-
@ ZhongLi
2025-05-27 07:53:24ในยุคที่เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวเตอร์พัฒนาอย่างรวดเร็ว ผู้ถือ Bitcoin และคริปโตเคอร์เรนซีอื่น ๆ เริ่มเผชิญกับความกังวลใหม่: ความปลอดภัยของคีย์ส่วนตัว (private key) ที่ใช้ควบคุมสินทรัพย์ดิจิทัล ด้วยความสามารถของควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่อาจถอดรหัสอัลกอริทึมเข้ารหัสแบบดั้งเดิม เช่น ECDSA (Elliptic Curve Digital Signature Algorithm) ซึ่งเป็นรากฐานของความปลอดภัยใน Bitcoin ความกังวลนี้จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
บทความนี้จะสำรวจความท้าทายที่ผู้ถือคีย์ Bitcoin กำลังเผชิญ และแนวทางที่กำลังพัฒนาเพื่อรับมือภัยคุกคามจากควอนตัมคอมพิวเตอร์ ผ่านการนำ Post-Quantum Cryptography (PQC) มาใช้
ควอนตัมคอมพิวเตอร์: ภัยคุกคามต่อ ECDSA Bitcoin ใช้ ECDSA เพื่อสร้างลายเซ็นดิจิทัลในการยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม และปกป้องคีย์ส่วนตัวของผู้ใช้ อัลกอริทึมนี้พึ่งพาความยากของปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า Elliptic Curve Discrete Logarithm Problem ซึ่งคอมพิวเตอร์ทั่วไปไม่สามารถถอดรหัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม อัลกอริทึมของ Shor ซึ่งสามารถทำงานบนควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเพียงพอ สามารถถอดรหัส ECDSA ได้ในเวลาอันสั้น ทำให้คีย์ส่วนตัวและสินทรัพย์ของผู้ใช้ตกอยู่ในความเสี่ยง
ตามการคาดการณ์ของ National Institute of Standards and Technology (NIST) ควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีความสามารถถอดรหัส ECDSA อาจปรากฏภายในปี 2573 หรือเร็วกว่านั้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แม้ความเสี่ยงนี้จะยังไม่เกิดขึ้นทันที แต่ผู้ถือ Bitcoin ควรตระหนักถึงภัยคุกคามนี้ โดยเฉพาะผู้ที่เก็บ Bitcoin ไว้ในที่อยู่ที่เคยใช้งานและเปิดเผย public key แล้ว เช่น กระเป๋าเงินที่มีธุรกรรมก่อนหน้า ซึ่งทำให้ public key ปรากฏบนบล็อกเชนและอาจตกเป็นเป้าหมายการโจมตีได้ง่ายขึ้น
ความกังวลของผู้ถือคีย์ 1. ความเสี่ยงต่อคีย์ส่วนตัว: หากควอนตัมคอมพิวเตอร์สามารถถอดรหัส ECDSA ได้ ผู้โจมตีอาจใช้ public key ที่เปิดเผยบนบล็อกเชนในการคำนวณหาคีย์ส่วนตัว และขโมย Bitcoin จากกระเป๋าเงิน โดยเฉพาะที่อยู่แบบ Pay-to-Public-Key-Hash (P2PKH) ซึ่งจะเปิดเผย public key เมื่อมีการใช้จ่าย
-
ความล่าช้าในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี: การเปลี่ยนไปใช้ระบบเข้ารหัสที่ต้านทานควอนตัม เช่น อัลกอริทึมที่ NIST รับรอง (CRYSTALS-Dilithium, SPHINCS+, CRYSTALS-Kyber, FALCON) ต้องอาศัยเวลาและความร่วมมือจากชุมชน Bitcoin การอัปเกรดโปรโตคอล (hard fork) หรือการย้ายที่อยู่เดิมไปยังที่อยู่ที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น (Quantum-Resistant Address Migration Protocol – QRAMP) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและอาจใช้เวลาหลายปี
-
ความไม่แน่นอนในชุมชน: Bitcoin เป็นระบบกระจายอำนาจ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงใหญ่ต้องได้รับความเห็นชอบจากผู้มีส่วนร่วมจำนวนมาก การตัดสินใจเปลี่ยนไปใช้ PQC อาจเจอกับข้อถกเถียง เนื่องจากนักพัฒนาและผู้ใช้บางส่วนอาจไม่เห็นด้วยกับการปรับเปลี่ยนระบบที่ใช้งานมานาน
-
ขนาดของลายเซ็นและประสิทธิภาพ: อัลกอริทึม PQC ส่วนมากมีขนาดคีย์หรือลายเซ็นใหญ่กว่า ECDSA ซึ่งอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของเครือข่ายและต้นทุนการทำธุรกรรม
การตอบสนองของ Bitcoin ต่อภัยควอนตัม แม้จะมีความท้าทาย แต่ชุมชน Bitcoin และนักพัฒนากำลังดำเนินการเพื่อรับมือ ดังนี้:
การสำรวจอัลกอริทึม PQC: นักพัฒนาเริ่มศึกษาการนำอัลกอริทึมอย่าง CRYSTALS-Dilithium และ SPHINCS+ มาใช้ทดแทน ECDSA โดยทั้งสองออกแบบมาให้ทนต่อการโจมตีจากควอนตัมคอมพิวเตอร์ ส่วน CRYSTALS-Kyber เหมาะสำหรับการเข้ารหัสกุญแจ
Quantum-Resistant Address Migration Protocol (QRAMP): มีข้อเสนอให้ใช้โปรโตคอล QRAMP เพื่อย้ายที่อยู่เดิมไปยังที่อยู่ที่ใช้ PQC โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ public key ถูกเปิดเผยแล้ว
การปรับปรุงโปรโตคอล: การนำ PQC มาใช้ในระดับโปรโตคอลอาจต้องมี hard fork นักพัฒนากำลังพยายามหาวิธีที่เปลี่ยนแปลงน้อยที่สุด เช่น ออกแบบ address ใหม่ที่เข้ากันได้กับระบบเดิม
ตัวอย่างจากโครงการอื่น: Quantum Resistant Ledger (QRL) ใช้อัลกอริทึม XMSS ซึ่งเป็นลายเซ็นแบบ hash-based และสามารถต้านทานควอนตัมคอมพิวเตอร์ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม แนวทางนี้แสดงให้เห็นว่า Bitcoin สามารถเรียนรู้และประยุกต์ใช้ได้เช่นกัน
แนวทางสำหรับผู้ถือ Bitcoin หลีกเลี่ยงการเปิดเผย public key: ใช้ที่อยู่แบบ Pay-to-Script-Hash (P2SH) หรือ Taproot ที่ป้องกันการเปิดเผย public key จนกว่าจะมีการใช้จ่าย และควรย้ายเหรียญไปยังที่อยู่ใหม่หลังทำธุรกรรม
ติดตามความคืบหน้า PQC: ควรติดตามพัฒนาการของ PQC และข่าวสารเกี่ยวกับการอัปเกรดเครือข่าย เพื่อเตรียมความพร้อม
กระจายความเสี่ยง: อาจพิจารณาลงทุนในบล็อกเชนที่ออกแบบมาเพื่อรองรับภัยคุกคามจากควอนตัม เช่น QRL
ใช้กระเป๋าเงินแบบเย็น (Cold Wallet): เก็บคีย์ส่วนตัวแบบออฟไลน์เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกโจมตี
มองไปสู่อนาคต ภัยจากควอนตัมคอมพิวเตอร์ถือเป็นทั้งความท้าทายและโอกาสของวงการคริปโต การรับรองอัลกอริทึม PQC โดย NIST เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2567 และ HQC เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2568 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเข้ารหัสยุคใหม่
แม้การนำ PQC มาใช้ใน Bitcoin จะยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่ความพยายามของชุมชนแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการปกป้องสินทรัพย์ของผู้ใช้ในระยะยาว สำหรับผู้ถือ Bitcoin การเตรียมพร้อมและติดตามเทคโนโลยีอย่างใกล้ชิดจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าสินทรัพย์ของพวกเขาจะปลอดภัย แม้ในโลกยุคควอนตัมที่ใกล้เข้ามา
-