-
@ HereTong
2025-05-28 01:57:42ในปี 2013 ณ กรุงลอนดอน แฮมเบอร์เกอร์หน้าตาดูธรรมดาแต่ไม่ธรรมดาชิ้นหนึ่งได้ถูกจัดวางอย่างสง่างามบนจานสีขาวในงานแถลงข่าวระดับโลก ไม่ใช่เพราะมันแพงเกินเหตุที่ตั้งราคาที่ 330,000 ดอลลาร์ต่อชิ้น แต่เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์นี่คือ “เนื้อเพาะเลี้ยง” (cultured meat) ชิ้นแรกของโลกที่เติบโตมาจากเซลล์ ไม่ใช่จากสัตว์ทั้งตัว
เบื้องหลังอาหารชิ้นนี้คือชายชาวดัตช์คนหนึ่ง ชื่อว่า มาร์ค โพสต์ (Mark Post) นักวิทยาศาสตร์ด้านสรีรวิทยาหลอดเลือด ซึ่งไม่ได้มีดีกรีจากแค่มหาวิทยาลัย แต่มีความฝันที่อยากจะสร้างอาหารจากเทคโนโลยีเพื่ออนาคต เขาเริ่มต้นจากห้องทดลองเล็กๆ ที่มหาวิทยาลัย Maastricht ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเชื่อว่าการเพาะเลี้ยงเนื้อจากเซลล์ต้นกำเนิดของวัวจะสามารถลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ได้
แต่กว่าจะมีแฮมเบอร์เกอร์เพาะเลี้ยงได้หนึ่งชิ้น เขาต้องเพาะเลี้ยงเส้นใยกล้ามเนื้อเล็กๆ มากกว่า 20,000 เส้น นำมารวมกัน ประกอบโครง สร้างรูปร่าง คล้ายกับงานศิลปะทางวิทยาศาสตร์ ใช้เวลาเป็นเดือน แถมกระบวนการทั้งหมดต้องอยู่ในสภาพปลอดเชื้อราวกับโรงพยาบาลของนาโนเทคโนโลยี ส่วนต้นทุนมหาศาลที่ใช้ในวันนั้น มาจากมหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้ง Google อย่าง Sergey Brin ที่เห็นว่ามันอาจเป็นคำตอบของปัญหาอาหารโลกในอนาคต
แต่เรื่องนี้มีอะไรมากกว่าที่สื่อกระแสหลักอยากให้คุณรู้
หลังจากเปิดตัวเนื้อในห้องแล็บ โลกก็เหมือนถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในอีกมิติหนึ่ง บริษัทสตาร์ทอัพที่เคยเน้นเขียนโค้ด เริ่มหันมาเขียนสูตรเนื้อ บริษัทรายใหญ่อย่าง Cargill, Tyson Foods และแม้แต่ Richard Branson ก็เทเงินสนับสนุนบริษัทรุ่นใหม่อย่าง Mosa Meat ซึ่งก่อตั้งโดย Dr. Post เองในปี 2016 พร้อมแผนทะเยอทะยานที่จะส่ง “เนื้อจากแล็บ” เข้าซูเปอร์มาร์เก็ตภายในทศวรรษเดียว
Mosa Meat พยายามลดต้นทุนจากหลักแสน ให้เหลือหลักร้อย และวันนี้บริษัทเหล่านี้กำลังสร้างโรงงานที่ผลิตเนื้อในถังหมักขนาดยักษ์ ไม่ต่างจากโรงเบียร์ พวกเขาเลี้ยงเซลล์วัวในน้ำเลี้ยงที่เดิมทีเคยใช้เซรุ่มจากลูกวัว (Fetal Bovine Serum) ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้อนแย้ง ที่สวนทางกับภาพ “ปลอดภัยไร้เลือด” มาก เพราะในขณะที่โฆษณาว่า “ปลอดการฆ่า” แต่กลับใช้ส่วนผสมที่ได้มาจากเลือดลูกวัวที่ยังไม่เกิด จนต้องหาทางเปลี่ยนสูตรเป็น “น้ำเลี้ยงเทียม” ที่มาจากสารเคมีและอาหารสังเคราะห์แทน
ด้วยโครงสร้าง scaffold ที่ช่วยให้เซลล์ก่อตัวเป็นเนื้อเยื่อ และ กระบวนการเพาะเลี้ยงใน bioreactor ขนาดยักษ์ ที่เปลี่ยนเซลล์เล็ก ๆ ให้เป็นเนื้อก้อนใหญ่ในเวลาไม่กี่สัปดาห์
แต่ขณะที่ภาพความล้ำซึ่งดูจะเติบโตอย่างสดใส กลับมีเงามืดที่เติบโตพร้อมกันไปเงียบๆไม่ต่างกับอนาคินและดาร์ธเวเดอร์
แม้จะเป็นนวัตกรรมล้ำหน้า แต่ทุกขั้นตอนถูกห่อหุ้มไว้ด้วย “สิทธิบัตร” สิ่งที่ทำให้เนื้อชนิดนี้ไม่ได้เป็นของทุกคน แต่เป็นสมบัติทางปัญญาของบริษัทเท่านั้น เนื้อจากเซลล์เหล่านี้ ไม่เหมือนเนื้อจากฟาร์มที่ใครก็เลี้ยงเองได้ ไม่สามารถเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้เพาะรุ่นหน้าแบบชาวนาในอดีต ทุกอย่างต้องเริ่มต้นในห้องแล็บ ต้องใช้เทคโนโลยีเฉพาะ ต้องมีสูตรลับเฉพาะ ต้องพึ่งบริษัทที่มีสิทธิบัตรครอบครองชีวิตเซลล์เพียงไม่กี่เจ้า
Mosa Meat ไม่ได้หยุดแค่การผลิต พวกเขายื่นจด สิทธิบัตรกว่า 10 กลุ่ม ครอบคลุมตั้งแต่สูตรน้ำเลี้ยง วิธีเพาะเลี้ยงเซลล์ ไปจนถึงวิธีห่อบรรจุสินค้าขั้นสุดท้าย กล่าวอีกอย่างคือ ถ้าใครอยากทำเนื้อเพาะเลี้ยงแบบนี้บ้าง ก็ต้อง “จ่ายค่าลิขสิทธิ์” ให้เขาเสียก่อน เรากำลังก้าวสู่ยุคที่ อาหารไม่ใช่ผลผลิตจากดินและแรงคน แต่เป็นผลผลิตของทรัพย์สินทางปัญญา และเมื่อใดที่ “เนื้อ” กลายเป็นสิ่งที่คนผลิตเองไม่ได้ ต้องซื้อจากห้างเท่านั้น เกษตรกรกลายเป็นผู้บริโภค ผู้บริโภคกลายเป็นผู้ขึ้นอยู่กับระบบ ห่วงโซ่อาหารที่เคยเป็นของชุมชนถูกตัดขาดด้วยท่อส่งจากห้องทดลองสู่จานอาหาร เราไม่ได้ซื้อเนื้อ แต่ “เช่าเทคโนโลยี” ที่ผลิตเนื้อมาให้เรากิน
และที่น่าสนใจคือ รัฐบาลในหลายประเทศกลับเป็นผู้ให้ทุนสนับสนุน เช่น โครงการของสหภาพยุโรปที่มอบเงินกว่า 2 ล้านยูโรให้ Dr. Post และ Mosa Meat รวมถึงโครงการของสิงคโปร์ที่ให้ใบอนุญาตจำหน่ายเนื้อเพาะเลี้ยงรายแรกของโลกในปี 2020 ราวกับว่า “เนื้อจากแล็บ” กำลังจะกลายเป็นนโยบายด้านความมั่นคงอาหารแห่งอนาคต
มันไม่ใช่เรื่องของการวิจัยอีกต่อไป แต่มันคือการปูทางอำนาจใหม่ ที่เปลี่ยน “อาหาร” ให้กลายเป็น “ซอฟต์แวร์ชีวภาพ” ที่จดทะเบียนครอบครองสิทธิ์แบบเดียวกับแอปในมือถือ
แล้วการใช้สื่อก็จะมาในรุปแบบที่ประชาชนโห่ร้องดีใจ เฉลิมฉลองการเกิดขึ้นของมันโดยไม่รู้สึกว่า เสรีภาพในการจัดการด้านอาหารสิ้นสุดลงแล้ว ในทางหนึ่ง มันอาจดูสวยงามไร้ที่ติ ช่วยลดการฆ่าสัตว์ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้โปรตีนสะอาดแก่คนจำนวนมาก
แต่อีกทางหนึ่ง มันคือการรวมศูนย์อำนาจด้านอาหารไว้ในมือบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่สามารถตั้งราคาตามใจ และควบคุมทุกขั้นตอนตั้งแต่ฟาร์ม (ในหลอดทดลอง) ถึงโต๊ะอาหารของเรา
เกษตรกรจะหมดบทบาท เพราะไม่มีใครต้องเลี้ยงสัตว์อีก ผู้บริโภคจะหมดทางเลือก เพราะสูตรทุกอย่างถูกจดสิทธิบัตร สุดท้าย คนธรรมดาอย่างเราอาจ “มีเงินก็ยังไม่มีสิทธิ์ทำอาหารกินเอง”
ไม่มีใครในหมู่บ้านจะต้มแกงจากวัตถุดิบแล็บเหล่านี้ได้โดยไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ ไม่มีใครปลูกหรือเพาะเนื้อได้เอง เพราะเขาถือสิทธิบัตร ไม่มีใครรู้ส่วนผสมที่แท้จริง เพราะมันคือ “ความลับทางการค้า”
หลายๆคนเริ่มคิดในใจว่า…นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป เพราะนี่อาจไม่ใช่แค่เนื้อจากห้องแล็บ แต่ มันคือจุดเริ่มต้นของอนาคตของอาหารที่ไม่เป็นของประชาชนอีกต่อไป มันคือการเริ่มต้นของยุคที่มนุษย์จะไม่สามารถ “เข้าครัวของตัวเอง” ได้อีกต่อไป
ไหนๆเราตามมาถึงตอนนี้แล้ว เข้าหมวดที่ 2 ของอาหารอนาคตแล้ว เฮียไม่ได้บอกว่าเทคโนโลยีไม่ดีนะครับ เราตัดสินเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่เรารู้เรื่องของมันได้
แต่โลกนี้เต็มไปด้วยคำว่า “ดีต่อโลก” ที่ซ่อนคำว่า “ดีต่อผู้ถือหุ้น” อยู่ข้างใน เราอาจจะกำลังก้าวสู่ยุคที่ “เนื้อไม่ได้ปลอดภัยขึ้น แต่ถูกควบคุมง่ายขึ้น” และประชาชนก็อาจกลายเป็นเพียง “ผู้ใช้บริการเนื้อ” ที่ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะรู้ว่าเนื้อในจานคืออะไรบ้างแน่
โลกอาหารในอนาคตไม่ได้ขึ้นกับว่าเราปลูกอะไร แต่ขึ้นกับว่า “ใครจดสิทธิบัตรก่อน” และเมื่อถึงวันนั้น เฮียแอบคิดว่า เราอาจไม่ได้เสียแค่ฟาร์มและครัว แต่เรากำลังเสีย “เสรีภาพในการกิน” ไปอย่างช้า ๆ ด้วยรอยยิ้มของนักลงทุนและเสียบปรบมือจาก "ใครบางคน"
ทุกวันนี้ใครนิยมไดเอทอะไร ภูมิใจในการดูแลสุขภาพยังไง ก็ทำไปเหอะครับ ขอเพียงว่า เส้นทางที่เดินอยู่นั้น สนับสนุนเกษตกร สนับสนุน local ให้แข็งแรง ทุกสังคมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี เราค่อยๆ verify สนับสนุนคนดีๆ แต่ไม่ใช่ไปเดียจฉันท์ลงโทษคนไม่ดี เราเสริมความรู้ให้เขา พยายามโอบอุ้มพวกเขา ถ้าชีวิตดีขึ้น การออมเห็นผลขึ้น อาจทำให้ชีวิตทุกคนดีขึ้น
#pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr