์ความจริง (fact check) ก่อนจะฟันธงว่าปัญหาที่แท้จริงมันคืออะไร แล้วออกมาตรการป้องกันหรือแก้ไข อะไรก็ว่าไป แต่สิ่งที่พวกผมเห็นก็คือผู้บริหารไม่เอาตัวลงมา fact check เลยครับ แต่สั่งคำสั่งลงมาเลยโดยที่ไม่รู้ตื้นลึกของปัญหานั้นๆ
ผมเป็นหนึ่งในตัวแทนหมอเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารเดือนละครั้ง พวกผมการวิเคราะห์เหตุการณ์ให้ฟังแบบละเอียด รวมถึงเสนอวิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนให้ตัวแทนผู้บริหารรับไว้พิจารณาทุกครั้งที่มีการประชุมกัน แต่ปัญหาคือคนที่ absolute power ไม่เคยมาพบตัวแทนแพทย์เลยซักครั้ง
คนที่ absolute power ไม่เคยลงมาฟังปัญหาจากแพทย์เลย ฟังแต่หน่วยข่าวกรอง(ที่ไม่รู้กรองอะไรเข้าไปบ้าง) แล้วยิงคำสั่งลงมาเลย มีคำพูดสวยหรูว่าถ้าหากเห็นต่างสามารถพูดคุยกันได้ แต่ก็จะยืนยันคำสั่งแบบเดิมอยู่ดี ผลกระทบเกิดมากแค่ไหน ค่อยส่งคำสั่งมาแก้มันเพิ่มทีหลัง
สำหรับหมอที่ทำงานรพ.เอกชน จะมีสัญญาในการทำงานร่วมกับรพ.ในสัญญาระบุชัดเจนว่า หมอ”ไม่ใช่ลูกจ้าง” แต่เป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ (partner) ที่มาขอใช้พื้นที่ในรพ.ในการเปิดคลินิครักษาคนไข้ เงินที่เรียกเก็บจากคนไข้ จะ profit sharing กัน 70/30 หรือ 80/20 ก็แล้วแต่เงื่อนไขของแต่ละรพ. แน่นอนครับ มันมีความไม่ตรงไปตรงมาในการจ่ายเงินผมอยู่ ความเป็น partner นี้เอง ทำให้หมดสิทธิ์ฟ้องร้องรพ.กรณีจ่ายค่าตอบแทนไม่ตรงตามข้อกำหนด สั้นๆก็คือผมได้รับรายได้ต่ำกว่าราคาตลาดที่หมอ EP ควรจะได้ 20% ครับ
ความเป็น partner นั่นหมายความว่าพวกผมจะไม่ได้รับสวัสดิการอะไรมากนัก เวลาป่วยไม่สบายจะมีวงเงินในการรักษาอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าเกินก็ต้องจ่ายเอง อาจจะมีส่วนลดนิดๆหน่อยๆ ไม่มีสิทธิ์ประกันสังคมเพราะไม่ใช่ลูกจ้าง มีสิทธิ์พื้นฐานคือบัตรทอง 30 บาท หมอเอกชนหลายๆคนพึ่งสวัสดิการข้าราชการจากคู่สมรส หรือไม่ก็ต้องซื้อประกันสุขภาพหลายๆฉบับ พูดง่ายๆว่า ต้องเก็บเงินดูแลรักษาตัวเองเมื่อป่วยไม่ต่างจากอาชีพอื่น
ความเป็น partner อีกข้อนึงคือพวกผมไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้ถ้าเกิดรพ.ไล่ออก เพราะพวกผมไม่ใช่ลูกจ้าง ไม่มีกฏหมายแรงงานใดๆรองรับ ในขณะที่ลูกจ้างที่มีประกันสังคม หากสูญเสียงาน อาจจะมีเงินเยียวยากี่เดือนอะไรก็ว่าไป ตลอดอาชีพผม ผมเคยเห็นหมอโดนรพ.กลั่นแกล้ง บีบให้ออกแบบไม่เป็นธรรมมาหลายคนแล้ว หมอที่ผมสนิทหรือบางคนเป็นอาจารย์หมอที่สอนผมมาด้วยซ้ำ โดนไล่ออกด้วยปัญหาส่วนตัวกับผู้บริหารก็มี
แต่ด้วยนโยบายคำสั่ง top down absolute power ที่เกิดขึ้นนี้ ผมมองว่ารพ.ปฏิบัติกับพวกผมไม่ใช่ในฐานะ partner อีกต่อไป แต่กลายเป็นนายจ้าง-ลูกจ้าง(employer-employee) หรืออาจจะเป็นอะไรที่ต่ำกว่า employee ก็ได้นะครับ
### ทำไมผมถึงคิดเช่นนั้น??
**เพราะนโยบาย top down absolute power ครับ**
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738764673039-YAKIHONNES3.jpeg)
ถ้าคุณมี partner ทางธุรกิจ ทุกเสียงของ partner คุณน่ะ โคตรมีความสำคัญ เพราะเขาคือคนที่พร้อมจะจมหัวจมท้ายกับคุณได้ ถ้าคุณแฟร์และจริงใจพอนะ คุณทำธุรกิจคุณไม่ได้รู้ทุกเรื่อง ไม่มีทางที่คุณจะเก่งได้ทุกเรื่อง และการที่ได้ partner ที่มาปิดจุดอ่อนของคุณได้ หรือชี้จุดบอดของคุณได้ เตือนสติหรือด่าคุณให้คุณเก่งขึ้นหรือดีขึ้นได้น่ะ เป็นเรื่องโคตรโชคดีเลยนะผมจะบอกให้
แต่นี่อะไร top down ไม่ฟังอะไรใคร เอาสิ่งที่ตัวเองคิดเป็นที่สุด ปรึกษาขอความเห็นพวกผมเป็นบางครั้งพอเป็นพิธี แต่ก็เดินหน้าทำตามแผนในหัวพวกเขาอยู่ดี ผมกับตัวแทนหมอคนอื่นๆก็แซวกันว่า “แล้วจะเรียกพวกเรามาเพื่ออะไร”
งานทำบุญปีใหม่ประจำปี ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วมี partner คนสำคัญ คุณจะเชิญเขามามั้ยครับ คุณจะเตรียมสถานที่หรือเตรียมอะไรเล็กๆน้อยๆเพื่อเป็นคำขอบคุณมั้ยครับ หรืออย่างน้อยๆเลี้ยงอาหารเขาซักมื้อเป็นการตอบแทนมั้ยครับ แน่นอนครับ ไม่มีอะไรพวกนี้ในงานทำบุญปีใหม่รพ.เลย ตั้งแต่เจ้าของคนเก่าเสียไป บัตรเชิญเข้าร่วมงานทำบุญปีใหม่และรับประทานอาหารพร้อมหน้ากัน (ขอหยาบหน่อยนะครับ) แม่งเชิญทุกคนยกเว้นหมอเว้ย!!! เจ้าหน้าที่เวรเปล พยาบาล นักเทคนิคมีข้าวเที่ยงกินกันมีไอติมมีขนมให้ หมอไม่ได้รับเชิญแต่น้องๆพยาบาลโทรตามหมอแผนกตัวเองขึ้นไปร่วมงาน เมื่อไปถึงของกินแม่งหมดใส่หน้าหมอเลย จะเรียกหมอขึ้นไปทำไมอะไรเหรอ
ผมไม่ได้เห็นแก่กินนะ เพราะผมห่อข้าวจากบ้านมากินเองอยู่แล้ว ต่อให้มีใครมาเชิญผมไปกิน ผมก็ไม่ไปหรอก ผมสละสิทธิ์ให้คนอื่น แต่มันทำให้ผมไม่แน่ใจไง ว่ารพ.มองพวกผมเป็นอะไรที่ต่ำกว่าลูกจ้างหรือเปล่า
อาชีพหมอในรพ.เอกชนในสายตาคนภายนอกดูดีครับ แต่ในความเป็นจริงแล้วหมอทุกคนคือ”ตัวหมากการตลาด” อย่างนึงของรพ.ไม่ได้มีฐานะที่สูงส่งอะไรขนาดนั้น ที่รพ.ทำดีกับหมอ เพราะมันมี profit sharing กันครับ แต่มันก็ไม่ได้ยับเยินแบบนี้ทุกรพ.หรอกครับ รพ.ที่ดีๆที่ดูแลหมอเป็นอย่างดี ให้ความสำคัญกับความต้องการของหมอทุกอย่างมันก็มี … แค่… ผมยังหาไม่เจอเท่านั้นเอง
### รพ.ส่งหมอไปตาย
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738765874230-YAKIHONNES3.jpg)
อันนี้แทบจะเป็นจุดพีคที่สุดของเรื่องเลยครับ ผมอธิบายให้เข้าใจก่อนว่าโดยปกติถ้าคนไข้ได้รับการรักษาแล้วเกิดเหตุอะไรก็ตามแต่แล้วมีข้อร้องเรียนเช่นต้องเสียเงินเยอะ , เจอหมอหลายแผนกทำให้เสียเวลา ไม่พอใจการรักษา หรืออะไรก็แล้วแต่ ในรพ.เอกชนจะมีระบบรับเรื่องการร้องเรียนแล้วส่งรายงานขึ้นไปตามลำดับ ผู้บริหารจะมาเข้ารับฟังปัญหาเหล่านี้ในตอนเช้า (morning brief) ผู้บริหารจะดูว่าข้อร้องเรียนเหล่านี้จะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างไร แล้วสั่งการให้ผู้ที่เกี่ยวข้องไปทำ แล้วรอฟังรายงานในวันถัดไป
“หมอ” ถือเป็นบุคคลากรด่านสุดท้ายท้ายที่ต้องออกไปพบคนไข้กรณีคนไข้ร้องเรียน โดยปกติรพ.ปกป้องหมอจนถึงที่สุด มีทีมที่เชี่ยวชาญในการรับฟังปัญหา มีทีมกฏหมายที่เกี่ยวข้อง เป็นคนกลางคอยไกล่เกลี่ยให้ แต่ถ้าเป็นกรณีฟ้องร้องกันรุนแรง อันนั้นถึงจะมีการเชิญหมอมาพบคนไข้ครับ น้อยเคสมากที่ดำเนินไปถึงจุดที่หมอกับคนไข้ต้องมาเจอหน้ากัน
กลับกันที่รพ.แห่งนี้ส่งผมไปตายมันตั้งแต่แรก …
มีคนไข้หนึ่งรายเดินมาโต๊ะลงทะเบียนบอกว่า ต้องการจะมาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้วยเรื่องอาการปวดท้องเป็นๆหายๆมาหลายเดือน เคยตรวจสุขภาพแล้วสงสัยนิ่วในถุงน้ำดี
แต่ทางรพ.มีนโยบายว่าถ้าหากคนไข้มีอาการแน่นท้องปวดท้องบริเวณเหนือสะดือขึ้นมาจนถึงหน้าอก จะต้องเข้า ER ก่อนเพื่อทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) และแปลผลโดยหมอ EP ก่อนว่าใช้โรคหัวใจหรือไม่ก่อนที่จะไปพบแพทย์เฉพาะทางสาขาอื่น คนไข้แย้งโต๊ะลงทะเบียนว่าที่ตรวจสุขภาพแล้วสงสัยนิ่วในถุงน้ำดีก็คือที่รพ.แห่งนี้แหละ เปิดประวัติดูได้เลย แต่เจ้าหน้าที่คัดกรองแจ้งว่ามันเปิดดูประวัติไม่ได้ (จริงๆมันเปิดดูได้) จำเป็นต้องทำตามนโยบายให้เข้า ER ก่อน
อธิบายเพิ่มเติมนะครับ สิ่งที่รพ.ทำ เขาเรียกว่า chest pain pathway คือคนไข้ที่มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก มีโอาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ แต่คนไข้บางคน ไม่ได้มาด้วยอาการแน่นหน้าอก แต่ตอนจบกลายเป็นโรคหัวใจ ไอ้อาการปวดท้องเหนือสะดือมันก็เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนครับ
คนไข้ก็เข้า ER มาเจอผม ผมดูแล้วมันไม่น่าใช่โรคหัวใจ แต่ผมต้องทำตาม guideline ของรพ.คือตรวจ EKG และตรวจเลือดดูค่าหัวใจว่าสูงผิดปกติมั้ย ผมปรากฏว่าปกติ ผมเลยส่งปรึกษาหมอแผนกศัลยกรรมเรื่องสงสัยนิ่วในถุงน้ำดี ทางหมอศัลยกรรมมาส่งตรวจ ultrasound ปรากฏว่าไม่เจอนิ่วในถุงน้ำดี คนไข้ถูกส่งไปพบแผนกทางเดินอาหารสรุปว่าเป็นลำไส้อักเสบ ทั้งหมดนี้คือกระบวนการตรวจค้นหาโรคตามปกติที่หมอเขาทำกันครับ
คนไข้ร้องเรียนรพ.ในวันรุ่งขึ้นดังนี้
ไม่พอใจจุดลงทะเบียนว่าทำไมไม่ส่งเขาไปที่คลินิคทางเดินอาหารตั้งแต่แรก ทำไมต้องให้เข้า ER
เจอค่ารักษาเข้าไปหลักหมื่นต้องการคำชี้แจงจากรพ.
เรื่องนี้ถูกรายงานขึ้น morning brief ครับ
แต่ก่อนที่ผมจะเล่าต่อผมขอให้เพื่อนๆลองคิดหน่อยครับ
ว่าถ้าเพื่อนๆเป็นผู้บริหารที่รับประเด็นร้องเรียนนี้จะ action อย่างไร
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738765691333-YAKIHONNES3.jpeg)
### ผู้บริหารสั่งให้หมอคนแรกที่ตรวจคนไข้โทรไปอธิบายให้คนไข้เข้าใจครับ
หมอคนแรกคือใครล่ะ **ผมไงครับ**
วันนั้นเป็นวันหยุดของผม ผมกำลังทำบุญที่วัดกับครอบครัวอยู่ รับโทรศัพท์จากรพ.ว่า ทางผู้บริหารสั่งให้ผมโทรไปเคลียร์กับคนไข้รายนี้ เพราะเกิดประเด็นร้องเรียน
ผมโทรไปตามคำสั่ง คนไข้ตกใจมากว่าทำไมหมอโทรหาเขาเอง คนไข้ไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องของหมอเลย แต่ติดใจแผนกลงทะเบียนว่าทำไมทำกับเขาอย่างนั้น ทำให้เขาต้องเสียเวลาและเสียตังค์เยอะ
### เพื่อนๆคิดยังไงกันครับ
เวลาที่คนไข้ร้องเรียน ผู้บริหารที่ดีจะต้อง fact check ก่อนรึเปล่า แล้วเจาะความต้องการของคนไข้ให้ได้มั้ยว่าเขาร้องเรียนเรื่องอะไร แล้วสั่งคนที่เกี่ยวข้องลงไปดูแล ถ้ามันเกิดเคสฟ้องร้องรุนแรงอันนั้นแหละ จะถึงตัวหมอที่ดูแลรักษา หมอต้องมาพบคนไข้
แต่นี่อะไร … ส่งหมอไปตายตั้งแต่แรก … มันทำให้ผมคิดนะครับขนาดเรื่องหยุมหยิมแค่นี้ยังส่งหมอไปตาย ถ้าหมอถูกฟ้องขึ้นมา รพ.ไม่เอาหมอใส่กุญแจมือยื่นให้เรือนจำแล้วตัวเองลอยตัวไปเลยเรอะ
เหตุการณ์นี้ผมทำตามนโยบายของทางรพ. แต่พอคนไข้ร้องเรียน ไม่ปกป้องหมอ แต่ส่งหมอไปตาย ครับ
เหตุการณ์แบบนี้เกิดกับผม 4 ครั้ง และหมอคนอื่นๆก็โดนอะไรแบบนี้มาเหมือนกันครับ
-----------
### เมื่อบ้าน ไม่อบอุ่นอีกต่อไป
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738766160069-YAKIHONNES3.jpeg)
> #### ผมยอมรับกับเพื่อนๆทุกคนนะครับ ว่ามันยากมากที่ผมจะทำใจยอมรับคำคำนี้ได้
มีช่วงนึง ผมโดนผอ.เรียกคุยบ่อยมาก ด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้ จนผมเครียดมาก จนนอนไม่หลับไป 2 - 3 สัปดาห์ เข้านอนพร้อมครอบครัว สวดมนต์ก่อนนอน ปกติเวลาหลับตานอนผมจะสวดมนต์ในใจไปอีก 2 - 3 จบ แล้วมันจะ auto shutdown หลับดีถึงเช้าครับ ที่เพื่อนๆเห็นผมโพส #gym calisthenic #workout นั่นแหละ คือตื่นไหว มาออกกำลังกาย แต่มันมีบางช่วงที่มันนอนไม่พอ บางทีเที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง นอนๆอยู่ตื่นเองแล้วไม่หลับอีกเลย สภาพแบบนี้ถ้าไปออกกำลังกายตอนเช้ามีหวังทำร้ายร่างกายมากกว่า
หลังจากนั้นไม่นานพอผมเริ่มปล่อยวางเรื่องนี้ได้ ก็มีข่าวร้ายมากระแทกพวกผมแผนก ER อีก เป็นการตัดสินใจจากผู้บริหารแบบไม่คิดหน้าไม่คิดหลัง ไม่คิดถึงผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของแพทย์ EP fulltime ที่ไม่ได้มีผมคนเดียว กระเทือนเป็นวงกว้าง รุนแรงขนาดทำลายชีวิตครอบครัวกันเลยครับ … แต่ผมขอไม่เล่านะครับ …
พวกผมถูกผอ.เรียกไปคุย ให้รับทราบถึงนโยบายเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานที่จะส่งผลกระทบต่อวงจรการใช้ชีวิตและชีวิตครอบครัว ครั้งนั้นผมไม่ยอมรับครับ ผมมีข้อมูลทุกอย่างของแผนก ER ในมือ คำสั่งที่ออกมาไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริงแต่อย่างใด แต่เป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอดแบบสุดๆ ผมแย้งคำสั่งนี้จนผอ.และเลขาผอ.สู้หน้าผมไม่ได้ เพราะผอ.ไม่มีข้อมูลเชิงลึกแบบที่ผมมี และผอ.เองก็รับคำสั่งจาก board บริหารมาอีกทีนึง แกก็ทำได้แค่อึกๆอักๆเท่านั้น
แต่จำได้มั้ยครับ top down absolute power ต่อให้ผมมีข้อมูลข้อเท็จจริงรวมถึงเสนอวิธีแก้ไขที่ยั่งยืนและตรงจุด เขาก็ไม่ฟัง เพราะเขามีภาพในหัวของเขาอยู่แล้วว่าเขาต้องการอะไร ต่อให้เชิญตัวแทนแพทย์มาคุยก็ไม่ฟังอยู่ดี ผมไม่ได้โลกสวยคิดว่าจะเปลี่ยนความคิดของ board บริหารได้
### ผมต้องไปแล้วจากที่นี่ ไม่งั้นเจ็บตัวแน่ๆ
ช่วงเวลานี้แหละครับเสียงเรียกปลุกจากภวังค์ (wake up call) มันชัดเจนแล้วว่า ผมต้องหาเรือสำรอง เพราะเรือลำนี้มันกำลังค่อยจมลงช้าๆ แต่คนบนเรือส่วนใหญ่ยังไม่รู้ตัว “ต้มกบ” แบบที่ผมบอกตอนแรกครับ
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738766271232-YAKIHONNES3.jpeg)
ตอนแรกผมก็ยังไม่แน่ใจ ว่าที่ผมจะไป มันเป็นเพราะเรือลำนี้มันกำลังจมลงแบบที่ผมบอก หรือผมกำลังจะหนีปัญหากันแน่ ผมทบทวนกับตัวเอง คุยกับภรรยา อ่านใจตัวเองแบบใจเป็นกลาง ได้คำตอบชัดเจนครับว่า มันเป็นเวลาวละเรือแล้วจริงๆก่อนที่จะเจ็บตัวไปมากกว่านี้
“ถ้าไปที่ใหม่ ต้องดีกว่าที่เดิม ไปเพื่อไปฝึกพัฒนาตัวเอง ถ้าเป็นแบบนั้นไปได้ แต่ถ้าไปเพื่อหนีปัญหา อย่าไป” ภรรยาผมบอก
ผมและภรรยาโชคดีที่ครอบครัวเราใกล้พระ ใกล้วัด ก็ไปขอปัญญาความสว่างจากหลวงพี่ หลวงน้า พระอาจารย์ ทุกท่านก็ให้ข้อคิดไปในทำนองเดียวกันกับภรรยาผม ผมเลยดำเนินเรื่องเปลี่ยนที่ทำงานครับ
### การสัมภาษณ์งานที่ใหม่ ก็ไม่ง่าย
เพราะนานๆรพ.แห่งนี้จะเปิดรับหมอใหม่ซักทีโดยเฉพาะรับ EP
ผมยื่น resume สมัครงานไป แต่มันเต็มไปด้วยความแน่นอนครับ เพราะทางรพ.ใหม่แจ้งกลับมาว่า ได้รับ resume แล้ว ถ้าหากได้รับการพิจารณา จะติดต่อนัดเข้ามาสัมภาษณ์ รอเวลาประมาณสัปดาห์กว่าๆครับ ก็มีข้อความว่าผมได้รับการพิจารณาทางรพ.จะเชิญมาสัมภาษณ์
ผมเข้าไปสัมภาษณ์ระหว่างสัมภาษณ์มีสัญญาณที่ดีพอสมควร เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ ทางรพ.ขอเวลาแจ้งผล 2 สัปดาห์
เพื่อนๆครับ ผมโคตรทรมานเลยครับช่วงที่รอ ไม่ว่าจะเป็นการรอเรียกมาสัมภาษณ์ และ รอแจ้งผล ผมจะเป็นบ้าครับ ใจสั่นเสียวแว้บที่หัวใจทุกวัน วันละหลายๆรอบ บางครั้งชาหน้าอกซ้ายทั้งแถบ เมื่อตอนที่ผมทราบว่าผมผ่านการสัมภาษณ์ ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามาร่วมงาน มันเป็นอะไรที่โล่งมาก
-----------
### สิ่งที่เกิดขึ้นภายในหัวของผมตั้งแต่เกิดเรื่องและข้อคิดที่อยากแบ่งปัน
เตลิด ฟุ้งซ่าน กลัว โกรธไม่พอใจ ปรุงแต่ง ขาดสติไม่รู้สึกตัว ปล่อยวางไม่ได้ วนไปวนมาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนมันออกอาการมาทางกายครับ ใจสั่น เสียวแว้บที่หัวใจ หน้าอกซ้ายชาไปทั้งแถบ นอนไม่หลับ ปวดหัวบ่อย พฤติกรรมแยกตัวไม่ยุ่งกับใครไม่คุยกับใครเลย ระแวง แล้วมันก็เป็นจังหวะพอดีที่ทางรพ.มีเรื่องขอความเห็นผมในการปรับปรุงคุณภาพ
แต่ละวัน line ผมเด้งไม่ต่ำกว่า 10 รอบ แต่บังเอิญมันจะมีบางช่วงที่ผมโดนผอ.เชิญขึ้นไปคุยเรื่องปัญหาที่ไม่เป็นเรื่องอย่างที่ผมเล่าไปตอนต้นปนมาด้วยครับ คือทุกครั้งที่ line เด้ง ประสาทจะแดกทุกครั้งจนหลอนครับ “กูจะโดนอะไรอีกเนี่ย”
มันหนักขนาดบางครั้งตัวผมช็อตแล้วยืนเอ๋อกินไปเลย กำลังทำงานบ้านกำลังล้างจ้างอยู่มือหยุดไปดื้อๆกลางอากาศ หรือกำลังเดินซื้อของกับครอบครัวอยู่ ผมเกิดอาการหูดับคืออยู่ดีๆก็ไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ภรรยาผมตะโกนเรียกบางทีก็ไม่ได้ยิน อาการหนักจนผมตัดสินใจไปตรวจหูตรวจประสาทการได้ยิน รวมถึงขอคุยกับจิตแพทย์ครับ เพราะมันไม่ไหว
แต่ปรากฏว่าผลการตรวจร่างกายทุกอย่างปกติหมด
ผมยังมีบุญอยู่ครับ ที่ผมและภรรยาปฏิบัติกรรมฐานมาจริงจัง พอจะมีประสบการณ์ทางธรรมมาบ้าง เหตุการณ์นี้มันคือการฝึกภาคสนามของผู้ปฏิบัติกรรมฐานครับ มันคือการโดนลองของ เพื่อดูว่าการฝึกจิตที่ผ่านมา เมื่อมาโดนความเป็นจริงที่โหดร้ายทางโลกกระแทกเข้าแบบติดๆกันไม่ให้พัก จะรอดมั้ย
ผมยังโชคดีที่ยังสามารถควบคุมสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายให้อยู่เฉพาะในหัวได้ ยังไม่โพล่งออกมาเป็นคำพูดที่ทำร้ายใคร และ ยังไม่ทำอะไรรุนแรงเช่นไปทุบหัวคนอื่น
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738837868020-YAKIHONNES3.jpeg)
เรียกว่าเกิดเฉพาะ มโนกรรม ส่วนวจีกรรมและกายกรรม ยังไม่เกิด ในวันที่แย่ขนาดนั้น ผมยังอยู่กับการปฏิบัติดูรู้ลมหายใจ ดูรู้กายเคลื่อนไหว สวดมนต์ นั่งสมาธิ ถวายสังฆทาน สวดมนต์กับลูกและภรรยาทุกวันก่อนนอนไม่ขาด ทางร่างกายก็ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอรักษา baseline ความแข็งแรงไว้
หากเพื่อนๆเชื่อเรื่องบาปบุญและกฏแห่งกรรม รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวร
ตัวอย่างของผมอันนี้ก็คือการชดใช้ครับ ช่วงที่ผมก้มหน้าชดใช้กรรมที่ผ่านมา ผมอโหสิและแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศลให้แก่ทุกคนที่ทำร้ายผม ผมโกรธครับ แต่เวลาอารมณ์โกรธมันออกมาจนตัวสั่น ใจสั่น เสียวหน้าอก ผมแผ่เมตตาสู้อารมณ์โกรธอันนั้นเลย แรกๆก็ฝืนธรรมชาติตัวเองอยู่ครับ แต่เมื่อทำต่อเนื่องไป ใจมันสงบมันนิ่ง มันเกิดอารมณ์สงสารคนเหล่านั้นที่มาทำร้ายผมมากกว่า เพราะสภาพความเป็นจริงก็คือคนเหล่านั้นที่ทำร้ายผม เขาก็กำลังโดนทวงจากคนของเขาเหมือนกันครับ ดังนั้นผมถึงเลือกที่จะแผ่เมตตาให้ และอธิษฐานภาวนาให้ว่า
**"ผมยินดีน้อมรับการชดใช้ในครั้งนี้ ผมขอไม่โต้ตอบ ชดใช้กันให้เต็มที่ เพื่อว่าเมื่อหมดกรรมกันไปแล้วจะได้ขาดกันไปเลย ไม่ต้องมาจองเวรจองกรรมกันอีก ขอให้มีความสุขและเกิดดวงตาเห็นธรรม"**
เรียกว่าผมรอดมาได้แบบกระอักเลือดเพราะใช้ธรรมะที่ฝึกปฏิบัติมาเป็นที่พึ่งครับ ไม่ได้ไปเรียกร้อง ไปโวยวาย หรือไปโต้ตอบอะไร ในใจมันต้องคิดขุ่นเคืองเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้มันจบอยู่แค่ที่ความคิดครับ ไม่ให้หลุดออกมาเป็นคำพูดหรือการกระทำ ไม่เช่นนั้นการกระทำใหม่จะเกิดขึ้น กลายเป็นการผูกเวรผูกกรรม จองเวรจองกรรมกันไปอีกนาน ไม่จบไม่สิ้น แต่ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ได้ไปเพ่งไปกดข่มอารมณ์โกรธขุ่นเคืองใจ พระท่านสอนให้เรา “ดู” “รู้” “เห็น” ทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเรา โดยเฉพาะความคิดในหัวเรา
**“ดูมัน เห็นมัน รู้มัน แต่ไม่บ้าไปกับมัน”**
แต่เรื่องธรรมะ ผมเชื่อว่าเพื่อนๆที่ฟังคุณลุงมาตลอด น่าจะเข้าใจคำว่า ธรรมะต้องฝึกต้องปฏิบัติเอง รู้ด้วยตัวเอง เห็นด้วยตัวเอง เข้าใจด้วยตัวเอง
วฺิธีการที่ผมเล่ามานี้ไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่มันคือวิธีการปฏิบัติที่เข้ากับจริตคนแบบผมครับ ผมมีแต่จะต้องฝึกให้ชำนาญขึ้นไปจนกว่าจะตายนั่นแหละครับ
เป็นเวลาเกือบ 10 ปีที่ผมอยู่ที่แห่งนี้ มีประสบการณ์ที่ประเมินมูลค่าไม่ได้เกิดขึ้นมากมาย
- วิกฤติครอบครัวที่ภรรยาเกือบเลิกกับผม [อ่านเพิ่มได้ที่นี่](https://yakihonne.com/naddr1qvzqqqr4gupzpz2849zn00wd9e3dpdqdk4mrdm8rqdz6pa3usp44xzjlr7dlea3xqq2nj7jwdsehwuzrxv6kskz4wenkcwrjdscnq3stzy4)
- การได้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์จากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง
- การเห็นลูกที่รักป่วยไม่สบาย admit บ่อยมากช่วงเด็กเล็ก
- การรับมือกับโรคระบาด COVID19
- การได้เป็นหัวหน้า 3 หน่วยงาน
- การได้ศึกษาปฏิบัติธรรม รวมถึงการลาบวช
- การได้ทดแทนพระคุณบุพการี [อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่](https://yakihonne.com/naddr1qvzqqqr4gupzpz2849zn00wd9e3dpdqdk4mrdm8rqdz6pa3usp44xzjlr7dlea3xqq257ctc949nge6efpckx7rdx4n57wtrg4dyua0ftzv)
- การได้ช่วยเหลือญาติและผู้มีพระคุณแบบไม่หวังผลตอบแทน
- การได้ connection
การเดินทางสถานที่แห่งนี้ ที่ที่ผม(เคย)เรียกว่าบ้าน มันได้เดินทางมาจนถึงหน้าสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้ เป็นธรรมดาที่มันเดินทางมาถึงจุดจบ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ ไม่มากก็น้อยนะครับ
![image](https://yakihonne.s3.ap-east-1.amazonaws.com/8947a94537bdcd2e62d0b40db57636ece30345a0f63c806b530a5f1f9bfcf626/files/1738839012633-YAKIHONNES3.jpeg)