-
@ Jakk Goodday
2025-02-28 05:45:17ในชีวิตประจำวัน เรามักวัดมูลค่าของสิ่งต่างๆ ด้วยหน่วยเงินที่เราคุ้นเคย เช่น บาทหรือดอลลาร์
เราดีใจเมื่อการลงทุนของเรา “เพิ่มขึ้น” ในหน่วยเงินเหล่านั้น ..แต่น้อยคนนักจะหยุดคิดว่าไม้บรรทัดที่เราใช้วัดมูลค่านั้นมีความมั่นคงเพียงใด
หากไม้บรรทัดเองหดสั้นลงเรื่อยๆ สิ่งของที่เราวัดอาจดูเหมือนยาวขึ้นทั้งที่ความจริงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
แนวคิดนี้สะท้อนถึงการวัดมูลค่าทางเศรษฐกิจในหน่วยเงินที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และนำเราไปสู่หลักการเรื่อง "ค่าเสียโอกาส" (opportunity cost) ในการลงทุน
เมื่อเราเลือกถือสินทรัพย์ชนิดหนึ่ง เรากำลังสละโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนจากอีกชนิดหนึ่งเสมอ
การทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นตัววัดมาตรฐานของเราและค่าเสียโอกาสที่ตามมา จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการสำรวจมุมมองใหม่ของการประเมินความมั่งคั่ง
ในบริบทนี้.. บิตคอยน์ (Bitcoin) ได้ถูกเสนอขึ้นมาเป็น “มาตรฐาน” ใหม่ในการวัดมูลค่ว เสมือนกับที่ทองคำเคยเป็นมาตรฐานการเงินของโลกในอดีต
หนังสือ The Bitcoin Standard ของ Saifedean Ammous ชวนเราคิดว่า Bitcoin อาจกลายเป็นเหมือน “มาตรฐานทองคำ” ยุคดิจิทัล ที่มารองรับระบบการเงินสากลในอนาคต
เหตุผลสำคัญที่ Bitcoin ถูกมองว่าเป็นเงินตราที่มีความแข็งแกร่ง (sound money) คือคุณสมบัติที่หาได้ยากในเงินสกุลปัจจุบัน
มันมีปริมาณจำกัดตายตัว 21 ล้านหน่วย ไม่มีธนาคารกลางใดสามารถพิมพ์เพิ่มได้ตามใจชอบ
ต่างจากเงินเฟียต (Fiat money) อย่างดอลลาร์ ที่จำนวนเพิ่มขึ้นตลอดเวลาจากนโยบายรัฐ
ผลคือ Bitcoin มีความทนทานต่อภาวะค่าเงินเสื่อมค่าจากเงินเฟ้อ และสามารถรักษามูลค่าได้ในระยะยาวดุจทองคำในอดีต
หลายคนจึงยกให้มันเป็น “Sound Money” หรือเงินที่มั่นคง เชื่อถือได้ในด้านมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป
แนวคิดนี้เองเปิดประตูไปสู่การใช้ Bitcoin เป็นหน่วยวัดเปรียบเทียบมูลค่าสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อมองภาพเศรษฐกิจในมุมใหม่
ลองจินตนาการกราฟหนึ่งที่นำดัชนีหุ้นชั้นนำอย่าง S&P 500 มาเปรียบเทียบในหน่วย Bitcoin แทนที่จะเป็นดอลลาร์ กราฟนี้จะแสดงให้เราเห็นภาพที่ต่างออกไปอย่างมากจากกราฟปกติที่คุ้นเคย
https://nostr.download/e344db050a8f6b023b2a9c7883560ad8a7be3fc4154d3908cbae3471b970272a.webp
หากย้อนไปช่วงปี 2011
หุ้น S&P 500 อยู่ที่ราว 1,300 จุด ขณะที่บิตคอยน์มีราคายังไม่ถึง 1 ดอลลาร์ นั่นหมายความว่าดัชนี S&P 500 ในเวลานั้นมีมูลค่าประมาณ 1,300 BTC
แต่เมื่อเวลาผ่านไป Bitcoin มีราคาสูงขึ้นมหาศาล ในปี 2021–2022 Bitcoin (เคยพุ่งขึ้นไปแตะหลักหลายหมื่นดอลลาร์ต่อ 1 BTC) ทำให้มูลค่าของ S&P 500 เมื่อวัดในหน่วย BTC กลับกลายเป็นเพียงเศษเสี้ยวของที่เคยเป็น
สมมติ S&P 500 ล่าสุดอยู่แถว 4,000 จุด และราคา BTC อยู่หลักแสนดอลลาร์ ดัชนี S&P 500 ทั้งดัชนีอาจมีค่าไม่ถึง 0.05 BTC ด้วยซ้ำ
ผลลัพธ์ที่สะท้อนออกมาบนกราฟคือเส้นค่าของ S&P 500 (เมื่อวัดด้วย BTC) ที่มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
แปลความได้ว่า.. บิตคอยน์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์การเงินดั้งเดิมอย่างหุ้น
ถึงขั้นที่... การถือ Bitcoin ไว้ให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนในดัชนีหุ้นใหญ่เสียอีกในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แม้จะฟังดูเหลือเชื่อ แต่นี่คือภาพที่ข้อมูลได้บอกเรา.. ในมุมมองของมาตรฐาน Bitcoin ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ว่าทำผลตอบแทนโดดเด่น ยังดูซีดเซียวลงในทันที
ข้อมูลในช่วงสิบปีให้หลังตอกย้ำภาพนี้อย่างชัดเจน ผลตอบแทนของ Bitcoin เหนือกว่าสินทรัพย์แทบทุกชนิดที่เรารู้จักในยุคปัจจุบัน
ในเชิงตัวเลข Bitcoin ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีราว 230% ตลอดทศวรรษ 2011–2021 ขณะที่ดัชนี S&P 500 ซึ่งขึ้นชื่อว่าให้ผลตอบแทนดีสม่ำเสมอ ยังมีค่าเฉลี่ยผลตอบแทนต่อปีประมาณ 10% กว่าๆ เท่านั้นเอง เมื่อนำมาคำนวณทบต้น
นั่นหมายความว่า.. ในช่วงเวลาประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของ Bitcoin เพิ่มขึ้นหลักหลายหมื่นเปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ S&P 500 เพิ่มขึ้นเพียงไม่กี่ร้อยเปอร์เซ็นต์
ผลต่างระดับนี้ใหญ่พอที่จะเปลี่ยนวิธีที่เรามองความสำเร็จในการลงทุนไปเลยทีเดียว
มีการสังเกตด้วยว่าเพียงช่วงห้าปีหลังสุด ดัชนี S&P 500 สูญเสียมูลค่าประมาณเกือบ 90% หากวัดในหน่วยของบิตคอยน์
พูดอีกอย่างคือ..
ในสายตาของคนที่ถือ Bitcoin ไว้เป็นเกณฑ์ "เงิน 100 บาทที่ลงทุนในหุ้นเมื่อต้นช่วงเวลาดังกล่าว จะเหลือมูลค่าเพียงประมาณ 10 บาทเท่านั้นในปัจจุบัน* (เพราะ 90 บาทที่เหลือคือค่าเสียโอกาสที่หายไปเมื่อเทียบกับการถือ Bitcoin)
มุมมองแบบนี้ชวนให้เราตั้งคำถามว่า ที่ผ่านมาสินทรัพย์ที่ดูเหมือนมั่นคงปลอดภัย อาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิดเมื่อประเมินด้วยบรรทัดฐานใหม่
การเปรียบเทียบข้างต้นยังสะท้อนถึง ปัญหาการเสื่อมค่าของเงินเฟียต ซึ่งเราคุ้นเคยแต่บางครั้งมองข้ามความร้ายกาจของมัน
เงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งเป็นสกุลเงินหลักของโลก สูญเสียอำนาจซื้อไปแล้วกว่า 96% ตั้งแต่ปี 1913 จนถึงปัจจุบัน (กล่าวคือ เงิน 1 ดอลลาร์ในสมัยนั้นมีค่าพอๆ กับเงินเกือบ 30 ดอลลาร์ในปัจจุบัน)
การที่ค่าเงินด้อยค่าลงเรื่อยๆ แบบนี้หมายความว่า ตัวเลขราคาในหน่วยเงินเฟียตอาจเพิ่มขึ้นทั้งที่มูลค่าที่แท้จริงไม่เพิ่ม
ยกตัวอย่างเช่น ดัชนี S&P 500 ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในหน่วยดอลลาร์สหรัฐอยู่บ่อยครั้ง แต่หากปรับค่าด้วยปัจจัยเงินเฟ้อหรือปริมาณเงินที่พิมพ์เพิ่มเข้าไป เราจะพบว่ามูลค่าที่แท้จริงของดัชนีนี้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากอย่างที่เห็น
บางการวิเคราะห์ชี้ว่าหลังวิกฤตการเงินปี 2008 เป็นต้นมา แม้ดัชนี S&P 500 ในตัวเลขจะพุ่งขึ้นไม่หยุด แต่เมื่อหารด้วยปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้น (เช่น M3) เส้นกราฟที่ได้กลับแทบไม่สูงไปกว่าจุดก่อนวิกฤตเลยด้วยซ้ำ
หมายความว่า.. ที่ราคาหุ้นสูงขึ้น ส่วนใหญ่ก็เพื่อไล่ตามสภาพคล่องเงินที่ไหลเข้าระบบเท่านั้น ไม่ได้สะท้อนการเติบโตแท้จริงของเศรษฐกิจมากนัก
เงินเฟ้อและการขยายตัวของปริมาณเงินจึงเปรียบเสมือน “หมอก” ที่บังตา ทำให้เรามองไม่ชัดว่าสิ่งใดเพิ่มมูลค่าแท้จริง สิ่งใดแค่ตัวเลขฟูขึ้นตามสกุลเงินที่ด้อยค่าลง
เมื่อ Bitcoin ถูกใช้เป็นหน่วยวัดเปรียบเทียบ มันทำหน้าที่เสมือนกระจกใสที่กวาดเอาหมอกเงินเฟ้อนั้นออกไป เราจึงเห็นภาพที่ต่างไปโดยสิ้นเชิง
เช่นเดียวกับกรณีที่เราเปรียบเทียบราคาสินค้าโภคภัณฑ์บางอย่างในหน่วย BTC ผลลัพธ์ก็อาจกลับทิศ
การทดลองหนึ่งของธนาคารเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ เคยเล่นเปรียบเทียบราคา “ไข่ไก่หนึ่งโหล” ในหน่วยดอลลาร์กับในหน่วยบิตคอยน์
ปรากฏว่า... แม้ต้องการจะชี้ให้เห็นความผันผวนของ Bitcoin แต่ดันกลับตอกย้ำความจริงที่ว่า ในช่วงเงินเฟ้อสูง ราคาฟองไข่ที่ดูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในหน่วยดอลลาร์ จริงๆ แล้วทรงตัวหรือลดลงด้วยซ้ำเมื่อคิดเป็น BTC
นี่เป็นตัวอย่างสนุกๆ ที่บอกเราว่า กรอบอ้างอิง (frame of reference) ในการวัดมูลค่านั้นสำคัญเพียงใด
แน่นอนว่า Bitcoin เองก็มีความผันผวนสูงและยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ดั้งเดิม
การที่มันพุ่งทะยานหลายหมื่นเปอร์เซ็นต์ที่ผ่านมาไม่ได้รับประกันว่ากราฟในหน่วย BTC ของสินทรัพย์ต่างๆ จะดิ่งลงอย่างนี้ไปตลอด
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ให้แง่คิดทางปรัชญาการเงินที่ลึกซึ้งกับเรา
อย่างแรกคือเรื่อง ค่าเสียโอกาส ที่กล่าวถึงตอนต้น ทุกการตัดสินใจทางการเงินมีต้นทุนค่าเสียโอกาสแฝงอยู่เสมอ เพียงแต่เมื่อก่อนเราอาจไม่เห็นมันชัดเจน
การเก็บออมเงินสดไว้เฉยๆ ในธนาคารมีต้นทุนคือผลตอบแทนที่สูญไปหากเราเลือกลงทุนอย่างอื่น การลงทุนในสินทรัพย์ A ก็ย่อมหมายถึงการไม่ได้ลงทุนในสินทรัพย์ B
หาก B นั้นให้ผลตอบแทนสูงกว่า เราก็สูญเสียส่วนต่างนั้นไป
สิบกว่าปีที่ผ่านมา Bitcoin ทำผลงานได้เหนือชั้นกว่าสินทรัพย์อื่นๆ มาก ค่าเสียโอกาสของการไม่ถือ Bitcoin จึงสูงลิ่วในช่วงนี้
สำหรับนักลงทุนที่มองย้อนกลับไป นี่คือบทเรียนราคาแพง บางคนอาจนึกเสียดายว่า “รู้งี้ซื้อบิตคอยน์ไว้ตั้งแต่แรกซะก็ดี”
แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การเสียดายอดีต แต่อยู่ที่ การตระหนักรู้ถึงค่าเสียโอกาสและผลกระทบของมันที่มีต่อความมั่งคั่งของเราในระยะยาว ต่างหาก
อีกแง่หนึ่งที่ลึกกว่านั้นคือเรื่อง กรอบในการวัดมูลค่า ของเราทุกวันนี้ว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่
หากการที่เราใช้เงินเฟียตที่เสื่อมค่าเป็นตัววัด ทำให้เราประเมินค่าของสิ่งต่างๆ ผิดเพี้ยนไป การตัดสินใจทางเศรษฐกิจของเราก็อาจผิดทิศทางในระยะยาวได้
ลองนึกภาพว่า.. ถ้าเงินที่เราใช้อยู่มีมูลค่าเสถียรหรือเพิ่มขึ้นตามประสิทธิภาพการผลิตจริงๆ ของเศรษฐกิจ (เหมือนที่เงิน Bitcoin ถูกออกแบบมาให้ไม่เสื่อมค่าไปตามกาลเวลา) เราอาจไม่จำเป็นต้องวิ่งไล่หาผลตอบแทนสูงๆ เพียงเพื่อรักษามูลค่าเงินออมของตัวเองให้ทันเงินเฟ้อ
ผู้คนอาจวางแผนการเงินระยะยาวขึ้น แนวคิดเรื่อง “เวลาที่ต้องใช้” กับ “อัตราส่วนลดของอนาคต” (time preference) ก็จะเปลี่ยนไป
ดังที่ Ammous กล่าวไว้ใน The Bitcoin Standard ว่าเงินที่มีเสถียรภาพจะส่งเสริมให้คนออมและลงทุนในโครงการระยะยาวมากขึ้น ผิดกับระบบเงินเฟ้อที่ชักจูงให้ผู้คนรีบใช้จ่ายหรือเข้าร่วมเก็งกำไรระยะสั้นเพราะกลัวว่าเงินจะด้อยค่าไป
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการเงินส่วนบุคคล แต่สะท้อนถึงคุณภาพของการเติบโตทางเศรษฐกิจและนวัตกรรมในสังคมโดยรวมด้วย
หากเรามีหน่วยวัดมูลค่าที่เที่ยงตรง ไม่บิดเบือนไปตามนโยบายการเงินรายวัน เราก็อาจประเมินโครงการต่างๆ ได้ตามศักยภาพที่แท้จริงมากขึ้น เงินเฟ้อและการพิมพ์เงินจำนวนมากมักทำให้เกิดการลงทุนผิดที่ผิดทาง (malinvestment) เพราะสัญญาณราคาถูกบิดเบือน
เช่น ดอกเบี้ยที่ต่ำผิดปกติอาจทำให้เกิดหนี้ล้นเกินหรือลงทุนในโครงการที่ไม่ยั่งยืน
ในขณะที่มาตรฐานเงินที่เข้มงวดอย่าง Bitcoin อาจบังคับให้ทุกการลงทุนต้องมีเหตุผลรองรับที่แข็งแรงขึ้น เนื่องจากไม่สามารถอาศัยการอัดฉีดสภาพคล่องมาช่วยพยุงได้ง่ายๆ
เมื่อมาถึงตรงนี้..
เราอาจไม่ได้ข้อสรุปทันทีว่า “ต่อไปนี้ฉันควรถือ Bitcoin แทนที่จะลงทุนอย่างอื่น” และบทความนี้ก็ไม่ได้มีเจตนาจะชี้นำการลงทุนเช่นนั้น
เป้าหมายแท้จริงคือการเปิดมุมมองใหม่ว่า เราประเมินคุณค่าของสิ่งต่างๆ อย่างไร
ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า..
ทุกวันนี้เราวัดความร่ำรวยหรือความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจด้วยหน่วยอะไร หน่วยนั้นวัดได้เที่ยงตรงหรือเปล่า?
หากเงินที่เราใช้วัดเองลดค่าลงทุกปีๆ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าตัวเลขที่เพิ่มขึ้นบนกระดาษคือความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นจริง?
การใช้ Bitcoin เป็นมาตรฐานเทียบเคียง เป็นเสมือนการลองวัดด้วยไม้บรรทัดอีกอันที่อาจตรงกว่าเดิม
ในหลายกรณีมันเผยให้เห็นภาพที่เราคาดไม่ถึงและท้าทายความเชื่อเดิมๆ ของเรา
บทเรียนที่ได้รับไม่ใช่ให้เราทุกคนเปลี่ยนไปคิดเป็น BTC ในชีวิตประจำวันทันที แต่คือการตระหนักว่า หน่วยวัดมีความหมาย และการมองโลกการเงินด้วยหน่วยวัดที่ต่างออกไปสามารถให้ข้อคิดที่ลึกซึ้งได้อย่างไร
ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเชื่อใน “มาตรฐานบิตคอยน์” หรือไม่นั้น ไม่สำคัญเท่ากับการที่เราได้ฉุกคิดและตั้งคำถามกับระบบที่เราใช้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
บางทีสิ่งที่ Bitcoin และปรัชญาการเงินแบบใหม่ๆ นำมาให้เรา อาจไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แต่คือแรงกระตุ้นให้เราเปิดใจมองภาพใหญ่ของเศรษฐกิจในมุมที่กว้างขึ้น
ลองพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอย่างค่าเงิน เวลา และโอกาสที่สูญเสียไปกับการตัดสินใจต่างๆ อย่างรอบด้านขึ้น
เมื่อเราเริ่มมองเห็นว่าการวัดมูลค่าของสิ่งต่างๆ ด้วย ไม้บรรทัดที่ต่างออกไป ให้อะไรเราได้บ้าง เราก็จะพร้อมที่จะปรับมุมมองและกลยุทธ์การเงินของตนเองให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงเสมอ
ไม่แน่ว่าในอนาคต เราอาจได้เห็นผู้คนพูดถึงราคาบ้านหรือดัชนีหุ้นในหน่วยบิตคอยน์อย่างเป็นเรื่องปกติ และการคิดเช่นนั้นอาจไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อีกต่อไป
เพราะเราได้เรียนรู้ที่จะมองผ่านเปลือกของหน่วยเงิน ไปสู่แก่นแท้ของมูลค่าจริงๆ ที่อยู่เบื้องหลังนั่นเอง
ขอบคุณ Thai Ratel สำหรับความกระจ่างในการวัดมูลค่าสินทรัพย์ต่าง ๆ ด้วยบิตคอยน์