-
@ HereTong
2025-06-06 01:15:24ปิดท้าย week นี้ด้วยสงครามดีไหมครับ ถ้าอาหารเป็นสนามรบ สิทธิบัตรก็เปรียบเหมือนป้อมปราการ และการฟ้องร้องก็คือปืนใหญ่ยิงสวนกันกลางแดด…ใครที่เคยคิดว่าโลกของอาหารแห่งอนาคตจะสวยงามเพราะเปลี่ยนถั่วเป็นสเต๊ก สกัดกลิ่นเลือดจากพืช หรือหลอกลิ้นให้เชื่อว่า “อร่อยเหมือนเนื้อ” ก็คงต้องมานั่งทบทวนใหม่ว่า โลกใบนี้ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยความฝัน แต่ขับเคลื่อนด้วยเอกสาร 70 หน้าของทนายความ และหมายเรียกจากศาลกลางรัฐเดลาแวร์
Motif FoodWorks เข้ามาในวงการอาหารด้วยวิสัยทัศน์สุดเท่ คือจะสร้างโครงสร้าง-กลิ่น-รส ของโปรตีนอนาคตให้แบรนด์ plant-based ทั่วโลกใช้ได้โดยไม่ต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ศูนย์ เปรียบเหมือนเป็นเบื้องหลังของวงการ มีซอสลับคือ HEMAMI™ ที่สกัดกลิ่นเนื้อจากยีสต์ ผ่านวิธีการทางวิทยาศาสตร์สุดซับซ้อน ฟังแล้วดูดี แต่ปัญหาคือซอสลับของเขาดัน “คล้ายเกินไป” กับของ Impossible Foods ที่ใช้ heme protein เหมือนกัน
แล้วอะไรคือจุดเปราะบางที่ทำให้ Motif ต้องร่วง?
เฮียอยากให้ลองคิดแบบนี้ครับ สมมุติว่ามีร้านกาแฟใหม่ที่ตั้งใจจะขายกาแฟแนวใหม่ ใช้เมล็ดกาแฟหมักยีสต์กลิ่นกล้วยหอม รสชาตินุ่มลึก เป็นของตัวเอง เขาไม่ได้ก็อปสูตรใคร แต่ดันไปใช้กระบวนการคล้ายกับแบรนด์เจ้าตลาดที่เขียนจดสิทธิบัตรเอาไว้ก่อนแล้ว แค่คล้ายก็พอจะโดนลากขึ้นศาลได้ เพราะในโลกของสิทธิบัตร “ความใหม่” และ “ความไม่เหมือน” คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แม้จะไม่ได้ก็อปตรง ๆ
Impossible Foods เห็นช่องนี้ชัด พวกเขายื่นฟ้องทันที โดยระบุว่า HEMAMI™ ของ Motif ละเมิดสิทธิบัตรเทคนิคการใช้ heme เพื่อสร้างรสชาติเหมือนเนื้อในผลิตภัณฑ์ plant-based ซึ่งเป็นหัวใจหลักที่ Impossible ใช้มัดใจตลาดมาหลายปี
ในเดือนมีนาคม 2022, Impossible Foods ก็ลุกขึ้นมาฟ้อง Motif FoodWorks ต่อศาลรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ โดยอ้างว่า HEMAMI™ ละเมิดสิทธิบัตรของตนที่เกี่ยวข้องกับการใช้โปรตีน heme ในการสร้างรสชาติและกลิ่นที่คล้ายเนื้อจริงในผลิตภัณฑ์จากพืช จุดนี้ดูผิวเผินเหมือนแค่ “บริษัท A เหมือนของบริษัท B เลยโดนฟ้อง” แต่ความจริงซับซ้อนและลึกกว่านั้นมาก เพราะทั้งสองบริษัทต่างก็ใช้วิธีผลิตโปรตีน heme ที่คล้ายกันมาก นั่นคือการดัดแปลงพันธุกรรมจุลินทรีย์ให้ผลิตโปรตีนเฉพาะ แล้วหมักออกมาในถังขนาดใหญ่ แต่ต่างกันที่วัตถุดิบและดีไซน์โปรตีน
Impossible Foods ใช้ “soy leghemoglobin” ซึ่งเป็นโปรตีน heme จากรากถั่วเหลือง ส่วน Motif ใช้ “bovine myoglobin” ซึ่งเลียนแบบของวัวจริง ๆ โดยตรง ความคล้ายคือโปรตีนทั้งสองต่างก็ให้กลิ่นคาวแบบเนื้อเมื่อโดนความร้อน และสร้างสีแดงแบบ rare steak ได้เหมือนกัน ทั้งยังถูกหมักด้วยจุลินทรีย์ GMO แบบใกล้เคียงกันอีกด้วย แม้จะต่างสายพันธุ์ของโปรตีน แต่การฟ้องครั้งนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดว่า “วิธีการใช้” โปรตีน heme ในอาหารจากพืชอาจเข้าข่ายละเมิดสิทธิบัตร
จากนั้นไม่กี่เดือน Motif ก็สวนกลับโดยการยื่นคำร้อง “Inter Partes Review” (IPR) กับสำนักงานสิทธิบัตรของสหรัฐฯ (USPTO) ผ่าน PTAB ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ใช้เพื่อขอให้ตรวจสอบความถูกต้องของสิทธิบัตรที่กำลังมีปัญหา แนวคิดคือถ้าพิสูจน์ได้ว่าสิทธิบัตรของ Impossible นั้นไม่ใหม่จริง หรือมี prior art อยู่ก่อนแล้ว (เช่น งานวิจัยเก่า ๆ ที่ตีพิมพ์ก่อน) ก็จะทำให้สิทธิบัตรนั้นกลายเป็นโมฆะ
Motif ยื่นคำร้องโจมตีสิทธิบัตรถึง 7 ฉบับของ Impossible แบบกระหน่ำชุดใหญ่ ยิงทีเดียวหวังให้สั่นคลอนทั้งระบบ แต่ PTAB รับพิจารณาเพียงฉบับเดียว (หมายเลขสิทธิบัตร 10,933,018) และท้ายที่สุดในเดือนเมษายน 2023 ศาลตัดสินยกเลิกฉบับนั้นจริง โดยให้เหตุผลว่า “ไม่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่อย่างเพียงพอ” ซึ่งถือเป็นชัยชนะเล็ก ๆ ของ Motif และสร้างแรงกระเพื่อมในแวดวงวิทยาศาสตร์อาหารอยู่พอสมควร
แต่แม้จะมีชัยบางส่วน อีก 6 ฉบับที่เหลือ PTAB กลับไม่รับพิจารณา โดยบอกว่า “หลักฐานไม่ชัดเจนพอจะเข้าขั้นพิจารณาใหม่” นั่นทำให้ฝั่ง Impossible ยังถือสิทธิบัตรส่วนใหญ่ไว้อยู่เหมือนเดิม แล้วก็เริ่มกลับมาเร่งกระบวนการฟ้องร้องในศาลต่อ ซึ่งหมายความว่า Motif ยิ่งต้องใช้เงินมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการสู้รบทั้งสองด้าน ทั้งในศาลและในระบบสิทธิบัตร
ชัยชนะเล็ก ๆ นี้กลายเป็นดาบสองคม เพราะในขณะที่ Motif ดีใจว่าล้มได้ 1 ฉบับ ตลาดกลับมองว่าพวกเขาสู้แบบดิ้นสุดตัว ซึ่งในมุมของนักลงทุน นั่นแปลว่า "ขาดเงินทุนหมุนเวียน" หรือ “มีแนวโน้มขาดทุนต่อเนื่อง” มากกว่าจะมองว่าเป็นฮีโร่สู้เพื่อความถูกต้อง
ระหว่างนี้ Motif ยังพยายาม “spin” ภาพลักษณ์ตัวเองในเชิงบวกอย่างหนัก พวกเขาเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ชื่อ “Motif MoBeef™” และ “Motif MoChicken™” โดยใช้ HEMAMI™ ผสมอยู่ พร้อมโชว์ผลงานให้เชฟชื่อดังระดับ Michelin มาชิมและออกสื่อ โดยหวังว่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดว่า “ผลิตภัณฑ์เรายังไปต่อได้” และอาจดึงดีลใหม่หรือการลงทุนเพิ่มเข้ามาเพื่อบรรเทาภาระจากการฟ้องร้อง
และในขณะที่ Motif เดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อแสดงพลังให้ตลาดเห็นว่า “เรายังไปต่อได้” ฝั่ง Impossible กลับเดินเกม PR อย่างเงียบ ๆ ด้วยการแจ้งเตือนสื่อและผู้ถือหุ้นว่า “Motif ยังใช้เทคโนโลยีละเมิดอยู่ต่อเนื่อง” พร้อมแนบเอกสารคำฟ้องเพิ่มในปี 2023 ซึ่งแปลความได้ว่า “ศึกยังไม่จบ อย่าเพิ่งส่งเงินให้คู่แข่งเรา” เพราะในเอกสารคำฟ้องของปี 2023 พวกเขาเสริมข้อกล่าวหาใหม่ว่าการที่ Motif ออกสื่อและใช้ HEMAMI™ ต่อไป “เป็นการจงใจละเมิด” และอาจเข้าข่ายการทำลายคุณค่าของแบรนด์ Impossible โดยตรง จุดนี้ยิ่งทำให้ Motif อยู่ในมุมที่เสี่ยงและลำบากมากขึ้น
การต่อสู้ของทั้งสองบริษัทจึงไม่ใช่แค่เรื่องใครเลียนแบบใคร แต่มันคือเกมยืดเวลา เผาเงิน ปั่นมูลค่า และวัดใจนักลงทุนว่าใครจะถอยก่อนกัน และสุดท้ายคนที่หมดลมหายใจก่อนก็คือ Motif แม้จะมีนักวิทยาศาสตร์เก่ง ๆ เทคโนโลยีล้ำ ๆ หรือวัตถุดิบดีแค่ไหน แต่เมื่อต้องมาสู้กับยักษ์ที่มีสิทธิบัตรในมือ บารมีในตลาด และชื่อเสียงติดหูผู้บริโภค…ก็ยากที่จะเอาชนะด้วยวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว
ศึกนี้จึงไม่ได้จบแค่ในศาล แต่มันลากไปถึงห้องประชุมนักลงทุน พาดหัวข่าวใน Business Insider และบอร์ด Reddit ที่คุยกันว่า “Motif จะไปไม่รอดหรือเปล่า” ซึ่งในยุคที่เงินทุนคือออกซิเจน การที่ภาพลักษณ์ของบริษัทเริ่มสั่นคลอน ก็เหมือนถังอากาศรั่วในห้องแล็บใต้ทะเล…ไม่นานนัก Motif ก็เริ่มลดจำนวนพนักงาน ลดเป้าการผลิต และสุดท้าย “ลดบทบาทตัวเองในตลาด”
หากดูเผิน ๆ หลายคนอาจคิดว่านี่คือเรื่องของสองบริษัทใหญ่ในโลก plant-based ที่ทะเลาะกันเอง แต่จริง ๆ แล้วนี่คือบทเรียนใหญ่ของ “วงการอาหารแห่งอนาคต” ที่กำลังเติบโตบนหลังคำว่า IP Intellectual Property ใครถือสิทธิบัตรก่อน คนนั้นตั้งกฎได้ ใครมาใหม่ ถ้าไม่จดให้ไว ก็อาจต้องจ่ายค่าต๋งตลอดชีวิต
และที่เจ็บปวดที่สุดคือบางทีของที่คุณคิดขึ้นมาเอง อาจไม่ใช่ของคุณอีกต่อไปแล้ว ถ้าคุณไม่มีเอกสารในมือ
นี่แหละครับ วงการที่ดูเหมือนจะขาย “นวัตกรรมอาหาร” แต่จริง ๆ แล้วขาย “สิทธิบัตรในกล่องข้าว” ใครจะอยู่ใครจะไป บางทีก็ไม่เกี่ยวกับว่า “ของอร่อยแค่ไหน” แต่เกี่ยวกับว่า “ใครมีทนายเก่งกว่า”
และในขณะที่สองยักษ์ใหญ่ยิงกันด้วยเอกสารละเมิดสิทธิ์ เหยื่อเงียบ ๆ อย่างเกษตรกรรายย่อยที่ยังอยากปลูกผักจริง เลี้ยงวัวจริง หรือแม้แต่ผู้บริโภคที่แค่อยากรู้ว่า “กินอะไรแล้วร่างกายจะดีขึ้น” กลับวนเวียนในทางอยู่ในโลกที่อาหารทุกคำถูกควบคุมโดยทุน จดหมายเรียกจากศาล และวัตถุดิบสังเคราะห์ที่มีรหัสมากกว่าชื่อจริง
สงครามสิทธิบัตรเหล่านี้ไม่เคยมีพื้นที่ให้ชาวไร่ หรือผู้บริโภคธรรมดาเข้าไปมีเสียงเลยสักนิด เพราะมันคือการต่อสู้ระหว่างนักล่าที่ฟาดฟันกันบนยอดห่วงโซ่อาหาร แต่เบื้องล่างของพีระมิด กลับมีแต่เหยื่อที่ถูกเลี้ยงให้งุนงง อยู่กับของปลอม และเชื่อว่า “นี่แหละคืออนาคตของอาหาร”
แล้วใครจะบอกเราว่า...ทางรอดคืออะไร?
คำตอบอาจอยู่ไม่ไกล แค่เราต้องกลับมาถามคำถามง่าย ๆ ที่ใครก็ลืมไปว่า “จริง ๆ แล้ว เราต้องการอาหารแบบไหนกันแน่” อาหารที่กินแล้วแข็งแรง หรืออาหารที่บริษัทแข็งแรง?
เพราะตราบใดที่เรายังปล่อยให้กล่องข้าวอยู่ในมือคนจดสิทธิบัตร เราอาจไม่มีวันได้กลับไปจับจอบเอง ปลูกเอง กินเอง แบบที่มนุษย์เคยเป็นมาก่อนโลกจะกลายเป็นห้องทดลองขนาดยักษ์
ศึกระหว่างผู้ล่ายังรุนแรงขนาดนี้ แล้วศึกระหว่างผู้ล่ากับเหยื่อ จะเหลืออะไรครับ
#pirateketo #กูต้องรู้มั๊ย #ม้วนหางสิลูก #siamstr