-
@ HereTong
2025-06-11 01:05:23วันนี้เราคุยเรื่อง ราคะในชามซีเรียล เมื่ออาหารเช้ากลายเป็นเครื่องมือควบคุมจิตวิญญาณ กันครับ
ย้อนกลับไปในปี 1863 ที่เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในรัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา มีโรงพยาบาลหนึ่งชื่อว่า Battle Creek Sanitarium ที่ไม่เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป เพราะมันไม่ใช่แค่ที่รักษาโรคทางกาย แต่เป็นสถาบันที่พยายามเยียวยาวิญญาณมนุษย์ด้วยอาหารและการใช้ชีวิตแบบละวางกิเลส ผู้ที่ดูแลที่นี่คือชายคนหนึ่งชื่อ John Harvey Kellogg หมอผู้เป็นสาวกเคร่งครัดของกลุ่ม Seventh-day Adventist ซึ่งเป็นกลุ่มคริสเตียนที่เชื่อว่าร่างกายคือพระวิหารของพระเจ้า และทุกอย่างที่เรากินเข้าไปต้องสะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายและใจ โดยเฉพาะเรื่อง “ราคะ” ที่เขาเห็นว่าเป็นบ่อเกิดแห่งบาป และเชื่อว่าอาหารที่เรากินส่งผลต่อแรงขับในตัวมนุษย์ บางแหล่งข้อมูลเล่าว่า Dr. Kellogg ถึงขั้นสนับสนุน “การตอนตัวเอง” เพื่อควบคุมกิเลส (ซึ่งเขาไม่ทำเอง แต่สนับสนุนให้บางคนทำ)
หมอเคลล็อกจึงไม่เพียงแต่รณรงค์ให้เลิกกินเนื้อสัตว์ แต่ยังมองว่าการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์ ต้องเริ่มจาก “อาหารเช้า” เพราะมันคือมื้อแรกของวัน มื้อที่จะกำหนดทิศทางร่างกายและจิตใจทั้งวัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “ซีเรียล” ที่เราเห็นทุกเช้าวันนี้ แต่ในยุคแรก มันไม่ได้หวานเลยด้วยซ้ำ มันคือเมล็ดข้าวโพดบด ต้ม แล้วอบแห้งให้กรอบ กินแล้วฝืดคอพอสมควร จุดประสงค์หลักไม่ใช่ให้ฟิน แต่ให้ “สงบ” …สงบทั้งลำไส้และจิตใจ
แต่พอซีเรียลสูตรนี้เริ่มแพร่หลาย มันกลับไปไม่รอดในตลาดคนธรรมดา เพราะมันไม่อร่อย! คนทั่วไปในยุคนั้นยังคุ้นเคยกับอาหารเช้าแบบจัดหนัก ไม่ว่าจะเป็นไข่ เบคอน เนื้อเค็ม แพนเค้ก หรือแม้กระทั่งสตูว์ร้อนๆ ซึ่งล้วนเป็นอาหารจริงจังเต็มพลังงาน เพราะคนยังทำงานใช้แรงทั้งวัน ซีเรียลที่ไม่มีรสชาติและกินแล้วไม่อยู่ท้องจึงขายไม่ออก จนกระทั่ง “น้องชาย” ของหมอเคลล็อกเข้ามาเปลี่ยนเกม
Will Keith Kellogg น้องชายของหมอเคลล็อก เป็นนักการตลาดที่ฉลาดและมองเห็นว่า ถ้าอยากให้คนกินซีเรียลจริงๆ ต้อง “ปรุงรสชาติ” ให้ถูกปากคน ไม่ใช่แค่ถูกหลักศีลธรรม เขาจึงเริ่มเติม “น้ำตาล” ลงไปในซีเรียล เพิ่มความกรุบกรอบ และจัดแพคเกจใหม่ให้ดูน่ากิน พร้อมยิงโฆษณาใส่ผู้บริโภคด้วยวาทกรรมใหม่ที่ว่า “อาหารเช้าคือมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน” และถ้าคุณอยากดูแลลูกให้แข็งแรง ก็ต้องเริ่มด้วยการให้เขากินซีเรียลกับนมทุกเช้า... ประโยคนี้คุ้นไหม? ใช่เลย มันคือจุดเริ่มต้นของหนึ่งในความเชื่อฝังหัวที่ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ วลี "Breakfast is the most important meal of the day" เป็นสโลแกนที่ Kellogg's และ Grape‑Nuts จาก General Foods ต่างใช้ในแคมเปญโฆษณาหลังยุค 1940s โดยอ้างอิงงานวิจัยที่บริษัทเองสนับสนุน เป็นจุดที่น่าสนใจว่า "หลักฐาน" ทางวิทยาศาสตร์บางทีก็ผลิตขึ้นมาเพื่อรองรับสินค้า
ในความเป็นจริง การกินอาหารเช้าแบบหนักท้อง อย่างไข่ดาว เบคอน หรือแม้แต่ข้าวกับแกงสมัยก่อนน่ะ เป็นเรื่องปกติของคนทุกชนชั้น เพราะมันช่วยให้อิ่มนานและให้พลังงานต่อเนื่อง แต่เมื่อคำว่า “สุขภาพดี” ถูกนำมาเชื่อมโยงกับความบางเบา ความเร็ว และความสะดวกจากกล่องซีเรียล มันก็เหมือนมีเวทมนตร์บางอย่างที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้คนไปโดยไม่รู้ตัว
ที่สำคัญ สูตรสำเร็จของเคลล็อกคือ “ทำให้อาหารเช้ากลายเป็นปัญหา” และนำเสนอซีเรียลเป็นทางออก แล้วบีบให้พ่อแม่ยุคใหม่เชื่อว่า ถ้าไม่ซื้อซีเรียลให้ลูกกิน ลูกจะขาดสารอาหารและเริ่มต้นวันได้ไม่ดีพอ ทั้งที่ความจริง ซีเรียลก็คือน้ำตาลอัดเม็ด ดีๆ นี่เอง แม้ไม่มีหลักฐานว่าเป็นความตั้งใจแต่ต้น แต่มันกลายเป็นผลลัพธ์ทางการตลาดที่ทรงพลัง
และแน่นอนว่ามันไม่หยุดแค่ซีเรียล เพราะเมื่อนมกลายเป็นของที่ต้องกินคู่กัน ความต้องการนมก็พุ่งขึ้นจนต้องขยายฟาร์มโคนมครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ (อันนี้จะขยายต่อใน ep อื่นนะครับ) เรียกได้ว่าซีเรียลกลายเป็นหมากตัวสำคัญของอุตสาหกรรมอาหาร ที่เริ่มจากความตั้งใจจะ “ลดราคะ” แต่จบลงด้วยการ “เพิ่มยอดขาย” ของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ครองชั้นวางซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วโลก และครอบงำอาหารเช้าของโลกนี้ไปมากกว่าครึ่ง
เมื่อมองย้อนไป เฮียว่ามันน่าทึ่งนะ ว่าสิ่งที่เริ่มต้นจากศรัทธาในการควบคุมจิตใจมนุษย์ กลับกลายมาเป็นกลยุทธ์ตลาดระดับโลกได้ และน่าเศร้าในเวลาเดียวกัน เพราะมันทำให้เราหลงลืมว่า แท้จริงแล้วอาหารเช้าคืออะไรกันแน่ มันควรเป็นมื้อที่เชื่อมเราเข้ากับธรรมชาติ หรือเป็นแค่สิ่งที่เราเทใส่ชามเพราะโฆษณาบอกให้ทำ? แถมต้องซื้อจากบริษัทที่ผลิตเท่านั้น
และนั่นแหละเฮียถึงอยากเล่าตอนนี้ เพราะบางครั้งการตั้งคำถามกับอาหารในจาน ก็คือการตั้งคำถามกับระบบที่เราถูกทำให้เชื่อว่า “ดีที่สุด” โดยไม่รู้ตัว...
#โต้งเอง #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr