@ 48eaff4c:a99affaf

Bacon ipsum dolor amet capicola ball tip swine fatback pork chop. Chislic short ribs beef ribs jerky. Ham hock chislic turducken capicola beef ribs, sausage meatloaf shank tail frankfurter biltong. Tongue bresaola hamburger, venison beef ribs ball tip porchetta pancetta. Ground round shank swine, picanha pastrami prosciutto ball tip beef leberkas salami cupim t-bone kevin. Tenderloin sausage frankfurter kevin filet mignon ham hock picanha pastrami cow. Kielbasa doner pork belly pancetta rump t-bone, leberkas tenderloin sausage pork jerky picanha beef ribs biltong drumstick. Buffalo bacon frankfurter ribeye chicken ground round tri-tip pig ball tip ham boudin shoulder turkey short loin cupim. Drumstick boudin doner kevin tenderloin jerky, rump pork loin turducken brisket shank andouille. Ham turkey meatloaf beef ribs ham hock, flank prosciutto salami. Flank short loin burgdoggen pork belly ham hock. Ham rump tenderloin burgdoggen, hamburger ham hock pork loin andouille leberkas ball tip chicken. Rump ground round sausage venison, t-bone brisket landjaeger. Jerky pork chop pork loin strip steak short loin pancetta cupim kielbasa meatloaf. Bacon ribeye shank salami shoulder tail. Turducken cow porchetta fatback t-bone, swine bacon tri-tip pig hamburger pork andouille. Venison tongue bacon tri-tip. Pancetta chicken pork chop, capicola ground round fatback venison ham hock landjaeger. Pig prosciutto boudin, buffalo fatback swine shank. Beef pig meatball sausage strip steak ham hamburger chislic turkey corned beef jerky ribeye rump pork belly fatback. Frankfurter hamburger alcatra strip steak swine. Doner filet mignon bresaola burgdoggen bacon shank fatback ball tip short ribs pig venison leberkas. Jerky turkey chicken jowl venison pig. Cupim andouille ground round, kevin chislic pig doner meatloaf leberkas shank brisket tongue pork chop flank. Meatloaf beef ribs venison chicken, corned beef meatball shankle.

@ d830ee7b:4e61cd62

แม้จะโดนปาดหน้าไปอย่างอุกอาจตั้งแต่เช้าโดย nostr:npub1e963pmyq9q6873njkzxu279l8rh3mymxj9y5lq3x3hkeyj5s2pkqut3z4f แต่กระผมจะไม่ท้อ ผมมีมุมที่อยากจะเล่าในวันครบรอบ 1 ปีก่อตั้ง Right Shift ซึ่งเมื่อพูดถึงวันครบรอบแล้วล่ะก็.. ตัวอย่างง่ายๆ เราก็มักฉลองให้กับวันครบรอบแต่งงาน แต่คนแบบผมจะมีวันพิเศษอีกวันคู่กันไปในใจเสมอ.. มันคือวันแรกที่เราได้คุยกัน ผมน่าจะเป็นมือที่ 4 ที่แทรกเข้ามาในความสัมพันธ์ยุคแรกเริ่ม nostr:npub1xzh2kqynr29x6j3ln6x05f26ha0c0ucfr280uzljftlgcthv9r6skqe7dt อาศัยความจุ้นจ้านมุดเข้าไปก่อนผมมาพักนึงแล้ว กลุ่มพูดคุยเกิดขึ้นนับจาก 9 พฤษภาคม 2022 ผมเข้าใจว่า nostr:npub1prya33fnqerq0fljwjtp77ehtu7jlsjt5ydhwveuwmqdsdm6k8esk42xcv ไม่ได้มีเวลามากพอจะจัดการเรื่องหลังบ้านเหล่านี้ นี่คงเป็นโอกาสดีที่สุดที่จะได้ป้ายยาส้มเมียตัวเอง ก็คือโยนลงน้ำให้ไปหาทางว่ายเอาเอง https://i.nostr.build/9qBG.png พวกเขาคุยกันมาระยะหนึ่งน่าจะเป็นเรื่องการผลิตเสื้อ ส่วนตัวผมถูกจับไปดีลอีกงานในอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นงานดิจิตัลอาร์ทที่ค้างคามาเป็นปี และแน่นอนว่า Jakk ไม่ชอบเห็นอะไรค้างคา.. สุดท้ายผมจึงถูกจับมามัดรวมกับแก๊งค์ Founder ในวันที่ 8 มิถุนายน 2022 และนั่นคือวันแรกที่ปีศาจได้รับอิสรภาพ https://i.nostr.build/72Qn.png ความบ้าพลังของผมผสมกับความเจ๊าะแจ๊ะของสมนึก ทำให้เกิดโคตร Long-form ขึ้นใน FB Messenger มันมากเกินกว่าคุณจะใช้เวลาว่างๆ ในแต่ละวันมาตามเก็บให้หมดได้ ในเวลานั้น อ.ตั๊ม ก็คงชักจะอ่านไม่ไหวแล้ว สุดท้ายจึงต้องเบิกตัวภรรยา nostr:npub1e963pmyq9q6873njkzxu279l8rh3mymxj9y5lq3x3hkeyj5s2pkqut3z4f เพื่อมารับมือกับไอ้บ้าสองคนนี้ ถ้าลองย้อนกลับไปสักเกือบ 2 ปีที่แล้ว ในตลาดบ้านเราแทบไม่มีใครรู้จักแม่โบมาก่อนเลย คุณไม่มีทางเดาได้หรอกว่า ผู้หญิงที่เป็นคู่ชีวิตของปิรันย่าจะมีหน้าตาและลักษณะนิสัยแบบไหน.. และถ้าย้อนไปสัก 5-7 ปีก่อน ผมเองก็มีประสบการณ์โปรเจคพังยับแบบงี่เง่ามามากกว่า 2-3 ครั้งเพราะ "**เมียเจ้าของ**" มาเกือบทุกรอบ จะมีสักกี่คนที่ยอมรับสไตล์ของผมได้ โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นเมียของคนสำคัญอีกด้วย ผมเหมือนเป็นภัยคุกคามที่ยังมีลมหายใจต่อสามีของใครก็ตามที่หวังจะกลายเป็นผู้เกรียงไกร ซึ่งผมบอกตรงๆ ว่าทั้งหมดคือคิดกันไปเองทั้งนั้น ก่อนหน้า Covid-19 ผมเคยเปิดใจกับเฮียคนหนึ่ง เกี่ยวกับประเด็นนี้… *“ผมผิดตรงไหนที่ตั้งใจทำงานให้พี่.. ทำไมเมียพี่ถึงดูเกลียดผมจังเลยวะ”* ผมเป็นคนที่ไม่ชอบอ้อมค้อมหากมีประเด็นต้องเคลียร์ใจ ผมซัดแสกหน้าตรงๆ แบบนั้นเลย ผมไม่ชอบให้ใครมาเสแสร้งหรือแต่งคำพูดเอาอกเอาใจ ผมต้องการความจริงเท่านั้น และผมดูออกเสมอหากเขาคิดจะโกหก.. *“มึงอย่าไปคิดมากสิวะ.. ผูหญิงมันก็เป็นแบบนี้แหละ.. พี่ยังบอกมันอยู่เลยว่าถ้าพี่ไม่เอามึงมาทำงานด้วยวันนี้ วันหนึ่งข้างหน้ามึงก็หาทางไปเองได้อยู่ดี และมึงอาจจะโตกว่าการอยู่กับกูด้วย มึงเป็นคนแบบนั้น.. มันไม่ใช่บุญคุณ กูแค่อยากได้คนแบบมึงมาช่วย”* ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้คำตอบที่อยากได้ นอกจากคำปลอบประโลมปลอมๆ และอาการบ่ายเบี่ยงอย่างเห็นได้ชัด แต่ในใจผมมันมีคำตอบที่ชัดเจนแล้วกับอนาคตของตัวผมเอง ซึ่งมันไม่ใช่ที่นั่นแน่นอน.. สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมเหมือนมีผีตามหลอกหลอน ผมรู้สึกแย่ทุกครั้งที่ “**เฮีย**” มักจะพาคนสนิทอย่าง “**เมียตัวเอง**” มาร่วมงานกับผม.. เพราะผมมันคนแปลก ผมลูกทุ่ง ผมไม่ได้จบ MBA ห่าเหวอะไรนั่น มันยากที่ใครจะเข้าใจวิธีคิดในแบบผม (ซึ่งผมมารู้เอาทีหลังว่าผมได้สมาทานแนวคิดออสเตรียนมาเต็มประตูแบบระลึกรู้เอาเอง nostr:npub16hpaqcm8zhc6n4d79tu2mtsf9464093r4v3r7l5hq5tpsng3txesw3tu5f มันว่ามาแบบนั้น..) มันจะมีลูกเกรงใจ.. มีเรื่องของความสัมพันธ์ การให้เกียรติ และความกดดันบางอย่างที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูกเมื่อต้องทำงานกับ “**เมียเฮีย**” เอาเป็นว่าผมไม่ชอบเลยก็แล้วกัน.. แต่ในที่สุดผมก็ต้องมาเจออะไรแบบนี้อีกครั้ง และไวกว่าที่ผมคิดเอาไว้ด้วย.. แต่ท้ายที่สุด.. ผมก็เลือกจะปล่อยวางทิฐิของตัวเอง ผมเลือกที่จะไม่เอาอคติเหล่านั้นมาบดบังเรื่องอื่นๆ เพราะผมรู้สึกว่าการปล่อยให้ปัญหาหรือความชอบส่วนตัวมาขัดขวางทางเดินคงเป็นอะไรที่ไม่ฉลาดนัก ผมพยายามเข้าใจให้ได้ว่ามันอาจไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบเดียวกัน ผมไม่ควรทึกทัก "**เหมารวม**" ไปเสียหมด ก็ในเมื่อมันต้องเป็นแบบนี้ ทำไมเราไม่ลองทำให้มันออกมาในทางที่ดีดูสักตั้ง.. *“สวัสดีครับแม่...”* นั่นคือสรรพนามแรกๆ ที่ผมเลือกใช้แทนตัวเขา ผมเลือกจะแสดงออกก่อนถึงระดับความสัมพันธ์และการให้เกียรติที่ผมมอบให้กับเขา พวกเราเชื่อหรือไม่ว่าคำๆ เดียวมันทำลายกำแพงทุกอย่างลงในทันที.. ไม่ใช่แค่กับผม มันหมายถึงกับ อ.ตั๊ม และ อ.โบ ในเวลาเดียวกัน ผมเลือกจะเรียกเค้าว่า “**แม่**” จนชินปาก มันทำให้ อ.ตั๊ม ไม่ต้องมากังวลกับความสัมพันธ์ของผมกับเมียตัวเอง มันอาจทำให้ อ.โบ รู้สึกว่าผมเป็นมิตรมากขึ้น ไม่ต้องมามีเชิงอะไรต่อกัน และเธอไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน.. *“พวกเราอายุไม่ต่างกันมาก เราก็เหมือนเพื่อนๆ กันนั่นแหละ”* คุณจะรู้สึกเป็นเกียรติขนาดไหนที่คนระดับที่เรายกให้เป็นไอดอลมาพูดแบบนี้กับเรา ผมเองก็ผ่อนคลายและรู้สึกได้รับการปลดปล่อยเป็นอย่างมากนับจากนั้น ซึ่งผมเดาว่า อ. ทั้งคู่คงรู้สึกว่าตัวเองผิดพลาด ไม่น่าไปพูดแบบนั้นกับมันเลย.. จากเดิมที่คาดหมายว่าผมจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระในด้านต่าง ๆ ให้กับ อ.ตั๊ม สุดท้ายแล้ว.. ผมทำให้ อ. วุ่นวายไปยิ่งกว่าเดิม ฮ่าๆๆ คิดได้ตอนนี้มันก็สายไปแล้วล่ะ.. https://i.nostr.build/nm8g.jpg ## The Silent Sacrifices Behind Grand Achievements ผมไม่อยากฉายซ้ำในเรื่องที่ nostr:npub15l5mxmljftnnqur8gf2nkjj2yuemqy2kuly7yc29lx7x598svx5s447rgk เคยพูดไปแล้ว ตัว อ.โบ เองก็พึ่งโน๊ตเพื่อฉายเบื้องหลังเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่มีกองกลางหรือกองหลังที่ดีพอ กองหน้า อย่างผม กับ อ.ตั๊ม ก็ทำประตูกันไม่ได้ อะไรก็ตามที่เป็นงานเอกสาร รายละเอียดหลังบ้านปลีกย่อย งานง่วน ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครอยากทำ เราก็ได้ อ.โบ นี่แหละที่เข้ามาช่วยกันประสานงานกับสมนึก ผนึกกำลังทำให้มันลุล่วงไปได้ ผมเดินไปข้างหน้าได้โดยไม่ต้องเหลียวหลัง ต่อให้ผมจะเป็นกวางน้อย ผมเองก็ไม่ต้องมาคอยพะวง ผมสามารถทะยานไปข้างหน้าได้อย่างสบายใจ > **มันต้องมีใครสักคนที่ทำงานหนักอยู่เบื้องหลัง มีเด็กยกเปียโนให้กับโมซาร์ท การแสดงโชว์ที่ยิ่งใหญ่จึงจะเกิดขึ้นได้** เรื่อง “**การเสียสละ**” นี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับ Founder มีครั้งหนึ่งที่ภายในทีมของเราตกอยู่ในภวังค์แห่งความรู้สึกแบบนี้เช่นกัน มันเป็นช่วงกลาง ๆ ของการเติบโตเฟสแรก ที่เรามีหัวหอกบางคนในทีมกลายเป็นที่รู้จักในคอมมูนิตี้มากกว่าคนอื่นๆ ที่คอยทำงานซัพพอร์ตให้อยู่เบื้องหลัง.. พวกเขาอาจกำลังน้อยเนื้อต่ำใจที่ก็ทำงานหนัก แต่กลับไม่มีใครรับรู้ พวกเขาอาจรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมที่ต้องถูกผมมอบหมายให้ไปทำงานที่ต้องคอยหลบอยู่หลังเสา ในขณะที่บางคนถูกผมเลือกให้อยู่หน้าฉาก.. สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติทางจิตวิทยาที่มันอาจเกิดขึ้นได้ แม้ว่าใครจะปากหนักสักแค่ไหนก็ตาม.. วิธีที่ผมจะเยียวยาความรู้สึกนี้ มันไม่มีอะไรดีไปกว่า ไปลองเป็นพวกเขาด้วยตัวเอง.. ผมแสดงให้เห็นชัดเจนว่า.. ผมเองก็หัวอกเดียวกัน ผมจะอยู่ซัพพอร์ตทุก ๆ คนในเบื้องหลัง และปฏิเสธทุกแสงสปอร์ตไลท์ที่จะถูกสาดส่องเข้ามา ผมมองไปที่ผลการแข่งขันมากกว่าคะแนนส่วนตัว นั่นคือเหตุผลที่แทบไม่มีใครเคยรู้จักกับ Jakk Goodday มาก่อนเลย จนกระทั่งการเกิดขึ้นของ Nostr เพราะเชื่อว่าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม.. ทุกคนจะได้เจอทาง เจอโอกาส เจอช่วงเวลาที่จะได้แสดงคุณค่าของตัวเอง คุณต้องไม่รีบร้อน คุณต้องอดทนทำงานหนัก รอวันเวลาของตัวคุณเอง... > **Just lower your time preference** *“เพราะในทีมของเรามีคนที่ยอมทำงานหนัก เรามีคนที่เสียสละทำในสิ่งที่ไม่มีใครเห็น เรามีคนที่ยอมทำในสิ่งที่ไม่มีใครให้ค่า เรามีคนที่ยอมทำงาน “ธรรมดา ๆ” เพื่อเปิดโอกาสให้คนที่เหลือได้ไปทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า”* เพราะเรามีคนแบบนี้ เราจึงสามารถสร้างคนที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ *“ใครก็ตามที่มีคนรู้จักหรือมีชื่อเสียง จงขอบคุณเพื่อนของคุณที่เสียสละทำบางอย่างเพื่อให้คุณได้รับผลตอบแทนในวันนี้”* ผมจำประโยคเป๊ะ ๆ ไม่ได้ แต่นั่นคือหนึ่งในข้อความแชทน่ารำคาญ ซึ่งผมได้พิมพ์ให้ทุกคนได้อ่านในกลุ่ม Discord ของทีมเรา ผมอยากให้น้อง ๆ ทุกคนรู้ว่า พวกเขาสำคัญสำหรับผมในระดับที่เท่าเทียมกัน ไม่มีใครเป็นที่รักของผมมากไปกว่าใคร ขาดคนใดคนหนึ่งไป เครื่องยนต์ของเราคงไม่พาให้เรามาถึงตรงนี้… หากคุณอยากให้คนรับรู้ถึงคุณค่าในตัวคุณ มันควรเริ่มจากตัวคุณเองก่อนที่เห็นในคุณค่าของตัวคุณเอง คุณอาจกำลังทำเรื่องยิ่งใหญ่โดยไม่มีใครรู้อยู่เลยก็ได้ สิ่งนั้นไม่ใช่เหรอที่สำคัญกับเราจริงๆ.. … ณ ขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้อยู่ ผมคงกำลังเตรียมตัวหรืออาจกำลังเดินทางไปสู่งานมีตอัพครั้งแรกในแบบ Local ของเราที่นครราชสีมา.. งานเล็ก ๆ ที่กำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต เฉกเช่นเหตุการณ์ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2022 การจดทะเบียนจัดตั้งของกลุ่มคนเล็ก ๆ ที่ได้กลายมาเป็นจุดเริ่มต้นอันยิ่งใหญ่ของคอมมูนิตี้บิตคอยน์ไทยในเวลาต่อมา.. … ## End credits ภาพฉากต่าง ๆ ในวันนั้น สลับตัดไปตัดมาในความทรงจำของผมแบบเมา ๆ มันมีฉากหนึ่งที่ผมนั่งคุยกับพี่ชิตอย่างออกรสออกชาติ ผมจำคำว่า “Make saving great again” ได้อย่างขึ้นใจก็วันนั้นเอง ภาพต่อมาคือพี่ชิตพาพวกผมขึ้นไปเยี่ยมชม Bitcoin ATM เครื่องแรกๆ ของเมืองไทย เสียงเพลงรุกเร้าในจังหวะน่าส่ายสะโพก ผมแหกปากแทบฟังไม่ได้ศัพท์ ผมกับพี่ชิตกอดคอกันเต้นราวกับเพื่อนร่วมรุ่น มีแสงไฟหลากสีสาดไปมากระทบสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ภาพถัดมาผมเห็นตัวเองค่อย ๆ พยุงตัวเพื่อเดินให้ตรงทางเดินตรอกเล็ก ๆ บนเกราะเกร็ด มีน้องนิ่มหรือใครสักคนที่คอยพยุงผมอยู่ไม่ให้เผลอหล่นตกลงไปในเจ้าพระยา.. “พี่ตั้มเดินเลื้อยเป็นงูเลยค่ะ..” น้องนิ่มมาเล่าให้ฟังหลังจากนั้น ภาพต่อไป เป็นภาพพี่เป็ด nostr:npub1ysvk3na2kzmfy3yw9mj2947srkqpm7w3m4nmhey2sdet9xg9480qjn54x4 ที่แสดงสีหน้าห่วงใยผมสุดฤทธิ์ พี่เป็ดต้องไปส่งผมที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางกลับบุรีรัมย์ให้ทันรอบ 4 ทุ่มกว่า ๆ เป็นบัตร รฟ. นอนที่ผมจองล่วงหน้าเอาไว้ ผมวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว.. ผมจะเมาให้เต็มคราบเมื่อได้เจอพี่ชายสุดที่รัก (พี่ชิต) และหลับยาวๆ บนที่นอนนุ่มๆ ของ รฟ. ไปตื่นตอนสว่างที่บ้านพอดี ผมร่ำลาพี่เป็ดที่หน้าสถานีรถไฟเรียบร้อย รีบวิ่งไปหาที่นั่งบริเวณชานชะลา.. อนิจจา.. ถ้าผมไม่เอาแอลกอฮอล์ออกจากท้องให้หมดก่อน ผมคงขึ้นรถไฟไม่ไหวแน่.. ตรงนั้นมันมีพุ่มไม้เล็กๆ ที่แสงไฟสาดไปไม่ถึง ไม่มีที่ไหนเหมาะจะอ้วกเท่ากับที่นี่อีกแล้ว.. ***“แก๊ง ๆ แก๊ง ๆ“*** *“ขบวนรถไฟดีเซลรางธรรมดา ขบวนที่ xxx จะจอดเทียบชานชะลาที่ 2 ในเวลาตี 1..”* ผมจำไม่ได้ว่าเวลาเท่าไหร่แน่.. ที่แน่ๆ คือผมตกรถไฟขบวนที่จองไว้ไปเรียบร้อยแล้ว มันเกิดอะไรขึ้น ผมฟื้นขึ้นมาอย่างงง ๆ และจำอะไรแทบไม่ได้ ทำไมผมมานอนกองอยู่กับพื้นแบบนี้? ตรงนั้นมีรอยอ้วกของใครสักคน.. พุ่มไม้ในที่มืด ๆ สถานีรถไฟในเวลาเลยเที่ยงคืน.. *“ชิบหาย.. กูตกรถ!!”* … *“ไก่ย่าง ๆ ๆ ส้มตำ ไส้กรอก ร้อนๆ ก็มีจ้า..”* *“น้ำเย็น ครับน้ำเย็น โค้ก เป๊บซี่ สไปรซ์ น้ำมะนาวเย็น ๆ มาแล้วจ้า..”* *“มะม่วง จ้า มะม่วง มะม่วงเปรี้ยวๆ หวานๆ มันๆ น้ำจิ้มรสเด็ด…”* สารพัดเสียงเห่กล่อมจากพ่อค้าแม่ขายที่เวียนกันมาไม่ซ้ำหน้าตลอดเส้นทางบนรถไฟสายข่มขื่นที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ความจริงแล้วมีผู้โดยสารเต็มขบวน แต่ผมเป็นคนเดียวในโบกี้นั้นที่ได้นอนคุดคู้อยู่คนเดียว ไม่มีใครกล้ามานั่งข้างผม ผมหนาวมาก ๆ ผมไม่มีผ้าห่ม ลมโกรกพัดตลอดเส้นทาง เบาะนั่งก็แข็งเอนหลังไม่ได้ และเสียงอื้ออึ้งรอบทิศ ที่หนาวที่สุดคือสิบกว่าสายที่โทรเข้ามายิก ๆ ซึ่งผมไม่กล้ารับสายเลยแม้แต่น้อย.. หลังจากวันนี้ ถ้าผมรู้ว่าใครเอาเรื่องนี้ไปบอกกับเมียผม ผมจะเลิกคบและบล็อกคุณอย่างถาวร และแจ้งความคุณในข้อหาสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวผม ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือ สำคัญขนาดไหนก็ตาม.. ไม่เชื่อก็ลองดู --- nostr:naddr1qq4xc6tnw3ez6c35x5mrse3kxuknzctrvgkngdekvykkyd3jv5kkxepnx3jrzepcxuenqespp4mhxue69uhkummn9ekx7mqzyrvrpmnm0sc2xe93y39h0xhmknc4vuellwxgwg6ssm3xkz6wv8xkyqcyqqq82vqg5wtcr --- nostr:note1akwj8gdqdac98fx74mdexrf5ta4nlwxypz55m08xttk47yskagdqqcv4zl

@ d830ee7b:4e61cd62

"Six months from now, we'll have our own YouTube channel…" This sentence left me stunned for a moment. It was December 18, 2025, and we were at B.O.B Spaces, the first place where the pioneering members of Right Shift had gathered in person. Two couples (nostr:npub1prya33fnqerq0fljwjtp77ehtu7jlsjt5ydhwveuwmqdsdm6k8esk42xcv & nostr:npub1e963pmyq9q6873njkzxu279l8rh3mymxj9y5lq3x3hkeyj5s2pkqut3z4f) at the table seemed confident that this dream would become a reality. As I looked around, I couldn't help but notice the diverse emotions filling the room. Arm (nostr:npub1qd6zcgzukmydscp3eyauf2dn6xzgfsevsetrls8zrzgs5t0e4fws7re0mj) was still lost in his thoughts, Nim (nostr:npub1eahsj3ngx39s3dvk78frad0dwsw09q8nqprudy8vld4sjqd8uafsu362ah) was searching for courage, Dr. New (nostr:npub1wzlj8qxwzwfls9fez23ne90rjey6kxkaqz7nltfajqx5kmp7w2tqfkkad0) was motivated but directionless, and Sharky (Munich nostr:npub1vm0kq43djwdd4psjgdjgn9z6fm836c35dv7eg7x74z3n3ueq83jqhkxp8e) struggled to even say "yes." ITSsra (nostr:npub1z7k4pffj7250eaydd3ya0v07mmzecylcq9cw5af68zu39q0k4u3qj6xre4) was just a kid with unknown potential, Khing (nostr:npub1a8wreeghu0j8g4zqgzex53sq38gjwjdp5czxnu3rfydnz8n8yu2spqkavy) seemed the most promising but had yet to take the first step, and JingJo (nostr:npub15l5mxmljftnnqur8gf2nkjj2yuemqy2kuly7yc29lx7x598svx5s447rgk) wanted to stick to writing articles for now. None of us had any experience in doing something like this before. A soft-spoken man (nostr:npub1prya33fnqerq0fljwjtp77ehtu7jlsjt5ydhwveuwmqdsdm6k8esk42xcv) looked into my eyes as if to say, "Well?" I met his gaze and thought, "Alright, let's do this," while contemplating deeply. Back then, Right Shift was just a name that Mr. Piriya had recently announced to the public. We were entering a market filled with Bitcoin giants, seasoned experts, and countless influencers. How could we possibly stand out? But I had something that no one else had, and from that point on, no one else could ever have: the privilege of being the first to do it. A voice in my head told me to overlook the initial hurdles and to go back to square one. > **If a newcomer were to enter the market today, interested in learning about Bitcoin, do we have the right resources for them?** Apart from Mr. Piriya, how many people are seriously producing Bitcoin content? The younger members must be excited to try something new. For some, it might even be a dream come true. They have no idea what challenges lie ahead, and I had been pondering this for quite some time. For me, it wasn't just about starting; it was about sustainability, personal development, emotional intelligence, scalability, and the value we could pass on to our audience. It was more than just the minor details that others might see.  ## Starting is never easy Even though we set a six-month timeline to figure out how to launch our new Bitcoin YouTube channel, the timeframe seemed a bit loose to me. We stretched it out just to relieve the team's pressure. They needed ample time to grow. We never specified who should do what; we opened opportunities for them to brainstorm and design what they wanted to do. The most important thing is to make sure you enjoy it and are happy with it. I'm not a YouTuber, not a celebrity, and I've never seriously worked behind the scenes on this. I'm just someone who has studied and understood various topics. I've watched a lot, seen a lot, and analyzed every detail I've encountered. I can distinguish what's good and what needs further improvement. I'm at a point where I can offer valuable advice to them. They may lack confidence initially, and that's to be expected... ### The Challenges We Face: A Closer Look 🧐 We're all scattered across different locations, so forget about professional studios or shooting sets. We're just ordinary folks who happen to love Bitcoin and Mr. Piriya. This doesn't exactly make us experts in video production. We've never had to be in front of a camera before. Yes, this is a first-time experience for many of us. We don't have fancy equipment like the pros. We make do with whatever is within reach or affordable. We don't have a professional video editor on board. So, the editing baton was passed to me. Yes, I took on the editing duties initially until we were fortunate enough to bring in Soup (nostr:npub16hpaqcm8zhc6n4d79tu2mtsf9464093r4v3r7l5hq5tpsng3txesw3tu5f) later on. We all know that company funds and personal finances are two different ball games. It's not about whether the owner is rich or poor; we didn't start with a huge capital investment. So, saying we started from scratch wouldn't be far from the truth. We had to bootstrap our way up with the resources we had at hand. The youngsters on the team always respect and listen to my advice. Even though I'm not [MrBeast](https://www.youtube.com/@MrBeast), nor have I ever been a YouTuber or a celebrity, they trust that I can guide them to victory. There's one thing I always tell them, from day one and repeated at least three hundred times: > **"Don't imitate others; be yourself. That's the only rule from me."** Why, you ask? Because I know that people won't remember an echo; they won't remember the next so-and-so. No matter how much better you might be than the original, you're still just old wine in a new bottle. To be memorable, you not only have to produce quality work but also be "Original" in your own unique way. Remember the distinct vocal styles of famous singers? What are they known for? Finding oneself is already a tough journey. Getting comfortable speaking in front of a camera is even more challenging. It may seem easy, nothing special, until you try it for the first time. Then, your perspective changes dramatically. In All Honesty... Though I've never had to teach anyone in this particular manner before, > **I may not be an iron-chef, but I do know what a tasty steak should be like**. So, I know what kind of steak I want to eat. But... I also understand that my team members probably haven't had any culinary training either. So, what's the game plan? How can they whip up a mouth-watering steak for us to savor? I know this market well. I know what people want to eat. But I'm not going to spill the beans to my team just yet. You see, they need to experiment on their own. Sure, the first dish might be a bit hard to swallow, especially when everyone is still finding their way. But that's the stepping stone to becoming a five-star chef in the future. That's a story for another day. In the beginning, I was bombarded with feedback from all sorts of gurus, both genuine and keyboard warriors. But I didn't let these voices reach my team. My job is to shield them and instill confidence and love. They should be in a safe space, learning comfortably, and focusing on honing their skills to chase their dreams. The only people who should be critiquing them are me and our internal team (who have already filtered external feedback). I believe in the Proof of Work. I always emphasize to them that a bad start is inevitable. > **It's an opportunity for us to learn and grow, to understand our shortcomings, and to see the potential for becoming better versions of ourselves.** And when necessary, don't dwell on it too much. Just go back and invest in self-improvement. I was the one who faced the external criticisms and took them all in stride (since I was almost the sole admin of all platforms in the beginning). I greeted every critique with a patient smile. We've been criticized to the extent of, **"What are you guys doing? This is so amateurish!"** But we've been there, done that. I never directly criticized my team because I knew it wouldn't help them grow. Even if some were stubborn, had their own ideas and beliefs, I understood that it was a matter of experience. I chose to let them follow their own path and learn from the outcomes. During that time, I had to battle external voices and my own inner thoughts quite intensely... - "Are you sure about letting the team continue like this, knowing it's not quite there yet?" - "Are you willing to risk the reputation of Right Shift by going down this path?" - "Why don't you just tell them straightforwardly what they should be doing? Wouldn't that be easier?" - "Are you not going to give them a reality check? The results might not be worth it, you know?" - "You are supposed to be smart, right? Why can't you figure this out?" These were the kinds of questions that bombarded me almost daily in the early days. I won't say who they came from; it doesn't matter. The only person who needs to know is me. I was fortunate to have partners who were true mentors. (nostr:npub1prya33fnqerq0fljwjtp77ehtu7jlsjt5ydhwveuwmqdsdm6k8esk42xcv & nostr:npub1e963pmyq9q6873njkzxu279l8rh3mymxj9y5lq3x3hkeyj5s2pkqut3z4f) Both understood what I was trying to achieve and knew well that nurturing growth involves a certain process. Even though my conscience nagged at me every day, it was only out of concern, fearing I might be overwhelmed. For me, every question already had an answer. I am who I am today because I had the chance to make mistakes and learn from them. The lessons, the self-awareness, are incredibly "sustainable" for me. > ### I'm betting our future on this. It's about "sustainable growth." - If Right Shift has to take a risk, now is the best time—when not many people know us yet. - If I tell them everything they should do, from 0 to 100, what will they learn? They would become mere robots, dependent on my instructions. - Breaking someone's soaring confidence is like standing in front of a speeding train. It's like telling a Shitcoin enthusiast that the coin they are hyping is a scam. - I'm not smart; I just understand how intelligence comes about, what factors contribute to wisdom. And I'm just waiting for that to happen to my team. But maybe I'm a bit reckless, daring to let my child play with a sharp knife, even allowing them to cut themselves once. > **Making mistakes when you're still unknown is better than falling from a height.** All of this is necessary. Absolutely necessary. For me, it's the right thing to do. As a leader, I'm also proving my own advice, using time and the results of actions as my tools. So, let's just wait and see what unfolds...  ## Giving Value to Others, Not Ourselves As time passed, my team matured through valuable experiences. There was a time when we received sage advice from Mr. Piriya, a seasoned veteran in the field. Despite his busy schedule, he always found time to offer insightful comments to the younger team members. Some needed more than a dozen pep talks, motivational nudges, and heart-to-heart conversations from me. I've spent hours talking, earning me the nickname "Jakk 8 Hour." Sometimes, it's not just about work. They see me as an elder brother, a last resort for sound advice. I'm no smarter than they are; I just have more experience. Our content began to mature and evolve in unexpected ways. Team members started to come into their own. Was this aligning with my vision? Well, that's not for me to answer. The "market" will be the judge of that. And that's what I'm waiting for—to see when they'll grasp the true meaning behind it all. It's not surprising. When we acquire new knowledge, we often get carried away with innovative ideas. We become passionate and think of content that excites us. But that can be a pitfall for creators. They might think what they're doing is fantastic because they're too caught up in it. When you're looking through your own lens, how can you not like what you see? It's good for you, so you want to share it. But have you asked others if they feel the same? Is the market craving what you think is so great? > **Are you doing this to satisfy your own ego and pride, to show off your skills and feel superior? Or are you doing it to genuinely add value to the majority—to "help" them in a way they truly need?** I've been a salesman, an entrepreneur, and have learned marketing psychology through real-world experiences—both my own and others'. I know what should and shouldn't be done. What we should be doing is not catering to market whims or following trends. It's about trying to help and provide value to them in a way they genuinely need, not to satisfy our own desires. So how do we understand them? How do we know what the market truly wants? ### Walk in Their Shoes, Understand Their Needs So, try to put yourself in the shoes of your market. Become the consumer, if you will. The phrase "Know thy enemy, know thyself" isn't just for the battlefield. It's not just about conquering or defeating others; it's also about helping, building relationships, and passing on value to one another. Over time, I've instilled and conveyed this philosophy to my team. I hammer this point home whenever I get the chance. We've been practicing this even before I had ever heard the term **"Value for Value"** or V4V for short. In my mind, I already have some ideas about what valuable content should look like. But I'm not one to spill the beans so easily. "Have you ever wondered why our weekly Discord chat, attended by fewer than ten of us, has listeners all year round? Some just listen, from start to finish, without ever turning on their mic. Have you ever sought the answer to why that is? What do they like? What are they looking for?" No one could answer me immediately. I thought I might have to set an example for them to learn from. I invited several people from our Discord community to participate in a Bitcoin discussion. Many of you might have seen it under the name "[Bitcoin Gangster](https://youtube.com/playlist?list=PLRwl9n0bNMS3TeVic6V1Yq3Ub9emS6j9e&si=eihnEaVDYHlDw8rw)," which is the prototype for the "[Orange pill Council](https://youtube.com/playlist?list=PLRwl9n0bNMS10opF2f9gjN0auF3eJfRag&si=ZC3Nowh6MhMET3wd)" show. What we want is to have a conversation, to listen to someone talk about something we're mutually interested in. With a group of people who already understand Bitcoin well, we don't know what we could teach them. They could probably teach us more than we could teach them. They just want to talk to fellow Bitcoin nerds. Bitcoin Gangster later inspired the creation of the Orange pill Council. It's an example of thinking beyond our own desires to create value for others. But multi-host content turned out to be a challenge down the line. It's not as easy as everyone thinks. > **However, the word 'obstacle' is not in my dictionary. It's an opportunity for growth and self-improvement.**  ### Unity of Diversity Blending diverse elements into a harmonious whole is no small feat. Yet, it's not an insurmountable challenge if we understand the nature of humanity. When working in a group, we often find that we're not quite in sync with each other. The coordination isn't as smooth as it should be. When this happens frequently, tension and anxiety start to manifest through body language. Initially, I let the team try to resolve these issues on their own during the early episodes. But the friction persisted. Whether it was stumbling over what to say, struggling to listen to others' stories, or avoiding contradicting each other to the point of annoyance, the problems remained. Finally, I posed a simple question for them to ponder: "Do you know which soccer team wins championships?" "It's not just because the team is filled with superstar players. Why have multiple stars if they're all playing solo acts?" > **"Do you want to be lone stars who never win anything?"** I used the analogy of "teamwork" in soccer to explain the concept to them. In our culture, we call it "playing in harmony." So, how does teamwork happen? Firstly, frequent practice together is essential. Play enough together to understand each other's playing styles. Know how your teammate likes the ball to be passed, what they dislike, and so on. For example, one person might like to fake out the opponent three times before passing the ball. Another might prefer a quick one-two rhythm, while another enjoys a long pass followed by a sprint to beat the defense. These nuances are developed in practice and applied in real games, evolving over time. Speaking of time, it inevitably relates to the concept of "Proof of Work." However, we can accelerate this process by paying more attention to our teammates and the team's performance, rather than just focusing on our individual achievements. Support each other and pass the ball in a way that maximizes the team's benefit. In short, play as a team. When we win with a style that captivates the audience and enjoy our way of playing, our morale naturally improves. And when we're in good spirits and happy, we perform even better. ### Character Matters I encourage young people to study the speaking styles of talented hosts, but I never permit them to mimic them. Absolutely not. Don't strive to be like anyone else; you have to be the best version of yourself. One day, you might even surpass your idols. Instead of worrying about what your voice will sound like or whether your appearance will be professional, just be you. People will remember you for who you are. When you act naturally, which requires no effort on your part, your mind frees up space for other tasks. I don't want you to conform. I'm not looking for the standard news show format you see on free TV. > **What I want is diversity. I want uniqueness. I want the value that comes from a plethora of choices.** And you're talented enough to make it happen. You should appreciate your own efforts, be thankful for every piece of advice, criticism, and every lesson that comes your way. Take pride in yourself and never forget your roots, your struggles, and who you were when you started. > **When you can seamlessly blend diverse qualities, you create a "Collective outcome" that is a new entity, something that has never existed before.** Here at Right Shift, I don't need demigods with extraordinary abilities. I don't need all-rounders. Whether you're a straight-A student or a valedictorian doesn't matter to me. What I need are people who can fill in our gaps, who can enhance our collective qualities, and who won't destroy the hard-earned value we've built. I don't want show-offs or people who will become enemies within the team. I just want individuals who will fit into our team and play well with our existing members. Let's have fun together. I've always applied this philosophy to foster our community. The value of diversity and the power of bringing it all together. The unity of a diverse group of people... > ### "Unity of Diversity." https://i.nostr.build/P6rW.jpg nostr:naddr1qq4xc6tnw3ez6c35x5mrse3kxuknzctrvgkngdekvykkyd3jv5kkxepnx3jrzepcxuenqespp4mhxue69uhkummn9ekx7mqzyrvrpmnm0sc2xe93y39h0xhmknc4vuellwxgwg6ssm3xkz6wv8xkyqcyqqq82vqg5wtcr --- ## End Credits As the conference came to an end, we all began to disperse. I took the lead, walking ahead of everyone, lost in my thoughts. Trailing behind me were my wife, Dr. New, and Nim. "Jakk is more than a brother to me; he's like a father," Dr. New commented, probably trying to impress my wife. "Yes, Jakk has given me a lot of valuable advice," Nim chimed in. I wondered if Dr. New had nudged her to say that. "Really? Jakk, the chatterbox? New, you're a doctor. Why would you say that?" My wife raised her voice in disbelief, as if she couldn't fathom Dr. New praising her straightforward husband. "Well, Jakk is also a doctor. But even though I'm a Doctor, I don't know everything. There's still so much for me to learn. There are things that Jakk can do that I can't," Dr. New elaborated. I hurried my pace, not wanting to hear my wife's inevitable sarcastic remarks. I started to distance myself but couldn't help but smile. Even if no one knows the value I've created, even if I haven't gotten richer from doing all this, what Dr. New said warmed my heart. Is this all we really want? --- "I think I understand almost everything, but there's one thing I just can't grasp," Khing suddenly said, shaking his head in a mix of frustration and laughter. "And what's that?" "It's his skill in reading people, Jakk. How do you know what someone is capable of? What their potential is? I just don't get how you can tell," Khing rambled on, causing everyone at the table to burst into laughter. I couldn't help but smile. In my mind, I thought, > **"Well, that's because I am Jakk Goodday."**

@ d830ee7b:4e61cd62

“เราจะมีช่องยูทูปในอีก 6 เดือนข้างหน้าให้ได้…” ประโยคที่ทำให้ผมสตั๊นไปชั่วขณะ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2565 ณ บ๊อบ เสปซ สถานที่แห่งแรกที่ชาวไรท์ ชิฟท์ รุ่นบุกเบิกได้มาพบเจอกันตัวเป็น ๆ สองสามีภรรยาคู่นั้นค่อนข้างเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ ในขณะที่ผมมองไปรอบ ๆ โต๊ะ.. วันนั้นอาร์มยังพูดติดอ่างอยู่.. น้องนิ่มยังค้นหาความกล้าไม่เจอ.. หมอนิวมีความตั้งใจแต่ไร้หนทาง หลาม (มิวนิค) ยังลำบากกับการแค่พูดตอบออกมาว่า “ครับ” ในขณะที่อิสรยังเป็นเพียงเด็กมีของที่ผมก็ยังไม่รู้ว่าเขามีอะไร ขิงดูมีแววมากที่สุดแต่ยังไม่เคยมีครั้งแรก ส่วนจิงโจ้ขอทำบทความอย่างเดียวก่อน ฯลฯ เราไม่มีใครสักคนที่มีประสบการณ์ทำเรื่องแบบนี้กันมาก่อนเลย.. ผู้ชายเสียงนุ่มหันมามองตาผมแบบว่า… ผมมองตาเขา.. โอเค ๆ เอาก็เอา.. ผมพยักหน้าให้ พลางคิดหนักอยู่ในใจ วันนั้น ไรท์ ชิฟท์ ยังเป็นแค่ชื่ออะไรสักอย่างที่ อ.ตั๊ม พึ่งประกาศออกไปสู่สาธารณะ ชื่อของเราถูกนำเสนอออกสู่ตลาดที่เต็มไปด้วยบิตคอยเนอร์ระดับพระกาฬ เต็มไปด้วยผู้รู้และมากประสบการณ์ และอินฟลูเอนเซอร์อีกมากหน้าหลายตาในระบบนิเวศน์นี้ ที่ชื่อชั้นช่างต่างจากเราเสียเหลือเกิน เราจะกลายเป็นช่องบิตคอยน์เบอร์ต้น ๆ ของประเทศได้อย่างไร? แต่ผมมีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครเคยมี และจากนี้ไป.. ก็ไม่มีใครสามารถมีแบบที่ผมมีได้ คือ การเป็นคนแรกที่ได้ทำมัน เสียงที่บอกผมในหัว มันสั่งให้ผมมองข้ามความยุ่งยากในการเริ่มต้นไปให้หมดสิ้น มันสั่งให้ผมย้อนเวลากลับไปยังจุดเริ่มต้น.. ถ้าวันนี้มีมือใหม่เดินเข้ามาในตลาด คนหน้าใหม่ที่สนใจอยากศึกษาบิตคอยน์ พวกเรามีแหล่งความรู้ที่เหมาะกับพวกเค้าแล้วหรือยัง? วันนี้เรามีคนทำสื่อบิตคอยน์จริงจังมาก ๆ กันสักกี่คนนอกจาก อ.ตั๊ม? น้อง ๆ คงรู้สึกตื่นเต้นที่กำลังจะได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ สำหรับบางคนนี่อาจเป็นเหมือนฝัน พวกเค้ายังไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าต้องเจอกับอะไรบ้าง.. ผมขบคิดเรื่องนี้อยู่นานพอสมควร สำหรับผมมันไม่ใช่แค่เริ่ม.. แต่ผมต้องคิดไปถึงความยั่งยืน การพัฒนาส่วนบุคคล ภาวะอารมณ์ การต่อยอด และคุณค่าที่จะถูกส่งต่อไปยังผู้รับ และอีกหลายเรื่องที่บางคนอาจยังจินตนาการไปไม่ถึง มันไม่ใช่แค่เพียงจะเริ่มต้นกันอย่างไร หรือจะโปรดักชั่นไปในทิศทางไหน.. สิ่งที่ผมคิดในตอนนั้นมันเป็นเรื่องอื่น เรื่องที่สำคัญกว่าแค่รายละเอียดปลีกย่อยที่คนอื่นมองเห็น  ## การเริ่มต้นนั้นมันไม่เคยง่าย แม้เราจะวางเป้าหมายกันไว้ที่ 6 เดือน เพื่อหาวิธีให้เราพร้อมจะทำช่องยูทูปบิตคอยน์ขึ้นมาใหม่.. กรอบเวลามันดูหลวมไปหน่อยสำหรับผม เราแค่ยืดมันออกไปเพื่อไม่ให้คนในทีมรู้สึกกดดันกันมากเกินไปเท่านั้นเอง เราต้องการเวลามากพอให้พวกเขาได้ฟูมฟักตัวเอง เราไม่เคยมีการระบุว่าใครต้องทำหรือควรทำอะไร เราเปิดโอกาสให้พวกเค้าได้นำเอาโจทย์ไปครุ่นคิด และลองออกแบบสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำ สำคัญที่สุดคือต้องแน่ใจว่าตัวเองจะสนุกและมีความสุขไปกับมัน ผมเองไม่ใช่ยูทูปเบอร์ ไม่ใช่คนดัง ไม่ได้เคยทำงานเบื้องหลังจริงจังกับเรื่องนี้ ผมก็แค่คนที่เคยศึกษาและทำความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ มาบ้าง ผมดูมาเยอะ เห็นมาเยอะ วิเคราะห์ขอดเกร็ดทุกอย่างที่เคยเห็น ผมพอแยกแยะได้ว่าอะไรดี อะไรยังต้องพัฒนาเพิ่มเติม ผมอยู่ในจุดที่สามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาได้ พวกเขาจะยังไม่มีความมั่นใจในช่วงแรก แน่นอนว่ามันต้องเป็นแบบนั้น.. ### ลองมาดูโจทย์ของพวกเรากันหน่อย พวกเราอยู่กันคนละที่.. ดังนั้นลืมเรื่องกองถ่ายหรือการใช้สตูดิโอไปได้เลย พวกเราเป็นคนธรรมดาที่ชื่นชอบบิตคอยน์และ อ.ตั๊ม ..สิ่งนี้ไม่ได้ให้องค์ความรู้อะไรในการทำวิดีโอกับพวกเราทั้งสิ้น พวกเราไม่เคยต้องแสดงออกหน้ากล้องกันมาก่อน.. ใช่.. นี่จะเป็นครั้งแรกในชีวิตสำหรับพวกเขา.. พวกเราไม่มีเครื่องมืออุปกรณ์แบบที่มืออาชีพเค้ามีกัน.. อะไรใกล้มือหรือพอจะซื้อหาได้ก็ต้องเอามาใช้ไปพลางๆ ก่อน พวกเราไม่มีคนตัดต่อวิดีโอมืออาชีพ.. หวยจึงมาตกที่ผม.. ใช่.. ผมตัดต่อเองทั้งหมดในช่วงแรก จนกระทั่งเราได้ประธานซุปเข้ามาในภายหลัง เราต่างก็รู้กันดีว่า.. ทุนบริษัทมันคนละกระเป๋ากันกับเงินของเจ้าของ มันไม่เกี่ยวกับว่าเจ้าของจะเป็นคนรวยหรือยากไร้ เราไม่ได้จดทะเบียนกันด้วยเงินที่สูงมากขนาดนั้น ดังนั้น หากจะบอกว่าพวกเราเริ่มต้นกันแบบเสื่อผืนหมอนใบก็คงไม่ผิดเท่าไหร่นัก ..เราต้องหาทางเริ่มกันเองให้ได้ ด้วยทรัพยากรเท่าที่เรามี น้อง ๆ ในทีมนั้นเคารพและฟังคำแนะนำของผมเสมอ แม้ผมจะไม่ใช่ Mr. Beach ไม่เคยเป็นยูทูปเบอร์หรือคนดังจากที่ไหนมาก่อนก็ตาม แต่พวกเขาต่างก็รู้และเชื่อมั่นว่า ผมจะพาพวกเขาไปถึงเส้นชัยได้สักวัน มีสิ่งหนึ่งที่ผมบอกกับพวกเขาอยู่เสมอ บอกตั้งแต่วันแรกจนถึงทุกวันนี้ ย้ำไม่ต่ำกว่าสามร้อยรอบ "อย่าทำแบบคนอื่น.. จงเป็นตัวของตัวเอง นี่คือกฏเพียงข้อเดียวของพี่" เพราะอะไรน่ะหรือ..? เพราะผมรู้ดีว่า.. คนจะไม่จำเงาเสียง ไม่จำ The next… ไม่จดจำคนที่ทำได้แบบคนอื่น ๆ ต่อให้เขาจะทำได้ดีกว่าต้นฉบับมากแค่ไหนก็ตาม มันก็แค่เหล้าเก่าในขวดใหม่เท่านั้นเอง คนที่ถูกจดจำ นอกจากจะสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้นได้แล้ว นอกจากจะสร้างผลงานที่มีคุณภาพแล้ว ยังต้องมีความเป็น "Original" ในแบบของตัวเองให้ได้อีกด้วย พวกเราจำได้ไหมล่ะครับ ว่าเงาเสียงของนักร้องดัง ๆ แต่ละคนมีชื่อว่าอะไรบ้าง? การค้นหาตัวเอง กลับไปสู่ความเป็นตัวเองให้ได้นับว่าเป็นเรื่องที่ยากแล้ว.. การฝึกให้เคยชินกับการนั่งพูดหน้ากล้องนั้นยากยิ่งกว่า.. มันดูเหมือนง่าย.. ไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษ ก็จนกระทั่งคุณมีโอกาสได้ลองทำมันเป็นครั้งแรกแล้วนั่นแหละ คุณจะเปลี่ยนความคิดไปโดยปริยาย ด้วยความสัตย์จริง.. แม้ผมไม่เคยต้องสอนใครในเรื่องแบบนี้มาก่อน ผมอาจไม่ใช่เชฟกระทะเหล็ก แต่ผมก็รู้ว่าเสต๊กรสชาติดีมันเป็นยังไง ดังนั้นผมรู้ว่าผมอยากจะทานเสต๊กแบบไหน.. แต่… ผมก็เข้าใจว่าน้องๆ ของผมก็คงไม่ได้มีใครเรียนเชฟมาก่อนเหมือนกัน แล้วจะทำยังไงล่ะ.. ทำยังไงพวกเขาถึงจะทำเสต๊กรสเด็ดออกมาให้เราเชยชิมได้? ผมรู้จักตลาดนี้ดี ผมรู้ว่าผู้คนอยากกินอะไร แต่ผมจะยังไม่บอกน้อง ๆ ในตอนนี้.. คุณก็แค่ต้องปล่อยให้พวกเค้าได้ลองฝึกทำมันด้วยตัวเอง ซึ่งรสชาติจานแรกก็คงต้องแดกยากก่อนค่อนข้างแน่ ในตอนที่ทุกคนยังจับทางอะไรไม่ได้ ก่อนจะไต่ระดับไปสู่ระดับเชฟ 5 ดาวได้ในอนาคต แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ในช่วงแรกผมจึงได้รับฟีดแบ้กจากเหล่ากูรูทั้งหลายทั้งของจริงและเซียนคีย์บอร์ดกันแบบพังยับเลยทีเดียว แต่ผมไม่ปล่อยให้เสียงเหล่านี้ดังไปถึงหูน้องๆ ผมมีหน้าที่ต้องปกป้องและคอยมอบความรักความเชื่อมั่นให้กับพวกเขา พวกเขาควรได้อยู่ในที่ๆ ปลอดภัย เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างสบายใจ และมีสมาธิกับการมุ่งมั่นฝึกฝนทำตามความฝันของตัวเองกันต่อไป.. คนเดียวที่จะกล่าวตำหนิหรือให้ฟีดแบ้กอะไรแก่พวกเขาได้ ก็คือผมและคนในทีมของเราเอง (ที่กรองฟีดแบ็กจากภายนอกมาแล้วชั้นหนึ่ง) ผมเชื่อใน Proof of Work ผมเน้นย้ำกับพวกเขาอยู่เสมอ ว่าการเริ่มต้นที่ไม่ดีคือเรื่องที่มันจำเป็นต้องเกิดขึ้น ก็เพื่อให้พวกเราได้เรียนรู้และพัฒนาตัวเอง เพื่อให้เราเข้าใจว่าเรายังขาดตกบกพร่องอะไร เพื่อให้เรามองเห็นโอกาสในการเป็นคนที่ดีกว่าเดิม และเมื่อมันจำเป็น ก็อย่าได้ไปนอยด์อะไรกับมันให้มากนัก กลับไปทุ่มเทพัฒนาตัวเองให้ได้นู่นไป ผมได้แต่ออกรับหน้าและรับคำติชมจากภายนอกรอบสารทิศแต่เพียงผู้เดียว (เพราะผมแทบจะเป็นคนเดียวที่ทำหน้าที่แอดมินของทุกแพลตฟอร์มในช่วงแรก) ผมยิ้มรับทุกคำติชมอย่างอดทน เราเคยถูกตำหนิระดับที่ว่า.. มึงทำอะไรกันปัญญาอ่อนจังวะ? ก็เคยมาแล้ว.. ผมไม่เคยตำหนิน้องๆ แบบตรงๆ เพราะผมรู้ว่านั่นจะไม่ช่วยให้พวกเขาพัฒนาอะไรได้ แม้บางคนจะหัวรั้น มีแนวคิดและความเชื่อในแบบของตัวเอง ผมก็เข้าใจได้ว่านั่นมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ ผมเลือกจะให้พวกเขาได้ทำตามแบบที่ตัวเองตั้งใจ และเรียนรู้มันเองจากผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นตามมา.. ในช่วงเวลานั้นผมต้องสู้กับเสียงรอบด้านและจิตใจของตัวเองอย่างหนัก.. * ตั้มแน่ใจแล้วเหรอว่าจะปล่อยให้น้องทำแบบนี้ต่อไป ทั้งๆ ที่ตั้มก็รู้ว่าแบบนี้มันยังไม่ใช่? * ตั้มจะเสี่ยงเอาชื่อ Right Shift มาทำแบบนี้จริงๆ เหรอ? * ทำไมตั้มไม่บอกกับน้องไปตรง ๆ ว่าควรทำยังไง.. มันไม่ง่ายกว่าเหรอ? * ตั้มจะไม่เบรคน้องสักหน่อยเลยเหรอ ผลที่ตามมามันอาจไม่คุ้มค่านะตั้ม? * ไหนว่าตั้มฉลาดไง.. ทำไมเรื่องแค่นี้ตั้มถึงคิดไม่ได้ล่ะ? สารพัดคำถามเชิงลบที่มีเข้ามาไม่เว้นแต่ละวันในช่วงแรก ๆ ผมคงไม่บอกว่ามันมาจากใครบ้าง มันจะไม่มีใครได้รู้หรอก นอกจากตัวผมเอง.. ผมโชคดีที่หุ้นส่วนของผมนั้นเป็นคุณครูของแท้ทั้งสองท่าน ทั้งคู่ต่างเข้าใจว่าผมกำลังทำอะไร ทั้งคู่รู้ดีว่าการฟูมฟักคนให้เติบโตนั้นต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง แม้สมนึกจอมจุ้นจะคอยถามผมไม่เว้นแต่ละวันเลยก็ตาม.. สมนึกก็แค่เป็นห่วง กลัวผมจะเครียดจนเกินไป ทุกๆ คำถาม มันมีคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้วสำหรับผม ผมโตมามีวันนี้ เป็นคน ๆ นี้ได้ ก็เพราะผมมีโอกาสได้ลองทำผิดทำถูกมาหลายอย่างด้วยตัวผมเอง บทเรียนที่ได้รับ องค์ความรู้ การตระหนักรู้ด้วยตัวเองนั้น สำหรับผมมัน "โคตรยั่งยืน" ผมกำลังเดิมพันอนาคตของพวกเรากับสิ่งนี้.. มันคือ "การเติบโตอย่างยั่งยืน" * หาก Right Shift จะต้องเสี่ยง ช่วงเวลาที่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักเรานี่แหละ เหมาะสมที่สุดที่เราจะเสี่ยง * หากผมต้องบอกทุกอย่างที่ควรทำ จาก 0 ไปถึง 10 น้องๆ ของผมจะได้เรียนรู้กันจากอะไรล่ะ? พวกเขาจะกลายเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ต้องพึ่งพาและคอยรับคำสั่งจากผมไปตลอด * การเบรคคนที่กำลังมั่นใจสุดขีด มันไม่ต่างอะไรกับการเอาตัวเข้าไปขวางรถไฟความเร็วสูง.. ไม่ต่างอะไรกับการไปบอกชิตคอยเนอร์ว่าเหรียญที่เค้ากำลังไฮป์มันคือแสกม * ผมไม่ได้เป็นคนฉลาด.. ผมแค่รู้ว่าความฉลาดมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญญา การรู้แจ้งมีเหตุปัจจัยมาจากอะไร และผมก็แค่กำลังรอให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับน้อง ๆ เท่านั้นเอง แต่ผมอาจโหดไปหน่อย ที่กล้าให้ลูกลองเล่นมีดคม ๆ และปล่อยให้ลูกโดนมีดบาดมือดูสักที.. ผิดพลาดในตอนที่ยังไม่รู้ ก็ดีกว่าต้องตกลงมาจากที่สูง ทั้งหมดนี้คือสิ่งจำเป็นที่ต้องเกิด.. จำเป็นที่สุด.. สำหรับผมแล้วมันถูกต้องที่สุดที่ต้องเป็นแบบนี้ ในฐานะผู้นำ.. ผมเองก็กำลังพิสูจน์คำแนะนำของตัวเองโดยอาศัยเวลาและผลของการกระทำเป็นเครื่องมือเช่นเดียวกัน.. ก็แค่มารอดูว่าอะไรจะเกิดขึ้นเท่านั้นเอง..  ## มอบคุณค่าให้กับผู้อื่น ไม่ใช่ตัวเราเอง ผ่านเวลามาเรื่อย ๆ พวกเขาค่อย ๆ เติบโตขึ้นด้วยประสบการณ์ที่พึงมี มีช่วงหนึ่งที่เราเคยได้รับคำแนะนำดีๆ จากผู้ที่เก่งกาจและเต็มไปด้วยประสบการณ์คร่ำหวอดอย่าง อ. พิริยะ ซึ่งมักจะหาเวลา (ที่มีอยู่น้อยนิด) มาให้คอมเม้นท์ดี ๆ กับน้อง ๆ อยู่เสมอ บางคนก็ต้องผ่านการให้คำแนะนำ การกระตุ้นและให้กำลังใจ การสร้างแรงบันดาลใจจากตัวผมมากกว่าสิบครั้ง หลาย ๆ ครั้งผมต้องพูดนานเป็นชั่วโมง ๆ ฉายา "Jakk 8 Hour" ก็ได้มาเพราะแบบนี้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน พวกเขาเห็นผมเป็นเหมือนพี่ใหญ่ เป็น Last resort ที่จะคอยให้คำแนะนำดี ๆ กับพวกเขาได้เสมอ ผมเองก็ไม่ได้เก่งอะไรไปกว่าพวกเขา ผมแค่มีประสบการณ์มากกว่าเท่านั้นเอง คอนเทนต์ของเราเริ่ม Mature และมีวิวัฒนาการแปลกตาออกไปเรื่อย ๆ น้อง ๆ เริ่มแสดงบทบาทได้เป็นตัวเองกันมากขึ้น ถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นคือแบบที่ตรงใจกับผมแล้วหรือยัง? มันไม่ใช่หน้าที่ของผมต้องมานั่งตอบคำถามอะไรแบบนี้.. "ตลาด" ต่างหากที่จะให้คำตอบนั้นกับเรา และนี่คือสิ่งที่ผมเองก็รอด้วยเช่นกัน.. รอว่าเมื่อไหร่น้อง ๆ จะเริ่มเข้าใจความหมายของมัน.. มันไม่แปลกหรอก.. ที่เมื่อเราพึ่งได้รับองค์ความรู้อะไรใหม่ ๆ มาหมาด ๆ เรามักจะมีไอเดียต่อยอดแสนบรรเจิด เรามักร้อนวิชาและคิดคอนเท้นท์อะไรได้ในแบบที่ตัวเราเองก็อดรู้สึกตื่นเต้นไปกับมันด้วยไม่ได้ แต่นั่นมักจะกลายมาเป็นหลุมพลางของบรรดาครีเอเตอร์.. พวกเขามักจะคิดว่าสิ่งที่กำลังจะทำนั้นมันโคตรดี เพราะคิดทีไรก็อดไฮป์ไปกับมันไม่ได้ มันก็แหง๋ล่ะ ในเมื่อคุณกำลังมองมันด้วยเลนส์ของตัวเอง มันจะเป็นไปได้ยังไงที่คุณจะไม่ชอบมัน.. มันดีสำหรับคุณ คุณจึงอยากส่งต่อและคิดจะแบ่งปัน.. แต่คุณถามคนอื่น ๆ แล้วหรือยังว่าเขาชอบแบบที่คุณกำลังชอบอยู่ไหม? ตลาดอยากได้ในสิ่งที่คุณคิดว่าดีนักดีหนานั่นหรือเปล่า? คุณกำลังจะทำสิ่งนั้นเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง สนองต่ออีโก้และความภาคภูมิใจในความเก่งกาจของตัวเอง คุณทำเก่งเพื่อให้ตัวเองดูเหนือกว่า เพื่ออัตตาบางอย่าง หรือคุณกำลังทำมันเพื่อมอบคุณค่าให้กับคนส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง "ช่วย" พวกเขาในแบบที่พวกเค้ากำลังอยากได้มันอย่างแท้จริง ? ผมเป็นนักขายมาก่อน ผมทำธุรกิจมาก็มาก ผมเรียนรู้จิตวิทยาทางการตลาดมาจากประสบการณ์จริง ทั้งของตัวเอง และเคสของคนอื่น ๆ ผมเห็นว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ สิ่งที่เราควรทำหนึ่งในนั้นไม่ใช่การทำเพื่อเอาอกเอาใจตลาด ไม่ใช่การทำตามกระแสความต้องการ แต่มันคือการพยายามช่วยและให้สิ่งที่มีคุณค่าแก่พวกเขา ในแบบที่พวกเค้าจะต้องการมันจริงๆ ไม่ใช่เพื่อสนองความต้องการของตัวเราเอง แล้วเราจะเข้าใจพวกเค้าได้อย่างไร? เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตลาดจะต้องการอะไรจริง ๆ ? คุณก็ลองพาไปทำตัวเป็นคน ๆ หนึ่งที่อยู่ในตลาดนั้น ไปลองทำตัวเป็นผู้รับจริง ๆ ดูเสียสิ.. "รู้เขา รู้เรา" ไม่ได้ถูกใช้เพียงแค่กับการรบราฆ่าฟัน ไม่ได้ใช้เพียงเพื่อการเอาชนะหรือการเข้าห้ำหั่นกัน มันยังถูกใช้ในการให้ความช่วยเหลือ การสร้างความสัมพันธ์ และการส่งต่อคุณค่าให้แก่กันได้อีกด้วย ในเวลาต่อมาผมได้ปลูกฝังและถ่ายทอดแนวคิดนี้ให้กับน้อง ๆ ผมย้ำตอกหมุดไปแทบทุกครั้งที่มีโอกาส พวกเราพยายามฝึกที่จะทำสิ่งนี้โดยที่ในตอนนั้นผมยังไม่เคยได้ยินคำว่า Value for Value มาก่อนเลยด้วยซ้ำไป.. แต่สิ่งที่เรากำลังมุ่งหมายที่จะทำนั่นแหละคือ V4V ในหัวผมนั้นมันพอมีไอเดียบ้างแล้วว่ารายการทรงคุณค่าที่ควรจะเกิดขึ้นมันคืออะไร.. แต่ผมจะไม่ชอบบอกอะไรไปง่ายๆ แบบนั้น "พวกนายเคยสงสัยกันไหมว่า.. รายการพูดคุยประจำสัปดาห์ใน Diacord ที่มีคนพูดอย่างพวกเราแค่ไม่ถึงสิบคน แต่ทำไมตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมามันจึงมีคนเข้าไปนอนฟังเราได้ตลอด บางคนฟังอย่างเดียว ฟังมันทุกครั้งตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ไม่เคยเปิดไมค์สักครั้งเลยก็มี เคยหาคำตอบกันไหมว่ามันเพราะอะไร? พวกเขาชอบอะไร? อะไรคือสิ่งที่พวกเขามองหา? " ไม่มีใครตอบผมได้ในทันที ผมคิดว่าผมคงต้องแสดงตัวอย่างอะไรบางอย่างให้พวกเขาได้เรียนรู้.. ผมได้ชักชวนหลายท่านในคอมมูนิตี้ Discord ให้มาลองทำรายการสนทนาภาษาบิตคอยน์กัน หลายคนคงเคยดูมาแล้วในชื่อรายการ Bitcoin Gangster และนี่แหละคือโปรโตไทป์ของรายการ "สภายาส้ม" สิ่งที่พวกเราต้องการคือการได้คุย ได้ฟังใครสักคนคุยกันในเรื่องที่เราสนใจคล้าย ๆ กัน กับกลุ่มคนที่มีความรู้ความเข้าใจในบิตคอยน์ดีอยู่แล้ว เราไม่รู้จะสอนพวกเขาไปทำไม เขาจะสอนเราได้ดีกว่าที่เราสอนเขาเสียด้วยซ้ำ เขาก็แค่อยากคุยกับบิตคอยเนอร์ด้วยกันเท่านั้นเอง.. อ่านจุดจุดเริ่มต้นของสภายาส้มกันได้จากโน๊ตนี้ : [กำเนิดสภายาส้ม](https://w3.do/NmJlI-SI) Bitcoin Gangster ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสภายาส้มขึ้นในเวลาต่อมา.. เป็นตัวอย่างหนึ่งของการคิดทำประโยชน์และสร้างคุณค่าให้กับผู้อื่น มากกว่าการเล็งเห็นแค่เพียงปรารถนาของตัวเราเอง แต่คอนเท้นต์ประเภทที่มีผู้ดำเนินรายการหลายคนก็ได้กลายเป็นอุปสรรคในเวลาต่อมา.. มันไม่ได้ง่ายแบบที่ทุกๆ คนคิด เพียงแต่ผมไม่เคยมีคำว่าอุปสรรคอยู่ในพจนานุกรม.. มันคือโอกาสในการจะพัฒนาและก้าวข้ามตัวเราเองได้ต่างหากล่ะ..  ## Unity of Diversity การผสมความแตกต่างให้เข้ากันได้อย่างกลมกลืนนั้นเป็นสิ่งที่ยากเอามาก ๆ แต่มันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปหากเราเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ การดำเนินรายการหลายคน เราเจอว่าเรายังมีจังหวะที่คร่อมกันอยู่ การสอดประสานยังทำได้ไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อย ๆ ทุกคนก็เริ่มกดดันและแสดงความกังวลออกมาผ่านทางภาษากาย ผมปล่อยให้พวกเค้าลองแก้ปัญหานี้กันด้วยตัวเองก่อนในช่วง EP แรก ๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังติด ๆ ขัด ๆ กันอยู่เช่นเคย ไหนจะพะวงเนื้อหาที่ต้องพูด ไหนจะต้องจับใจความฟังเรื่องเล่าของคนอื่น ไหนจะต้องคอยระวังไม่ให้พูดสวนกันจนดูน่ารำคาญ ที่สุดแล้วผมจึงได้ตั้งคำถามง่าย ๆ ให้พวกเขาได้นำไปขบคิด "รู้ไหม.. ทีมฟุตบอลแบบไหนที่จะได้แชมป์?" "มันไม่ใช่แค่เพราะว่าทีมมีนักเตะเทพๆ เต็มไปหมด มันจะมีเทพไปหลายคนเพื่ออะไร ถ้ามันเอาแต่ต่างคนต่างเล่นต่างโชว์กัน?" "พวกแกอยากเป็นเทพที่ไม่เคยคว้าแชมป์อะไรเลยอย่างงั้นเหรอ?" ผมได้นำเอา Analogy เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่า "Teamwork" ในกีฬาฟุตบอลมาอธิบายให้พวกเขาฟัง.. ที่บ้านเราเรียกว่า "เล่นเข้าขากัน" นั่นแหละครับ.. ทีมเวิร์คจะเกิดขึ้นได้อย่างไร? อย่างแรกคือการฝึกซ้อมร่วมกันบ่อย ๆ เล่นด้วยกันให้มากพอ จนเราเข้าใจสไตล์การเล่นของเพื่อนร่วมทีม จนเราเข้าใจว่าเพื่อนของเราชอบให้เราส่งบอลแบบไหน แบบไหนที่มันไม่ชอบ ฯลฯ หมอนี่ชอบสับขาหลอก 3 ทีถึงจะส่งบอล อีกคนชอบเบิ้ลจังหวะเดียวแบบ 1-2 อีกคนชอบให้สาดยาวไปข้างหน้าแล้ววิ่งแข่งกับกองหลังไปเอาบอล ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในสนามซ้อม นำไปใช้กันในสนามจริง และสั่งสมไปเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา เมื่อพูดถึงเวลาเราก็เลี่ยงไม่ได้ครับว่า มันเกี่ยวกับ Proof of Work อีกครั้งแล้ว แต่เราเร่งให้มันเกิดเร็วขึ้นกว่านั้นได้ ด้วยการใส่ใจกับเพื่อนร่วมทีม และผลการแข่งขันของทีมให้มากขึ้น มากกว่าแค่สนใจผลงานของตัวเอง ซัพพอร์ตซึ่งกันและกันและส่งให้เพื่อนในแบบที่ทีมจะได้ประโยชน์สูงสุด ..เล่นให้เป็นทีม เมื่อคว้าชัยชนะ ด้วยสไตล์การเล่นที่ได้ใจคนดู ด้วยวิธีการเล่นที่ตัวเราเองก็สนุกไปกับมันได้ ขวัญกำลังใจของเราก็จะดีขึ้นตามมา และเราจะยิ่งทำได้ดีขึ้นมากเมื่อเราอารมณ์ดีและกำลังมีความสุข.. ## แคแรคเตอร์ ผมสนับสนุนให้น้องๆ ไปศึกษาการพูดของพิธีกรที่เก่ง ๆ แต่ไม่เคยอนุญาตให้ไปเลียนแบบเขา อย่า.. เด็ดขาด อย่าพยายามทำให้ได้แบบใคร ๆ แต่เราต้องเป็นในแบบของเราเอง เป็นธรรมชาติของตัวเราเองในแบบที่ดีกว่าไอดอลของเราในวันหนึ่งให้ได้ แทนที่จะมาคอยนั่งพะวงว่าน้ำเสียงของเราจะเป็นแบบไหน สีหน้าเราจะเป็นมืออาชีพไหม ท่าทางเราจะเป็นแบบใคร มึงก็แค่เป็นตัวของมึงเอง มึงเป็นแบบไหนคนก็จะจำพวกมึงแบบนั้นไปเอง เมื่อทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตัวเราไม่ต้องพยายามอะไร แค่นี้สมองก็มีพื้นที่เหลือเพิ่มมากขึ้นเพื่อไปใช้กับการทำเรื่องอื่นแล้ว ผมไม่ต้องการให้น้องพยายามทำอะไรเหมือน ๆ กัน ผมไม่ต้องการรูปแบบหรือท่ามาตรฐานแบบรายการข่าวยามเช้าตามฟรีทีวี ผมแค่ต้องการความหลากหลาย ผมต้องการความแตกต่าง ผมต้องการให้เกิดคุณค่าอันมาจากทางเลือกอันหลากหลาย.. และในที่สุดน้อง ๆ ก็เก่งพอที่จะสามารถทำมันได้ พวกเขาต้องขอบคุณในความพยายามของตัวเอง ขอบคุณทุกคำแนะนำ คำติชมและทุกบทเรียนที่ผ่านเข้ามา พวกเขาควรต้องภาคภูมิใจในตัวเอง และไม่ควรหลงลืมว่าตนเองเคยผ่านความลำบากอะไรมาบ้าง ไม่ลืมรากเหง้าที่แท้จริงของตน ไม่ลืมว่าเราเริ่มมาจากจุดที่เรานั้นเป็นใคร เมื่อคุณสามารถรวมเอาคุณสมบัติอันหลากหลายเข้าด้วยกันได้อย่างกลมกลืน คุณจะได้ "ผลรวม" ที่เป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีที่ไหนมาก่อน ที่ Right Shift ผมจึงไม่เคยต้องการผู้ที่เก่งกล้าสามารถระดับเทพเมฆาอัคคี ผมไม่ได้ต้องการคนเก่งที่ก็ทำอะไรได้เหมือน ๆ กัน คุณจะติด ร. หรือได้เกียรตินิยมเหรียญเพชรก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับผม ผมต้องการคนที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มในสิ่งที่เราขาด คนที่ทำให้เรามีคุณสมบัติองค์รวมเพิ่มมากขึ้น คนที่จะไม่เข้ามาทำลายคุณค่าที่เราสร้างได้สร้างกันไว้อย่างยากลำบาก ไม่ต้องการพวกชอบโชว์ออฟ ไม่อยากได้คนที่จะเข้ามาเป็นศัตรูกับคนในทีม ผมแค่ต้องการคนที่จะเข้ามาสู่ทีมและเล่นเข้าขากันกับผู้เล่นในทีมของเราได้ สนุกไปด้วยกัน แนวคิดนี้ผมยังได้ใช้มันกับการผลักดันคอมมูนิตี้ของเรามาโดยตลอด คุณค่าของความหลากหลาย และรวมเอามันเข้าไว้ด้วยกัน ความเป็น Unity ของผู้คนที่มีความแตกต่างกันมากมาย.. "Unity of Diversity" --- ผมคิดว่าเรื่องราวในส่วนของการสร้างยูทูปในแบบของเรายังผ่านมาเพียงแค่ 1/10 เท่านั้น เห็นทีผมคงต้องมีภาคต่อในบทความถัดไป.. --- ### End credit ระหว่างที่เรากำลังทะยอยต้องแยกย้ายกันหลังจบงานคอนเฟอเรนซ์ ผมเดินดุ่ม ๆ นำหน้าทุกคนไปก่อนและกำลังครุ่นคิดสิ่งต่างๆ อยู่เพียงลำพัง ถัดไปด้านหลังก็มีภรรยาของผมเดินมากับคู่ของหมอนิวและน้องนิ่ม.. "พี่ตั้มนี่เป็นยิ่งกว่าพี่ชาย แกเป็นเหมือนพ่อของผมเลยนะ.." หมอนิวกล่าว.. คงอยากจะอวยพี่ตัวเองให้เมียเค้าฟัง "ใช่ค่ะ.. พี่ตั้มให้คำแนะนำนิ่มเยอะมาก ๆ" น้องนิ่มช่วยเสริมได้อย่างเข้าขา ผมไม่รู้ว่าเพราะหมอนิวหยิกแขนให้พูดด้วยหรือเปล่า.. "จริงเหรอ? ตั้มเนี่ยนะ มันพูดเพ้อเจ้อจะตาย.. นิวเป็นถึงหมอเลยนะ.. ทำไมพูดแบบนั้น?" เมียผมทำเสียงสูงแบบไม่อยากจะเชื่อว่าหมอนิวกำลังชมผัวซื่อบื้อของตัวเอง "พี่ตั้มเค้าก็หมอ.. แต่ถึงผมจะเป็นแพทย์ ผมก็ไม่ได้เก่งไปทุกเรื่องหรอกครับ ยังมีอะไรที่ผมต้องเรียนรู้อีกเยอะ อะไรที่พี่ตั้มเค้าทำได้นี่ผมทำไม่ได้สักอย่างนะ.. ทำโน่น.. ทำนั่น.. ทำนี่ เต็มไปหมด.. ฯลฯ " ผมรีบเดินจ้ำอ้าวหนีไอ้พวกชอบอวยพวกนี้ให้ไวที่สุด ..เปล่าหรอก ขี้เกียจรอฟังเมียหันมาแขวะ เพราะเดี๋ยวนางต้องแซวผมแน่ ๆ ผมเริ่มเดินทิ้งระยะออกมาไกล ผมเดินช้าลงแต่ก็พลันอดอมยิ้มไม่ได้ ถึงแม้ไม่เคยมีใครรู้ว่าผมสร้างคุณค่าอะไรไว้ ถึงแม้ผมจะไม่รวยขึ้นมา จากการทำเรื่องพวกนี้ แต่สิ่งที่หมอนิวพูดออกมามันก็ดีต่อใจผมเหลือเกิน.. แค่นี้หรือเปล่าที่เราต้องการ..? --- "ผมว่าผมเข้าใจอะไรๆ ได้ดีเกือบทุกเรื่องนะ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมคิดยังไงก็ยังไม่สามารถเข้าใจมันได้สักที.." เจ้าขิงพูดไปพลาง ส่ายหัวไปพลาง อย่างหงุดหงิดด้วยอาการขำ ๆ ทีเล่นทีจริง "คือสกิลในการดูคน อ่านคนของพี่ตั้มนี่แหละ พี่รู้ได้ยังไงว่าคนนั้นจะทำแบบนี้ได้ มันจะเก่งไปทางไหน มีศักยภาพอะไร ผมไม่เข้าใจเลยว่าพี่ดูออกได้ยังไงว่า.. @#฿#!:?(*-#90#; " ขิงบ่นอุบเอาฮาเป็นหมีกินผึ้ง ทุกคนบนโต๊ะต่างพากันหัวเราะอย่างสนุกสนานให้กับอาการของขิง.. ผมเองก็อดหัวเราะตามไม่ได้ ในใจผมก็พลางคิดไปด้วยว่า.. "ก็เพราะว่าพี่คือ Jakk Goodday ยังไงล่ะขิง…" --- nostr:naddr1qq4xc6tnw3ez6c35x5mrse3kxuknzctrvgkngdekvykkyd3jv5kkxepnx3jrzepcxuenqespp4mhxue69uhkummn9ekx7mqzyrvrpmnm0sc2xe93y39h0xhmknc4vuellwxgwg6ssm3xkz6wv8xkyqcyqqq82vqg5wtcr --- nostr:nevent1qqsxh2w09j96vh2cwa8f49904unj7s9rtkftcy7jrgp9qx056q9sgzqpz9mhxue69uhkummnw3ezuamfdejj7q3qmqcwu7muxz3kfvfyfdme47a579t8x0lm3jrjx5yxuf4sknnpe43qxpqqqqqqz63wvy8

@ 0b963191:fc5e7ffd

As I continue to work on the concept of storage relays (see my last post about this on my profile) I have come to think about some of the strengths and weaknesses of current storage solutions both on Nostr and in general and how my humble project seeks to draw from the parts I think are useful. ## Some of the issues with decentralized data storage A lot of people have spoken about solutions to decentralized storage in terms of using the following: * IPFS * Torrents * Multiple file hosts * Nostr relays * P2P solutions ### IPFS I never really got IPFS working and Fiatjaf has a great series of posts outlining his experiences with IPFS not functioning. It seems that unless you pin your data or have it up for a long time, you’re not going to be able to share much to many people. Of course, others seem to have better luck hosting and retrieving data and maybe I am not using it correctly. #### Upside of IPFS I think the idea of doing away with the concept of URLs (mostly) and locating data based on some inherent feature of the data might be a better way to interface with data on the Internet. This is especially true for a system that works to be decentralized. Users don’t REALLY care about what directory structure a file lives in on another computer but rather just want to retrieve that file. This is where I think IPFS’s concept makes sense. #### Downside of IPFS There seems to be a lot of overhead needed to interface with the IPFS network, something that I doubt Nostr clients or webpages would be able to incorporate. A workaround is using proxy servers that address the data in legacy URL structure and bring back the centralized point of failure. I also personally never retrieve something I want over the network unless it’s something that has been around for ages. ### Torrents Torrents always seem to be brought up around the discussion of decentralized storage. Torrents work great for popular data and for large data sets. It also has a bad reputation (because a lot of that popular data are movies and music). #### Upside of Torrents The idea of magnet links and descriptor files to piece together data also moves away from the URL structure of pulling down files over the Internet. Being able to pull in chunks of data from multiple sources that individually may be fleeting and unreliable on the network makes torrents work well. #### Downside of Torrents If you ever tried to download an obscure movie or ebook from a torrent you’ll see that torrents work great with popular data and not so well with lesser consumed things. It also doesn’t scale down very well if you want to post a small file or video. The overhead for torrenting also requires implementing a torrent client which may not scale down for social media and other casual data transfers. ### Multiple file hosting services Particularly on Nostr there are a few great people providing image and data hosting services with freedom technology in mind. This has helped make Nostr user friendly with media as many clients integrate image and video uploading with these services right in their client. Additionally having these files uploaded in multiple places and potentially having metadata seek the file from either one of these sources can help with redundancy and central points of failure issues. #### Upside of file hosting services These services are stable and easily integrated into the web and other Nostr clients. The people who run these services have privacy and freedom in mind when running their services. #### Downside of file hosting services These services are individually centralized and also do not have a common API across each of them to generically interface with. There are also failure points both from technology and legal standpoints where a service could be shut down. There’s also a trust issue broadly that the file you upload will be the one that users will access without tampering. This is true whether there is a redundancy setup across multiple hosts or not. ### Nostr relays Nostr Relays are a thought that many, including myself have thought about for hosting data beyond text. Perhaps having a special Kind for just data or embedding the data within a note. Having notes that are cryptographically signed and stored provides a level of attestation to the data someone would post and make it tamper resistant. #### Upside of Nostr The simple concept of Nostr and notes being addressable in multiple ways (nevent, note, naddr, etc) makes things both consistent and tamper resistent. With the number of relay operators out there, the network effects of both users and operators would make it a strong choice. #### Downside of Nostr Nostr searches give you everything, really EVERYTHING. Embedded data being pulled in on a search would put considerable strain on both the client and the relay operator. Subjectively I also don’t think that relay operators who already house a lot of nostr events want to also arbitrarily handle medium to large data by default. Custom relays seem counter to the protocol specifications and also seem a little hacked together. Nostr may not need to be for everything, including non-text data storage. ### P2P solutions (broadly) Peer-to-Peer solutions have worked well for many use cases of sharing data. Software like Keet allowed me to share a large video file with friends in very little time. #### Upside of P2P Being able to get data to and from someone directly cuts out censorship. In many cases things can be fast and generally reliable. On larger P2P networks, there may be tradeoffs on speed and you can use the network effects of a pool of peers to get what you want. #### Downside of P2P Like with torrents, there is a lot of overhead to start with for sharing data in certain use cases. Posting something on Nostr and having each client peer with you or someone else to get the data will be unreliable at best. At worst you may end up with an IPFS problem. ## Plugging my storage relay idea So all of the above is to show my journey in thinking about other technologies and how they could be used with Nostr and the internet in general. For the use cases I have in mind with social media and file sharing access there are strengths I find very useful and tradeoffs that may not fit. Decentralized storage is a hard problem (I didn’t even mention the moderation aspect for some solutions). The software I am currently working on borrows heavily from Nostr and torrents. It is designed to be simple with the concept of pointer addressable content. It is designed to have dumb servers and smart clients. The client dictates the context of the file, the server\relay stores the data. The pointers and content are designed to be cryptographically tamper resistant. It is designed not to be built on Nostr but rather integrated with it, using Nostr as an option for posting data descriptors. There are tradeoffs and issues that do need to be dealt with with a storage relay method such as spam, objectionable content, reliability of the software, and building up a network of enough hosts that makes it truly decentralized.

@ d830ee7b:4e61cd62

"One day, you guys will be speaking on stage, in the Orange pill council on stage..." The disbelief was apparent on everyone's faces with my serious demeanor, despite my apparent inebriation. I thought at the time, we were venturing towards Beer's tower 3. The sparkle in nostr:npub1a8wreeghu0j8g4zqgzex53sq38gjwjdp5czxnu3rfydnz8n8yu2spqkavy 's eyes... nostr:npub15l5mxmljftnnqur8gf2nkjj2yuemqy2kuly7yc29lx7x598svx5s447rgk seemed thrilled, nostr:npub1z7k4pffj7250eaydd3ya0v07mmzecylcq9cw5af68zu39q0k4u3qj6xre4, nostr:npub1qd6zcgzukmydscp3eyauf2dn6xzgfsevsetrls8zrzgs5t0e4fws7re0mj and others cheered out loud, While nostr:npub16hpaqcm8zhc6n4d79tu2mtsf9464093r4v3r7l5hq5tpsng3txesw3tu5f ...nearly shed tears. I have a penchant for uttering such whimsical statements... Then, when what I said turned into reality, Everyone thought of me as someone "diviner." Not at all... I never knew anything... I just had to stand by my words, That seemingly fanciful goal became the driving force, pushing us to find ways to reach it... Eventually, my prediction never came true because I was a prophet, but because we made it come true. Today, I've told many that... one day we will see tens of thousands of Thais on Nostr -- I'm not predicting the future, but I have set a goal. And I just have to find a way to make it happen... sustainably. Some might think I tend to push myself too hard. Truth be told, I've never felt pressured when striving to improve. It's exhilarating, lively, challenging, and keeps me intrigued each day. On the flip side, I'd wither away seeing the same old scenario day by day... that's just who I am. The youngsters were apprehensive, not yet daring to let loose and follow my rhetoric... They were just settling down with a cold beer after a hectic conference. They still saw themselves scurrying around like busy ants across the hall... once mere admirers of others on online platforms. How will I get to sit there one day? "That's why we need to find a way to make it happen. Since we don’t know how to do it today, it's the difficulty that urges us to find a way." The more I spoke, the more baffled the youngsters got. Sometimes, when you're at the forefront, you simply have to make others believe... you're leading them from the "impossible" to the "possible." You need to find a way to assure them they’re good enough to do it, or even better than just enough… Motivation and confidence are not built merely by words. The process, various strategies, and gradual results along the adventurous path reinforce them far better. I made a promise to the youngsters, "If you guys strive to improve yourselves enough, I promise to strive to find ways to make it happen too... We are Bitcoiners, we believe in the 'Proof of Work' philosophy and that's our way forward. From here on... we just have to make sure... we're ready when it's time to really sit on those seats. We’ll hone every necessary skill to have enough confidence to make it happen. We'll evolve to be worthy of the upcoming opportunity..." Clangggg!!! The sound of clinking glasses resonated without any prior arrangement, with some slightly spilling their beer. It revealed the flaming determination simmering within them. They clinked their glasses with utmost sincerity. At that moment, I secretly harbored a thought... Don't break those glasses, guys... heh, heh. "Would you dare to do that for real?" Someone chimed in, saying... "I will try not to let you down." I stared at the speaker for no less than 5 seconds, without uttering a word. His eyes were trying to tell me... Was that merely sweet talk, or did it spring from his true intent? "Good!!" That's all I exclaimed. "Work hard in silence, let your success be your noise." Eventually, they strived to improve themselves, to one day sit alongside the professors they idolized... nostr:naddr1qq9rzd3exuursv3sxsmqygxv5lh4g8dcx6y5z0vht38k5d0ya3eezk39jmrhqsfdj2rwwv33wcpsgqqqwens4nqjy5 You need to have a goal to make your tomorrow intriguing. You will go out and live to find the way to that goal. The expectations you set for your own amusement and personal joy will not create any pressure on you. There's no timeline, just the desire to make it happen swiftly. It opens up opportunities for us to explore and learn new skills. It keeps us constantly striving to improve ourselves. It makes us review every action of ours to find points that can still be better. We are open to criticism and welcome every suggestion because we want to be good enough to get there... Today, you guys have gone through the Work and Proofed yourselves worthy of what's happening in the picture... The only person you should thank is yourself... Thank yourself for the effort and absorb those good feelings. As for me? I sit smiling, watching you guys grow from a distance. I am happy too... It's just a pity that I don't have a cold craft beer in hand.  --- When I say... we will have tens of thousands of people on Nostr using #siamstr, it's not going to happen because I predicted it. But it can happen when all of us in the community come together, helping each other out, each contributing a bit, finding ways to make it happen. Whether the results are slow or fast, we will always be aware that we are doing various things for a reason... We will set goals for ourselves to fill in what's lacking, to complete every factor that will take us there. We will see every unknown as an opportunity, an opportunity to enlighten ourselves. At the very least, not knowing what we don’t know is valuable, as it will help guide us to the answers... I just hope to see everything happening and growing sustainably going forward... I mean the sustainable happiness of every community member... "What's your dream, Nim?" Young Nim, on a day filled with both daring and dread, was asked this by me months before the conference event unfolded... "I want to interview Bit, I enjoy listening to Bit." "Okay... If I make it really happen, will you do it?" "Will that day really come?" "It will... if you strive to improve yourself enough..." > There is no greater weapon than a prepared mind. — Zhuge Liang ---  <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/imkzhJBQO4w?si=90pP5LSGm3xohy8D" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> --- nostr:naddr1qq4xc6tnw3ez6c35x5mrse3kxuknzctrvgkngdekvykkyd3jv5kkxepnx3jrzepcxuenqespp4mhxue69uhkummn9ekx7mqzyrvrpmnm0sc2xe93y39h0xhmknc4vuellwxgwg6ssm3xkz6wv8xkyqcyqqq82vqg5wtcr

@ d830ee7b:4e61cd62

"วันหนึ่งพวกแกจะได้นั่งพูดบนเวที สภายาส้ม on stage.." ทุกคนแสดงสีหน้าไม่ค่อยเชื่อในคำที่ผมหลุดออกไปด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างจริงจังแม้ผมจะเมามากแล้วก็ตาม ผมคิดว่าตอนนั้นพวกเรากำลังเดินทางเข้าสู่ทาวเวอร์ที่ 3 แววตาของขิงเป็นประกาย.. จิงโจ้ดูตื่นเต้น อิสระ อาร์ม ต่างก็ร้องว้าวออกมา ในขณะที่ซุป.. น้ำตาแทบไหล ผมชอบพูดอะไรบ้าๆ แบบนี้เอง.. หลังจากนั้นเมื่อสิ่งที่ผมพูดกลายเป็นจริง ทุกคนก็เอาแต่คิดว่าผมเป็นผู้ "หยั่งรู้" เปล่าเลย.. ผมไม่เคยหยั่งรู้อะไรทั้งนั้น.. ผมก็แค่ต้องรับผิดชอบต่อคำพูดตัวเอง เป้าหมายที่ดูเพ้อฝันนั้น จะเป็นแรงบันดาลใจผลักดันให้เราพยายามหาหนทางไปถึงมันให้ได้.. สุดท้ายแล้วคำทำนายของผมไม่เคยกลายเป็นจริงเพราะว่าผมเป็นเทพพยากรณ์ แต่มันเป็นเพราะเราลงมือทำให้มันกลายเป็นจริงขึ้นมาต่างหากล่ะ.. เมื่อวันนี้ผมบอกกับใครหลายๆ คนว่า.. วันหนึ่งเราจะเห็นคนไทยนับหมื่นคนอยู่บน Nostr -- ผมไม่ได้กำลังทำนายอนาคต แต่ผมได้กำหนดเป้าหมายเอาไว้แล้วต่างหาก และผมก็แค่ต้องหาวิธีทำมันให้เกิดขึ้นให้ได้เท่านั้นเอง.. อย่างยั่งยืน บางคนอาจคิดว่าผมชอบรีดเค้นและกดดันตัวเองมากเกินไป เอาเข้าจริง.. ผมไม่เคยรู้สึกกดดันเมื่อต้องทำบางอย่างให้ดีขึ้นมา ผมรู้สึกสนุก มีชีวิตชีวา รู้สึกท้าทายและอยากตื่นขค้นมาทำมันในทุกๆ วัน ในทางกลับกันผมจะห่อเหี่ยวรุนแรงหากต้องเห็นเพียงอะไรแบบเดิมๆ ไปวันๆ ..ผมเป็นคนแบบนั้น --- เด็กๆ ต่างไม่กล้าจินตนการและยังไม่กล้าปล่อยตัวปล่อยใจให้หลงไปตามคำพูดของผม.. พวกเขาพึ่งได้นั่งลงจิบเบียร์เย็นๆ หลังจากจัดงานคอนเฟอร์เรนซ์ลุล่วงไปหมาดๆ พวกเขายังเห็นภาพตัวเองวิ่งเต้นเป็นมดงานไปทั่วฮอลล์.. พวกเขาเคยแค่เพียงชื่นชมคนอื่นๆ บนสื่อออนไลน์ วันหนึ่งข้างหน้าฉันจะไปนั่งบนนั้นได้อย่างไร? "นั่นแหละคือเหตุผลที่เราต้องหาทางทำให้มันเกิดขึ้น เพราะวันนี้เราไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ก็เพราะมันยากนี่แหละ เราจึงต้องหาวิธีทำมันให้เจอ" ผมยิ่งพูด ยิ่งสร้างความสับสนให้น้องๆ บางครั้งเมื่อคุณต้องเดินอยู่บนหัวแถว คุณก็แค่ต้องทำให้ทุกคนเชื่อว่า.. คุณจะพาพวกเขาทำ "สิ่งที่เป็นไปไม่ได้" ให้ "เป็นไปได้" คุณต้องหาวิธีทำให้พวกเขามั่นใจว่าพวกเขาดีพอที่จะทำมันได้ หรือดีเกินกว่าที่จะทำได้เพียงแค่นั้น.. กำลังใจและความเชื่อมั่นไม่ได้สร้างด้วยเพียงแค่คำพูด กระบวนการและแนวทางต่างๆ รวมทั้งผลลัพธ์ที่ทะยอยเกิดขึ้นบนเส้นทางผจญภัยจะช่วยเสริมสร้างสิ่งนี้ได้มากยิ่งกว่า ผมให้มั่นสัญญากับน้องๆ ว่า.. "ถ้าพวกนายพยายามพัฒนาตัวเองกันมากพอ พี่ก็สัญญาว่าจะพยายามช่วยหาทางให้มันเกิดขึ้นให้ได้เช่นกัน.. พวกเราเป็นบิตคอยเนอร์ พวกเรายึดมั่นในปรัชญา 'Proof of Work' และนั่นแหละคือหนทางของพวกเรา.. จากนี้ไป.. พวกเราแค่ต้องทำให้แน่ใจว่า.. เราจะพร้อมเมื่อต้องไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นจริงๆ เราจะฝึกฝนทุกทักษะที่จำเป็นเพื่อให้เรามั่นใจพอจะทำมันให้ได้ เราจะปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้คู่ควรกับโอกาสที่กำลังจะมาถึง.." แกร๊งงงงง!!! เสียงชนแก้วกันโดยไม่ได้นัดหมายและมีบางคนที่ทำเบียร์หกบ้างเล็กน้อย มันแสดงให้เห็นถึงพลังความมุ่งมั่นที่กำลังลุกโชนเช่นเปลวไฟของพวกเขา พวกเขายกแก้วเข้าปะทะกันอย่างจริงจังมากๆ นาทีนั้นผมก็แอบคิดในใจอยู่เหมือนกัน.. อย่าทำแก้วเค้าแตกนะพวกมึง.. เหอ เหอ "ถ้าต้องทำแบบนั้นจริงๆ พวกแกจะกล้าไหม?" มีบางคนพูดแทรกขึ้นมาว่า.. "ผมจะพยายามไม่ทำให้พี่ผิดหวังครับ" ผมจ้องตาคนพูดไม่ต่ำกว่า 5 วินาที โดยที่ผมไม่พูดอะไร แววตาของเขาจะบอกกับผมว่า.. นั่นแค่เพียงคำพูดสวยหรูเอาอกเอาใจ หรือ มันหลุดออกมาจากความตั้งใจของเขาจริง ๆ "ดี!!" ผมพูดเสียงดังออกมาเพียงแค่นั้น.. สุดท้ายพวกเขาก็พยายามพัฒนาตัวเองกันจยสามารถไปนั่งเคียงข้างอาจารย์ผู้เป็นไอดอลของตัวเองได้.. ---  คุณต้องมีเป้าหมายเพื่อทำให้วันพรุ่งนี้ของคุณยังน่าสนใจ คุณจะออกไปใช้ชีวิตเพื่อค้นหาแนวทางไปสู่เป้าหมาย สิ่งที่คุณคาดหวังเอาเองบนความสนุกและความสุขส่วนตัวนั้น จะไม่สร้างความกดดันอะไรให้คุณ มันไม่มีกำหนดเวลา มันจะมีแค่อยากทำให้มันเกิดขึ้นไวไว.. มันเปิดโอกาสให้เราได้ค้นคว้าและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ มันทำให้เราพยายามพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ มันทำให้เราต้องทบทวนทุกการกระทำของตัวเองเพื่อหาจุดที่ยังสามารถดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ เราจะรับฟังคำตำหนิติเตียนและเปิดรับเอาทุกคำแนะนำ เพราะเราต้องการจะดีพอที่จะไปให้ถึงตรงนั้น.. วันนี้พวกนายได้ผ่านการ Work และ Proof ตัวเองมามากพอจนคู่ควรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพแล้ว.. คนเดียวที่นายต้องขอบคุณ คือ ตัวนายเอง.. ขอบคุณตัวเองที่พยายามและจงซึมซับความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นไป พี่น่ะเหรอ? พี่นั่งยิ้มและมองดูพวกนายเติบโตจากที่ไกลๆ พี่ก็มีความสุขแล้ว.. เสียดายก็เพียงแค่พี่ไม่มีคราฟท์เบียร์เย็นๆ อยู่ในมือ การที่ผมพูดว่า.. เราจะมีผู้คนบน Nostr นับหมื่นคนที่ใช้ #siamstr มันจะไม่เกิดขึ้นเพราะผมทำนายเอาไว้หรอกนะครับ แต่มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเราทุกคนในคอมมูนิตี้ร่วมด้วยช่วยกัน คนละไม้คนละมือ หาทางทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าผลของมันจะช้าหรือเร็ว แต่พวกเราจะตระหนักรู้อยู่เสมอว่าเรากำลังช่วยกันทำสิ่งต่างๆ ไปเพื่ออะไร.. เราจะมีเป้าหมายให้กับตัวเองเพื่อทำให้ตัวเองทำได้ในสิ่งที่ขาด เติมเต็มทุกปัจจัยที่จะพาเราไปสู่จุดนั้น เราจะมองทุกความไม่รู้ว่าคือโอกาส โอกาสที่เราจะทำให้ตัวเองรู้แจ้ง อย่างน้อยการไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไรย่อมมีคุณค่า เพราะมันจะช่วยนำทางเราไปหาคำตอบได้.. ผมก็แค่หวังจะได้เห็นทุกอย่างเกิดขึ้นและเติบโตไปข้างหน้าในแบบยั่งยืน ..ผมหมายถึงความสุขที่ยั่งยืนของสมาชิกคอมมูทุกๆ คน.. --- "ฝันของน้องนิ่มที่อยากทำคืออะไรคะ?" น้องนิ่มในวันที่ยังกล้าๆ กลัวๆ ถูกผมถามแบบนี้เมื่อหลายเดือนก่อนหน้าที่จะเกิดงานคอนเฟอร์เรนซ์เสียด้วยซ้ำ.. "นิ่มอยากสัมภาษณ์พี่บิทค่ะ.. นิ่มชอบฟังพี่บิท" "โอเค.. ถ้าพี่ทำให้มันเกิดขึ้นได้จริงๆ น้องนิ่มจะทำมันได้ใช่ไหม?" "มันจะมีวันนั้นจริงๆ เหรอค่ะ?" "มีสิ.. ถ้าน้องนิ่มพยายามพัฒนาตัวเองให้มากพอ...." 

@ 880f9671:9c4336ce

## Chef's notes The sauce portion of this recipe was handed down to me from my mom. It is nothing novel or mind blowing, but it was always the best tasting sauce I had as a kid. It remains that way as an adult. ## Details - ⏲️ Prep time: 30 min - 🍳 Cook time: 6 hous + - 🍽️ Servings: 4 ## Ingredients - 3 lbs Italian sausage - hot, mild, or mixed - 3 tbsp extra virgin olive oil - 1 white onion - 4 cloves garlic - 16 oz tomato sauce - 6 oz tomato paste - 1 tsp of each - salt, pepper, cayenne, chili powder, chipotle powder, basil, oregano ## Directions 1. First, feel free to add or subtract from the 1 tsp of spices above. That is just a baseline amount and baseline of the spices I prefer. 2. Preheat oven to 400 degrees F 3. Place sausage on a cooking tray with lipped edges. Foiling the tray and putting the sausage on a baking rack is recommended. 4. Score the sausage in the size slices you would like to consume when finished cooking. 5. Cook sausage for 25 min 6. Dice onion and mince garlic 7. Place a large pot, preferably enameled cast iron (Le Creuset-like) on the stove on medium heat. 8. When the pot is warmed up, add olive oil and coat the bottom thoroughly. 9. When olive oil is hot, but before smoking, add onions and garlic. Cook until the onions are translucent. 10. When onions have reached translucency, add tomato sauce and tomato paste. 11. Stir mixture until smooth and the texture is consistent throughout. 12. Take finished sausage out of the oven and cut them along the score lines. Add to sauce. 13. Mix the sausage and sauce together, and lower the heat to simmer. 14. Stir the sauce every 30 min or so, constantly tasting. Add spices as desired. 15. The mixture can be eaten once the sauce has thinned out due to the rendering of the fat into the sauce, but the longer it simmers, the better. 16. Serve in a bowl and eat with a fork (my recommendation, but do whatever you please here). Add fresh grated parmesan, red chili flakes, and oregano as desired.

@ d830ee7b:4e61cd62

Imagine stepping into a new city where everyone greets you with a unique, heartfelt "**hello**" every morning. 🌞 It's like walking into a coffee shop and the barista knows your name and your favorite drink. That's the kind of warmth you feel in the **#Siamstr** community on Nostr. The locals have a simple yet powerful way of saying good morning: they just write "**GM.**" Now, if you're new to this digital '**city**,' you might experience what's often called "**culture shock.**" 😲 But let's tone it down a bit and call it an "**impression**" instead. 😊 What's fascinating is that this simple "**GM**" greeting holds a deep and surprising value. It's like a secret handshake that makes you part of the community. 🤝 So, if you're new to Nostr and you see people in the #Siamstr community exchanging "**GM**," don't be shocked. Be impressed! It's a simple yet profound way the community has of acknowledging each other, like a nod between jazz musicians in the middle of a jam session. 🎶 Isn't it amazing how something so simple can hold so much meaning? 🌟  ## The Balancing Act of the Free Market 🤹‍♂️ Imagine you're at a party where everyone is handing out little "**Good Morning**" notes. At first, it's all fun and games; you're thrilled to get these notes. But as the night goes on, you find your pockets overflowing with them. You start to feel overwhelmed. 🥴 This is a lot like the digital world we live in. We all love to start our day with a warm cup of coffee ☕ and a bunch of good morning messages. But let's be real, not every day allows us the luxury to sit back and respond to each one. I mean, who has the time when you're rushing to catch the morning train, right? 🚂 ## The Economics of Good Morning Notes 📈 So, what happens when the supply of these GM notes starts to outweigh the demand? Well, the market starts to adjust itself naturally. It's like when you have too many apples 🍎 in a season; not everyone wants to make apple pie. If you're the one sending these GM notes, you might start to notice that not everyone is responding. And that's okay! Maybe they just send back an emoji, or maybe they just see it and move on. The point is, you've made your presence felt, and that's enough. 🌟 ### Price Signals 🏷️ In a free market, the "**price**" serves as a signal for scarcity or abundance. For our GM notes, the "**price**" isn't monetary but rather the value or attention people give to these notes. If your GM notes are getting a lot of attention, it's like saying the "**price**" of your notes is high. It signals to you that what you're offering is in demand. 📊 ### Entrepreneur discovery 🎩 In this scenario, the entrepreneur is you, the note-sender. You have the power to identify and respond to market imbalances. If you notice that your GM notes are a hit, you might be encouraged to keep sending more. It's like finding a gold mine and deciding to dig deeper. 🪙 ### Profit and Loss 💰 In the free market, profit and loss guide resource allocation. In our GM note economy, "**profit**" isn't about earning money but rather the value you gain from the interaction. Maybe it's a heartfelt reply, or perhaps it's a simple emoji. Either way, it's a win. 🏆 On the flip side, "**loss**" could mean spending a lot of time crafting a beautiful GM note but getting zero engagement. It's like baking a cake 🍰 and finding out nobody wants a slice. > "In reality, the free society on Nostr is driven by the principle of '**Value for Value**.' Having a genuine relationship with others is far more valuable than creating cool notes." Imagine a community garden where everyone brings something to the table—some bring seeds, some water, and others bring their gardening skills. The "**Value for Value**" principle is like that; it's the soil that nourishes this garden of free society on Nostr. It's not just about showing off your fanciest flowers or having the tallest tree. No, it's about the real, down-to-earth connections you make with your fellow gardeners. Those connections are the true treasures, far outweighing the value of any individual plant. 🌱🤝 ### Competition Competition in a free market boosts the efficiency of content and sparks new innovations. 🌟 Think of it this way: Authors or note-makers (the producers) try to meet the needs of the readers (the consumers) at a price they can compete with. It's like a dance where both parties are trying to find the right rhythm. The "**price**" here isn't just money; it's the resources spent to make the content appealing enough to get a satisfying return. 💃🕺 These creative minds are always on the lookout for ways to up their game. They're like chefs in a kitchen, intentionally or unintentionally tweaking their recipes. They come up with new content styles, develop more efficient writing processes to lower costs, and overall, aim to serve a better dish. 🍲 All of this fuels a healthy competitive spirit in the market. And the best part? No one sees their competitors as enemies but rather as personal challenges to raise the bar. It's like a friendly sports match where everyone's skills get better, benefiting the entire community. 🏆 What I've described here happens naturally, without the need for any overseeing body or guidelines. It's like a garden that grows and flourishes on its own, without the need for a gardener to dictate how each plant should grow. 🌱  So, there you have it, the free market dynamics of Good Morning notes, explained through the lens of Austrian Economics. Whether you're a note-sender, a note-receiver, or both, understanding these principles can help you navigate this social exchange more wisely. 🌐 Happy note-sending! 💌 These understandings show us that '**the free market is self-evolving**.' It aims to achieve and maintain balance over time, naturally seeking an equilibrium between supply and demand without any external interference. This adaptation to changing conditions and needs aims for the efficient allocation of resources for each individual. Everyone wants to maximize satisfaction for readers or content consumers, which in turn promotes the economic growth of this free market. It's evident that, in the mechanics of the free market, those who benefit the most seem to be the '**consumers**.' Isn't that a good thing and something we all want to happen?" Imagine a bustling farmers' market where vendors set up their stalls, each offering something unique—fresh fruits, handmade crafts, or delicious pastries. 🍎🎨🥐 This market doesn't need a conductor; it's like an orchestra that tunes itself. The vendors adjust their prices and offerings based on what people want, and the customers vote with their wallets. It's a dance of supply and demand, and the music never stops. The market is always adapting, like a river finding its way around rocks and bends. 🌊 It's all about making sure the right goods end up in the right hands, efficiently and fairly. And who gets the best deal in this market? **The consumers!** They get to enjoy a variety of quality goods at competitive prices. It's a win-win situation that keeps the market vibrant and growing. 📈🎉  So, isn't this self-balancing, ever-adapting market something we all want to see flourish? 🌱🌟 By the time you finish reading this article, you'll have a better grasp of the self-balancing mechanisms of the free market. You'll understand the ins and outs of what happens within a community. Why do some people get all the attention, while others go unnoticed? Why is a particular trend so popular right now? What happened to the once-popular trends that have now disappeared? Imagine you're at a beach party. 🏖️ Some people are the life of the party, dancing and laughing, while others are just chilling in the corner. Ever wonder why? It's like the tide—sometimes you're in, sometimes you're out. 🌊 You see, there's this '**invisible DJ**'—let's call it the market force—that's setting the playlist. 🎶 You don't have to stress about why a certain song is a hit and another isn't. Just groove to the music and enjoy the vibe. 💃🕺 It's like surfing; you don't control the waves, but you can learn how to ride them. 🏄‍♀️ So, why worry about the 'why' and the 'what ifs'? Some questions are like clouds; they come and go without needing an answer. ☁️ So, let's not overthink it. Let's just sit back, enjoy our coffee, and watch the world go by. ☕🌅 Cheers to the bright sunshine and the ever-changing tides of life! 🌞 #siamstr As for the 'G'—well, that's another wave to catch, isn't it? 🌊🤙  --- > **PS.** This article is an English adaptation of my own original Thai piece, "[Cultural Harmony Makeover.](https://habla.news/u/jakk@rightshift.to/1697778792833)" It has been slightly revised to better suit an English-speaking audience.

@ d830ee7b:4e61cd62

ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นเองอย่างเสรีกำลังกลายเป็น "**Culture shock**" สำหรับผู้มาใหม่บน Nostr ผมอาจใช้คำรุนแรงเกินไปหน่อย ขอเปลี่ยนจาก Shock เป็น "**Impress**" (ประทับใจ) ก็แล้วกันนะครับ :) ผมกำลังพูดถึงวัฒนธรรมการโน๊ตทักทายกันยามเช้าของชาวตรู่ #siamstr (แฮชแท็กหลักของผู้ใช้ Nostr ชาวไทย) ที่เขียนกันสั้นๆ เพียงแค่ "**GM**" แต่กลับมีพลังและมอบคุณค่าอันลึกซึ้งให้แก่กันได้อย่างน่าประหลาดใจ.. ### "GM | "GN #Siamstr" GM (Good morning) มันกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่บนสังคมแห่งนี้ไปแล้ว จนผู้มาใหม่ต่างประหลาดใจ ถึงขั้นถามผมว่า มันคืออะไร ? เลยก็มี ในอดีตการกระทำในลักษณะนี้เรามักจะเห็นตาม **"กลุ่มไลน์ สว."** ที่มักส่งภาพดอกไม้สวยๆ ให้กันพร้อมคำกล่าว สวัสดีวันจันทร์, อรุณสวัสดิ์วันพุธ ฯลฯ เราไม่เคยเข้าใจว่าผู้ใหญ่ท่านทำอะไรกัน? พวกท่านทำเรื่องแบบนี้ไปทำไม? เราไม่เคยเข้าใจ.. จนกระทั่งเรากลายเป็นผู้ที่อยากทำมันด้วยตัวเอง และมันเป็น "**ความอยาก**" ที่พวกเราเองก็แทบไม่รู้ตัว ตามความเห็นของผม.. สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะเรา "**มีความสุข**" และ "**มีความปรารถนาดี**" ที่จะส่งมอบ "**ความสุข**" นั้นไปยังคนอื่นๆ เราต่างรู้กันดีว่า.. มันไม่จำเป็นต้องเขียนโน๊ตยาวๆ (แบบ Jakk Goodday) เพื่อสร้างคุณค่า เรารู้สึกแค่เพียงว่า.. > เราแค่อยากทักทายใครสักคนในยามเช้าด้วยเพียงรอยยิ้ม เราไม่ได้มีอะไรอยากเขียนเป็นพิเศษ เราแค่อยากกล่าวทักทายกับเพื่อนๆ กับคนที่เรารู้สึกดี เมื่อได้รู้จักหรือมีปฎิสัมพันธ์กับพวกเขา มันน่าจะแค่นั้นเอง.. มันกี่ปีมาแล้วล่ะ? ที่พวกเรามักต้องเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วย "**พลังลบ**" เริ่มต้นทุกวันด้วยเรื่องราวดราม่าที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับตัวเอง พลังลบๆ ที่ผู้คนมากมายต่างสาดเข้าใส่กันบนสังคมออนไลน์เดิมๆ ที่เราก็เริ่มสะอิดสะเอียน เราลึกๆ ล้วนถวิลหาความสุขกันอย่างง่ายๆ มาโดยตลอด เพียงแต่เรานั้นอาจยังไม่รู้ตัว.. หรือแม้นจะรู้ตัว ก็ไม่รู้ว่าจะหามันได้จากที่ไหน.. ความปรารถนาของปัจเจกมากกว่าร้อยคนนี้ ได้หลอมรวมกลายเป็นวัฒนธรรมใหม่แห่งความสุขบน Nostr มันทำให้พวกคุณรู้สึกกันอย่างไร? คุณเขียนบรรยายมันออกมาเองได้ดีกว่าผมเขียนให้อย่างแน่นอนครับ..  ### การปรับสมดุลของตลาดเสรี เมื่อผู้คนเริ่มส่งความสุขให้แก่กันผ่าน GM/GA/GN มากขึ้นเรื่อยๆ จำนวนโน๊ต GM จะมากจนกลายเป็นภาระในการตอบสนองของใครหลายๆ คน มันคงเป็นเรื่องยาก.. สำหรับคนที่มีช่วงเช้าอันเร่งรีบและมีเวลาให้หยิบจับมือถือน้อยเหลือเกินเมื่อกำลังเริ่มต้นวันใหม่ ไม่ต้องนึกถึงคนอื่นคนไกล ผมคนหนึ่งแหละที่เป็นแบบนั้น ผมอยากจะนั่งลงพร้อมกาแฟอุ่นๆ และละเมียดละไมไปกับการกล่าวทักทายเพื่อนๆ แต่ละคนเพื่อน้อมรับเอา "**พลังบวก**" ก่อนออกไปสู้ชีวิต แต่มันคงทำแบบนั้นทุกวันไม่ได้จริงๆ ผมเองก็พยายามเข้าใจเรื่องนี้ และไม่คาดหวังสิ่งใดเมื่อตัวเองเลือกจะโน๊ต GM เหมือนคนอื่นๆ ผมขอแค่ให้ใครๆ ได้เห็นว่าผมตื่นเช้าขึ้นมากล่าวทักทายพวกเขา แม้จะไม่มีการตอบกลับจสกใครๆ จะแค่กดอิโมจิ กด Zap หรือแค่ "**เห็นมันผ่านตา**" ผมก็พอใจแล้ว สิ่งนี้กำลังจะอธิบายเกี่ยวกับกลไกตลาดเสรีได้อย่างไร้รอยต่อ เมื่อ "**อุปทาน**" (หรือ Supply - ในที่นี้คือจำนวนโน๊ต GM) มันเริ่มล้นจนไม่พอดีกับ "**อุปสงค์**" (หรือ Demand - ในกรณีนี้คือ ความต้องการที่จะตอบสนองโน๊ต GM ยามเช้าๆ หรือความสะดวกที่จะตอบสนองมัน) ตลาดจะเริ่มทำการปรับสมดุลไปเองตามธรรมชาติ.. ผมอยากเชิญชวนทุกท่านให้พยายามทำความเข้าใจกับเรื่องนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการน้อยเนื้อต่ำใจ หรือความท้อแท้เมื่อไม่ได้รับการตอบสนองบางอย่างจากตลาด หรือเพียงรู้ไว้ใส่บ่าก็เกิดเป็นคุณค่าได้แล้ว..  ผมขอชวนทุกท่านมาลองปรับใช้แนวคิดกันเล่นๆ สนุกๆ มาลองดูกลไกการปรับสมดุลของตลาดเสรีตามหลักการและแนวคิดของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียนกันครับ ### สัญญาณราคา ในตลาดเสรี "**ราคา**" ของสินค้าและบริการจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นถึง "**ความขาดแคลน**" (Over demand) หรือ "**ความอุดมสมบูรณ์**" (Over supply) ซึ่งผู้ผลิตหรือผู้บริโภคมักจะทำการตอบสนองต่อสัญญาณดังกล่าว ในกรณีของเรา.. การโน๊ต GM ไม่ใช่สินค้าหรือบริการที่เราจะสามารถนิยามมันได้อย่างตรงไปตรงมา "**ราคา**" ของมันคงเกี่ยวข้องกับ "**คุณค่า**" ที่ผู้บริโภค (ผู้อ่าน) จะตอบสนองหรือมอบให้กับโน๊ตนั้น หากเปรียบเทียบว่าโน๊ต GM นั้นมีราคาแพง ก็คงจะเห็นได้จากปฏิกิริยาการตอบรับจากตลาดที่ผู้ใช้ "**จ่ายคุณค่า**" ของตนให้กับโน๊ตนั้นๆ นั่นเอง.. "**ราคาที่เพิ่มขึ้น**" จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้กับ "**ผู้ผลิต**" (หรือใครก็ตามที่กำลังอยากเขียนโน๊ต GM) ได้เล็งเห็นว่า.. มันมีโอกาสที่จะเพิ่มหรือนำเสนออุปทานที่ตลาดจะให้ราคาที่ดี สัญญาณราคานี้เองที่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยปรับสมดุลให้กับตลาดเมื่อเวลาผ่านไป.. ### การค้นพบของผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการในที่นี้ หมายถึง "**ผู้เขียนโน๊ต**" ซึ่งรวมถึงผมและพวกเราทุกคนด้วย ผู้เขียนโน๊ตมีบทบาทสำคัญในการ "ระบุ" และ "ตอบสนอง" ต่อความไม่สมดุลของ demand-supply ผู้เขียนโน๊ตที่มี "ความ**++สามารถในการรับรู้โอกาสทางการตลาด++**" จะจัดสรรทรัพยากร (องค์ความรู้, ความคิด, ความเห็น, เวลา ฯลฯ) เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค (หรือผู้อ่าน) หรือคว้าเอาโอกาสทางการตลาดนี้ หากเห็นว่ายังไม่มีผู้ใดนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังนั้น "**ครีเอเตอร์**" ที่มีความชำนิชำนาญ ที่อาจนิยามตัวเองว่าเป็นครีเอเตอร์มาจากที่บ้าน หรือท่านที่อาจไม่รู้ตัวเองว่าได้กลายเป็นครีเอเตอร์แล้ว มักจะตอบสนองต่อสมดุลอุปสงค์-อุปทานในตลาดได้อย่างชาญฉลาด และมักทำได้อย่างดิบดีสอดคล้องไปกับทิศทางลม ### กำไรและขาดทุน กลไกตลาดเสรีมักจะพึ่งพา "**กำไร-ขาดทุน**" ในการนำทางการจัดสรรทรัพยากร "**กำไร-ขาดทุน**" ในกรณีของเราไม่ใช่ กำไรที่ได้จากการ Zap ซึ่งคิดเป็นเงินในหน่วย Sats อะไรแบบนั้น.. เพราะทีนี่ เราไม่มีใครโน๊ตเพื่อหวังรวยจากการได้รับ Sats เราไม่ได้ค้ากำไรผ่านการโน๊ตกันอย่างบ้าเลือดขนาดนั้น "**กำไร**" ตามมุมมองผม เป็นเรื่องของ "**คุณค่า**" ที่เราจะได้รับเป็นการตอบแทนมาจากเหล่าผู้อ่าน เช่น เวลาที่ผู้อ่านสละให้กับโน๊ตเรา (แทนที่จะไปทำอย่างอื่น), คำขอบคุณหรือความพึงพอใจในทุกรูปแบบของผู้อ่านผ่านการ Zap, Comment, Reaction, Repost, ถูกกล่าวถึง, เกิดการถกเถียงต่อ ฯลฯ เหล่านี้แหละคือกำไรของผู้เขียนโน๊ต "**ขาดทุน**" ก็ค่อนข้างตรงไปตรงมา ผมจะยกตัวอย่างจากตัวผมเอง ที่เสียสละเวลาในการค้นคว้า เรียบเรียง นั่งกดมือถือพิมพ์ยิกๆๆ เพื่อเขียนโน๊ตยาวๆ แต่หากมันไม่ได้รับความสนใจ หรือไม่ได้รับคุณค่าตอบกลับมาเลย มันก็เปรียบได้กับการลงทุนลงแรงไปแล้วแต่กลับขาดทุน ผมจะถูกกระตุ้นจากตลาดให้นำทรัพยากรของตนไปใช้ในกิจกรรมที่ทำให้เกิดผลกำไรมากขึ้น (เอาเวลามาขยันโน๊ตยาวๆ) ในทางกลับกันหากขาดทุน ผมก็คงผลิตโน๊ตยาวๆ น้อยลงนั่นเอง ดังนั้นเมื่ออุปทานมากกว่าอุปสงค์ (โน๊ตยาวๆ มีมากจนเต็มคอมมูฯ มากเกินกว่าความต้องการอ่านหรือเกินเวลาที่ผู้อ่านจะอ่าสกันได้ทัน) "**ราคา**" ของโน๊ตยาวๆ ก็จะร่วงลงมา แรงจูงใจของคอมมูในการสร้างสรรค์โน๊ตยาวๆ ก็จะลดลง ### การแข่งขัน การแข่งขันกันในตลาดเสรีจะส่งเสริมประสิทธิภาพของตัวคอนเทนต์และนวัตกรรมใหม่ๆ โดยผู้เขียนโน๊ต (ผู้ผลิต) จะพยายามตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค (ผู้อ่าน) ในราคาที่ตนยังสามารถแข่งขันได้ (ทรัพยากรที่ต้องจ่ายไปในการแข่งขันจนได้รับผลตอบแทนที่ตนเองพึงพอใจ) กลุ่มผู้ผลิตเหล่านี้จะพยายามหาวิธีการปรับปรุงพัฒนาคอนเทนต์ของพวกเขา (ทั้งแบบตั้งใจและไม่แบบไม่รู้ตัว) เพิ่มหรือสร้างสรรค์แนวทางใหม่ๆ ผลิตเนื้อหาแนวใหม่ๆ ออกมานำเสนอ, พัฒนากระบวนการผลิต (เขียน) เพื่อลดต้นทุน (ทรัพยากรที่ต้องจ่าย) และเพิ่มคุณภาพให้กับเนื้อหา สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมความแข็งแกร่งของการแข่งขันภายในตลาดโดยไม่จำเป็นต้องมองคู่แข่งรายใดเป็นศัตรู แต่เป็นความท้าทายส่วนบุคคลในการยกระดับคุณค่าของเนื้อหาในภาพรวม ซึ่งจะกลายเป็นประโยชน์ต่อทุกคนภายในคอมมูนิตี้ > #### ทั้งหมดที่ผมว่ามานี้ เป็นกลไกที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องมีการกำกับดูแลหรือแทรกแซงแนวทางโดยหน่วยงานใดๆ เลยแม้แต่น้อย --- ความเข้าใจเหล่านี้ กำลังแสดงให้พวกเราได้เห็นว่า "**ตลาดเสรีนั้นมีการวิวัฒน์ตัวเอง**" มันมุ่งหวังจะบรรลุในสมดุลและปรับสมดุลตัวเองอยู่ตลอดเวลา เป็นการแสวงหาความพอดีระหว่างอุปสงค์และอุปทานที่ดำเนินไปเองตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีใครเข้ามาแทรกแซง การปรับการตอบสนองตามเงื่อนไขและความต้องการที่เปลี่ยนไปนี้ ก็เพื่อจุดมุ่งหมายในการจัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพของแต่ละบุคคล ทุกคนล้วนต้องการสร้างความพึงพอใจให้กับผู้อ่านหรือผู้เสพคอนเทนต์ให้ได้มากที่สุด และมีผลไปผลักดันส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของตลาดเสรีแห่งนี้ไปโดยปริยาย จะเห็นได้ว่า ตามกลไกตลาดเสรีนั้น ดูเหมือนผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจะกลายเป็น "**ผู้บริโภค**" ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีและเราอยากให้เกิดขึ้นไม่ใช่หรือ? ---  เมื่อคุณอ่านบทความนี้จบ คุณจะเข้าใจกลไกตลาดเสรีในแง่ของการปรับสมดุลตัวเองมากขึ้น คุณจะเข้าใจทุกๆ ความเป็นไปที่เกิดขึ้นภายในชุมชน ทำไมบางคนโน๊ตอะไรก็ดีไปหมด? ทำไมบางคนโน๊ตอะไรไปก็เหงาๆ เงียบๆ ? ทำไมช่วงนี้คนโน๊ตแบบนี้กันเยอะ? โน๊ตบางประเภทที่เคยฮิตๆ กันมันหายไปไหน? สิ่งเหล่านี้มักจะมี "**invisible hand**" มาคอยผลักดันให้เกิดขึ้น เราจะไม่รู้สึก Spaculate คาดการณ์อะไรใดๆ ทั้งสิ้น เพราะแค่ทำตัวให้พลิ้วไหวไปตามแรงลมเราก็มีความสุขกันได้ง่ายๆ แล้ว ไม่ต้องไปพยายามหรือซีเรียสกับเรื่องอะไรกันมากขนาดนั้น > เพราะคำตอบสำหรับบางคำถามก็ไม่ได้มีคุณค่าเสมอไป อย่าเสียเวลากับมันเลย.. ปล่อยให้ธรรมชาติมันขับเคลื่อนตัวมันเอง และเราก็แค่นั่งลง จิบกาแฟ ดื่มด่ำ เฝ้ามองดูมันกันอย่างเพลิดเพลิน สวัสดีแดดเปรี้ยงๆ #siamstr G อะไรดี?

@ 124b23f2:02455947

http://usri6wfilambri77iwnapyyme43la4v2hgecoismowluriekrhuvxnid.onion/content/images/2023/10/pic1.png

@ f839fb67:5c930939

Chapter 5: Echoes of the Past Life for Peter and Gwen took on a sense of normalcy as they resumed their civilian identities, working and studying. However, Gwen's reappearance raised questions, drawing the attention of friends and foes alike. Some welcomed her with open arms, while others remained skeptical of her true origins. One evening, as Peter and Gwen strolled through Central Park, they were approached by an old friend, Mary Jane Watson. Her warmth masked a deep-seated concern about Gwen's return, but she chose not to reveal it for the sake of her friend's happiness. Chapter 6: A Sinister Resurgence The tranquility in their lives was short-lived when the criminal mastermind, Norman Osborn, better known as the Green Goblin, resurfaced in the city. Osborn had been thought dead for years, but he returned with a vengeance, orchestrating a wave of chaos and destruction. The renewed threat of the Green Goblin pushed Peter and Gwen to their limits. Gwen, driven by a desire to protect her newfound home, donned her own costume once more, taking up the mantle of Spider-Woman. Chapter 7: Partners in Peril Peter and Gwen's relationship faced its greatest test yet as they fought the Green Goblin together. The emotional strain of battling a personal enemy combined with Gwen's struggles to adapt to her role as Spider-Woman put immense pressure on their love. Despite the trials, the couple's bond grew stronger, and their teamwork improved. With Mary Jane's support, Gwen and Peter managed to expose Norman Osborn's criminal activities, leading to his eventual arrest. Chapter 8: An Unexpected Alliance A new threat emerged, one that neither Spider-Man nor Spider-Woman could defeat alone. A powerful crime syndicate, led by the enigmatic "Black Cobra," threatened to engulf the city in a reign of terror. Realizing the scope of the danger, Peter and Gwen sought help from other superheroes in the Marvel Universe. Spider-Man and Spider-Woman formed an alliance with heroes such as Daredevil, Jessica Jones, and Luke Cage. Together, they launched an assault on the Black Cobra's operations. The battle was fierce, and the heroes found themselves tested in ways they had never anticipated. Chapter 9: Confronting the Past As the battle raged on, a shocking revelation came to light: the Black Cobra was an identity adopted by none other than Gwen's own father, George Stacy, who had been presumed dead for years. He explained that he had faked his death to infiltrate the criminal organization and dismantle it from within. Gwen was torn between her duty as Spider-Woman and her love for her father. Ultimately, they reconciled and, together with the other heroes, they managed to expose the true mastermind behind the crime syndicate, sending the criminals to prison and freeing George from his double life. Chapter 10: A Future Together With the city safe once more, Peter and Gwen could finally focus on their personal lives. Gwen chose to embrace her role as Spider-Woman and continue to fight alongside Peter as a partner in both life and crime-fighting. Their journey had been one of triumphs and tribulations, but through it all, their love had endured. As Spider-Man and Spider-Woman, they swung through the city, ready to face whatever challenges lay ahead, knowing that together, they could overcome anything that threatened their world. The echoes of the past had brought them together, and now, they looked forward to a future filled with adventure, love, and the unwavering commitment to being New York City's protectors.

@ 09d49f47:dbc23942

## Chef's notes An easy to make Jack Daniels sauce, works well with meats as a cooking glaze or on its own I use this mainly on my Jack Daniels reverse seared steaks ## Details - ⏲️ Prep time: 5 ## Ingredients - 1x tbsp Jack Daniels - 4x tbsp dark soy sauce - 4x tbsp tomato puree - 1x tsp garlic granules - 1x tsp onion granules ## Directions 1. Add all ingredients in to a bowl and mix together 2. If using as a marinade/glaze, brush on before cooking and allow time to penetrate

@ 09d49f47:dbc23942

## Chef's notes This is a staple in my household, easy enough to make with moderate prep work. A spin on the traditional British version of the recipe that involves baking the meal in homemade BBQ sauce. There is room for experimentation here (is 2x garlic cloves ever enough?), and portion sizes are easily adjusted for different size cooking containers or larger parties. I use a ceramic casserole/baking dish with no lid, but any oven-proof dish will work. The cola needed is personal preference, I use Coke Zero or Pepsi Max as that is generally what is in the house anyway. ## Details - ⏲️ Prep time: 15 - 🍳 Cook time: 25 ## Ingredients - 1x 330ml (12 fl. oz) can of cola - 2x red bell peppers, deseeded and roughly chopped - 2x garlic cloves - 2x chicken stock/bouillon cubes - 250g passata - 1x tbsp dark soy sauce - 1x tbsp Worcestershire sauce - 1x tbsp balsamic vinegar - 8x bacon rashers - 4x skinless, boneless chicken breasts ## Directions 1. Pour the cola into a medium-size non-stick saucepan over a high heat, bring to the boil and cook until reduced by half. This can be adjusted for thicker or thinner sauces, allow time accordingly. 2. Preheat the oven to 200°C/390°F 3. Add the red peppers, garlic, stock cube, passata, soy sauce, Worcestershire sauce, balsamic vinegar and 150ml (5fl. oz) boiling water to the cola. 4. Reduce the heat to medium and bring to a simmer, then cook for 10 minutes or until the peppers are soft, adding a little extra water if needed. 5. Remove pan from heat and blend until smooth using a stick blender or food processor. 6. Wrap the bacon around the chicken breasts and place in an ovenproof dish. Pour the sauce all over the chicken and roast for 20-25 minutes or until the chicken is cooked through. 7. (Optional) Add grated cheese on top and grill/broil until melted 8. Serve with sides of your choice, this meal goes well with almost anything

@ d830ee7b:4e61cd62

หลายคนยังไม่อยากรีบแอดเพื่อนกันเยอะๆ เพราะกลัวว่าฟีดตัวเองจะเด้งรัวๆ กลัวฟีดจะรกจนตามอ่านกันไม่ทัน กลัวจะพลาดอะไรบางอย่างไปใช่ไหมครับ ครั้นพอมีเราเพื่อนน้อยก็ทำให้ Nostr ดูเหมือนไม่ค่อยจะมีอะไรน่าสนใจสักเท่าไหร่ จะเพิ่มเพื่อนก็ยังติดปัญหาแรกอยู่ เกิดอาการลังเลจะเอายังไงดี? ก็เพราะ Nostr มันไม่มีอัลกอริธึมคอยจัดการสิ่งที่เราจะมองเห็น (ยกเว้นบางไคลเอนต์ที่คัดกรองฟีดได้ เช่น corracle หรือ nostrudel เป็นต้น) ฟีดบน Nostr จึงเรียงกันแบบตามไทม์แสตมป์อย่างตรงไปตรงมา ดังนั้นถ้าเพื่อนของคุณเยอะ โน๊ตต่างๆ ก็อาจจะฟลัดกันเองจนทับถมกองพะเนินเทินทึก พาลทำให้คุณหาสิ่งทีอยากอ่านได้ค่อนข้างลำบาก ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับพวกเราเพียงเท่านั้นครับ มันเกิดกับทุกคน พวกที่ใช้งาน Nostr กันมาก่อนต่างก็เห็นว่ามันน่ารำคาญพอสมควร เพื่อนบางคนก็ขยันโน๊ตกันเหลือเกิน ผมเคยเจอเพื่อนที่โน๊ตกันแบบนาทีต่อนาที ผมตามคนเกือบพันนี่ฟีดไหลยังกะบั้งไฟทะยานฟ้า จะกด Unfollow บางทีก็ติดลูกเกรงใจ จะกด Mute ก็ดูรุนแรงไปหน่อย เพราะเหตุนี้จึงต้องมีการหาทางออก เหล่านักพัฒนาโปรโตคอล Nostr จึงได้เขียนสิ่งที่เรียกว่า “NIPs” (Nostr Implementation Possibilities) และเพื่อแก้ไขปัญหาเบื้องต้น พวกเขาจึงได้เขียน NIP-51 ขึ้นมาชื่อว่า “List” # List คืออะไร? List ช่วยให้เราจัด “**รายการ**” เพื่อจัดกลุ่มของ “**ผู้ใช้**”, “**บุ๊คมาร์ค**” และ “**รีเลย์**” ได้ด้วยตัวเอง หรือเอาแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ.. มันช่วยให้เราสามารถจัดกลุ่มให้กับคนที่เราติดตามได้นั่นเอง.. (เหมือนจัดกลุ่มเพื่อนใน FB) การสร้าง List ต่างๆ บน Nostr นั้น จะแยกย่อยตามประเภทของ “**Event kind**” ซึ่งก็คือลักษณะของสิ่งที่จะปรากฏอยู่บน Nostr ต่อไปนี้คือ kind ที่เราสามารถจัดกลุ่มหรือสร้าง List ได้ (เราต้องรู้เรื่องเหล่านี้ก่อน เพราะต้องเลือก kind ให้ถูก ตรงตามความต้องการในตอนกดสร้าง List ใหม่) ## ประเภทของ List - **Kind 3 : (Contacts)** รายการของคนที่เรากดติดตามเอาไว้ List นี้ไม่ต้องสร้าง มันมาให้เองอัตโนมัติ - **Kind 10000 : (Mute)** รายการของคนที่เราไปกด Mute เอาไว้ มันจะมาเองโดยอัตโนมัติหรือถ้าเราสร้างเองมันจะไปทับ List ที่มีอัตโนมัติก่อนหน้านี้ (การ Mute คือการที่เราปิดการมองเห็นผู้ใช้รายนั้นเอาไว้ เราจะไม่เห็นโน๊ตหรือแอคชั่นใดๆ ของเขาบน Nostr อีก อาจจะเพราะเราไม่อยากเห็น หรือรำคาญที่โน๊ตบ่อย โน๊ตไม่เข้าท่า ฯลฯ แต่ไม่ได้ต้องการจะทำถึงขั้น Unfollow) - **Kind 10001 : (Pin)** รายการของโน๊ตที่เรากดปักหมุดไว้ (ในบางไคลเอนต์สามารถปักหมุดได้ เช่น Snort) - **Kind 10002 : (Relays)** รายการ Relay ที่ผู้ใช้ (เรา) ใช้อยู่ (ตั้งชื่อรายการไม่ได้) - **Kind 30000 : (Categorized People)** รายการของผู้ใช้ที่เราตั้งชื่อรายการได้ นี่คือรายการที่ผมใช้ **สร้างบ่อยที่สุด** เพื่อจัดประเภทคนกลุ่มต่างๆ ที่เราติดตาม เพื่อให้ง่ายต่อการแยกแยะและค้นหาในอนาคต - **Kind 30001 : (Categorized Bookmarks)** รายการของโน๊ตที่เราได้เคยทำการบุ๊คมาร์คเอาไว้ เราสามารถตั้งชื่อให้กับรายการนี้ได้ เรียกง่ายๆ ว่าจัดรายการโน๊ตที่ชอบหรือเอาไว้ตามอ่าน, อ่านทบทวนเมื่อมีเวลาในภายหลัง - **Kind 30022 : (Categorized Relays)** รายการ Relay ที่ผู้ใช้ (เรา) ชื่นชอบ เผื่อจับพลัดจับผลูทำรายชื่อ Relay หายก็กลับมาดูจากที่นี่ได้ ปัญหาที่คนไม่ค่อยใช้ List คือนอกจากไม่รู้ว่ามันมีอยู่และมันเอาไว้ใช้ประโยชน์อะไรแล้ว ยังรู้สึกแอบแย่เวลามีคนมาส่อง List ของตัวเองด้วย (โดยเฉพาะ Mute list) แต่ในความเป็นจริง.. การสร้าง List ใหม่นั้นเราสามารถเลือกได้ว่าอยากจะให้เป็นแบบ Public หรือ Private ก็ได้ครับ สำหรับไคลเอนต์ที่นิยมใช้งานกันทั่วไปและรองรับ NIP-51 คือ **nostudel** และ **corracle** ที่จัดการกับ List เบื้องต้นได้ (ใช้งานผ่านเบราเซอร์) รวมถึง **Amethyst** บนแอนดรอยด์ (เอาไว้ดูโน๊ตใน List ต่างๆ แต่จัดการ List ไม่ได้) ส่วนของ iOS ผมไม่ได้ใช้ จึงไม่ทราบจริงๆ ครับ ในบทความนี้ผมจะแสดงตัวอย่างการใช้งานไคลเอนต์ที่มีไว้สำหรับจัดการ List ให้เราโดยเฉพาะ นั่นคือ "**Listr**" ซึ่งพัฒนาโดยคุณ **JeffG** และมีคุณ **Kanarge** ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ UX/UI ในเวอร์ชั่น 2.0 ให้มีความสวยงามและน่าใช้งานมากยิ่งขึ้น  อย่างไรก็ตาม ณ ขณะที่เขียนอยู่นี้ เวอร์ชัน 2.0 ยังเป็นการพัฒนาในระดับ Beta อยู่ เท่าที่ผมลองเล่นก็ถือว่าใช้งานได้ดีและง่ายกว่า 1.0 มากโขทีเดียวครับ แต่ก็น่าจะปรับปรุงให้ดีได้กว่านี้อีกในอนาคต เอาว่าผมจะพยายามรวบรัดไม่ให้ยาวจนเกินไป เพราะเดี๋ยว อ.อาร์ม จะไลฟ์สอนกันอีกทีในรายการ #Onlynips **หมายเหตุ**: ไคลเอนต์อีกตัวสำหรับไว้จัดการ List คือ **Nostree** ซึ่งผมจะยังไม่เขียนแนะนำในบทความนี้นะครับ ## การใช้งาน listr เมื่อเข้ามาที่เว็บไซต์ของตัวไคลเอนต์ [**Listr.lol**](https://listr.lol/) ให้เพื่อนๆ ทำการ Login ด้วย Alby Extension (NIP-07) ให้เรียบร้อย เราจะเห็นแถบไซด์บาร์เมนูด้านซ้ายมือ ที่แสดงเมนูสำคัญๆ อย่างเช่น "**Activity feed**" ที่จะโชว์ว่าเพื่อนของเราคนไหนได้ทำการสร้างหรืออัพเดท List อะไรไปบ้าง ที่เหลือก็ตามชื่อเลย กดดูกันเอาเองได้ครับ ถัดลงมาในส่วน "**Your List**" ก็จะเป็นรายการของ List ที่เราได้เคยสร้างเอาไว้ ทำให้เรากดเข้าไปดูได้จากตรงนี้ นับว่าสะดวกมากทีเดียว ใครยังไม่เคยสร้างอะไรไว้ก็จะยังไม่มีรายการแสดงมากมายครับ  พื้นที่หลักของหน้าโปรไฟล์เรา (กดเข้าจากเมนูขวาบน ตรงรูปโปรไฟล์ของเรา ซึ่งจะแสดง List ต่างๆ ที่เราเคยสร้างไว้ในรูปแบบของ **Card view** ซึ่งผมชอบมาก เพราะมันดูเข้าใจง่ายและใช้งานได้ง่ายนั่นเอง แต่ละการ์ด จะมีชื่อ จำนวนไอเทมที่เราใส่ไว้ (คน, บุ๊คมาร์ค, รีเลย์) และอีเว้นท์ที่มีในการ์ดนั้นๆ (เช่น โน๊ตต่างๆ เป็นต้น) ทีนี้ก็คงจะพอเข้าใจวิธีการใช้งานเบื้องต้น หรือการเรียกดูข้อมูลกันแล้วนะครับ ผมว่ามันก็ไม่ได้เข้าใจยากเท่าไหร่นัก  > ท้ายบทความผมจะแสดงยูสเคสให้ดูว่า หลังจากที่เรามี List แล้ว ชีวิตเราจะดีขึ้นยังไง? # การสร้าง List มาลองเริ่มต้นสร้าง List กันเลยดีกว่า (จริงๆ ถ้าขี้เกียจทำเอง ก็สามารถ Duplicate จากรายการที่ผมเคยสร้างไว้ได้เลยครับ) ตามภาพด้านล่างนี้ เราจะสามารถกดสร้าง List ใหม่ได้เลยจาก 2 ที่ด้วยกัน **Create a new list** แถบเมนูด้านซ้าย หรือ **+New list** จากเมนูด้านบนขวา  ผมจะขออธิบายไปทีละช่องเพื่อไม่ให้ต้องแปะภาพให้รกจนเกินไปนะครับ  1. **เลือกประเภทของ Kind** ที่ต้องการตามที่ผมพึ่งแนะนำไปด้านบน ผมแนะนำให้เริ่มลองจาก Kind 30000 : (Categorized People) เพื่อสร้างกลุ่มรายชื่อของเพื่อนหรือคนที่เราติดตาม (หรือคนที่เราไม่ได้ติดตามก็ได้เหมือนกัน) ผมจะยกตัวอย่างจากการสร้าง List ทีมงาน Right Shift ละกันนะครับ 2. ช่องถัดมาให้**ตั้งชื่อรายการ** ในที่นี้ผมจะตั้งชื่อว่า Right Shift Team 3. ช่องถัดมาตรง **Description** ให้เขียนคำอธิบายตามใจชอบ ว่ารายการนี้เป็นรายการสำหรับอะไร 4. ช่อง **Category** ก็เลือกประเภทให้ตรงหรือสอดคล้องกับที่เราสร้าง เพื่อเวลากลับมาดูจะได้เข้าใจได้ง่ายครับ 5. ช่องสุดท้ายคือช่องสำคัญ **List items** หรือสิ่งที่เราต้องการจะบรรจุเข้าไปใน List นี้นั่นเอง ด้านขวาของช่องคือส่วนสำคัญที่เราต้องเลือกว่าจะให้รายการนี้ **Public** ให้ใครเห็นหรือคัดลอกก็ได้ หรือจะสร้างให้เป็นรายการ **Private** ที่จะมีแค่เราเห็นได้เพียงคนเดียวเท่านั้น สำหรับ List items ที่สามารถนำมาเพิ่มเข้าไปในรายการได้ จะต้องเป็นประเภท **NIP-19 Identifier** (bech32-encoded entities) ซึ่งเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ ได้แก่ npub, nprofile, note, nevent หรือ naddr ครับ ให้เราคัดลอกข้อมูลเหล่านี้มากรอกในช่องที่ 5 ในตัวอย่างด้านบน ผมได้คัดลอกเอา npup ของ Jakk Goodday มากรอก จากนั้นผมจะกดเครื่องหมายติ๊กถูก จะปรากฏชื่อ Jakk Goodday เป็น Item แรกสำหรับรายการที่เรากำลังจะสร้างนี้ แต่รายการนี้จะยังไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าเราจะกดปุ่มสีเขียว Publish ด้านล่าง (กดไปแล้ว ก็สามารถ Edit เพื่ออัพเดท หรือทำการนำเข้า นำออกไอเทมได้ตลอดเวลาตามต้องการ)  เมื่อเราเพิ่มไอเทมจนพอใจและกด Publish รายการนี้แล้ว ที่หน้าโปรไฟล์ของเราจะปรากฏการ์ดของ List ที่พึ่งสร้างใหม่นี้ และมีไอเทมต่างๆ ที่เพิ่มไว้ปรากฏเป็นรายละเอียด โดยในแต่ละไอเทมเรายังสามารถกด Follow หรือ Unfollow บุคคลได้ รวมทั้งกด **Add to list** เพื่อเพิ่มคนๆ นั้นไปยัง List อื่นก็ได้ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้เรายังสามารถแชร์ List (เอาไปโชว์บน Amethyst ได้ แต่ Kind 3, 10000, 10001 จะไม่ปรากฏบน Amethyst ) หรือกดปุ่ม Edit ได้ตามต้องการครับ  ที่เหลืออยากจะลองสร้างอะไรก็ลองเล่นกันดู คุณอาจจะสร้าง List สำหรับเพื่อนจอมเขียนบทความ, เพื่อนจอมฮา, นักศิลปะ, ช่างภาพ, ทาสแมว ฯลฯ สุดแล้วแต่จะสร้างกันกันเอาเองเลยครับ > ข้อดีของการสร้าง List แบบ **Kind 30000** นี้คือ เราสร้างรายการของคนกลุ่มต่างๆ และใช้ไคลเอนต์อื่นในการเปิดดูโน๊ตหรืออัพเดทข้อมูลข่าวสารต่างๆ จากคนใน List นั้นๆ ได้ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องกด Follow เขาเลยก็ได้ครับ มันดีตรงนี้แหละ ถ้าคุณไปส่อง List ในโปรไฟล์ของผม คุณจะเจอ List ที่จัดกลุ่มคนเอาไว้หลากหลาย (ซึ่งผมก็ Duplicate คนอื่นเขามาอีกที) คุณสามารถกด Duplicate เอากลุ่มคนที่ชอบจากที่ผมมีได้เลย ง่ายนิดเดียว ผมจะยกตัวอย่างให้ดู สมมุติคุณไปที่โปรไฟล์ของ **Vitor Pamplona** (ผู้พัฒนาหลักของแอป Amethyst) แล้วคุณเจอ Public list ของเขาซึ่งเป็นรายชื่อ Dev ของแอป Amethyst ทั้งหมด คุณอยากติดตามโน๊ตและอัพเดทจากกลุ่มคนเหล่านี้ คุณก็สามารถกดปุ่ม Deuplicate ที่เห็นนั้นได้เลยครับ  เมื่อกดปุ่ม Duplicate แล้ว.. ระบบจะขอให้คุณตั้งชื่อ และระบุรายละเอียดของ List นี้ใหม่ (ที่จะไปปรากฏบนโฟรไฟล์ของคุณ) เมื่อกรอกเรียบร้อยก็กด Duplicate this list ได้เลย เป็นอันว่าเสร็จพิธี แค่นี้คุณก็ได้รายชื่อพวกนี้ไปเป็นของตัวเอง ไว้ส่องข้อมูลเองง่ายๆ ได้แล้ว  # การดูฟีดอัพเดทใน List ต่างๆ มาถึงสิ่งที่เป็น "**หมุดหมายสำคัญ**" ของการสร้าง List กันเสียที เมื่อคุณมี List ที่พึงพอใจครบถ้วนแล้ว คราวนี้การใช้งาน Nostr ของคุณก็จะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป.. ผมขออนุญาตแนะนำเฉพาะไคลเอนต์ที่ผมรู้จักและคุ้นเคยก็แล้วกันนะครับ ต้องขออภัยเพื่อนๆ ชาว iOS ด้วยเพราะผมใช้ Android ท่านอาจต้องลองหาแนวทางบนมือถือกันเองแล้วนำมาแบ่งปันกัน หรือเน้นใช้งานกันบนเบราเซอร์ไปก่อนนะครับ ## Amethyst ชาวแอนดรอยด์ดูเหมือนจะเข้าทางที่สุด สำหรับ **Amethyst** เพราะเราสามารถกดดูโน๊ต หรืออัพเดทข่าวคราวความเคลื่อนไหวของผู้ใช้ใน List ต่างๆ ไว้กันได้โดยสะดวกโยธิน สามารถกดด้านบนได้จากหน้า **Home** หรือหน้า **Notification** เพื่อเลือกดู List ที่ต้องการได้เลยครับ ซึ่งจากหน้า Home คุณจะเลือกดูโน๊ตจากแท็ป New threads หรือเลือกดูคอมเม้นท์จากแท็ป Conversation ก็ได้ คราวนี้คุณก็จะเห็นฟีดจากเฉพาะกลุ่มคนที่คุณสร้างไว้ใน List นั้น ---  --- ## noStrudel [**noStrudel.ninja**](https://nostrudel.ninja/) เป็นไคลเอนต์อีกหนึ่งตัวที่ได้รับความนิยมในการใช้งานผ่านเบราเซอร์บน PC ซึ่งมีเมนูแยกและรองรับ List โดยเฉพาะ เมื่อกดเข้าไปดูจะเห็น List ต่างๆ ที่เราสร้างไว้ในลักษณะนี้ คือมีรูปโปรไฟล์เรียงซ้อนๆ กันให้ดูในแต่ละ List ด้วย  เมื่อกดเลือกที่การ์ดของ List ใดๆ เราก็จะเห็นรายการไอเท็มของแต่ละ List นั้นๆ และยังสามารถเลือกที่จะ **Delete** หรือดู **Feed** ของ List นั้นๆ ได้ด้วยครับ ซึ่งเมื่อกดที่ Feed ไคลเอนต์ก็จะทำการดึงโน๊ตทั้งหมดของคนใน List นั้นมาให้เราดู ชีวิตดี๊ดี  นอกจากนี้.. การ Follow ผู้ใช้งานบน noStrudel ยังสามารถกดเลือกเพิ่มเข้าไปยัง List ที่เราเคยสร้างเอาไว้แล้วได้เลย ซึ่งถือว่าสะดวกดีมากๆ ครับ  ## Corracle [**Corracle.social**](https://coracle.social/) เป็นอีกไคลเอนต์ที่ทำงานได้รวดเร็ว สวยงามสะอาดตาที่ใช้งานได้ผ่านเบราเซอร์ โดย Corracle จะสามารถกดเพิ่มคนเข้าไปใน List ได้เลยง่ายๆ เช่นเดียวกันกับ noStrudel แต่จะมี UI แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยตามภาพด้านล่าง โดยเมื่อไปที่หน้าโปรไฟล์ของใครก็ตาม เมื่อกดที่ปุ่ม 3 จุดด้านบน จะมีให้เลือก **Add to list**  โดยเราสามารถเลือกเพิ่มเข้าไปใน List ที่เคยสร้างไว้แล้ว หรือจะสร้าง List ใหม่ดูก็ได้ครับ  ซึ่งผมคงไม่สอนสร้าง List ใหม่ด้วย noStrudel หรือ Corracle นะครับ ไม่งั้นบทความจะยาวเกินกว่าเหตุ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถไปลองเล่นกันดูเองได้ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจ ## สิ่งที่ควรทราบเกี่ยวกับ List - **การ Delete List** ต่างๆ บนที่เคยสร้างไว้บนโปรโตคอล Nostr นั้นไม่นับว่าง่ายหรือจะได้ผลลัพธ์แบบเบ็ดเสร็จ เพราะการลบข้อมูลบน Nostr ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำได้จริง (รวมถึงโน๊ตต่างๆ ด้วย) เนื่องจากเราต้องทำการ Request ไปยัง Relay ต่างๆ ที่ได้ทำการบันทึกข้อมูลนั้นเอาไว้และขอให้เค้าลบออกให้ การลบข้อมูลจากรีเลย์ทั่วไปนั้นทำได้ง่าย แต่กับรีเลย์ที่มีเงื่อนไขในการเข้าถึง (เช่น Paid relay) ก็นับว่าเป็นเรื่องยากทีเดียวครับ - ดังนั้นผมแนะนำว่าให้เวลาและใส่ใจในการสร้าง List สักหน่อย จะได้ไม่ต้องมานั่งรำคาญตาในภายหลัง - **Mute list** ที่มีออโต้นั้นไม่สามารถปิดการมองเห็นได้ (มัน Public) มันทำให้ผู้ใช้รู้สึกอึดอัดที่จะกด Mute เพื่อนเพราะกลัวจะหมางใจกัน - เราสามารถคัดลอกเอาไอดีของ List ที่เป็น Kind 30000+ ไปสร้างโน๊ตเพื่อแสดรายชื่อคนใน List นั้นได้ (ไคลเอนต์อื่นผมไม่ทราบ) - เราสามารถสร้าง List ได้ไม่จำกัด และเพิ่มไอเท็มเข้าออกได้ตลอดเวลาในแต่ละ List - Listr.lol v2.0 พึ่งเปิดตัวได้ไม่นาน และยังเป็น beta version ดังนั้นจึงอาจมีข้อบกพร่องในการใช้งานได้บ้าง อย่าลืมช่วยกันส่งฟีดแบ้กไปที่ผู้พัฒนาถือว่าร่วมด้วยช่วยกัน - จากการทดลองใช้งาน noStudel และ Corracle ยังไม่เหมาะสำหรับการสร้าง List เหมาะเอาไว้ดู และการดูฟีดของแต่ละ List บน Ametjyst นั้นเริ่ดมากๆ - แชร์บทความนี้ และนำสิ่งที่เข้าใจไปเผยแพร่ให้กับคนอื่นๆ หากเห็นว่าเป็นประโยชน์ - หากสงสัยอะไรในการใช้งาน List ก็สามารถสอบถามผมเข้ามาได้เลยครับ และอย่าลืมติดตามไลฟ์สดสอนจับมือทำ Listr ของ อ.อาร์ม ในเร็วๆ นี้ ทางรายการ Onlynips

@ f839fb67:5c930939

# Spider-Man: Shadows of the Past ### Chapter 1: A Web of Memories The bustling city of New York was illuminated by the neon lights of Times Square, and the rhythmic hum of its inhabitants resonated through the concrete canyons. Among the crowd, Peter Parker, also known as Spider-Man, swung gracefully between skyscrapers, feeling the cool night air on his face. As he reached a rooftop, his keen senses tingled, warning him of danger nearby. Without hesitation, he dropped into a defensive stance, just in time to catch a fleeting glimpse of a mysterious figure. The cloaked figure emerged from the shadows, a masked face hidden beneath the hood. A female voice echoed, "Spider-Man, you're just in time." Spider-Man's spider-sense flared, but there was something oddly familiar about her. "Who are you, and what do you want?" The cloaked figure removed her hood, revealing a face that sent a shiver down Peter's spine. It was Gwen Stacy, Peter's first love who had tragically died years ago. "You… You're supposed to be… you can't be Gwen," Peter stammered. Gwen smiled sadly. "I know it's hard to believe, but it's me, Peter. I've returned from another dimension. I've been trying to find you for months." Confusion and disbelief swirled in Peter's mind. Could this really be Gwen? Or was it some elaborate trick? He asked Gwen to prove it. With a wistful smile, Gwen said, "Do you remember our rooftop dates and the first time we met? I can recall every detail." As Gwen recounted those intimate moments, Peter felt the weight of his emotions. He hugged her tightly, unable to hold back tears. "I missed you so much," he whispered. Chapter 2: Secrets and Threats Gwen explained her journey to Peter. She had been part of an experiment, which had gone awry, sending her into another dimension. In that world, she had gained her own superpowers, similar to Peter's, and she had been fighting crime as a vigilante. Yet, she couldn't forget her world, her Peter. But Gwen's return brought more than just emotional turmoil. The emergence of a new villain threatened the city. A master illusionist known as the "Shadow Puppeteer" had appeared, using his abilities to create chaos and destruction. He was unlike any villain Peter had faced before, and his motives remained hidden. Together, Spider-Man and Gwen donned their masks, working side by side to stop the Shadow Puppeteer's reign of terror. The duo's synergy was incredible, a testament to the bond they shared. As they pursued leads, Peter couldn't help but think about the past, the choices he had made, and the consequences of being a hero. Gwen's return had reopened old wounds, but it also offered a chance for healing. ### Chapter 3: Unmasking the Shadows The search for the Shadow Puppeteer led Spider-Man and Gwen to an abandoned theater, its stage cloaked in darkness. It was here that they confronted the enigmatic villain, who revealed himself to be a bitter scientist named Richard Thorne. Thorne had discovered a way to manipulate the very fabric of reality, and he blamed Spider-Man for his past failures. In a high-stakes battle of wits and power, the heroes faced illusions and nightmarish apparitions. But their combined strength and determination allowed them to overcome the illusions, getting closer to Thorne. The final showdown took place on a precarious web of illusions, with Thorne wielding the full extent of his powers. Just when it seemed like all hope was lost, Gwen used her newfound abilities to create an opening, allowing Peter to deliver a decisive blow to Thorne, stopping his malevolent plans. As Thorne was taken into custody, the city was safe once more, thanks to the teamwork of Spider-Man and Gwen Stacy. ### Chapter 4: A New Beginning With the threat of the Shadow Puppeteer vanquished, Peter and Gwen found themselves on a rooftop, gazing out at the city. The moonlit sky reflected in Gwen's eyes as she leaned in and kissed Peter, sealing their renewed connection. But Gwen's return also meant facing difficult choices. She could stay in this dimension with Peter, but it would mean leaving behind the life she had built in her own world. After much reflection, Gwen decided to stay, embracing a new chapter in her life. Together, Spider-Man and Gwen swung through the city, ready to face whatever challenges lay ahead. Their love and teamwork would prove to be an unbreakable bond, as they continued their mission to protect New York from all threats. The end of one chapter had opened the door to new beginnings, and the future was uncertain, but they would face it together as Spider-Man and the incredible Gwen Stacy.

@ f839fb67:5c930939

# Amethyst Version: ``0.79.2`` # Damus Version: ``1.6 (23)`` Hmm. ~~It seems that I can not use the ⚡ emoji in place of the letter S in my name from Damus~~ A fellow pleb let me know that I was only showing my npub to Damus users. So I decided to grab my meta again, as I have a backup from a few days ago, when all was well. But this is just plain confusing. nostr:nevent1qqsqqqytgz9ydljuchxcdg4dcrxn6cwxrl8h8hq7z3808c3hkeyt7egpramhxue69uhhyetvv9ujuanpdejx2unhv9exketj9enxzmtfd3usptzc27 Damus writes the Your Name input to display_name, and Username input to name While, Amethyst uses the Display Name input and writes to display_name, displayName, as well as name. wuh... 😂 💜🫂 #damus #growingpains #amethyst #kind0 #metamess EDIT: [The Damus issue](https://github.com/damus-io/damus/issues/1584#issuecomment-1751969350) is actually already been mentioned by jb55 as a parsing error.

@ ab74910c:ff584d63

> It has happened oft ere now, That foeman's weapon has laid low The crowned head, where battle plain, Was miry red with the blood-rain. But Domald dies by bloody arms, Raised not by foes in war's alarms ― Raised by his Swedish liegemen's hand, To bring good seasons to the land. ― Thjódólf of Hvinir In olden days, people paid indulgence to escape purgatory. Now, we pays taxes to avoid prison. But you are the first in a line of generations who will live on a Bitcoin standard. And thus, you will not [blót](https://en.wikipedia.org/wiki/Bl%C3%B3t) (blood sacrifice) to either God or the state, but rather to the community. Most people you know have not yet grasped this. You can say they still live in Flatland, a two-dimensional world, struggling to comprehend objects that can exist in a three-dimensional reality. When they encounter a ball penetrating their universe, they only see a point stretching out and contracting again. They continue to live in a fiat standard and lack the ability to understand a world based on a Bitcoin standard. They don't see that the days of the state are numbered. Their elected representatives are more concerned with enriching themselves, whether at the [cost of the community](https://www.thelocal.no/20220302/norwegian-minister-resigns-over-commuter-housing-scandal), [others' property](https://www.politico.eu/article/sunglasses-norway-bjornar-moxnes-red-party-resign/), or [war profiteers](https://www.bloomberg.com/news/articles/2023-07-21/norway-junior-minister-quits-after-buying-defense-firm-s-stock#xj4y7vzkg). Journalist Julian Assange said in 2011: *"The goal is an endless war, not a successful war,"* and that the state's plan is to siphon money out of taxpayers. Unfortunately, Julian is now on the altar, to be blót for the state's goal of preventing freedom. But you will not be bound by the state's restrictions. Bitcoin is democracy. Stay humble, stack sats. 🖼️ **Painting:** Midvinterblot, by Carl Larsson *According to Heimskringla, King Domalde was blót to prevent famine.*

@ c8df6ae8:22293a06

> "In CBO’s projections, the federal deficit totals $1.4 trillion in 2023 and averages $2.0 trillion per year from 2024 to 2033." > > — Congressional Budget Office, February 2023 *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue digs deeper into the US debt and the Federal Government's own projections.* --- A few days ago I saw a headline about how the US government had borrowed $250B USD in a single day. A single day! That prompted me to look deeper into what is the current status of the US Federal Government debt. What I found out only made me even more determined to stack sats and I'm sharing some of the info here hoping it will help others. ## The Fiscal Year 2023 deficit was bigger than expected The Congressional Budget Office [predicted](https://www.cbo.gov/publication/58848) a deficit of $1.4 trillion USD for 2023. The fiscal year 2023 ended on September 30th, 2023 and the reports have not been updated yet with September number so bear in mind that the actual numbers you see here for FY2023 are still missing the September expenditures. The FY2022 had a deficit of $1.375T USD and the actuals for FY2023 up to August 30th, 2023 include a deficit of $1.524T USD. That means that, with one month still pending, the CBO projection of a deficit of $1.4T USD is off by 8.85%. For reference, the deficit for the first 11 months of FY2022 was $946B. During the first 11 months of FY2023, we borrowed $578B more than during the first 11 months of FY2022. If this sounds scary, let me go back to the fact that **a few days ago, in a single day, we borrowed $250B USD**. ## The government projections are insane Some people dismiss the warnings that Bitcoiners issue about the ridiculous debt by saying that Bitcoiners are full of conspiracies or delusional with their magical money or similar ad hominem attacks. >But what happens when it's the own government the one that tells you that the deficit will reach 200% of GDP by 2033? After reading the [*Budget and Economic Outlook: 2023 to 20233*](https://www.cbo.gov/system/files/2023-02/58848-Outlook.pdf) report by the Congressional Budget Office I can't stop thinking that I don't have enough Bitcoin. **And remember, this report, released in February 2023, underrepresented the actual deficit for current fiscal year by at least 8.85%. So imagine how much higher the ACTUAL deficit will be in 2033**. Here are the highlights: - The deficit will grow by $20T USD between 2024 and 2033 reaching $52T USD - By 2033, half of the money we borrow will be to pay interest of existing debt (bankrupt anyone?) - Net interest on the debt will reach $3.6T. To put the number into perspective, the Federal Outlays for 2033 is projected to be $6.6T USD. The interest on the debt will be equal to 54% of the expenditures! **The chart below is meant to reassure you: on your conviction on Bitcoin.**  --- # Notable notes nostr:nevent1qqs9r0g59ugluhzfjytwr0p6ntrjzp6j9zlwl7u435dappymusesakgpzamhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68ytnzv9hxgtczypjed5qpmj0wpt5mj2g8mjgq233qnp9zyyuf4z0gan2xvzzyu8j76qcyqqqqqqgjjg3ce --- # Recommendations ## Dream Chaser Sharing a mix of beautiful places and relevant news. You can follow him at nostr:npub1vktdqqwunms2axujjp7ujqz5vgycfg3p8zdgn68v63nqs38puhksjf5s3g. --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 0b963191:fc5e7ffd

## Introduction Decentralized protocols, including emergent ones such as Nostr are trying to figure out the best way to store and distribute non-text data outside of centralized servers. For Nostr particularly, there are home-grown solutions such as nostr.build that offers image and video storage on their servers both free of charge and for a fee. These services can suffer from being inherently centralized and shutdown by their respective hosting platforms. Other proposals have been to use existing decentralized protocols such as Bittorrent or IPFS. While these currently have utility for some use cases, they can suffer from long load times and failure to retrieve requested content. Another issue is the overhead of setup needed both for running a decentralized client and running a node ## Proposal The proposed design for decentralized data storage will be to use media relay servers that work over the websockets protocol. The design will be similar to the Nostr protocol architecture, where multiple relays can store the same data signed with a keypair. This design will help with storage persistence, that can be lost with p2p protocols, and has little overhead on both the client or server side.  ## How it works From a high level the media relay will act as storage for signed binary data (blobs). Each piece of data will have a pointer associated that allows for indexing, searching, and retrieval. The blobs of data and pointers will not have any additional information or context about the data stored on the relay. All the relay will “know” is that there is data of a certain size that has been confirmed to be referenced by an associated keypair. This means that a relay operator cannot discern if a blob is an image, executable, or any other type of data without further work.  ## Pointers Pointers on a media relay represent a signed entry for a blob of data. A blob can only exist on a relay if it has one or more pointers associated with it. A pointer consists of an id, public key associated with the data, a timestamp of when the pointer was created, the SHA-256 hash of the blob that the pointer is referencing, blob size, and signature signing the pointer. This is very similar to the concept of a Nostr event and this allows clients to look up references and confirm a blob exists without having to download multiple amounts of data. Multiple pointers can exist for a blob of data. This is similar to multiple users uploading the same file to an image service. Some amount of deduplication may occur to prevent a waste of space. In a media relay something similar occurs. If multiple users upload identical data, the media relay will test it as 2 pointers referencing the same data. When there are no longer any pointers associated with a blob, the media relay will discard the data. Pointers are needed to download or get information on a blob. ## Raw storage The media relays will hold blobs of binary data on their servers. This blob itself will have no labels or context and will just appear as data of a certain length. The maximum length of the blob will be determined by the media relay such as being able to store a blob at a maximum size of 100KB. If a logical file such as an executable or video is several megabytes in size, a client will break up the data into multiple blocks. Those blocks will each have a blob of a determined size, smaller than the maximum blob size, and a pointer associated with the blob. A relay will have no correlation between the multiple pointers and blobs, as that will be determined by the uploading client and later by a file descriptor. ## File descriptors A file descriptor is metadata that provides instructions on how to retrieve and recreate a logical file from a media relay. Since a media relay has no information on a file, file type, or total size, a file descriptor describes the file type and how to access each block of data. Each block of data in a file descriptor will reference the id of the pointer, media relays to use, blob size, blob hash. In this way a file descriptor can instruct a client to pull data from several different media relays. In Nostr specifically a file descriptor will be in the form of a replaceable event and will be referenced using an naddr1 bech32 label. These can then be used by different Nostr clients instead of a traditional URL to reference an image, video, or other media.   ## Client Activity When a client encounters a file descriptor, whether in the form of an naddr1 or in another format, it should be able to read the media data to know what type of file to expect. It should also be able to read and pull down each partition of the file, represented as a pointer id to a set of media relays. The client would pull down each part either sequentially (if it’s described as a stream) or in random order. In the former case a client would read each piece and process it appropriately (i.e. a media player). In the latter case, the file may be put together according to the file descriptor. ## Decentralization Goals This method of decentralized data storage will only work if there are multiple relays across multiple geographical areas that can provide redundancy and distribution of data. The media relays themselves will not transmit information across to other media relays and there will not be a shared, synced database of pointers and databases. ## Challenges Some of the challenges surrounding having media relays revolve the following: * Incentives to run a media relay * Spam prevention * Moderation * Discovery of relays * Data permanence ### Incentives Similar to some of the concerns about running Nostr relays long-term, media relays will cost money to run in some form given the storage and bandwidth usage. There may need to be public key based subscriptions that allow a user to store and/or point to a quota of storage. The media relay set up will not have a built in token or monetary structure built in and these may happen out-of-band of the media relays. For example, using Lightning to pay for 5 GB of storage which will instruct a media relay to allow 5 GB of blobs to be stored and pointed to. ### Spam Prevention As with other decentralized solutions, spam is a big factor as a media relay will have a finite amount of storage and bandwidth that could be abused. Spam prevention measures and subscriptions against discrete public keys could help mitigate this problem. ### Moderation While the nature of running a media relay is that context is not inherently known about a file, there could be issues within certain jurisdictions where a select set of blobs are part of illegal media. Unless a file descriptor is provided or certain heuristics (i.e. putting together a set of blobs associated with a public key with similar timestamps) are performed on blobs of data, this may not be known beforehand and moderation may be best-effort at best. ### Discovery of relays There may be some difficulty in knowing which media relays to use without having some sort of centralized site that publishes a set of known relays. This can have a risk of centralization of only some relays are known and used by everyone. There may be some solutions such as relay operators publishing their relays on nostr or other decentralized protocols. A tradeoff on verifying these relays and finding them may always exist. ### Data Permanence This may always be a tradeoff with a decentralized protocol where the data isn’t directly p2p from the owner of the data. Servers may go down, lose data, remove data, etc and those blobs may be lost on that media relay. The best safeguard for having data available is to diversify over multiple relays. A file descriptor should have multiple media relays references for pointers and in the event of a host being down either temporarily or permanently, additional media relays can be used to pull the data down. ## Questions I ask myself against media relays ### Why not use Nostr relays? I don’t think Nostr relays with a plain-text protocol will be the best way to store media in a scalable way. Images already have push back and from my own anecdotal observations relay operators do not want to assume the burden of Base64 content events. There is also an issue of event requests that will pull the events (data and all) as opposed to where my idea for a media relay would be to only to query and pull down pointers based on search parameters. Data would be pulled on a specific request. ### Why not use IPFS\Bittorrent? These are slow in my experience and not very reliable. In their best use case, these protocols are great for larger files and wouldn’t provide a good experience for loading images or smaller binary data. ### Why not a file descriptor of http servers? Extra overhead of running a web server and running a servlet that pulls down the data rather than a specialized media relay. I also want to utilize web sockets because they don’t run into the CORS issue. It could still be a possibility. ## Conclusion As of today (October 6th), prototype code is being built for the following pieces: * Media Relay * Nostr event spec * Javascript Web and NodeJS client library This may turn out to not be the best approach to decentralized storage for the Internet and it is worth trying to see where it ends up. This is a very informal thought experiment I wanted to share with the wider world.

@ cbb2f023:d6352031

## Chef's notes *800g chicken from the broth and vegetables- I cooked the broth on the chicken the day before and used the meat, carrots and parsley for the dumplings. You can use other meats beef, pork, duck. Just cook the meat and vegetables in advance until tender. To make it easier to make the dumplings, I recommend buying a dumpling tin. You can serve the dumplings with fried crackling and onions ## Details - ⏲️ Prep time: 2,5 hours - 🍽️ Servings: 6 ## Ingredients - 500g flour - 250 ml boiling water - 50 ml oil - 1/2 teaspoon salt (for the dough) - 800g cooked chicken from broth - 2-3 carrots - 1-2 parsley - 1 tbsp butter - large onion - 100 ml broth from cooking meat - handful of parsley (optional) - pepper - 1-2 teaspoons salt (for the stuffing) - pinch of nutmeg ## Directions 1. Dough: Sift the flour and salt into a bowl Boil water, measure 250 ml, add oil and immediately pour into the bowl with the flour. 2. Knead the dough (initially with a spoon so you don't burn yourself and then with your hands) into a smooth ball. Wrap in cling film and leave on the counter for 30 minutes. 3. Stuffing: Dice the onion into small cubes and fry in a frying pan in a tablespoon of oil until lightly brown. 4. Grind the cooked chicken and vegetables through a meat grinder, add the fried onions, parsley (optional) and mix together. 5. Gradually add the stock so that the mixture is moist and fluffy. Season to taste with pepper and salt and nutmeg. 6. Peel off 1/3 of the dough and roll out into a thin sheet about 3 mm thick without flour - it should not stick to the work surface. 7. Cut out circles with a glass, stretch them slightly in your hands and put a spoonful of stuffing in each one, pressing the stuffing slightly with your finger so that it doesn't get on the joint. 8. Gather together and set aside on a countertop, covering with a clean kitchen cloth so that the dumplings do not dry out. 9. When the last batch has been kneaded, bring a large pot of water to the boil, add salt, reduce the heat and drop the dumplings in batches so that they do not touch each other. 10. Boil for 4 minutes after they have risen to the surface. When slightly dry, fry in a pan with butter/oil until brown.

@ 1bc70a01:24f6a411

Hey all! Inspired by @verbiricha of doing his quarter progress report in public, I thought I’d share what I’ve been up to and the progress made in the first quarter since the OpenSats grant award. First, none of this would be possible without support from OpenSats and for that I am very grateful! Being able to do work on Nostr is one of the best thing I could hope for! Thank you! **TLDR;** 1. Launched [nostrdesign.org](http://nostrdesign.org) and updated it with content, reference designs. 2. Reviewed a bunch of client UI/UX and provided suggestions 3. Worked on designs - snort, zap stream, and redesigned some clients, while providing visual feedback where I could. 4. “Started” #nostrdesign hashtag to encourage design discussions, questions, comments, and feedback from anyone wishing to participate. **Hashtag** Since creating the **#nostrdesign** hashtag, we’ve seen a good amount of participation from the community. I am very pleased to see that people are using it to share design progress, ask for feedback, jumpstart ideas and propose improvements to existing clients. The best part is that people who are not designers are able to chime in (and do so frequently) under discussions originated by designers / developers! This is exactly what I was hoping to see happen. Instead of establishing yet an other closed group, I wanted the general user base to engage with nostr developers, express their thoughts and ideas. After all, designers don’t have all the answers, all the time. People are asking great, and very important questions that could impact a large number of people coming into the space. Designers are providing useful feedback to improve popular clients. I hope to see more designers get involved and chime in with their ideas! Going forward, I would like to continue using the hashtag to encourage more participation. **Ask:** **Developers -** don’t hesitate to ask for feedback often. Just add #nostrdesign to your notes. **Designers** - your UX ideas and design expertise are needed to make the best experiences possible. Please drop in and chime in with your feedback when possible. **Everyone** - you all use the apps and your feedback is priceless! Complain as much as necessary, this is how we learn. Just tag #nostrdesign so we can come up with better solutions to existing issues. **Client Reviews & Feedback** The following is a list of clients I have provided feedback for, designed parts of, or put forth major design proposals during the first quarter (I am currently uploading recordings to a YouTube channel to make them accessible to everyone): 1. **Lume** - [onboarding review](https://github.com/luminous-devs/lume/issues/85) and some minor design mockups. Reya (Lume developer) said he implemented the recommendations, but I need to review again (on my to-do list). [Video recording](https://cln.sh/HmGh0wT7). 2. **Damus** - [home page design idea](https://www.figma.com/file/0tDzcricDSaKTb9PtS0yXL/Damus-Marketing?type=design&node-id=0:1&mode=design&t=3OMbAvuVuotpeqPM-1) 3. **Stargazr** - full client review, recommendations and the start of a r[e-designed client](http://www.apple.com). 4. **Pinstr** - provided [actionable feedback](https://cln.sh/5Blcg8bJ) for @Sepehr. 5. **Listr** - @JeffG asked for feedback several times and I reviewed the client before and after feedback, providing further recommendations. ([Round 1](https://cln.sh/LrXTG5fZ), [Round 2](https://cln.sh/PMGkSGsP) feedback) 6. **Slidestr** - provided feedback and [designed](https://www.figma.com/file/ZT64EeJSxCl5BGvKmK44ZK/Slidestr?type=design&node-id=0:1&mode=design&t=evJbPT6jPvlqn5IU-1) what I would consider to be the ideal experience. 7. **Swarmstr** - @pitunited asked for feedback and I [reviewed](https://cln.sh/JYh2MLNS) the entire client. 8. **Current (iOS)** - egge asked for feedback and I created an [issue in their GitHub](https://github.com/starbackr-com/current/issues/33), along with a video. 9. **0xChat** - water asked for feedback. I reviewed the client on video and made recommendations. 10. **Nostree** - provided feedback and design ideas 11. **Primal** - some design ideas which may or may not make it into production, we’ll see! 12. **noStrudel** - minor feedback and designing some ideas for **@hzrd149** 13. **Habla** (work in progress). I have provided some styling and UX feedback and I’m currently working on designing the changes. 14. **Spring** - Artur approached me about the idea behind Spring and needed some help shaping his vision. I designed the product experience ([Figma file](https://www.figma.com/file/AjUM205cl1zVGwalHHF7tJ/Nostr-OS-Mobile?type=design&node-id=423:14057&mode=design&t=YKkGPVACHJedPGsy-1)) and he implemented it on Android, perhaps with his own ideas mixed in. 15. **Yana** - Yana asked for a full review and I provided [a recording](https://cln.sh/9y6SxQy6) of my initial experience and recommendations. 16. **Nosta** - Christoph asked me to review the client, and I did so in full, providing my [experience, ideas and recommendations](https://cln.sh/lLVbvYHp). Christoph is now implementing some of the ideas / recommendations! 17. **Vendata** - Pablo asked me to look at the current state of the (proposed?) redesign and I chimed in with my thoughts. 18. **NostrNet.work** - I really liked the project and pitched an unsolicited design idea. 19. **PlebeianMarket** - @Chiefmonkey asked for feedback on PM. I provided [a recording](https://cln.sh/tCff57Nx) of my thoughts. 20. **Snort** - snort has seen many improvements in features. Kieran and I are working closely to shape the client. I redesigned Snort for version 2 that he managed to ship not long ago. This was a major project. I also updated Snort’s CSS, both dark and light mode and improved some of the UX directly through a pull request. 21. **Zap.stream** - I am also working with Kieran on a continuous basis to improve zap.stream. Due to Snort V2 being in the works at that time, we didn’t have as much time to work on zap.stream but we managed to add a new onboarding flow which I designed. Roland did a lot of the work on development side. I am currently engaging Kieran to see what needs to be done next. **Design Help** The following is a list of clients I was involved with, ranging from major contributions to minor enhancement proposals: - Snort (major) - zap.stream (major) - Damus (minor) - Spring (major) - NostrNet.work (somewhere in between) - Primal (minor) - Habla (major initially, now minor) - Nostree (none initially, major design mockups currently) - Pinstr (design ideas mockups) - Slidstr (design ideas mockups) - Stargazr (none initially, major design mockups currently) **Nostr Design Guide** In Q1 [https://nostrdesign.org/](https://nostrdesign.org/) was born! There were some technical challenges (for me personally), but thanks to help from Gigi and Daniele, the resource is live. I’ve made substantial progress in content, including reference designs. The bulk of the time on the guide is in reference designs. The guide still needs additional examples, and some of the content is missing (like Accessibility). This is a work in progress. The reference components are ongoing endeavor. I’d like to cover all the basic use cases, desktop and mobile and provide guidance on any new questions that come up (such as mute words). Since the launch of the guide I have seen a lot of positive feedback with people frequently referencing the website (even on live streams). I am humbled by this and hope to make the resource even more useful. **Next Quarter Plan** In the following quarter, I plan on allocating my time as follows: - **Rounding out** the nostr design guide with examples. - **Reference components** for nostr design guide - especially the crucial parts that are asked about the most. - **Following up on the feedback** I have provided for various clients and devs to see if they are acting on it, why not if not, and if there’s anything I can do to help them make progress. - **Providing Quality Assurance reviews** on the work that was implemented. - **Improving existing clients** with better UX ideas. - **Engaging with the nostr community** to find better ways of doing things, learning about what’s working and what’s not working. - **Exploring UI / UX improvements** on new ideas put forward by developers and the general nostr community. - **Helping clients think about growth and monetization strategies.** I have already outlined some ideas for Snort (informal ideas) and Zap.stream **Got feedback?** Clients, designs, business ideas, personal, any feedback you have, I am all ears! You can leave comments right on this note, DM me, or email [karnage@opensats.org](mailto:karnage@opensats.org). I take note of all the feedback and consider individually, so you’ll always be heard. Thank you!

@ cbb2f023:d6352031

## Chef's notes *Spice Mix- I used one called Magic Dust Rub (red pepper, mustard, garlic, romaine cumin, chilli, black pepper, Jalapenos, salt, brown sugar) ## Details - ⏲️ Prep time: 2 days - 🍳 Cook time: 24 hours - 🍽️ Servings: 6 ## Ingredients - 2,2 kg Pork shoulder - favourite spice mix* - few drops of liquid smoke - broth (from cooking meat) - 1/2 can passata - 2 shots of Jack Daniel's - 1 Tbsp honey - 1 tsp butter (optional) - salt ## Directions 1. Rub the meat with your favourite spice mix (be generous, meat should be nicely coated), add few drops of liquid smoke. 2. Vacuum meat in a plastic bag and place in the frigde overnight. 3. Next day remove from the fridge and prepare water bath. I am using a huge pot (10 liters) filled with water leaving around 5cm (2 inch) from the egde. 4. Connect immersion cooker, and set it up for 70C (158F) and 24 hours. When the required temperature is reached, transfer the bag with the meat to the pot. Check the water level every few hours and top up if it evaporates too much. 5. After 24 hours, remove the bag with the meat, open it and pour the resulting broth into a smaller pot (this will be the base for the sauce for the meat). 6. Preheat the oven to 200C (392F). Transfer the meat to a large baking tray (from the oven equipment) and bake for about 20 minutes. 7. In the meantime, prepare the sauce: Heat the meat broth, add 2 shots of Jack Daniel's and boil for a while to evaporate alcohol. Add the spices (start with 2 tablespoons), passata, honey. 8. Cook around 20 minutes, stirring frequently add salt to taste. I usually add a tea sppon of butter just to make it more smooth and creamy but this is optional 9. Remove the meat from the oven and shred it with meat claws. Serve with sauce.

@ d830ee7b:4e61cd62

มิถุนายน 2022 กลุ่ม Discord ที่เราเริ่มกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเพียงไม่ถึง 2 เดือน เรากลับพบว่าตัวเองต้องเมาเละ ท่ามกลางบิตคอยเนอร์นับร้อยคน ณ โรงเบียร์มิตรสัมพันธ์!! ผมอยากจะเขียนถึงเหตุการณ์คราวนั้นก่อนที่ความทรงจำของผมจะหายไป (เฉพาะในมุมตัวเอง) ซึ่งตอนนี้มันก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆ บ้างแล้วล่ะ.. สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ไม่ลืม คือ ผมเมาหนักมากในคืนนั้น ระดับที่ อ.ตั๊ม ไม่ยอมให้ผมกลับเอง แกต้องขับรถไปส่งผมจนถึงที่นอน.. เมาจนจำไม่ได้ว่าดื่มไปมากขนาดไหน.. คุณก็คิดเอาเองละกันว่าผมไม่ยึดถือตัวตนแม้แต่น้อย ไม่กลัวด้วยว่า อ.ตั๊ม ที่ได้เจอผมครั้งแรกจะคิดกับผมยังไง ก็กูจะเมา 555 คุณลองนึกภาพคนไม่ถึงสิบคนที่ไม่สนิทกันเท่าไหร่นัก (พึ่งรู้จักกันเลยล่ะ) ซึ่งอาจหาญอาสาเป็น Founder ของกลุ่ม Discord ที่ขนานนามตัวเองว่าเป็น "บ้านหลังใหม่" ของชาวบิตคอยน์กันดูสิ มันเป็นอะไรที่ท้าทายและเลอะเทอะเอามากๆ ซึ่งสมาชิกหลายๆ ท่านไม่เคยใช้ Discord กันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ น้องๆ อีก 5-6 คนที่ตามผมมาก็เต็มไปด้วยความสงสัยเหมือนกัน.. พี่พาพวกผมมาเล่นอะไรเนี่ย? ผมเริ่มเป็นคนพูดมากก็จากตอนนั้นเลย เพราะผมต้องนั่งอธิบายคอนเซ็ปต์ทั้งหมดในหัวว่าผมหวังจะพาพวกเค้าทำอะไรกันต่อ ทั้งตัวโปรแกรม Discord มันใช้งานยังไง ชุมชนที่เราสร้างขึ้นจะขับเคลื่อนไปทางไหน ไปยังไง แต่ละคนจะมีบทบาทอะไรบ้าง ฯลฯ สารพัดเรื่องราวที่จัดว่าเป็นของใหม่เกือบหมดสำหรับพวกน้องๆ แต่หลายๆ ไอเดียก็มาจากพวกเขาเช่นกัน ผมไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อนเลยว่าได้ยึดตามแนวทางของตลาดเสรีมาตั้งแต่ตอนนั้น บรรยากาศในช่วงเริ่มต้นของกลุ่ม Discord ในตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก Nostr ในตอนนี้ ผมพยายามผลักดันและแนะนำให้น้องๆ ซึ่งประกอบไปด้วย ขิง, อาร์ม, บอส, ตั๋ง, กาย และน้องแฮ่ม ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกใหม่แบบเดียวกับที่ผมพยายามแนะนำพวกเราในตอนนี้ แค่ต่างบริบทต่างวาระกันเท่านั้นเอง เราลองใช้ห้องเสียง เพื่อเปิดเวทีพูดคุยสัพเพเหระ ขิง อาจจะเป็นคนเดียวที่พอจะมีทักษะในการพูดในที่สาธารณะมากหน่อย ส่วนพวกที่เหลือก็ล้วนไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนเลย แต่ทุกคนก็เริ่มจากความไม่ชำนาญด้วยกันทั้งหมด เอาว่า อาร์ม ยังพูดไม่ค่อยได้ และออกจะพูดไม่ค่อยชัดอยู่เลยในตอนนั้น ใครอยู่กับเราใน Discord มาตั้งแต่ยุคแรกคงจะพอนึกภาพออกว่าแต่ละคนเป็นยังไง ผมออกแรงค่อนข้างเยอะในช่วงแรกตามระเบียบ แต่ก็พยายามให้น้องๆ ทุกคนได้เวทีเพื่อฝึกฝนตัวเองไปพร้อมๆ กัน จากตรงนั้นผ่านเวลามาเป็นปี ทุกคนกลายเป็นพวกต่อยหอยในรายการสภายาส้มกันไปแล้ว  ผมอยากจะชี้ตรงนี้ให้เห็นตรงนี้ว่า แม้ในตอนต้นเราจะยังโนเนมหรือแทบไม่เคยทำอะไรกันมาก่อนเลย แต่การเรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะ การฝึกฝนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเอาจริงเอาจัง จะพาให้เราพัฒนาจนกลายเป็นอีกคนได้เมื่อเวลาผ่านไป นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนและจับต้องได้มากที่สุดที่มาจากผลของความตั้งใจและความอุตสาหะ ถ้าคุณฝึกมันมากพอ วันหนึ่งคุณก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ กลุ่ม Discord และสังคม Siamese เริ่มทำให้คอมมูนิตี้เราเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้สมาชิกคนสำคัญอีก 2-3 คนเข้ามาในทีมนั่นคือ หมอนิว, น้องนิ่มและน้องอิสร จากใน Discord นี่เอง เราได้ค้นพบพี่เดชา ซึ่งตอนแรกอิทฤทธิ์ของแกก็ทำเอาน้องๆ ต้องแตกกระเจิงกันมากทีเดียว ก็เป็นผมนี่เองที่ต้องคอยเข้าชนกับแกอยู่บ่อยๆ เป็นระยะๆ มันใช้เวลากว่าคนรุ่นเราจะเริ่มเข้าใจกันกับคนอย่างรุ่นพี่เดชาได้ จนกระทั่งความสัมพันธ์ของพวกเราได้กลายเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ หลังจากนั้นก็มีพี่จิมที่คอยจดๆ จ้องๆ อยู่นานสองนานตามเข้ามาสมทบด้วยอีกคน มีสมาชิกหลายท่านที่แอคทีฟกันมากในช่วงนั้น แต่ก็ห่างหายกันไปบ้าง หลายคนอ้างว่ากลุ่มของเราฮาร์ดคอร์และ Toxic กันมากเกินไป มีคนมาขอให้ผมช่วยทำอะไรบางอย่างกับวัฒนธรรมภายในนั้น ผมเลือกที่จะปฏิเสธ ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีของชุมชนเพราะผมเชื่อในกลไกตลาด มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นผมรวมของการกระทำของทุกคน ผมยอมรับได้ที่จะมีใครคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นั่นและเลือกที่จะเดินจากไป นั่นคือกลไกของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ผมไม่คิดว่าผมจะต้องไปเปลี่ยนแปลงหรือควรแทรกแซงแต่อย่างใด ผมก็ต้องยอมรับว่าเป็นพี่เดชานี่เองที่ทำให้ชุมชนของเราตื่นตัวกันเรื่อง Lightning Network มากขึ้นในเวลาต่อมา มากเสียจนผมต้องเอามันมาขยายผล เราเริ่มเข้าใจว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และเราก็เริ่มเผยแพร่มันอย่างจริงจัง จนปัจจุบันมันเกือบจะกลายเป็นเรื่องเบสิคของชาวคอมมูเราไปแล้ว ต้นตอก็มาจากพี่เดชาและความบ้าของพวกผมนี่เอง  >ใครยังจำภาพนี้กันได้บ้าง? ย้อนกลับไปในเดือน กรกฎาคม 2022 หนึ่งเดือนให้หลังจากเริ่มก่อตั้งกลุ่ม Discord ในหัวของผมมันเริ่มอยากจะนัดให้ทุกคนได้เจอกันจริงๆ ดูสักครั้ง การพบกันบนโลกความจริงเจอกันตัวเป็นๆ ของบิตคอยเนอร์ไทยคือฝันของผมตั้งแต่ต้น และในที่สุดการพบกันครั้งแรกของ อ.ตั๊ม พี่ชิต พี่เดชา และพี่จิม ก็เกิดขึ้นจนได้ที่ Bob spaces จุดเริ่มต้นมันก็มาจากกลุ่ม Discord ของเรานี่เอง นั่นคือครั้งแรกที่คนทั้ง 4 ได้มาเจอกันจริงๆ ซึ่งมันก็ตามมาด้วยโจทย์ที่ยากมากขึ้นสำหรับพวกเรา เพราะทั้ง 4 คนดันอยากจัดอะไรที่ใหญ่กว่าเดิม ตั้ม กับน้องๆ ไปหาวิธีทำให้มันเกิดขึ้นมาให้ทีสิ.. ให้ตายเถอะ เราไม่เคยมีใครได้จัดงานอะไรแบบนี้กันมาก่อน ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมเริ่มก่อหวอดมันยังไง รู้เพียงว่าเราใช้เวลาถกเถียงกันนานพอสมควรกับกลุ่มน้องๆ และเพื่อนๆ สมาชิกภายใน Discord เราเลือกสถานที่เป็นโรงเบียร์มิตรสัมพันธ์ของพี่ชิต เราประกาศรับคนเข้าร่วมงานประมาณ 80 คน (ซึ่งก็บานไปเกิน 100 คนในภายหลัง) ตั๋วราคา 380 บาท ถูกขายหมดในเวลาไม่นานมากนัก เราคำนวณแล้วว่าเอาแค่ไม่เจ๊ง ไม่เข้าเนื้อพวกที่จัดงานก็พอใจแล้ว ใครล่ะที่จัดงาน? ก็ผมกับน้องๆ ทีม Mod ใน Discord ทุกคนนั่นแหละครับ เรื่องนี้ทำเอาเราตึงกันพอสมควร การศึกษาความเป็นไปได้ วางแผน แบ่งงาน แบ่งบทบาท ประชาสัมพันธ์ เอกสาร อุปกรณ์ ประสานงาน ทำอะไรต่างๆ ค่อนข้างวุ่นวายมากด้วยความที่เราล้วนอยู่กันคนละทิศละทาง มีสัมพันธ์ทางออนไลน์กันเป็นหลัก เราได้บทเรียนค่อนข้างเยอะจากคราวนั้น โดยเฉพาะเรื่องระบบการขายตั๋วที่เราเลือกจะทำกันแบบ Manual ความไม่เคย และความไม่พร้อม รวมทั้งความไม่รู้ในหลายๆ ด้านของพวกเราเอง เราไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับแขกได้ครบทุกคน แม้จะมีหลายท่านที่ชื่นชอบงานนั้นมากๆ ก็ตาม แต่ก็ยังมีบางท่านที่รู้สึกไม่ซาบซ่ากับมันเท่าไหร่นัก ซึ่งบทเรียนในคราวนั้นก็ทำให้เราทำกันได้ดีขึ้นมาหน่อยกับงานคอนเฟอเรนซ์ในเวลาต่อมา ผมถือคติว่า ถ้าเราเอาแต่กลัว เอาแต่ไม่กล้า เราจะไม่มีวันได้เรียนรู้อะไรเลย สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนไม่รู้อะไรแบบนั้นไปตลอด.. เราแค่ต้องทำ ลงมือ และเทคเอาบทเรียนที่ได้รับมาปรับปรุง ถ้าเราอยากพัฒนาตัวเอง อยากเป็นคนที่มีความสามารถมากขึ้น เราต้องกล้า เราไม่มีทางเลือก นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่เคยปฏิเสธความท้าทายอะไรเลยและบ้าพอที่จะทำมัน เอาล่ะ.. ผมปูมายาว ก็เพื่อจะหาทางเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น เท่าที่ยังพอเหลืออยู่ในความทรงจำของผมบ้างนับจากนี้.. ## เหตุการณ์ในวันเมา ผมนอนบนรถไฟไปในคืนก่อนวันงาน ผมไปถึง กทม. ในตอนเช้าตรู่.. นั่นแหละคือปัญหา ผมต้องเดินเตร็ดเตร่เพื่อรอเวลาเช็คอินเข้าโรงแรมก็คือนู่นเลยตอนบ่าย 2 ซึ่งกรุงเทพในเวลานั้นมันช่างอ้างว้าง (ช่วงโควิดยังไม่จาง) ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยเหมือนกัน ผมเดินวนหาร้านซัดกาแฟ นั่งเล่นเกมรอเวลาจนกาแฟหมดไป 2 แก้ว.. เอาวะ ผมตัดสินใจไปหาพี่ชิตดีกว่า ไม่งั้นผมคงต้องเบื่อตายแน่ๆ กว่าจะถึงเวลาเข้าที่พัก นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปที่บาร์เต่า ข้ามเจ้าพระยาไปที่ร้านชิตเบียร์ ผมบอกพี่ชิตไว้ก่อนแล้วว่าผมจะไปที่นั่น เรานัดกันหลวมๆ และผมก็ไปถึงก่อนเวลา กว่าพี่ชิตจะมาถึงผมก็หมดไปแล้วราวๆ 2-3 แก้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองคราฟท์เบียร์อันเลื่องชื่อ โอ้... ไม่เคยแดกเบียร์รสชาติดีขนาดนี้มาก่อนเลย มันเพลินจนไหลไปเรื่อยๆ เนื้อหนัง กลิ่น ความละมุนละไมมาครบ.. จนกระทั่งพี่ชิตเดินทางมาถึง มันเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันแม้จะเคยคุยกันมานานแล้ว ผมยังจำสีหน้าของพี่ชิตได้.. อ่อ ไอ้ตั้มหน้าตามึงเป็นอย่างนี้เองหรอกเหรอ แกคงจะคิดในทำนองนั้น.. สภาพผมที่ไม่ได้จัดการตัวเองเลยนับจากลงรถไฟในตอนตรู่ก็ดูไม่จืดสักเท่าไหร่หรอก บทสนทนาของเราในช่วงแรกยังคงเต็มไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย เรายังคงเคอะเขิลกันอยู่พอสมควร เมื่อเราเริ่มละลายพฤติกรรมกันได้แล้ว เราก็เหมือนนักปรัชญาสองคนที่ได้มาเจอกัน แม้จะเริ่มกันอย่างเนิบๆ แต่กลับลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุด เราต่างก็สัมผัสได้ว่าเราสองคนมีหลายๆ แนวคิดที่มีท่วงทำนองคล้ายๆ กัน ผมรู้สึกตัวอีกทีก็เริ่มจะหัวโยกแล้ว เพราะพี่ชิตแกกดเบียร์มาเติมให้ผมไม่ยอมหยุด ถึงจะให้ฟรีผมก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าไหร่เพราะชักจะเมาแล้ว ตอนนั้นคิดว่าน่าจะดื่มไปราวๆ สัก 7-8 แก้วได้.. เล่นเอาผมเริ่มเมาได้ที่ตั้งแต่ช่วงกลางวันแสกๆ ในหัวก็คิดอยู่เหมือนกันว่าวันนี้กูจะรอดไหม แต่อย่ากระนั้นเลย.. เราน่าจะต้องร่ำลากันไปก่อนแล้วค่อยไปเจอกันที่งาน เรานัดหมายกันตามสมควรเพราะทางผมก็พ่องาน ส่วนพี่ชิตก็เป็นเจ้าของสถานที่ร่วม ตอนนี้ผมต้องรีบกลับไปเช็คอินเข้าที่พักก่อนจะต้องเดินทางไปต่อยังสถานที่จัดงาน..  น้องๆ เริ่มแชทส่งข่าวกันเข้ามาเรื่อยๆ บางคนไปถึงที่หมายกันก่อนล่วงหน้าแล้ว ผมในตอนนั้นกำลังต้องตัดสินใจทำบางอย่างที่ค่อนข้างเสี่ยง แอลกอฮอล์มันเริ่มแผลงฤทธิ์ ผมเริ่มหนักหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ปกติผมจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลยถ้าไม่เจอกับคนที่รู้ใจ ผมจึงไม่ใช่คอทองแดงแบบตอนสมัยยังเป็นวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว ผมรู้สึกว่าตัวเองชักจะไม่ไหวแล้วในตอนนั้น มีทางเดียวคือผมต้องนอนซึ่งก็กลัวจะไม่ตื่น แล้วถ้าไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะงามไส้กันน่าดู เวลาก็เหลือไม่มากเท่าไหร่นักก่อนที่งานจะเริ่มขึ้น ผมไม่มีทางเลือกมากนักเพราะไม่อย่างงั้นคงไปไม่ไหวแน่ ผมโทรไปบอกให้น้องๆ ช่วยโทรมาปลุกผมด้วยเพราะจะขอ Snap สักครึ่งชั่วโมง ชีวิตมันก็มีเรื่องให้เราต้องตื่นเต้นอยู่เสมอแบบนี้สินะ ในที่สุดผมก็นอนหลับไปแบบเมาๆ ผมไม่กล้าหลับ ผมรู้ว่าตัวเองหลับลึก ผมแค่นอนลงให้โลกหยุดหมุน หลับตาให้แอลกอฮอล์มันเริ่มสบายบนความสลึมสลือ ผมตื่นมามาอาบน้ำและเดินทางต่อไป.. จากที่พักจนถึงสถานที่จัดงานมันใช้เวลาไม่มากนัก ผมขอให้แท็กซี่จอดตรงปากซอย ผมชอบที่ตะเดินซึมซับบรรยากาศและเก็บเรื่องราวตามรายทางเองมากกว่า ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด… ผมไม่คิดว่าในซอยนั้นจะมีคนบ้าเลี้ยงหมาเป็นสิบๆ ตัว ให้ตายเถอะ แล้วมันเป็นจังหวะที่เจ้าของเอาหมาทั้งฝูงออกมาเดินเล่นพอดี ใช้คำว่าฝูงน่ะถูกแล้ว… ความลับก็คือ.. ผมกับหมาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เข้ากันได้ดีสักเท่าไหร่.. อาจเป็นเพราะผมคอยโดนหลอกให้ยัดเนื้อหมาลงท้องในตอนเด็กๆ หรือเปล่าไม่ทราบได้ ที่แน่ๆ ชีวิตนี้เคยโดนหมากัดอย่างงงๆ มา 2 รอบละ.. ผมเดินมาถึงที่หมายในบรรยากาศที่ยังไม่พร้อมกันเท่าไหร่นักในตอนนั้น ทั้งสถานที่ที่เหมือนจะงงๆ กันอยู่ กลุ่มน้องๆ ที่มาถึงกันก่อนที่ก็ยังไม่รู้ว่าควรทำอะไรกันดี พวกเขานั่งอยู่ในร้านมีเบียร์ประดับโต๊ะกันคนละแก้ว.. นั่นคือครั้งแรกที่ทุกคนได้เจอกับ Jakk Goodday  จากทางซ้าย ขิง, แฮ่ม, ผม และขวาสุดคือตั๋ง (ตอนที่ยังตุ้ยนุ้ยอยู่) สภาพผมคือ.. พวกมึงจะคุยอะไรกันก็คุยไปกูขอเอนหลังหน่อยละกัน จะร่วงไม่ร่วงแหล่อยู่ละ น้องๆ น่าจะยังเกร็งที่ Jakk Goodday อาจไม่ได้เป็นแบบที่คิด สีหน้าตั๋งเหมือนจะอยากถามว่าตกลงผมเสพหรือขายกันแน่.. ผมอยากจะบอกว่าผมแค่วิ่งเต้นเส้นสายให้เท่านั้น.. ผ่าม! เราคุยทำความรู้จักกันบนโลกฟิสิคัลพอหอมปากหอมคอ จากนั้นผมก็เริ่มให้ทุกคนกระจายกันออกไปทำตามหน้าที่เมื่อใกล้เวลาเริ่มงาน.. (ใช่.. ผมน่าจะกดไปอีก 1-2 แก้วเป็นอย่างน้อยๆ ในระหว่างนั้น)  ตั๋งกับน้องอิสร คือ 2 คนที่ต้องกลายเป็นผู้เสียสละในวันนั้น.. ทั้งคู่มีหน้าที่ต้องไปประจำจุดลงทะเบียนหน้างานที่ก็ทุลักทุเลกันพอสมควร เจ้าขิงเห็นสภาพเรื้อนๆ ของผมคงรู้สึกไม่ค่อยวางใจ ว่าแล้วก็เลยเดินไปดูแลความเรียบร้อยตามจุดต่างๆ ด้วยตัวเอง มันก็ต้องแบบนี้สิวะ จะให้พี่ทำทุกเรื่องได้ยังไง พี่เมา! ปัญหาที่เจอนอกจากขั้นตอนการลงทะเบียนแบบไร้ Ai แล้วก็คือแขกหลายท่านที่มาร่วมงานไม่ได้มีตั๋วกันมาก่อน ทำนองพวกมากลากมาหรืออาจจะรู้ช้าแล้วก็อดใจไม่ไหว ก็นั่นสินะ.. นี่คืองานพบปะครั้งแรกของชาวบิตคอยเนอร์ไทยเลยเชียวนะ งานแรกที่จะได้เจอ 4 เสาหลัก ใครจะอยากพลาดถ้าไม่ติดธุระจำเป็นกันจริงๆ ผมทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนั้นนอกจากปล่อยให้เหตุการณ์ต้องเลยตามเลย คงไม่มีใครอยากผิดหวังถูกไล่กลับบ้านไปหรอกใช่ไหม.. เกี่ยวกับสถานที่ในช่วงแรกยังคงสับสนวุ่นวาย จัดที่นั่งกันค่อนข้างไม่ลงตัว แขกหลายท่านมาก่อนเวลาก็เลือกที่จะนั่งบริเวณลานด้านนอกร้านกันก่อน บางคนไม่ได้ต้องการมาล่าลายเซ็นค์หรือคุยกับคนดังอะไรขนาดนั้น พวกเขาเพียงแค่อยากเป็นหนึ่งในสักขพยานของงานเล็กๆ ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนเราในครั้งนี้ พวกเขาจับกลุ่มกันเอง สั่งเบียร์ เดินซื้อกลับแกล้มจากรถด้านนอกร้านมานั่งคุยกันเองตามอัธยาศัย แม้จะดูไม่เข้าร่องเข้ารอยมากนัก ผมแสกนภาพทั้งหมดแล้วก็อดภูมิใจไปกันมันไม่ได้เช่นกัน.. นี่สินะ.. ภาพที่เราอยากเห็น มันกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว และนี่คือภาพของความวุ่นวายบริเวณทางเข้างานที่เกิดขึ้นในวันนั้น…  หลังจากนั้นพี่ใหญ่ทั้ง 3 ท่านก็มาถึง พี่จิม, พี่เดชา ตามด้วยพี่ชิต ทั้ง 3 ท่านกับผมโผเข้ากอดกันจนมันกลายเป็นธรรมเนียมระหว่างเราไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องพูดกันมาก เราสื่อสารกันผ่านเจตนารมณ์และความรู้สึก พี่ชิตมาถึงเลทไปนิดหน่อยพร้อมกับยกมือขอโทษขอโพยทุกๆ คนกับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นในช่องแรก.. ไม่มีใครโกรธพี่หรอกครับ การปรากฏตัวของพี่ทำให้ทุกสายตาจับจ้อง บรรยากาศในบริเวณนั้นกลับมามีชีวิตชีวากันอีกครั้ง ในเวลานั้นพี่ชิตคือไอดอลเบอร์ต้นๆ ที่ใครๆ ก็อยากเจอ ผมเดินเข้าไปพูดคุยรายละเอียดต่างๆ ที่พวกเราต้องรีบทำให้เสร็จก่อนแขกจะล้นกันไปมากกว่านี้    พี่เดชามีบุคลิกที่ชัดเด่นเห็นมาแต่ไกล หลายคนกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปทักทายแก แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผม ผมเดินดุ่ยๆ เข้าไปสวมกอดในขณะที่พี่เดชาตั้งตัวยังไม่ค่อยทัน ผมไม่รีรอรีบชวนแกคุยทันทีแบบเนียนๆ ก่อนที่แกจะแจกหอยให้ผมเสียก่อน สรุปว่าผ่านไปได้ด้วยดี  ภาพบางส่วนเหล่านี้ที่คุณเห็นนี้ เป็นฝีมือของอาร์ม Notoshi (เป็นเหตุผลที่ผมหาภาพของคนสำคัญอย่างอาร์มในงานไม่เจอ) หะแรกที่เจอหน้าผมไม่รู้จะเรียกน้องว่าทรงอะไรดี แต่นี่คือเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูและดูเรียบร้อยมารยาทดีกว่าที่คิด ต่างจากผมที่ห่ามและเซอร์ได้ใจจนน้องๆ หลายคนแอบจะแขยงอยู่เหมือนกัน หมอนิวเดินมากับน้องนิ่มในชุดสบายๆ ท่าทางเรียบร้อย สมกับเป็นพวกเค้า ทั้งคู่ให้เกียรติผมมาก ทุกวันนี้นับถือผมเป็นพ่อไปแล้ว หลายๆ ท่านเริ่มทะยอยกันเข้ามาในงาน ผมสังเกตุได้ถึงรอยยิ้ม เสียงพูดคุยกันเอะอะจอแจ บางท่านจับกลุ่มสนทนากันเองได้ บางท่านไม่ไปไหน เอาเก้าอี้มานั่งฟังพวก Right Shift กับพวกพี่ใหญ่เค้าคุยกัน พวกเค้าก็มีความสุขกันได้.. ก็แปลกดีอยู่เหมือนกัน ผมในตอนนั้นเริ่มเห็นภาพทุกอย่างเลือนลางเต็มทีแล้ว สติเริ่มโดนพรากไปจากตัวด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ๆ ๆ   มันไม่แปลกที่จะมีบางคนสนุกไปกับบรรยากาศภายในงาน บางคนรู้สึกเหงาและต้องปลีกวิเวกไปนั่งในมุมเล็กๆ ของตัวเอง ก็นี่มันคือครั้งแรกที่สังคมของกลุ่มคนที่พยายามจะรักษา Privacy ต้องยอมออกมาเปิดเผยตัวตนและเจอหน้ากัน ณ สถานที่แห่งนั้นเราต่างไม่เคยมีใครรู้จักกัน เราไม่เคยเจอกันที่ไหนมาก่อน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือเรากลับคุยกันได้อย่างถูกคอเมื่อใช้ภาษาเดียวกัน นั่นคือ ภาษาบิตคอยน์   เวลาล่วงเลยมาจนตะวันคล้อย.. ในที่สุดพระเอกของงานก็เดินทางมาถึง ผมเดาว่า อ. ก็คงจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้เจอกับอะไรแบบนี้และคงจะนึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่างานจะออกมาหน้าตายังไง (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ด้านในก็เริ่มเละเทะกันแล้วล่ะ) ผมเดินออกไปรับ อ. ด้วยตัวผมเองถึงที่จอดรถ ผมอยากให้ทุกคนนึกภาพตามว่า.. นั่นคือครั้งแรกจริงๆ ที่เรา 2 คนได้เจอกัน คนที่ทำงานร่วมกันผ่านทางออนไลน์มาสักระยะหนึ่งแล้ว จับมือกันอย่างงงๆ จนเกิดเป็น Right Shift สำหรับ อ. แล้ว.. แกคงจะกังวลกับการเจอตัวเป็นๆ ของผมอยู่ไม่น้อย ผมเป็นพวกหน้าด้านยกกำลังหมื่น ผมเดินไปถึงตัวและประครองมือโอบหลัง อ. ราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานแรมปี (ผมต้องการจะแกล้งแก) อ. ทำหน้าเลิ่กลั่กวางตัวไม่ค่อยถูก พยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับผมเป็นการแก้เขิล แต่ขอโทษนะ.. ผมไม่ฟังหรอก ผมขาดสติไปมากแล้วในตอนนั้น อย่างมากก็เออออห่อหมกตามน้ำไปพอเป็นพิธี และกลิ่นละมุดตามตัวผมก็คงจะหึ่งเตะจมูกแกอยู่ไม่น้อย..  เรื่องของเรื่องก็คือผมไม่ต้องการให้ อ. วางตัวลำบาก ผมทำลายกำแพงตรงนั้นให้ อ. เรียบร้อยตั้งแต่นาทีแรกที่ลงจากรถ ผมคือคนขี้เมาเสียงโหวกเหวก ดูก้าวร้าว คงจะผิดจากภาพที่ อ. วาดไว้ไปพอสมควร แต่จะทำอะไรได้ล่ะ ลงเรือลำเดียวกันกับมันมาแล้วนี่ ฮ่าๆๆๆ ในขณะที่ผมไม่ทานอะไรรองท้องเลยนอกจากเบียร์ อ.ตั๊ม แก้เขิลด้วยการไปซื้อกับแกล้มมาเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นผมจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับ อ. ขี้เขิลผู้นั้นไปบ้าง ผมรุกเร้าทุกคนด้วยบทสนทนาอันคึกคักเพื่อให้บรรยากาศความสนิทสนมมันผ่อนคลาย ใช่.. ผมมีนิสัยแบบนี้เอง ใครจะเกลียดกูก็ได้ แต่ทุกคนควรจะรักกัน.. ก็ถ้าพวกเราชาวบิตคอนเนอร์ไม่รักกันเอง แล้วพวกชิตคอยน์ที่ไหนมันจะมารักเราล่ะ?  ในวันนั้นชุมชนของเรายังไม่คุ้นเคยกับการใช้งาน Lightning Network กันมากนัก มันยังเป็นของใหม่สำหรับหลายๆ คน มันเลี่ยงไม่ได้ที่ผมพยายามจะหาวิธี Demonstrate ให้ทุกคนได้เห็นในความอัศจรรย์ของมัน ผมจำได้ว่าผมเล่นสนุกโอน Lightning ให้กันกับพี่เดชา กับ อ.ตั๊ม ไปมาอย่างเร่าร้อน โดยมีน้องๆ รุมเชียร์กันเฮฮาเสียงดังรอบโต๊ะ บรรยากาศคึกคักกันน่าดู ราวกับกลุ่มคนป่าเถื่อน และแน่นอน คนที่แหกปากเสียงดังที่สุดในกลุ่มก็น่าจะเป็นผมนี่แหละ.. จำได้ว่ามีคนแอบถ่ายคลิปเอาไว้ด้วยนะ  ผมมองไปรอบๆ งานที่ตอนนี้ทุกคนเริ่มเข้ามาแออัดกันภายในตัวร้านแล้ว เสียงผู้คนสาดใส่กันไปมาอึกทึกครึกโครมจนเริ่มจับสำเนียงแทบไม่ได้ว่าใครเป็นใคร กลุ่มหนึ่งคาดหวังจะให้พวกเราซึ่งเป็นตัวหลักของงานกระจายกันออกไปนั่งตามโต๊ะต่างๆ เพื่อให้พวกเค้าได้สัมผัสบทสนทนากับเราบ้าง แต่มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้วมันคือพวกเรานี่แหละที่อยากเจอกันเองมากสุดๆ เราผ่านอะไรกันมาเยอะจนอยากจะบ้วนน้ำลายใส่กันได้ไม่ยอมหยุด ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้บางท่านรู้สึกผิดหวังจากความตั้งใจผมก็อยากจะขออภัยมา ณ ที่นี้จริงๆ ครับ  ในตอนนั้นผมสังเกตเห็นได้ถึงความเอาจริงเอาจังและความตั้งใจของพิธีกรจำเป็นของเราอย่าง อ.ขิง ที่ได้รับมอบหมายจากผมให้ไปเตรียมตัวมาทำหน้าที่อะไรแบบนี้อย่างกระชั้นชิดพอสมควร ซึ่งผมคิดว่าขิงน่าจะทำได้ลุล่วงสบายๆ แม้เวทีจำลองที่เราจัดขึ้นพร้อมกับเครื่องเสียงที่ยังไม่สามารถสู้เสียงอื้ออึงภายในร้านได้ จะไม่อำนวยให้กับการดำเนินรายการสักเท่าไหร่นักก็ตาม ขิงเตรียมโพยคำถามมาราวกับว่าจะไปประกวดเวทีระดับโลก ผมเห็นครั้งแรกก็อึ้งไปเหมือนกัน ในใจก็พลางคิดว่า.. สบายแล้วกู นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมเมาแบบไม่สนหินสนแดดใดๆ เลยในคืนนั้น เพราะผมเชื่อในทีมของผม ทีมของพวกเรา..  หลังจากนั้นบนเวทีก็เวียนหน้ากันไปกล่าวบางอย่างพอเป็นพิธี ตัวผมเองได้กล่าวเปิดงานก่อนหรือเปล่านะ? เมาจนจำไม่ได้แล้ว ผมจำไม่ได้แล้วด้วยว่าผมพล่ามอะไรออกไปบ้าง จำได้ว่าแหกปากนะ ฮ่าๆ พี่จิม พี่ชิต อ.ตั๊ม พี่เดชา ทุกคนได้ลุกขึ้นมาจับไมค์กันจนครบ ผมแน่ใจว่าหลายคนคงจับสาระอะไรไม่ได้เท่าไหร่นัก เพราะเสียงในร้านมันดังมากจริงๆ หรือผมเมามากจนพาลไม่ได้ยินอะไรไปเอง?   หากใครอยากรู้ว่าในคืนนั้น อ.ตั๊ม ได้พูดอะไรไปบ้าง คุณต้องไปดูกันเอาเองในคลิปนี้ https://youtu.be/-tJ_87rudzY?si=4Matbn6uaXoxtXMQ <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/-tJ_87rudzY?si=KeZJE2asZ-BvofZI" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> ภาพในหัวผมเริ่มหายไปบ้างแล้วหลังจากช่วงเวลานี้ ภาพต่อมาที่ยังปรากฏอยู่คือหลายคนเริ่มออกไปกินกันนอกร้าน เพราะพี่ใหญ่ทั้ง 4 ได้ออกไปเสวนากันด้านนอกแล้วนั่นเอง มันไม่ต่างอะไรกับวงไฮโลที่ทุกคนมุงดูไอดอลของตัวเองกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ มันไม่ใช่บทสนทนาที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ หาไม่ได้ง่ายๆ ทั้ง 4 คนมานั่งคุยกันอย่างเมามันส์หลังกระดกเบียร์กันไปคนละหลายแก้วแล้ว    อ้อ… มันมีคนๆ นึงนั่งเนียนๆ อยู่ด้านหลังในภาพสุดท้ายนี่ด้วย เขาคือ "สมนึก" นั่นเอง สมนึกเป็นคนขี้สงสัยใคร่รู้ อยากจะถามผมทุกเรื่อง น่าจะอยากกวนตีนผมเป็นการแกล้งเล่นในตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ผมก็พร้อมจะอ้วกใส่หน้าตลอดเวลาเหมือนกัน ว่าแล้วต่างคนก็เลยต่างรอดกันไป ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะผมจำอะไรไม่ได้แล้วหลังจากนั้น ผมจำไม่ได้เลยว่านอกร้านคุยเรื่องอะไรกันไปบ้าง ที่ยังหลงเหลือในความทรงจำบ้างก็คงจะ… - พี่จิมคุยมันส์มาก ใส่อารมณ์สุดเดือด มันส์ไปหน่อยจนทุบโต๊ะแก้วแตกไปใบนึง - ทุกคนอยากให้มีการจัดงาน Bangkok Bitcoin Conference ดูมีความหวังและฮึกเหิมกันน่าดู พูดเสร็จก็หันมามองผมพร้อมๆ กัน (ตูอีกแล้วเหรอ?) นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งไอเดียงานคอนเฟอเรนซ์ - ด้านในขิงยังดำเนินรายการต่อไปกับกลุ่มของเจ้าต้า BeerZpot อัจฉริยะสมองเพี้ยนอีกคนและเพื่อนๆ อีกกลุ่ม มีการแจกของรางวัลกันเล็กๆ น้อยๆ หลังจากนั้นหลายๆ คนก็ค่อยๆ เริ่มทะยอยกลับกันไปต่างคนต่างวาระ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเอง เพราะ อ.ตั๊ม น่าจะเกรงว่าอาจไม่ได้เจอผมอีกเป็นแน่ สมนึกและ อ.ตั๊ม คือสองคนที่อาสาลากผมไปแหมะไว้ที่โรงแรมด้วยตัวเอง ผมถาม อ. ว่ารู้สึกยังไงบ้าง .. "สนุกดีนะ.. " ตามด้วยอะไรสักอย่าง.. รวมๆ คือน่าจะรู้สึกดีนั่นแหละที่นานๆ ได้ออกจากบ้านที เมื่อถึงที่หมายเราก็ร่ำลากันไป โดยไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมานับจากนั้น ใครจะคิดว่าคนเมาๆ ที่เดินโซซัดโซเซลงจากรถเหมือนจะรอดไม่รอดแหล่ในคืนนั้น มันจะกลายเป็นคนบ้าที่ลากทุกคนมาไกลจนถึงวันนี้.. ว่าแต่… ทำไมคนเมาเละเทะถึงจำอะไรได้มากขนาดนี้กันนะ.. ----------- - ใครอยู่ในงานคืนนั้นบ้างครับ มาเล่าความทรงจำสู่กันฟังหน่อยเร็ว - มีใครอยากเห็นบรรยากาศแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไหม แต่คราวนี้ผมไม่ขอเป็นตัวตั้งตัวตีอีกแล้วนะ เหนื่อยเหลือเกิน 555+ ฉลอง Halving หน้ากันดีไหมพวกเรา?

@ 3335d373:91ded1de

## Details - ⏲️ Prep time: 5 min - 🍳 Cook time: 25 min - 🍽️ Servings: 1-2 ## Ingredients - 1 steak - butter - salt - pepper ## Directions 1. preheat oven to 200F 2. put the steak in a cast iron skillet 3. put the steak in the oven for 20 minutes, flipping half way through 4. take the skillet out, set steak aside, put the skillet on stove. get it really hot. 5. pat the steak dry with paper towels. this helps it sear better. 6. put salt and pepper on the steak 7. put some butter in the skillet 8. put the steak in the skillet for 2-3 minutes until one side is brown 9. flip it over and cook till the other side is brown 10. use tongs to quickly sear the sides of the steak 11. bone apple teeth

@ 25dedfe8:97476202

## Chef's notes my mothers easy to go recipe for cakes, pancake, waffles, dishes and so on. ## Details - ⏲️ Prep time: 1 - 🍳 Cook time: 6 - 🍽️ Servings: 4 ## Ingredients - 1 glass of cherries (in germany they are mostly morello cherries or sour cherries!) (850-1000g with liquid) - 1 little bag of vanilla pudding - maybe some sugar - if you like it sweet ## Directions 1. Take the glass of cherries and pour only the liquid into a pot 2. Then you take a cup or mug and pour some back in it 3. stir the bag of vanilla pudding into the mug until its smooth -> put it aside 4. Now boil the juice in the pot. When it boils remove it from the heat and stir in the content of the mug (vanilla pudding with some liquid) 5. bring the mixture to the boil again and stir. The liquid thickens while boiling 6. finally fold in the cherries - preferably with a fork really carefully 7. bon appétit <3

@ 25dedfe8:97476202

## Chef's notes great addition is my hot cherries "sauce", or simply powdered sugar or applesauce. ## Details - ⏲️ Prep time: 5 - 🍳 Cook time: 15 - 🍽️ Servings: 4 ## Ingredients - 4 eggs - 300g flour - 350ml milk (>=3,5%) - 1 teaspoon baking powder ## Directions 1. mix all ingredients with a hand mixer 2. use a shallow pan and heat it up 3. using a ladle and pour in a portion of batter at a time. Swirl the pan until the batter is evenly distributed. You want to cover the entire bottom of the pan with the batter. 4. after some time (depends on the heat on my scale 1-9 i often choose 6 or 6.5) turn the dough 5. stack the finished pancakes on a plate and enjoy them still warm <3

@ 25dedfe8:97476202

## Chef's notes old fashioned book :D ## Details - ⏲️ Prep time: 3 - 🍳 Cook time: 10 - 🍽️ Servings: 4 ## Ingredients - 50g Starch - 2 tablespoons bake cocoa - 125ml water - 4 tablespoons sugar - 2 pinches of salt - 1 teaspoon butter - 375ml milk ( >=3,5% ) ## Directions 1. Put milk, butter and salt in a saucepan and bring it to boil 2. In the meantime stir the other ingredients in a different bowl together (starch, bake cocoa, sugar, water) 3. Take the saucepan (1.) from the heat and stir the mixture from (2.) into the hot liquid. 4. boil it up for 1min, while you still stir. 5. take it from the heat and enjoy it. <3

@ 52387c6b:49dbdfb2

## Chef's notes Not a healthy snack by any means but sometimes you just have too. ## Details - ⏲️ Prep time: 1 - 🍳 Cook time: 0 - 🍽️ Servings: 1 ## Ingredients - 1 Bag of Chips - 1 Bottle of Wooster - 1 Bowl - Many Beers ## Directions 1. Open Chips 2. Pour chips into bowl 3. Add Wooster to taste 4. Now savour the flavour

@ 71c63cb8:8e401568

@ 0155373a:ba3e1bed

## Details - ⏲️ Prep time: 5 min - 🍳 Cook time: 1 hour ## Ingredients - 10 Lbs of Brown sugar - 2 Cups Honey - 5 Gallons of water - 1/4 Cup Distillers Active Dry Yeast

@ 11d0b667:53e00ef7

## Chef's notes Here is a simple recipe for Orange Chicken Sauce, inspired by Panda Express. My children prefer this over the fast-food version, and ask for it a few times a month. The sauce can be stored for a few weeks in the refrigerator. ## Details - ⏲️ Prep time: 5 - 🍳 Cook time: 20 - 🍽️ Servings: 4-8 ## Ingredients - 1 cup Orange Juice - 1/2 cup sugar - 2 tbsp rice vinegar - 2 tbsp soy sauce (or coconut aminos) - 1/4 tsp fresh ginger (or ginger paste) - 1/4 tsp garlic powder - 1/4 tsp garlic chili sauce (siracha) - a bit of fresh minced garlic (optional) - 1 tbsp corn starch - 2 tbsp water ## Directions 1. Combine all ingredients, minus corn starch and water. In a small pan stir/whisk over medium heat until sauce is bubbling. 2. Mix corn starch with water and then add to bubbling sauce. 3. 3. Continue to stir for a few more minutes, remove from heat. 4. Store in refrigerator, enjoy on chicken, shrimp, rice and more. Garnish with orange zest and/or sesame seeds.

@ 0b963191:fc5e7ffd

## Chef's notes To make almond pancakes instead substitute 1 tablespoon of vanilla extract with 1 teaspoon of almond extract. ## Details - ⏲️ Prep time: 10 - 🍳 Cook time: 30 - 🍽️ Servings: 4 ## Ingredients - 1 ½ cups all-purpose flour - 3 ½ teaspoons baking powders - 1 teaspoon salt - 1 tablespoon white sugar - 1 tablespoon ground cinnamon - 1 tablespoon of vanilla extract - 1 ¼ cups whole milk - 1 egg - 3 tablespoons butter ## Directions 1. Cut butter into smaller pieces and place in a small bowl. Melt in the microwave for about 30 seconds. 2. In a large bowl, sift together the flour, baking powder, salt, and sugar. 3. Make a well in the center and pour in the milk egg, and melted butter 4. Start mixing ingredients and add cinnamon and vanilla extra and continue mixing until smooth. 5. Heat a lightly oiled frying pan over medium high heat. 6. Pour about ¼ to ⅓ cup for each pancake. 7. Brown on both sides and serve hot.

@ 0b963191:fc5e7ffd

## Chef's notes Can of course substitute in beef for the lamb. In terms of canned peas, always prefer La Sueur ## Details - ⏲️ Prep time: 30 min - 🍳 Cook time: 1 hour - 🍽️ Servings: 4 ## Ingredients - Potatoes: - 1 ½ pounds potatoes (Russet) - ½ cup half-and-half - 2 ounces unsalted butter - ¾ teaspoon kosher salt - ¼ teaspoon black pepper - 1 egg yolk - Meat Filling: - 2 tablespoons canola oil - 1 cup chopped white onion - 3 carrots, peeled and diced - 1 ½ pounds ground lamb - 1 teaspoon kosher salt - ½ teaspoon black pepper - 3 tablespoons flour - 3-4 teaspoons tomato paste - 1 cup chicken broth - 3 teaspoons Worcestershire sauce - 2-3 teaspoons chopped rosemary leaves (fresh) - 1-2 teaspoons chopped thyme leaves (fresh) - ¾ cup corn kernels - ¾ cup peas ## Directions 1. Potatoes: 2. Peel and dice potatoes. 3. Place in a pot and cover in cold water. 4. Bring to a boil. 5. Lower fire to simmer and cook for 15-20 minutes. 6. Heat butter and half-and-half for 30-40 seconds in the microwave. 7. Drain potatoes and put back into the pot. 8. Mash potatoes and add half-and-half, butter, salt, pepper. 9. Continue mashing until smooth and stir in yolk until combined. 10. Preheat the oven to 400 degrees. 11. Filling: 12. Heat canola oil in a 10-12 inch pan over high heat. 13. Add onions and carrots and saute over medium-high heat for 4-5 minutes. 14. Add garlic and combine for 30 seconds. 15. Add Lamb, salt, and pepper and cook until browned. 16. Sprinkle flour and stir to coat lamb and cook for 1-2 minutes. 17. Add Tomato paste, chicken broth, Worcestershire sauce, rosemary, thyme. Stir and bring to a boil. 18. Reduce heat to low, cover, and simmer for 12-15 minutes while sauce thickens. 19. Oven: 20. Add meat filling to baking dish. 21. Add peas and corn and stir in evenly 22. Spread mashed potatoes using a rubber spatula. start at the corners and make sure to seal around the edges. 23. Bake for 25 minutes 24. Remove from the oven and let sit for 15-20 minutes.

@ 1bc70a01:24f6a411

## Chef's notes You can substitute mussels with clams, or do both, and even add shrimp if you like. I don't measure anything, just eyeball everything and use any amounts of clams or mussels you like as long as it feels proportionate with spaghetti. Depending on the thickness of your spaghetti, you may need to cook it ahead of time, or at the same time as the toppings. ## Details - ⏲️ Prep time: 5 - 🍳 Cook time: 10 - 🍽️ Servings: 2 ## Ingredients - Thin spaghetti - Tomatoes (any kind) - Garlic - White Wine - Salt - Parsley (Optional) - Parmesan Cheese (Optional) - Mussels or Clams - Olive Oil ## Directions 1. Wash and clean your mussels or clams. You can keep them in salted water so they open up and spit out any sand. 2. Heat up olive oil in a large pan or a deep pan, depending on how much pasta and mussels you're making. Deep frying pan is usually enough for 2 people 3. Add thinly sliced garlic 4. Throw in the washed mussels or clams, or both 5. Add white wine. Eyeball the amount - enough to let the mussels sit comfortably half-covered. 6. Cover with lid and steam on high heat until all of the mussels open up 7. Throw in chopped tomatoes. Use many, at least a cup. There's no such thing as too many tomatoes. 8. Salt everything generously 9. Steam for a few more minutes 10. Meanwhile, you should have your pasta ready or boiling to be ready any time. Do not overcook it! Cook to "al dente" texture (basically the minimum recommended cooking time) 11. Strain pasta but don't rinse. Add directly to your mussel-tomato-wine sauce and stir it all together. Turn off the heat, it's done! 12. Plate in a large bowl. Top with finely chopped parsley if you want, and grated parmesan cheese. Hot sauce optional. Enjoy!

@ b6e13999:e5fd3c80

## Chef's notes After Glen Bell sold Taco Bell he started a small chain in Southern California called El Taco, which was more "authentic" than Taco Bell was. It's all but gone now (there might be one left in Downey) and this is my attempt to replicate their "roja enchilada sauce." It's fairly quick to throw together and this recipe makes about 20 enchiladas give or take. I recommend getting everything together mise en place style because once you start it's easier to everything already measured out. I usually make this ahead of time so I can throw together some enchiladas for lunch really quick. It's good for about a week or two in the fridge. ## Details - ⏲️ Prep time: 5 - 🍳 Cook time: 10 - 🍽️ Servings: 6 ## Ingredients - 2 TBSP Olive Oil - 1 TBSP Butter - 2 TBSP AP Flour - 1 TBSP Maseca (Corn flour) - 2 TBSP Chili Powder - 1 tsp Salt - 1 tsp cumin - 1 tsp Oregano - 2 Cups Chicken Broth - 1 TBSP Pace Picante Sauce or similar salsa - Dash of soy sauce (optional) ## Directions 1. In a sauce pan heat the oil and butter, then put in the flour and stir to make a roux. 2. Once the roux starts to darken (2-3 minutes) add the chili powder and stir to combine (Less than a minute) 3. Add the broth and stir to get rid of any lumps then add the rest of the ingredients. 4. Bring to a boil and let simmer until thickened (about 5-10 minutes) 5. Make some enchiladas or something 💁‍♂️

@ 11d0b667:53e00ef7

 **Here is a concise breakdown of the key aspects of the Nostr protocol:** - Decentralized - Nostr does not rely on any central servers. Users connect to multiple independent relays run by different entities. This makes it censorship-resistant. - Event-based - All data in Nostr takes the form of cryptographically signed events. Events can contain text, file metadata, chat messages, etc. - Key-based identities - Users are identified by public keys. Private keys are used to sign events.  - Relays - These servers accept events from clients and broadcast events to clients. Anyone can run a relay. Relays don't need to be trusted.  - Tagging - Events can contain tags to classify content. This enables discovery and filtering. - Ephemeral data - Nostr supports ephemeral events that are broadcast but not persisted. Useful for things like chat. - Replaceable data - Nostr has a replaceable event type where the latest event replaces older ones. Useful for profiles. - Encrypted messaging - Nostr has built-in end-to-end encrypted direct messaging between public keys. - Verifiable - Signatures, keys, and event IDs are all cryptographically verifiable by clients. - Extensible - The protocol is designed to be extended with new event kinds via NIPs (Nostr Implementation Proposals). - Interoperable - Common event kinds work across different clients and relays. In summary, Nostr is a decentralized, secure, extensible protocol optimized for social media and apps. Identities, data, and infrastructure are all user-controlled.  Some of the main groups that could benefit from using Nostr: - General social media users - Nostr can provide a censorship-resistant and ad-free alternative to platforms like Twitter or Facebook. It gives users control over their data and identity.  - Dissidents/activists - Nostr's decentralized nature makes it very difficult to censor or ban users. This makes it useful for people living under oppressive regimes. - Journalists/whistleblowers - Nostr allows anonymous and pseudonymous communication. This can help protect sources. Encrypted DMs also enable secure tips. - App developers - Nostr provides a robust framework for building decentralized apps of many kinds. Apps can store data in events on relays.  - Crypto enthusiasts - Nostr has native support for Lightning payments and decentralized identity via public keys. These features appeal to the crypto/Bitcoin community. - Artists - Nostr's extensibility enables new kinds of social apps for sharing/discovering art, music, videos, etc. Creators maintain ownership. - Businesses - Nostr's events could be useful for supply chain tracking, certificates, invoices, etc. Immutable timestamping provides proof of events. - Researchers - Nostr's open data model enables novel new datasets. All historical public events are queryable and analyzable. - Privacy advocates - Nostr keeps metadata minimized and gives users control over what data is shared. Relays have little user data.  - Tech enthusiasts - Nostr is open source and highly customizable. Running relays and building unique clients is encouraged. Overall, Nostr's core values of decentralization, privacy, censorship-resistance and user ownership appeal to many groups seeking alternatives to big tech social networks. Its open and extensible nature also enables wholly new social applications to be built.  > Special shout-out to nostr.build and the "creators" for supplying most of the images.

@ 11d0b667:53e00ef7

If you have ever been out in Park City, UT at 10pm, you've probably heard the Fire Bell aka The 10 o'clock whistle. Heard throughout town at 10pm every night, without fail, can surprise even locals who can be caught off-guard, by the sound. Early in the morning on June 19, 1898 a fire began in the kitchen of the American Hotel and ripped down Main Street, through the Park City commercial district, fanned by winds sweeping down the canyon. It did not stop until it ran out of fuel, destroying some 200 business and homes. Losses were estimated at over $1,000,000 (approximately $37,000,000 in 2023). The fire destroyed Main Street, Swede Alley and Park Avenue.  The blaze was the greatest in Utah history. There were no deaths, but 500 people were left homeless, the new city hall and opera house were destroyed. The Salt Lake Herald, suggested, without much evidence, that the fire had been started by someone using coal oil to light the kitchen stove. The hotel owner, however, said it was possible a drunken hotel guest had kicked over an oil lamp. The fire swept down the street, consuming building after building. It gutted the Grand Opera House, an elegant three-story brick building designed by Salt Lake City architect J.A Headlund that had been open only about a year. It took out John Funk's barber shop, the Bates & Kimball Drugstore, and the Judge, Ivers and Keith stables, which housed over 100 horses. "Horses were whinnying, men shouting, whistles screeching," the Salt Lake Tribune reported. "The spectacle as the first shafts of approaching day shot athwart the eastern hills was appalling." The stable lost all its harnesses and ore wagons, along with forty tons of oats and eight tons of hay." "Hundreds of men and women, worked with desperation to save their belongings," the Park Record reported, "but nearly everything that was taken into the street was quickly consumed in the fierce heat and blaze, that was driven through town with an intensity that resembled the flame from the end of a blowpipe." George Hall, proprietor of the Park City Hotel on the west side of Main Street, also scrambled to salvage some of his family's possessions, along with furniture and bedding from the hotel, and move them to the Kimball house, a large two-story structure on lower Park Avenue. By 5 A.M. the flames had burned through the block on the west side of Main Street, reaching Park Avenue, which was home to the city's churches and "the aristocratic portion" of Park City's population. Residents struggled to contain the fire, using giant blasting powder, they tried to decimate buildings to prevent the spread of the fire, but the flames always jumped the gap to the next structure. It was chaos, buildings burning, buildings being exploded, fires raging. "Again and again the buildings were blown up by giant powder to create a gap over which the fire would not leap," the Salt Lake Herald reported, "but the demon only laughed at the puny effort and reached out its reddened tongue further to destroy." Near the bottom of Park Avenue, one local resident took a stand, the town doctor, E.R. LeCompte. With a lawn hose, he defended his dwelling, while a neighbor would occasionally douse him with buckets of water. "Now and then a flame reached him, but not until he began to remove his clothes and search for a fresh suit did he learn that in the fight with the flames the tails of his coat had been burned to a crisp, that his shoulder blades were exposed and that a pair of new trousers were necessary to prevent an arrest for undue exposure."  All of Park City's phone lines were ruined once the fire destroyed the First National Bank Building. The Telegraph link at the bottom of Main Street, located in the Union Pacific Depot, remained intact. 3 hours after the fire started, the Park City Fire Chief, James Berry, used the telegraph to contact fire officials in Salt Lake City and Ogden. "Send us some help to put out fire here. The city is burning," said a dispatch that arrived at the Ogden fire station shortly after 7 A.M. About an hour later, special trains left Salt Lake City and Ogden, carrying men and equipment to fight the fire. Unfortunately, by the time they arrived, there was little to do except soak down the smoldering ashes.  Main Street lay in ruins, with only a few gaunt walls remaining. Among the casualties were five churches, two opera houses, two bank buildings, the city hall, and numerous retail shops and saloons. One church—St. Mary's of the Assumption Catholic church—survived, thanks to its location beyond the southern perimeter of the fire. Miraculously, no one died in the blaze. However, the flames claimed several family pets, including "Duke," a St. Bernard, that had been locked in the Bates & Kimball drugstore. The Mayor, J.H. Deming, was called for by horseback, in the Strawberry Valley, fishing. He came as soon as he was notified, and arrived at 3am the next morning. "The toughest job Marshal Hyde had after the fire was to shoot down [with explosives] the towering remnants of the Grand Opera House walls," the Park Record reported. 2 short days after the fire, alarm bells sounded again. The Kimball house on lower Park Avenue, where George Hall had moved everything after the destruction of the Park City Hotel, was on fire. In spite of the best efforts of firefighters, the building was destroyed. "Everything which George saved from the burning hotel on Sunday morning was placed [in the Kimball house], and included bedding, furniture and personal effects," the Salt Lake Tribune reported on June 22. "All succumbed to flames yesterday, even to the jewelry and money which Mrs. Hall had placed in her purse for safe keeping, and the saving and work of the proprietor on Sunday last counted for naught." With community support, however, the town rebuilt, replacing stone and brick structures with wood buildings, which were later improved again to brick and stone. The town recovered in just 18 months. By July 2, according to the Park Record, 35 new buildings were under construction. In their haste to rebuild, most business owners erected wood-frame structures. Construction of the Record's new offices began on July 4; they were ready for occupancy only twelve days later. George Hall's new Park City Hotel was almost finished by the end of July. In its New Year's edition in 1899, the Salt Lake Tribune reported that sixty-three buildings had been erected in the burned-out district. Volunteer firemen built a bell tower in town in 1901. The tower housed a 1,500 pound bell that would be used to alert firefighters and residents of dangers and also provided a place to dry the fire hoses. An electric siren replaced the bell in 1948. The fire department ran a check every night at 10pm to ensure the siren worked. This daily bell soon became known as the city-wide curfew for children. Hence, the "10 o'clock whistle", which you can still hear every night, to this day. Today, Park City, Utah, is a thriving, bustling mountain town. 

@ 11d0b667:53e00ef7

On July 13, 1927, in Coalville, Utah 13 year old Ellis Richins, small for his age, was playing with a nephew outside his father’s sheep camp when a stranger lunged from the woods and grabbed him. As his playmate ran to get help, the assailant forced Ellis up into the mountains.  Leonidas Munsey Dean.(a.k.a. Leon, a.k.a. Leonidas "Bally" Dean, a.k.a. Uncle Lonnie) , 51, placed a six-page ransom letter on a stone near the sheep camp. It began: “If you want to save the life of this fellow Richins, take ten thousand dollars, two thousand in gold coin; eight thousand in federal reserve notes, in five, ten and twenty dollar denominations, equal amounts of each, and do with them exactly as we tell you. The prisoner has just two days to live, if our orders are not strictly obeyed. We are as determined as war and ill treatment can make us.”  Lonnie kept Ellis walking that night by prodding him with a rifle barrel, and by threatening to shoot if the boy made a sound. Keeping to the ridges, they pushed toward Snyderville Valley. Ellis was told that his father had left the ransom money there. Just before daylight they reached a saddle above the Devil Creek fork of Tollgate Canyon. There the kidnapper chained Ellis to a tree, and they both went to sleep. Sometime the next morning, Lonnie heard someone walking through the woods, as a posse of nearly 400 men, some who were loaned guns by the National Guard, were scouring the mountainside. Holding a gun to Ellis’s head, Lonnie ordered the youngster to remain quiet while he went to investigate. As soon as the kidnapper left, Ellis picked up a sharp rock and began chopping at his chains. Eventually, he was able to break one of the links and fled. A short time later Ellis arrived breathlessly at a highway construction camp near Silver Creek. Ellis telephoned his mother, assured her that he was okay. (In 1881, Park City became the third city in Utah to receive telephone service, and would be one of the first to get electric lighting in 1889). After making the call he sat down—surrounded by nearly a hundred admirers—and ate a hearty meal. Within fifteen minutes his overjoyed parents drove into the camp. Using the mountains to his advantage, a week later, Lonnie Dean had hiked/traveled over 72.5 miles south, to Salem, Utah. There, he was captured by sheriff’s deputies and railroad detectives, acting on a tip. He told the Sheriff that he had planned to go to California, then on to Mexico. Sentenced to five years in prison, Leonidas “Lonnie” Dean, didn’t live out his time. He was killed by another inmate during a fight in the Utah State Penitentiary. Like his father, Ellis Richins raised sheep for a living in Coalville, until he died at 52, leaving behind 5 boys and a sheep farm.  His wife, Metta, lived well into this century. She lived 43 years as a widow. She was very involved in the sheep industry where she made many lifetime friends. She won the Sheep Rancher of the Year Award (the first woman to ever receive this award) by the Utah Wool Growers Association. She was President of the Utah State Wool Growers Auxiliary and also the Summit County Wool Growers Auxiliary.  She cooked and served many lamb suppers and helped with the Make it with Wool Contest for many years. She also served on the Farm Services Committee until the time of her death and as a secretary of the Summit County Lamb Pool. 

@ c8df6ae8:22293a06

> "We are deeply concerned. The concern is growing – almost by the day – because once we are in a shutdown there doesn’t seem to be a clear path out." > > — Neil Bradley, chief policy officer at the US Chamber of Commerce *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue covers the upcoming government shutdown and what can you do as a bitcoiner to prepare yourself.* --- Yesterday I saw an article on CNN giving all kind of bad suggestions on what to do in case of a government shutdown, like for example, trading your stock portfolio based on the gut reactions of the market. This is BAD advice. You should never trade your stock based on short term, temporary events. That's why I decided to cover the government shutdown today and what you can do to prepare yourself as a bitcoiner. ## Why are we heading towards a shutdown Congress has not passed a budget for the 2024 fiscal year that starts on October 1st, 2023 and therefore, without a budget, the government will shutdown come October 1st. We could debate a lot about the fact that Congress has not done the ONE thing that they must do: pass a budget to allocate those precious dollars they take from our paycheck but I'll leave that to the politics newsletters out there. Some bitcoiners will argue that a partial shutdown of the government is actually good, given that it has grown too big already. But a shutdown is not the same as eliminating or scaling down useless departments and agencies. A shutdown impacts everything that Congress hasn't deemed as essential and will, for example, close **National Parks, which I think are one of the greatest inventions of the United States.** The US federal government operates on a fiscal year that goes from October 1st to September 30th. Typically, the House would pass a series of bills containing the annual budget, then the Senate would modify them and finally House and Senate would negotiate and settle on the final bills and the budget. But the members within the ruling party at the House can't agree on a budget so nothing has been passed. >There will be a shutdown and despite what Mr. Bradley said, the shutdown will be ended by social pressure towards the ruling party in the House, who has full control to pass a bill. ## What will happen during the shutdown Here is a quick video detailing what happens when the government shuts down. <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/YyZWLIkwHWY?si=I7ci_viBXYqqy9Tm" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> ## What to do as a bitcoiner NOTHING. Really. DO NOTHING. Ok, maybe you do need to do something but that's unrelated to the shutdown. Take a look at the suggestions from an article I wrote back in July. **If you follow the recommendations below, you should be fine.** nostr:naddr1qqyxxdtxvejrycfnqgsv3hm2azrvwydsapad7fx6qxql2zql9djn5cdz8vg9tgmqyg5n5psrqsqqqa2870ws3e >Finally, there is a good chance that sats will go on sale when the government shuts down so it could be a good opportunity to increase your savings with real money if you can still remain cash flow positive. But also consider that because sats are on sale, you will not get as much fiat back for your sats if you need to dip into your savings during the shutdown. This is particularly important for federal employees who will be not getting a paycheck until the shutdown ends. --- # Notable notes nostr:note10cagk7srn97urgy6f5sphaepv7apnflaq8zxlu9tv0q57kkcykkqhmzr3c --- # Recommendations ## Tony Tony writes fantastic guides about Bitcoin and Nostr. You can follow him and find all his guides [here](https://habla.news/tony). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin. Photo credit: National Park photo by [National Parks Conservation Association](https://flickr.com/photos/npca/10057925616/in/photolist-gjMuSC-gnq3Qa-gshFZK-gnqqWc-gindZs-gnqr5t-2j5PtFP-gshuzJ-gjpzUA-gnu6eE-gnq84G-gsh5tB-giW7aG-kjWCBJ-SgGFzu-h4WhVV-gqAVQs-gsgwN1-gQmSwr-giwy2t-gjN7Wk-gmnFdx-gsgBdo-gnx1HS-gshJVp-gsh45V-giwk9J-gnqFPb-gsh8ma-rpQMbx-gu82xG-ghxvso-gjrQc6-gshLip-gnx1LN-gnx1E5-gnqCJH-gkYRgo-jGbvrC-gWuiAV-gnqG1J-QiJPvt-gnqkhC-gnqCq6-gsh7yZ-gnqCBZ-gFGJm3-hE2VsD-KVJAPD-guvNP8) and sourced under the Creative Commons [Attribution-NoDerivs 2.0 Generic](https://creativecommons.org/licenses/by-nd/2.0/) license.

@ 11d0b667:53e00ef7

"The Austin Police Department (APD) is the principal law enforcement agency serving the city of Austin, Texas with an annual budget of $443.1 million and employed around 2,484 personnel including approximately 1,809 officers and 24 K-9 police dogs and 16 horses. Chief Chacon has served as a police officer for 31 years and has a wide breadth of experience in almost all areas of police work." (wiki) The post below was taken from the Austin Police Association Twitter feed, where they were responding to the Austin City *"The Austin Police Association is aware of the election results and is taking immediate action to determine the city's intentions regarding the implementation and enforcement of the illegal provisions contained in Prop A. The APA simply will not stand by while this city and anti-police activists operate with blatant disregard for state law and the rights and protections afforded to our hardworking men and women. The APA continues to prioritize negotiating a long-term contract; however, we will not be forced back to the table under a structure in which a new city ordinance attempts to unlawfully interfere with the statutory rights associated with the meet and confer process. We look forward to finding these answers so that we can get back under a long-term contract that allows for our police department to recruit, hire and retain the best and brightest people who wish to serve this community in a law enforcement capacity."* Here are some of the replies they received on their Twitter post:     **If you have any questions or need assistance with recruitment for APD personnel you can reach them Monday through Friday 8:00 A.M to 3:00 P.M by Phone (512) 974-4211 - Office (800) 832-5264 - Toll Free* (give them a call, I'm sure they'd love to hear from you)

@ 11d0b667:53e00ef7

Venturing out to a smaller town today. Decent weather.   Useless fiat all over the ceiling, some dating back to the early 1900's, apparently.  This place is a bit off the beaten path, but a worthwhile visit. Been in business since 1879. Pictured below is an abandoned home, obviously someone's dream at one point, now crumbling.  A cool place to have a quick walk around. 

@ 11d0b667:53e00ef7

Yesterday morning I had to get up early and take a vehicle to the mechanic in the city. They opened at 7:30, and at 7:35 when i walked in the door, there were already 4-5 customers. Plenty of counter help was available and was greeted kindly, gave some information and was on my way again. Rather than sitting in the waiting room, watching the news programs and morning shows with other patrons, I stepped outside into the chilly morning. It's the end of May, there's still snow on the ground and my home, so being in the city where the grass is green and flowers are in bloom is a site for sore eyes. I'm in what would be considered an "older" part of town and has history from about 100 years ago. There's a pretty large graveyard a block or two away. It's been sunny, but a portion of the sky is covered by a cloud and it's starting to rain. There's just something about walking thru a graveyard in the rain that adds another element.  The funeral business is booming. Boxed up bodies, laying in rows, 4 or 5 words in summary, reserve your space today... I keep walking. The rain subsides. The sun almost blinding, which helps decide the direction I wander. Cross a busy 8 lane road. People in boxes, listening to news, applying make-up, reading a book.  Once across the large road, I take the canal trail that borders a park. It's quiet. No children, no mom's.... But there is the homeless, which seems to have tripled, or more, over the last few years.  The park borders the city public train line, it's a bit surprising it isn't loaded with tents. This single tent almost seems perfect at this time of the morning, but by noon will most likely have the police here.  Another block and I'm in "Historic Sandy". What was once a bustling city hub, is now a quiet street with 3 barber shops, a museum, a quilt shop and an art space. There used to be a mercantile, a police station, a brewery, which had to cease due to prohibition. Hans Bjork and Ole Nelson ran "Swede's Saloon" and billiards parlor from the 1880's, until 1917, when it was shut down by the prohibition of alcohol. In 1930, it was taken over by a Norwegian meat cutter and remained a grocery store until the late 1950's.  Someone laid this sidewalk, with pride, in the name of progress. Once loved, cutting edge, businesses now with shuttered doors. Before the police were carved into a militia, US towns had these police stations, not precincts...  Once-loved homes now look like the cover of a horror novel...  Thoughtfully, and built with a purpose, irrigation that used to feed gardens, flows abundantly. Proof of work from a forgotten time, not long ago. This is ancient Rome.  The museum, filled with relics.  Even the classic motorcycle shop from the 1970's is starting to suffer the effects of time, as the trees and bushes close in.  It won't be long, now...  Another block away and you can feel the vibes of a not-so-distant future, where times change, once again. I certainly feels like we are approaching another shift, locally and globally.  "The root problem with conventional currency is all the trust that’s required to make it work. The central bank must be trusted not to debase the currency, but the history of fiat currencies is full of breaches of that trust." --Satoshi Nakamoto What should have been a boring morning at the mechanic, turned into a wonderful walk, filled with thought and reflection.  “Life moves pretty fast. If you don't stop and look around once in a while, you could miss it.” ― Ferris Bueller

@ ab74910c:ff584d63

Some plebs have asked me how I have a custom bitcoin lightning ⚡ address from my own web server even though I have a custodial wallet ([WalletOfSatoshi](https://www.walletofsatoshi.com/)). So I have created a simple guide: 1. Go to the root folder of your web server. 2. Create two folders *".well-known"* and in that folder create a folder called *"lnurlp"*. `mkdir -p .well-known/lnurlp` 3. Download the json file with your information from WOS and save it in the folder you just created. Replace *<WOS_USERNAME>* with your WOS username and *<COOL_USERNAME>* with your name or something else cool. `wget -O .well-known/lnurlp/<COOL_USERNAME> https://walletofsatoshi.com/.well-known/lnurlp/<WOS_USERNAME>` Finally the plebs will be able to zap you at *<COOL_USERNAME>@your-website.com* 🤙

@ ab74910c:ff584d63

On January 3, 2009, Satoshi Nakamoto invented Bitcoin, enabling global peer-to-peer transactions, democratizing access to financial networks for billions. #### Bitcoin Solves: * **Centralization:** Bitcoin operates peer-to-peer, eliminating the need for centralized trust in government authorities. * **Verifiability:** Anyone can access and validate the authenticity of bitcoin transactions. * **Inflation:** Bitcoin's fixed supply of 21 million prevents inflation, safeguarding your purchasing power over time. ### 🌐 Decentralization matters Bitcoin operates without a central authority, relying on collective consensus. It offers financial inclusion to the unbanked, ensuring secure wealth storage and growth, unaffected by credit scores. Participation is identity-independent, allowing everyone to engage pseudonymously. Bitcoin empowers individuals to be their own bank, retaining full control over their wealth, free from external oversight. ### ✅ Don't trust, verify Miners and nodes form the Bitcoin network. Nodes have three roles: storing the timechain, validating transactions, and enforcing network rules. More distributed nodes mean greater decentralization. Nodes communicate directly, ensuring transaction integrity and preventing fraud. They protect the network by validating transactions and blocks, and if a malicious transaction is detected, it's collectively rejected by all nodes. ### ⚠️ 21 Million The origin of Bitcoin's 21 million cap remains a mystery, likely an arbitrary choice. What's crucial is its immutability—embedded in the code and requiring unanimous agreement for any alteration. While there are over 21 million people globally, not everyone can own a whole bitcoin. Thankfully, Bitcoin can be divided into "satoshis," akin to cents for dollars. Each bitcoin comprises 100 million satoshis, resulting in a staggering total of 2.1 quadrillion satoshis. ## ⛏️ Proof of Work Proof of Work (PoW) is the game-changer, eliminating the need for a centralized authority like the government. This consensus algorithm requires Bitcoin miners to invest energy and computational power, racing to validate new transactions. The first miner to crack a complex 64-character hexadecimal serial number (a hash) is rewarded with bitcoin. This motivation drives miners to tirelessly pursue victory. Once achieved, the winning solution and its transaction list are added to the timechain, ensuring decentralization, security, and confirmation of all transactions. This process repeats approximately every ten minutes, incentivizing miners through their proof of work. ### Adaptive difficulty The Bitcoin protocol features a self-adjusting difficulty every 2016 blocks, or roughly every two weeks. This adjustment occurs to account for changes in the number of miners joining or leaving the network. When more computational power is active, mining becomes harder, and conversely, it becomes easier if miners go offline. The objective is to maintain a consistent rate of producing new blocks, aiming for an average of ten minutes per block. ### Mining is green Miners are motivated to find the cheapest, long-term electricity sources to validate transactions and earn new bitcoin. Clean, renewable energy happens to be the most sustainable option, in contrast to fossil fuels. Bitcoin mining encourages a shift toward a 100% renewable energy future. However, our current energy technology struggles to efficiently store and transport clean power, resulting in significant waste. Bitcoin fixes this. ### 51% Attack Weak networks are vulnerable to 51% attacks, where miners controlling over 50% of the network can double spend their tokens, akin to counterfeiting. However, hackers cannot steal tokens from others, only double-spend their own. Executing such an attack on the Bitcoin network demands an immense amount of computational power, making it financially unfeasible for hackers. And such actions would rapidly undermine Bitcoin's value, as the network detects double-spending, resulting in a loss of trust in the network. ## 📏 Scaling Bitcoin For scaling, there are options such as the Liquid sidechain, but the most widely used at the moment is the Lightning Network, a Layer 2 solution. The Lightning Network is a second-layer protocol that reduces fees and enables near-instant transactions. With Lightning, you use Bitcoin's base layer for opening and closing channels. With an open channel, you can send numerous transactions with minimal fees and even transact with those you're not directly connected to. Lightning channels allow for trustless routing, automatically finding the fastest path for transactions, making payments seamless. ## 🤝 Buy and HODL In the face of inflation, safeguard your future from currency devaluation by buying bitcoin. It's a shield against the erosion of your time and energy. The easiest way to buy Bitcoin is through an exchange, but ensure it allows withdrawals. Exchanges typically require KYC verification, which includes providing your ID. Concerned about privacy, some opt for "non-KYC" platforms. After buying bitcoin, transfer it to a self-custody solution for added security in case of exchange hacks. ### Self-custody and wallets To truly secure your bitcoin holdings, you must have a private key and a wallet. Private keys are essentially randomly generated passwords, typically taking the form of a 12 to 24-word seed phrase. A wallet serves as an application that communicates with the Bitcoin network and uses your private keys to verify and sign transactions. When it comes to self-custody, it is crucial to record and securely store the seed phrase offline while refraining from sharing it with anyone else. Your bitcoin is stored on the timechain, while the wallet functions as a tool for storing and utilizing your private keys to sign transactions that transfer funds. In the event of wallet loss, you can still recover your funds using a new wallet, provided you have access to your seed phrase. #### Software wallets This represents a significant transition from storing your bitcoin on an exchange. While software wallets are convenient for on-the-go usage, they may not offer the highest level of security due to their internet connectivity. This is because your private keys reside within the application on your phone or computer, making it potentially vulnerable to online threats. #### Hardware wallets These wallets securely house your private keys and often look like a flash drive. Since your hardware remains disconnected from the internet, it is considered as "cold" storage and is deemed a significantly safer approach to storing private keys compared to "hot" software wallets. These physical devices enable you to access your bitcoin securely by keeping your private keys offline. ## 👀 Concussion This is just a brief example of what Bitcoin is. The rabbit hole runs deep 🕳️🐇 but with this orange pill you will begin to understand what true money really is. *Stay humble, stack sats 🤙* #### For further education, I recommend these two books / articles: ##### 📖 The Bitcoin Standard - by Saifedean Ammous *- Perhaps the best book on economics ever written.* ##### 📖 HONKING FOR FREEDOM - by Benjamin J Dichter *- Not a book so much about bitcoin, but explains why bitcoin is important even for those who do not live under a totalitarian regime.* ##### 🌐 [Bitcoin is time](https://dergigi.com/2021/01/14/bitcoin-is-time/) - by @dergigi *- Explains why Bitcoin is the decentralized universal clock.*

@ d830ee7b:4e61cd62

ชีวิตคนเราจะยอมแลกอนาคตกับความหลงไหลในบางอย่างได้มากแค่ไหนกัน? เราถูกสอนให้รู้จักบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นอย่างดี.. เราค่อนข้างจะตัดสินใจกันแบบ Conservative เสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อถึงคราวต้อง Take risk กับอะไรบางอย่าง ไม่มีใครหรอกที่จะอยากเดินเข้าไปสู่หนทางอันมืดมิด > แต่ผมกลับได้เจอกับ “**ผู้ชายคนหนึ่ง**” ที่กล้าจะยอมแลกทุกอย่างในชีวิตของเขา.. เพียงเพื่อบิตคอยน์ . . *“คนนี้เค้าชื่ออะไรเหรอตั๋ง? เขาเป็นใครน่ะ?”* ผมถามเจ้าตั๋ง หลังจากที่ได้เห็นภาพถ่ายของชายคนนั้น.. ในมือถือแก้วเบียร์ สีหน้ามีความสุขล้น ผมจำแทบไม่ได้แล้วว่า.. ภาพนั้นเขาถ่ายกับใครหรือเป็นสถานที่ไหน มันก็นานมากแล้วเหมือนกัน แต่ใบหน้าของหมอนี่ค่อนข้างจะรบกวนจิตใจผมพอสมควร.. ผมเห็น “**เขา**” ผ่านตามาสักระยะนึงแล้ว.. เขามักจะโผล่มาโพสต์ในกลุ่ม [Siamese Bitcoiners](https://www.facebook.com/groups/siamesebitcoiners) อยู่เป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าหมอนี่ทำไมมันถึงต้องเอาจริงเอาจังกับบิตคอยน์ขนาดนั้นเลยวะ? เขามักจะอ่านบทความต่างประเทศ โดยเฉพาะบทความของ Bitcoin Magazine เขาจะไฮไลท์บางส่วนในบทความมาแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ในกลุ่มเสมอ โดยไม่สนใจด้วยว่าใครจะอ่านหรือไม่อ่าน ที่เล่ามาคุณอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยนี่นา.. สิ่งที่พิเศษคือ.. ไม่ว่าในกลุ่มจะกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ก็ตาม หมอนี่จะทำราวกับว่าไม่ได้สนใจกระแสที่เกิดขึ้นเลย (เขาอาจจะแว๊บไปมีส่วนร่วมกับมันบ้างแหละ พวกการปะทะคารมกันในกลุ่มน่ะ) สิ่งที่เขาโพสต์นั้น เหมือนกำลังจะบอกทุกคนว่า.. *“เฮ้! พวกเรา! มาดูนี่สิ โคตรเจ๋งเลย บิตคอยน์ของพวกเราแม่งสุดยอดไปเลยว่ะ!”* *“เฮ้ย! อ.พิริยะ แม่งโคตรคูล ผู้ชายคนนี้นี่สุดยอดไปเลยนะ!”* ผมสัมผัสได้ถึงความหลงไหลในบิตคอยน์ ผมสัมผัสได้ถึงเทคนิคทางด้านภาษาและสไตล์การเขียน วิธีที่เขาใช้เขียนหรือแนวทางในการสื่อสารนั้น.. มีเอกลักษณ์บางอย่างที่ผมคงต้องใช้คำว่า.. “**ละเมียดละไม**” การแสดงออกของเขานั้นค่อนข้างให้ความรู้สึกว่า.. หมอนี่มันช่างใสซื่อกับบิตคอยน์เสียจริง.. มึงเพิ่งรู้จักบิตคอยน์มาไม่นานสินะ? ..ผมแอบคิดในใจ ในตลาดนี้มันจะมีมุมร้ายๆ ที่รอวันชำแหละพวกมือใหม่อยู่นะ.. มึงจะโลกสวยขนาดนี้เลยเหรอวะ? . . *“คนนี้เขาเป็น ……….. นะพี่ เขาชื่อ…… ครับ”* ..ไอ้ตั๋งสุดหล่อตอบผมมาแบบนั้น ## คนที่ใช่ในเวลาที่คู่ควร *"พี่ยะมาแล้ววว…"* คำก็ "พี่ยะ" สองคำก็ "พี่ยะ" อืมมม.. ทำไมเรารู้สึกหมั่นไส้ไอ้นี่จังวะ? ชาวบ้านเค้าเรียก อ.ตั๊ม ไม่ก็ อ.พิริยะ หรือ ปิรันย่า กัน มึงไปเอาคำว่า "**พี่ยะ**" มาจากไหนกันล่ะเนี่ย.. ก่อนที่ผมจะหมั่นไส้ใครไปมากกว่านี้ ผมดึงสติตัวเองกลับมาคิดว่า.. คนนี้ไม่ใช่หรอที่ควรจะมีอะไรน่าสนใจให้เราได้ค้นหา.. เออ.. นั่นสินะ ผมวางอคติส่วนตัวลงชั่วขณะ.. ตัดสินใจหาคำตอบและค้นคว้าข้อมูลของผู้ใช้คนนี้อย่างจริงจัง.. จนกระทั่งไปเจอเข้ากับ [บล็อกส่วนตัว](https://ljungdurst.wordpress.com/) ของเขาเข้า ใน Word press  ในวันที่ใครๆ ก็เผยแพร่เรื่องราว บอกเล่าความคิดของตนลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หมอนี่กลับเขียนบล็อกจำนวนมากได้เป็นวรรคเป็นเวรมาตั้งแต่ปี 2007!! ผมมีความสามารถติดตัวที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ เมื่อผมได้อ่านอะไรแบบนี้ ผมจะสามารถเจาะลึกเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของคนเขียนได้ ถึงแม้ว่า “**ตัวหนังสือ**” จะเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับความจริงในใจเลยก็ตาม.. แต่สำหรับบล็อกนี้ผมสัมผัสได้เลยว่า.. เขาเขียนมันออกมาจากตัวตนของเขาจริงๆ แต่ละคนก็มักจะมีความน่าสนใจ มีความพิเศษในตัวเองไม่มากก็น้อย หมอนี่เองก็เช่นกัน ซึ่งนอกจากสิ่งที่เขาเขียนกว่า 40 เพจบนบล็อกนั่นแล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจมากนัก แต่สำหรับผม.. ผมสังเหตุเห็นบางมุมที่น่าค้นหา ถ้าสังเกตกันให้ดี บล็อกของเขาจะถูกเขียนอย่างต่อเนื่องออกมาเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ปี 2007 แต่แล้วมันก็หยุดไปดื้อๆ ในปี 2013 เขากลับมาเขียนมันอีกครั้งในปี 2022 > มันเพราะบิตคอยน์ใช่ไหมที่ทำให้เขากลับมามีพลังพลุ่งพล่านกับงานเขียนได้อีกครั้ง? ผมยังค้นพบต่อไปอีกว่า.. แม้ผู้ชายคนนี้จะมีชีวิตจริงที่ดูเหมือนจะโลดโผน ถูกรายล้อมไปด้วยผองเพื่อน แต่เขาไม่น่าจะมี “**เพื่อนแท้**” ที่พอหาได้เลยสักคน บทความมากมายในบล็อกของเขาแสดงให้ผมเห็นว่า เขามีบางอย่างในใจที่ไม่สามารถพูดกับใครได้.. มันอาจไม่มีคนรับฟังเขา หรือเป็นตัวเขาเองที่ไม่ต้องการเปิดเผยมัน.. คนๆ กำลังมองหา "**ที่ของตัวเอง**" โดยที่อาจไม่รู้ตัว ช่วงเวลาแห่งการสืบค้นนั้น.. Right Shift กำลังริเริ่มความคิดที่จะสร้างแหล่งบทความบิตคอยน์ขึ้นมาบนเว็บไซต์ ผมอยากเปิดโอกาสให้กับชาวคอมมูนิตี้ได้เข้ามา “**ปล่อยของ**” กันที่นั่น ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการยอมรับและได้ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับ Bitcoin Lightning ไปในตัว เพราะเราจะเปิดให้มีการรับทิปสำหรับบทความเหล่านั้นได้โดยตรงผ่าน LN ด้วยนั่นเอง เรากำลังหาเหาใส่หัว.. เราปฏิเสธเรื่องนั้นไม่ได้ เพราะทั้งหมดมันจะตามมาด้วยภาระความรับผิดชอบ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เราจะไม่ได้รับผลตอบแทน “**ทางตรง**” ใดๆ เลย แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากทำมันมากๆ เพราะผมเล็งเห็นถึงศักยภาพของคุณค่าที่เราจะได้รับกลับมาในอนาคต ทุกคนถูกฝึกให้กลายเป็นนักแปลเกือบๆ จะเข้าใกล้คำว่ามืออาชีพ เราเริ่มกันอย่างกระท่อนกระแท่นจนกระทั่งเจอระบบการดำเนินการที่ลงตัวได้ในที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม.. ผมก็ยังรู้สึกว่าทีมของเรายังขาดอะไรอยู่บางอย่าง.. ผมพยายามหาคำตอบมาตลอดว่ามันคืออะไรกันแน่? > สิ่งที่เรากำลังตามหา มันก็คือ.. ประสบการณ์อย่างมืออาชีพ ปัญหา มักไม่เคยทำให้ผมรู้สึกกลัวหรือย่อท้อ ผมไม่เคยคิดว่าปัญหาคืออุปสรรค กลับกัน.. ปัญหาสำหรับผม มันเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้เราได้ออกไปหาวิธีการจัดการกับมัน ปัญหาทำให้ผมรู้ว่าผมต้องการอะไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมาย มันคือบททดสอบว่าตัวเราจะไปได้ไกลแค่ไหนเมือเจอเข้ากับทางตัน.. มันคือชะตาฟ้าลิขิต.. วันหนึ่งหมอนั่นก็ส่งบทความแปลของตัวเองเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา ด้วยสัญชาตญาณส่วนตัว.. ผมใช้เวลาไม่นานก็รู้ได้ทันทีว่า.. คนที่ผมแอบสนใจอยู่ คือ คนเดียวกันกับที่ผมกำลังพยายามควานหามานาน มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า.. หมอนี่แหละจะเป็นคนที่ใช่สำหรับเราในอนาคต  ผมใช้เวลาไม่นานมากนัก ในการทำความรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว หลังบทความของเขาเริ่มทะยอยถูกเผยแพร่ขึ้นบนเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง ผมเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและเอาจริงเอาจังของเขาในเรื่องที่ผมอาจจะยังรู้สึกแค่เพียง “**เรื่องสนุก**” เท่านั้น แต่สำหรับเขา มันยิ่งใหญ่และเป็นความภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน ผมจะยังรออะไรอีกเล่า.. งั้นแกมาทำงานกับพี่เถอะ.. “**จิงโจ้**”  ## มืออาชีพไม่เคยต้องอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง การเข้ามาในทีมบทความของจิงโจ้ สร้างบรรยากาศแบบใหม่ขึ้นในทีมน้องๆ ของผมที่อยู่กันมาก่อนแล้ว ทุกคนรู้สึกถึงพลังบางอย่างในตัวเขา ความสนุกสนานหยอกล้อเหมือนพี่น้องในตอนแรกเริ่มค่อยๆ กลายเป็นความตึงๆ อย่างเสียมิได้ ผมไม่คิดจะโทษจิงโจ้ในเรื่องนี้.. เพราะตัวเขาเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อเราต้องเจอเข้ากับ “**ของจริง**” เราจะรู้สึกยำเกรงและไม่กล้าเล่นสนุกกันมากเกินไป จิงโจ้นำเอาความเป็นมืออาชีพในด้านงานเขียนเข้ามาสู่ทีม เขาเป็นคนเดียวที่ให้ความเคารพกับผมในลักษณะที่ยังเป็นเหมือน เจ้านาย-ลูกน้อง อยู่ในตอนนั้น (ซึ่งผมไม่เคยต้องการให้เป็นแบบนั้น) เขาทำงานให้เราอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับงานประจำที่ก็หนักหนาพอๆ กัน ไม่เคยคิดก้าวก่ายงานส่วนอื่นหากผมไม่ขอให้ช่วย ไม่ยุ่งเรื่องของใครมากนัก และดูจะตึงพอสมควรเท่าที่ผมสัมผัสได้ แต่มันก็เป็นความตึงที่มาจากความตั้งใจอันเปี่ยมล้นของเขา เป็นความตึงที่ไม่ได้มีเจตนาจะให้ใครตึงตามไปด้วย.. เขาแค่ไม่ได้ต้องการจะทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเท่านั้นเอง จิงโจ้ เก่งเกินกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้.. มันไม่แปลก เพราะนี่มันเป็นอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ เขาทำให้ผมรู้สึกว่า.. Right Shift จะไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ในด้านงานบทความและงานหนังสือ รวมไปถึงงานเขียนในด้านต่างๆ > ตำแหน่ง บก. ที่เขาถูกเรียก ไม่ได้มาจากการที่ผมเป็นคนแต่งตั้งให้.. เด็กๆ ในทีม Right Shift ล้วนแต่เป็นเด็กที่ชาญฉลาด พวกเขาแยกแยะได้ว่าใครคือคนเก่ง ใครยังต้องพัฒนาต่อ พวกเขาเข้าใจดีว่าอะไรคืออะไร และสำหรับจิงโจ้ เด็กๆ ของเราก็เลือกเองที่จะให้เกียรติและเรียกเขาว่า "**บก. จิงโจ้**" กับทีมงานนั้น.. จิงโจ้แสดงออกถึงมารยาทที่ดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ.. เขาไม่เคยยอมให้ความสามารถตัวเองไปกดดันเพื่อนร่วมทีมเลยสักครั้ง เขามีวิธีสื่อสารที่น่าฟัง เราใช้เวลาเกือบครึ่งปี ในการที่ผมจะหาทางละลายพฤติกรรมและความตึงเครียดของทุกคนให้ผ่อนคลายได้ ถ้าเรากำลังหงุดหงิดที่เพื่อนร่วมทีมของเราช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย เราควรจะสอนหรือถ่ายทอดงานให้กับพวกเขา จริงอยู่ว่าวิชาของเราอาจจะไม่ได้มันมาง่ายๆ แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ต้องมาคอยแบกทีม หรือรับผิดชอบอะไรหนักๆ อยู่เพียงคนเดียวไปตลอด? ผมแนะนำจิงโจ้ไปแบบนั้น ..หลังจากนั้นมันกลายเป็นวัฒนธรรมของเราที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับจิงโจ้ แต่มันเกิดกับทุกคน พวกเรารู้สึกดีกว่ามากที่เราได้แชร์ประสบการณ์ให้แก่กัน รู้สึกดีที่ถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เราจะเชื่อมือพวกเขาได้ ..นั้นแหละคือคีย์สำคัญของคำว่า "**ทีมเวิร์ค**" > ความเชื่อใจ ที่บิตคอยน์ไม่เคยสอนเรา แต่กับบางเรื่องในชีวิตจริง เราก็ยังต้องการมันมากอยู่ดี วันนี้กับวันนั้น เราไม่เหมือนเดิม ที่ Right Shift เราทำงานกันอย่างมีความสุข สนุกสนานและรักใคร่กลมเกลียวกันดี นักฟุตบอลที่ลงซ้อมด้วยกันบ่อยๆ วันหนึ่งก็จะเล่นเข้าขากันได้เองในที่สุด ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจและศึกษาสไตล์ของเพื่อนร่วมทีมคุณให้มากพอ พูดง่ายๆ ก็คือใส่ใจในทีมมากกว่าตัวเอง เรื่องราวของจิงโจ้ตามที่ผมเล่ามาดูเหมือนจะงดงามไปหมดเสียทุกอย่าง แต่โลกของเรามันไม่ได้มีแค่มุมที่สวยงามหรอกนะครับ.. มนุษย์คนหนึ่งก็เช่นกัน ทุกคนก็มักจะมีด้านมืดและด้านสว่างปะปนกันอยู่ จิงโจ้เองก็ไม่เว้น.. ## ตกบันได ต้องตกให้ถึงพื้น เวลาที่คนดวงตก เวลาที่ทำอะไรก็ไม่เคยได้ดั่งใจ มันก็เหมือนกับการที่เรากำลังตกลงมาจากบันไดทีละขั้นๆ ถ้าหากบันไดมีทั้งหมด 7 ขั้น ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จำเป็นต้องตกลงไปให้ครบทั้ง 7 ขั้น จนกระทั่งไปกองอยู่ที่พื้นก่อนเสมอด้วยกฏแห่งแรงโน้มถ่วง คุณจึงจะสามารถลุกขึ้นมาเดินขึ้นบันไดได้ใหม่อีกครั้ง.. ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่ มันอาจยังไม่ได้แย่ที่สุดก็ได้นะ.. ถ้าชีวิตของคุณพึ่งร่วงลงมาแค่ 5 ขั้น มันอาจยังเหลือเรื่องร้ายๆ ให้คุณต้องเจออีกตั้ง 2 ขั้นก็เป็นได้ นี่เป็นการเปรียบเปรยเพื่อให้คุณเห็นภาพได้ง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น เรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่ผมได้ค่อยๆ เรียนรู้มาเองทั้งชีวิต > การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป มันฟังดูค่อนข้างแย่.. แต่มันก็มักจะเป็นความจริง เรามักจะฝืนชะตาชีวิตในช่วงที่ทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นดังหวัง ผมเลือกที่จะทำความเข้าใจและยอมรับในทุกความเป็นไป เลือกจะปล่อยตัวเองให้หล่นลงไปกองที่พื้น ผมรอให้ถึงเวลานั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ เพราะผมเชื่อในสังสารวัฏ ณ จุดที่ผมกองอยู่แนบพื้น ชีวิตของผมคงไม่อาจย่ำแย่ไปกว่านั้นได้อีกแล้ว จุดนั้นเองที่ผมจะลุกขึ้นมาทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ และก้าวเดินขึ้นบันไดไปอย่างมั่นคง ชีวิตหลังจากนั้นมันควรจะมีแค่ดีกับดี มันจะแย่ไปกว่านั้นได้ยังไงล่ะ? . . *"ผมอาจทำงานให้ Right Shift ไม่ได้แล้วครับ.."* ผมหน้าชาเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดพ้อของจิงโจ้.. มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างกำลังดีเลยนะ? ทำไมจู่ๆ นายมาพูดกับพี่แบบนี้? หรือว่ามันเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นในงาน.. หรือในทีม? อย่างที่บอก.. ผมมักไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับคำถามใดๆ นานเกินไป ทำอย่างนั้นคงไม่มีประโยชน์ ผมเลือกจะสืบสาวราวเรื่องด้วยการโทรหาจิงโจ้โดยตรง เราคุยกันอย่างบิตคอยเนอร์ ซึ่งกินเวลานานกว่า 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว.. ในชีวิตคนๆ หนึ่ง คุณอาจเคยทำผิดพลาดได้หลายครั้งในชีวิต คุณอาจทำให้ใครสักคนไม่พอใจ คุณอาจทำเรื่องร้ายๆ มาบ้าง หรือต่อให้คุณไม่เคยข้องแวะกับใครเลย มันก็คงจะมีสักเรื่องหรือสักคนที่อาจจะทำให้คุณจิตตกได้เหมือนกัน ผมให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ในทุกอย่างที่เขาพยายามปกปิดเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ และผมยังขอให้จิงโจ้ "**ให้อภัยตัวเอง**" อีกด้วย เพื่อที่เราจะยังเดินต่อไปได้ จิงโจ้รู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวถ่วงของทีม.. สำหรับผม ผมไม่เคยคิดกับใครแบบนั้น *"ผมขอเว้นวรรคไปฟื้นฟูความรู้สึกตัวเองสักพักละกันนะครับ.."* จิงโจ้กล่าวลาผม เพื่อเดินทางไปพักผ่อนยังเวียดนาม.. เรารู้เรื่องนี้กันแค่ 2 คนในตอนนั้น ความเป็นมืออาชีพอย่างสุดลิ่มทำให้เขาเลือกที่จะไม่เอาปัญหาส่วนตัวมากระทบต่อขวัญกำลังใจของทีม.. (ขออนุญาตไม่เล่าเรื่องส่วนตัวของเขาในที่นี้นะครับ) > ถ้าคุณต้องเลือกอนาคตของคุณ โดยต้องยอมแลก "ทุกอย่างที่เคยมีมา" กับ "บิตคอยน์" คุณจะเลือกอะไร? ## โลกใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม ผมไม่สามารถทำอย่างจิงโจ้ได้.. ผมยังคงต้องทำงานประจำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเส็งเคร็งนี้ต่อไปด้วยเงินเฟียต แล้วจึงค่อยเจียดเอาเวลาอันน้อยนิดมาทำกิจกรรมต่างๆ ในงานของ Right Shift แต่ผู้ชายคนนี้เลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง… ผมต้องใช้คำว่า "**ทิ้งทุกอย่าง**" จริงๆ นะ สำหรับการตัดสินใจของเขา เพื่อจะเบนเข็มมาผลักดันการยอมรับบิตคอยน์อย่างเต็มตัว ในฐานะส่วนหนึ่งของ Right Shift เรา.. อย่าเข้าใจผมผิด.. ผมไม่เคยพยายามจะโน้มน้าวหรือชักชวนให้เขาทำแบบนั้น ผมพูดกับเขาอย่างลูกผู้ชายว่าผมพร้อมจะยอมรับทุกการตัดสินใจของเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าผลของมันจะออกมาดีหรือแย่ต่อ Right Shift ก็ตาม > มันเป็นการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่และน่ายกย่องของเขาเอง มันทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่า.. เมื่อเราได้รับเกียรติมากขนาดนี้ เราก็คงต้องคืนเกียรตินั้นให้กับเขาด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าผมคงทำแค่เอาสนุกอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ผมต้องทำให้สมกับที่คนๆ หนึ่งยอมฝากอนาคตไว้กับมัน จิงโจ้หันหลังให้กับงานประจำแบบเฟียตๆ แทบทั้งหมด ทั้งหมดจริงๆ คนๆ นี้สามารถเขียนอะไรแค่ย่อหน้าเดียวก็สร้างรายได้หลักพันบาทได้แล้ว แต่การมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานเบื้องหลังให้กับ Right Shift นั้น.. ผมไม่เคยมีอะไรให้เขา ที่จะสามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่เขายอมเสียไปได้เลย เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรหรอก.. เขาห้ามไม่ให้ผมคิดเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ ถ้าคุณอ่านทั้งหมดแล้วพยายามทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ วางอคติทุกอย่างลง และมองเข้าไปยังจิตใจของชายคนนี้ โดยไม่คิดว่าผมกำลังสรรหาคำมาอวยเค้ามากเกินไป สิ่งเดียวที่คุณคงจะอยากทำคงเป็นการ Standing ovation ให้กับเขา เขาบอกกับผมว่า เขาไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจลงไป เขาได้รับมิตรภาพ ความสุข ความหวัง และรอยยิ้ม ทุกครั้งที่จะมีการอัดรายการสภายาส้ม จิงโจ้จะออกไปซื้อเบียร์มาเตรียมไว้ก่อนเสมอ คุณสามารถเข้าใจได้เลยทันที ว่าเขานั้นมีความสุขกับมันมากขนาดไหน จิงโจ้เปลี่ยนเป็นคนใหม่นับจากการตัดสินใจในครั้งนั้น จากคนที่เคยตึงๆ ซีเรียสกับทุกเรื่อง ดูจะหวั่นไหวง่าย เขาค่อยๆ เย็นลง ดำเนินชีวิตไปอย่างช้าๆ ยิ้มและหัวเราะได้กับทุกๆ เรื่อง เข็มแข็ง และกลายเป็นคนน่าคบในสายตาของใครหลายๆ คน สิ่งหนึ่งที่ผมพอสังเกตุได้ว่าเขาแทบไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ ความเอาจริงเอาจังกับบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ความทุ่มเทที่เขามีให้กับบิตคอยน์และคอมมูนิตี้นั้นมากมายเหลือเกิน แม้ไม่เคยไม่ใครได้รู้ ว่าการตรวจทานและพยายามให้คำแนะนำกับนักเขียนในแต่ละบทความนั้น มันต้องใช้ความอดทนและความอุตสาหะพยายามมากขนาดไหน ทั้งแรงกายและเวลาที่เสียไปแบบไม่เคยได้รับผลตอบแทนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (เรายังไม่มีรายได้สำหรับส่วนนี้ในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีหรอก) เมื่อคุณต้องทำงานอย่างมีมานะ เพื่อให้คนอื่นๆ ได้รับเครดิตอย่างที่เขาเหล่านั้นควรได้รับ คุณลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องพกมายเซตแบบไหนใส่ลงไปในการทำงาน? ใช่.. วันนี้เขาอาจเริ่มได้รับคุณค่าในแบบที่เขาควรได้ผ่านบทความสดุดีชิ้นนี้ของผม แต่ผมคงตอบไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าตัว ว่าเขาทำทุกอย่างไปเพราะอะไรกัน? ทุกวันนี้จิงโจ้เลี้ยงชีพตัวเองด้วยการเลี้ยงไก่และรับงานเฟียตแบบขัดใจตัวเองบ้างในบางครั้ง.. และใช้บิตคอยน์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของตนในทุกๆ วัน ..รวมทั้งเบียร์ **When Money Dies** คือ รางวัลแห่งความอุตสาหะที่ผมมอบหมายให้เจ้าตัวได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่ ผมไม่ก้าวก่ายใดๆ แม้แต่นิดเดียว นี่จะกลายเป็นผลงานของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ผมอยากจะรอเห็นวันที่หนังสือเล่มนี้ถูกเขาแปลจนเสร็จและได้รับการตีพิมพ์ ..คงไม่สามารถมอบอะไรให้เขาได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว  ผมมักจะเข้านอนเป็นคนสุดท้ายในทีม และตื่นเป็นคนแรกๆ อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยตื่นได้ก่อนหมอนี่เลยสักครั้ง คำว่า "**ทีมตรู่**" ก็มาจากมันนี่แหละ.. . . *"พี่กลัวว่าแกจะป่วยเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มตายจังเลยว่ะ.. จิงโจ้"* ผมแซวด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง.. . . "*อย่างน้อยผมก็คงได้ตายอย่างมีความสุขครับพี่..*"

@ 3db7ca42:f121f96f

Based on earlier feedback from #noderunner, I have selected the following components for an upgrade for [MindlinerTre](https://amboss.space/node/02d695b01c7a6909e716c863fb39bc5fb7bbdc3824b7fdce53adc593e5be080e73). Does this make sense? Would you recommend any changes/additions? **Server**: Supermicro Barebone 5019D-FN8TP, Height units: 1, Supported power supplies: 1, Number of drive bays: 1 ×, PCI Express slots: 1x PCI Express 3.0 x8, 1x Mini PCI Express, Depth: 249 mm, SFP+ connectors: 2 ×, Number of free memory slots: 4, Processor socket: System- **Switch**: Zyxel Layer3 Access Switch, 400W PoE, 2x10MultiGgig RJ45 **RAM**: G.Skill Trident Z5 RGB 2 x 32GB, 6400 MHz, DDR5-RAM, DIMM **Storage**: 4 x WD Black SN850X 4000 GB, M.2 2280 I am planning to use these four disks in a RAID 10 configuration. **Setup**: I plan to use proxmox as virtual environment and setup my core lightning, RTL, and LNbits starting out with this [cool guide](https://youtu.be/fvB1SmY-y98?si=sxe3OCax2cUs7IMQ).

@ d830ee7b:4e61cd62

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ GM บน Nostr อย่างรู้สึกฟินเวอร์ในใจ.. ให้ตายเถอะ.. ผมนี่แหละเป็นคนหนึ่งที่เคยหัวเราะให้กับกิจกรรม “อรุณสวัสดิ์วันจันทร์” ของเหล่า สว. มาก่อน นั่นก็เพราะเราไม่ได้เข้าใจสาส์นและความรู้สึกที่แฝงไว้เบื้องหลังข้อความรวมถึงภาพดอกไม้เหล่านั้น.. > วันนี้คำตอบที่ดีที่สุดคงเกิดขึ้นในใจทุกคนแล้ว ผมคงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก ผมมานั่งตรองดู.. นึกย้อนไปถึงลูกบ้าของตัวเองในวันแรกๆ จนกระทั่งมาถึงวันที่เราพึ่งโน๊ต GM ไป จากคนที่คอยติดตามเชิดชู อ.ตั๊ม แทบจะทุกที่ๆ อ.ปรากฏตัวออนไลน์ จากคนที่ได้แต่นั่งมองไอดอลและเอาแต่คอยเพ้อฝัน.. ผมพยายามทบทวนว่าเราเดินทางมาถึงตรงนี้ กลายเป็น Jakk Gooday ไปได้อย่างไร? ## ก้าวแรกสู่โลกของคนบ้า มันเริ่มจากการตัดสินใจทำเพจ FB ที่มีชื่อว่า CryptoNize (ที่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรกับมันมานานแล้ว) หลังจากผมเริ่มศึกษาบิตคอยน์ได้ไม่นานนัก ผมพบว่าปลายทางของการ Adoption หรือการ Educate บิตคอยน์ในไทยยังคงอยู่อีกไกล ตราบใดที่คนจริงจังกับการให้ข้อมูลยังมีแค่ อ.ตั๊ม เพียงคนเดียว.. เพจ CryptoNize มีสิ่งเดียวที่น่าจดจำ คือ มันเป็นที่ๆ ที่ทำให้ผมได้ค้นพบหนทางไปสู่เป้าหมาย คอนเทนต์ที่นั่นไม่ได้มีความพิเศษอะไร ออกจะแค่ดาดๆ ด้วยซ้ำ ก็ตามประสาแอดมินมือใหม่ทั่วไป แต่ทว่า.. ผมก็ได้จับพลัดจับผลูเข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มแก็งค์ของแอดมินคริปโตทั้งหลาย ก็เกือบทุกเพจที่คุณพอจะจินตนาการได้ที่รวมตัวกันตรงนั้น.. มันอาจจะเป็นเพราะผมไม่เหมือนใคร และไม่เคยคิดจะทำอะไรเหมือนใครเลยในชีวิตนี้ ทำให้ผมไปเตะตา “เขา” เข้าให้ เขาเข้ามาเชิญชวนไปเข้ากลุ่มแอดมินที่เป็นแหล่งรวมตัวของบรรดาอินฟลูเอนเซอร์คริปโต ผมจะไม่ขยายความตรงนี้ว่าผมเจอเข้ากับอะไรบ้าง ผมบอกได้เพียงว่า.. > มันทำให้ผมได้รู้ว่าจากนี้ไป “ผมควรต้องทำอะไร?” และผมตระหนักได้ทันทีว่าผมควรจะเป็นใคร ผมต้องหาพรรคพวก.. ผมไม่มีพวกเป็นบิตคอยเนอร์ที่แท้จริงเลยในสถานที่แห่งนั้น (ในฐานะแอดมินเพจสักเพจหนึ่ง) ผมกวาดสายตาไปทั่วตลาด มีเพียงคนเดียวที่โดดเด่นขึ้นมา พระเจ้า… คนอย่างเราจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไรกันนะ? วิธีการที่ผมจะเข้าถึง อ.พิริยะ คุณสามารถไปลองอ่านได้ที่บทความสั้นๆ ชื่อว่า “[Jakk & Piriya: The Untold Story.”](https://w3.do/jtPOacOi) ## อย่าอายเมื่อถึงเวลาต้องทำเรื่องดีๆ ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกครับ ผมก็ต้องพรูฟตัวเองอย่างหนักเหมือนกัน เพื่อให้ได้รับการยอมรับจาก อ.ตั๊ม ในบางมุมผมอาจเหมือนคนขี้โม้อยู่บ้าง แต่ในเวลาแบบนี้ผมจะไม่ใช้ “การโม้” เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นผู้ถูกเลือก สิ่งเดียวที่ผมต้องพยายามให้เต็มที่คือ “การลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์” นั่นจะเสียงดังกว่าทุกคำที่เราอยากจะพ่นออกมาผ่านลมปากอย่างแน่นอน ผมเสนอตัวเองเพื่อช่วย อ. ทำหลายเรื่องนะครับ ผมบอกกับ อ. ตรงๆ ว่าผมไม่ได้อยากเป็นเลขาฯ ไม่ต้องมอบตำแหน่งหรือบทบาทอะไรให้ผมทั้งนั้น ผมปรากฏตัวเพื่ออยากจะช่วย อ. ผลักดันวงการบิตคอยน์ของไทย จะว่าผม “เสร่อ” ก็ไม่ผิด แต่เป้าหมายผมตั้งแต่ต้นนั้น.. มันไม่เคยใช่ ลาภ ยศ ชื่อ เสียง > เพราะถ้ามันใช่.. หลายคนคงได้รู้จักผมไปนานแล้ว คงไม่มีคนทักมาถามว่าผมเป็นใครแบบนี้ มันเป็นความจงใจที่ผมจะไม่พยายามชูตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักมากเกินไป ผมไม่ต้องการให้ความโด่งดังมารบกวนสมาธิตัวเองสำหรับภารกิจมากมายตรงหน้า ผมฝึกตัวเองที่จะไม่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง หากผมทำมันได้พร้อมๆ ไปกับภารกิจต่างๆ ที่พวกเราได้เห็น มันก็คือ.. ผมได้รับชัยชนะเหนือตัวเองแล้วในที่สุด นั่นสำคัญมากๆ สำหรับผม > เป้าหมายเพื่อส่วนรวมนั้นใหญ่กว่าแค่ตัวผมเพียงคนเดียวหรือตัวใคร ผมไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าเป็นคนหน้าด้านได้หรือเปล่า? ผมพุ่งเข้าหาทุกอย่าง Straight forward ผมไม่เคยปล่อยให้ “ความกลัว” หรือ “อาการหน้าบาง” ต้องมากลายเป็นอุปสรรค มันอาจเหมือนคนมุทะลุดุดัน ทำอะไรไม่รั้งรอ แต่ความเป็นจริงทุกการตัดสินใจนั้นผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างหนัก มันผ่านการศึกษาข้อมูล วางแผนความเป็นไปได้มาแล้วทั้งหมด ผมไม่ยอมหลับหูหลับตาทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดอย่างแน่นอน เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพบว่า Risk-Reward Ratio มันคุ้มค่าที่จะลงมือ เย้ายวนชวนให้ลอง ในระหว่างที่หลายคนกำลังคิดไคร่ครวญอยู่นั้น ผมอาจกำลังวิ่งไปจนใกล้ถึงเส้นชัยแล้วก็เป็นได้.. นั่นแหละตัวผม ในช่วงต้นปี 2022 ผมขลุกอยู่กับการมองหาความเป็นไปได้ในการจะสร้างพลังบางอย่างให้เกิดขึ้นกับคอมมูนิตี้บิตคอยน์ไทย  29 มกราคม 2022, เหตุการณ์พิเรนบางอย่างของใครบางคน ส่งผลให้เกิดกลุ่ม FB ใหม่สำหรับบิตคอยเนอร์ไทยนามว่า "Siamese Bitcoiners" ณ ที่แห่งนั้นเองที่ต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน.. > กลุ่มนี้ทำให้ผมเล็งเห็นศักยภาพบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต ผมเป็นคนแบบนี้.. ผมชอบพาตัวเองเจเาไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ผมฝึกให้ตัวเองซึมซับและเข้าใจวัฒนธรรมในทุกๆ ที่ ผมพยายามเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้คน มองหาจุดร่วมและทำความเข้าใจกับความแตกต่างรวมถึงความหลากหลาย.. นี่สิ.. สังคมที่เราตามหามาอย่างยาวนาน ไม่ว่าใครจะรู้สึกแบบใดกับ Siamese Bitcoiners แต่สำหรับผม.. ความหลากหลาย ความขัดแย้ง ความลงรอย การลับคมความคิดกันต่างๆ นานา กระทั่งความโหดเหี้ยมทารุณกับมือใหม่.. > นี่แหละคือสังคมของบิตคอยเนอร์ตัวจริงเสียงจริง ในที่สุด.. ผมก็เลือกที่จะลงมือทำปฏิบัติการ "เสร่อ" อีกครั้ง…  ## Local Bitcoin Thailand Discord FB group นั้นเหมือนบทสนทนาตามกระทู้ ตามวาระ กระจัดกระจายและไร้โครงสร้างในแง่ของเนื้อหา มันมีข้อดีในแบบของมัน แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง.. การรวมตัวกันอยู่บนแพลตฟอร์มที่มีการ Organize อย่างเป็นระบบ ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับวงการนี้ ผมเลือกที่จะแนะนำ [Discord](https://discord.gg/zH6DGW7mfJ) โยนมันลงไปกลางวงให้ทุกคนหันมามอง.. ผมไม่มีเจตนาที่จะแยกวงหรือแบ่งพวกแต่อย่างใด มันอาจมีคนเข้าใจแบบนั้นในตอนแรก แต่ผมก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของมันแล้วในวันนี้ มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรา ไม่ใช่ส่วนที่ใครต้องเลือก ผมคงไม่ต้องอธิบายอีกว่าผมหาทางก่อตั้งมันขึ้นมาทำไม ผมเคยเขียนที่มาที่ไปของเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ว่าทำไมต้องเป็นกลุ่ม Discord ในบทความชื่อว่า "[Exit เมื่อสายไป.."](https://w3.do/8BHq4yn4) แต่การทำอะไรแบบนั้น.. ผมคงไม่สามารถทำมันสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว กระทู้แบบนี้จะชี้ทางให้ผมได้เห็นเองว่า ใครบ้างที่จะ “เอากับเรา” (อย่าเข้าใจผิดนะ) การเริ่มต้นมันโหดร้ายเสมอ มันไม่เคยง่าย แต่มันจะง่ายมากขึ้นถ้าเราไม่ต้องเข็นมันคนเดียว เหล่านี้คือบทสนทนาที่คุณไม่เคยเห็น.. จุดเริ่มต้นของคอมมูนิตี้บิตคอยน์แบบที่เป็นอยู่เลยก็ว่าได้.. มันไม่ใช่เครดิตของคนที่ทำปฏิบัติการดำดินแบบผมแค่ตัวคนเดียว แต่มันคือเครดิตของสมาชิกในคอมมูฯ เราทุกคนที่ร่วมกันทำมันออกมา..  “ขิง” เจ้าของทรงผมขัดลูกกะตา คือคนแรกที่ผมพุ่งเข้าไปสนทนาด้วยเพื่อหาทางก่อตั้งกลุ่ม Discord ขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกของชาวคอมมูนิตี้ ขิง นับว่าเป็นอัจฉริยะในด้านที่เขาถนัด เป็นคนเดียวที่ผมไม่รู้จะเขียนอวยยังไงให้ครบทุกด้าน เพราะในตัวเขายังมีอีกหลายอย่างยังไม่เคยปรากฏออกมา ผมรู้… ไม่ว่าตัวเขาเองจะเห็นมันหรือไม่ก็ตาม สำหรับผม.. ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการที่ทีมงานของคุณ มันรายล้อมไปด้วยคนมากมายที่มีความสามารถเหนือกว่าคุณอีกแล้วล่ะ เรามีความแตกต่าง ผมแค่ต้องคิดว่าจะผสมทุกอย่างนั้นเข้ากันอย่างไรให้ออกมารสชาติกลมกล่อมเท่านั้นก็พอ..  “อาร์ม” Notoshi เป็นคนถัดมาที่ถูกเรียกมาทำงานใหญ่ “เด็กยกเปียโน” ที่มีความพิเศษแม้ตัวเขาเองไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองจะคู่ควร ผมอยากจะบอกว่า.. อาร์มอยู่ในทุกที่รอบตัวพวกเรา อาร์มจะอยู่ตรงนั้นเสมอ รอให้ผมเรียกชื่อโดยไม่เคยปริปากบ่นอะไรเลยสักคำ ไม่ว่าผมจะมอบบทบาทอะไรให้เขา.. นี่คือคนเดียวที่ไม่เคยอิดออดหรือต่อรองอะไรเลย..  หลายคนไม่รู้ว่าหมอนี่แหละ คือ คนที่จุดประกายความคิดเกี่ยวกับการสร้างคอมมูนิตี้ให้กับผม เพียงประโยคเดียวที่เขาคอมเม้นท์มันทำให้ผมเกิดจินตการภาพในหัวมาจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ “กาย” ยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่ได้ส่งต่อกลุ่ม FB ไลท์นิ่งไปยังมือของคนที่ใช่อีกด้วย ผมหมายถึงมันถูกส่งไปยังมือของ “พี่เดชา” นั่นแหละครับ มันมีเด็กอีกคนหนึ่งที่คุณอาจจะสงสัยว่าผมทำไมไม่เคยว่าอะไรมันเลย ทั้งที่มันก็ชอบทำตัวประหลาดๆ ขัดหูขัดตาชาวบ้านอยู่เนืองๆ เจ้า “ตั๋ง” คืออีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้นเรื่องตอนนั้น เอ่อ… ไม่ได้คิดจะชวนมันหรอกครับ แต่มันมีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่าหมอนี่มันมีของ.. ตั๋งในตอนนั้นพึ่งเริ่มศึกษาบิตคอยน์ได้ไม่นาน ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม พูดจาโผงผางตรงไปตรงมาเหมือนคนไม่ยั้งคิด เรื่องพวกนี้แหละที่ทำให้ผมไปเรียกตัวมันมา จนถึงวันนี้หลายคนก็ยังไม่เข้าใจว่าผมคิดอะไรของผม แต่วันนี้น้องมันโตขึ้นมากแล้วล่ะ วันหนึ่งคุณจะเห็นมันเองว่าสิ่งที่อยู่ในตัวตั๋งคืออะไร ..ก็จนกว่าเจ้าตัวจะหามันเจอ  อีกคนคือ “บอส” หนุ่มเหนือที่อาจไม่ได้ออกสื่อมากนัก แต่เขาคือหนึ่งในนั้น กลุ่มผู้ก่อตั้งบางสิ่งบางอย่างที่กลายมาเป็นที่น่าจดจำในอนาคต แต่มันก็นานมากแล้ว.. ถ้าผมตกหล่นใครไปเอาไว้จะตามไป Zap เป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน ## ตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร? มันน่าจะยาวมากๆ ถ้าผมต้องเล่าทั้งหมดว่าผมทำอะไรลงไปบ้างกับกลุ่ม Discord และน้องๆ มากความสามารถกลุ่มนี้ ผมอยากสรุปภาพให้เห็นในเชิงเปรียบเปรยไว้แบบนี้ก็แล้วกันว่า.. คุณต้องเริ่มจากการทบทวนสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากบิตคอยน์.. บิตคอยน์ยังอยู่ยงคงกระพันมาได้จนถึงทุกวันนี้ สิ่งสำคัญมากๆ ที่เป็นผลกระทบและคอยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้ตัวมันเสมอนั้น คือ “Network Effect” นี่เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับผม มันเกิดขึ้นได้เพราะความที่มันยึดถือหลักการ Decentralized ผมประยุกต์แนวคิดนี้มาปรับใช้ในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งกับเรื่องการสร้างคอมมูนิตี้ ในตอนต้นเราอาจต้องไกด์ หรือให้แนวคิดเพื่อก่อสิ่งที่อยากเห็นขึ้นมาใหม่ แต่เราจะไม่สามารถวาดมันออกมาได้ทั้งหมดแล้วหวังว่าจะให้มันเป็นไปตามที่เราปรารถนาทุกประการได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำลังพยายามคิดแบบนั้น เราอาจกำลังโดนความคิดเฟียตๆ เข้าครอบงำ คุณต้องสร้างสถานการณ์ให้เกิดการหาข้อตกลงร่วมกันของชุมชนให้ได้.. สังคมจะขับเคลื่อนไปด้วยฉันทามติของพวกเขา มันจะไม่เป็นไปในแบบที่เราคิดอย่างแน่นอน แต่นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ควรจะเป็น สังคมในแบบที่หลายๆ คนอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน สังคมที่สมาชิกต่างรู้สึกสะดวกสบายใจที่ได้อยู่ตรงนั้น คนที่อยู่ไม่ได้ ก็แค่ต้องออกตามหาที่ๆ เหมาะกับตัวเอง.. มันก็แค่ไม่ใช่ที่ของคุณ ทั้งหมดเป็นธรรมชาติที่ผมไม่ควรฝืน ผมเห็นมันเริ่มก่อตัว ปรับปรุงตัวเองไปตามครรลอง จนในที่สุดผมก็รู้สึกได้ว่าผมคงไม่ต้องทำอะไรกับมันอีกต่อไปแล้ว.. ผมมักจะเป็นแบบนี้.. ผมจะออกแรงมากเสมอในตอนต้น ทำมันบางอย่างบ้าคลั่ง ทุ่มเทเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อให้แน่ใจว่า มันจะดำเนินไปอย่างถูกต้อง ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างเพื่อให้คนอื่นๆ ศึกษาตามได้ เมื่อผมรู้สึกว่าทุกอย่างน่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็มักจะค่อยๆ เฟดตัวเองให้หายไป ปล่อยทุกอย่างให้รันไปด้วยตัวมันเองอย่างออร์แกนิก ระบบที่ลงตัวจะโตได้ในแบบของมันเอง ระบบที่เราเข้าไปแทรกแซงมักให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายตามมา.. ผมแค่ไม่เลือกอย่างหลัง เพราะมันจะทำให้ผมไม่สามารถวางมือจากมันได้ ผมคงไม่ได้มานั่งเขียนบทความยาวๆ จิบกาแฟไปพลางๆ แบบนี้ ถ้าเลือกจะให้ตัวเองคอยเป็นคนชี้เป็นชี้ตายในทุกๆ เรื่อง คุณจะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่กำลังพยายามทำอะไรด้วยตัวเองหรืออยากจะเป็นฮีโร่ มักไปได้ไม่ไกลเกินกว่าอาณาเขตที่สายตาเค้าเองจะมองเห็น ผมเลือกจะให้ทุกคนได้มาสร้างคุณค่าร่วมกัน ไม่ต้องมีใครแบก และเราจะไปกันได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ชุดความคิดแรกมักจะคอยกำหนดเส้นทางให้เรา > เราควรตอบตัวเองให้ได้ตั้งแต่แรก หรืออย่างน้อยก็ควรหามันให้เจอว่าเราตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งไปเพื่ออะไร? เราต้องมองเห็นให้ได้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่ามันจะอยู่ใกล้หรือใกลตัว สำหรับผม.. หากไม่รู้ว่ากำลังทำบางอย่างไปเพื่ออะไร ผมอาจไม่เลือกทำมันตั้งแต่แรก เพราะค่าเสียโอกาสมันจะมากมายเหลือเกิน.. มันอาจมีบางอย่างที่น่าทำมากกว่านี้ ..เราต้องหามันให้เจอครับ ## ปรัชญาในการสร้างทีมฟุตบอล ผมเคยบอกแล้วว่าผมบ้าบอล.. มันไม่แปลกที่ผมจะประยุกต์เอาแนวคิดของทีมที่ประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอลมาใช้เมื่อผมสบโอกาส เรื่องนี้ควรจะเริ่มจากตรงไหนดี.. มาครับ ผมจะเล่าให้ฟัง.. มันง่ายที่คุณจะแค่หาทุนมาทุ่มลงไปกับการซื้อตัวนักฟุตบอลเก่งๆ พาพวกเทพมาเล่นรวมกันเพื่อคว้าแชมป์ให้เร็วที่สุด ซึ่งนอกจากคุณต้องผลาญเงินจำนวนมากจากคลังของตัวเองแล้ว คุณอาจต้องเหนื่อยกับการทำงานร่วมกับพวกเหนือมนุษย์ทั้งหลายนั้นด้วย ที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ.. ผมมีความเชื่อลึกๆ ว่า > ถ้าเราประสบความสำเร็จโดยใช้เงิน เราอาจต้องใช้มันซื้อความสำเร็จให้เราไปตลอด มันไม่เกิดความยั่งยืน ไม่มีอะไรจะการันตีกับผมได้ว่า ความสำเร็จจะซื้อได้ด้วยเงินตลอดไป ดังนั้นถ้าวันนี้ผมอยากสร้างทีมบอลที่จะคอยมาไล่ล่าคว้าแชมป์ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ผมต้องคิดให้ Lower time preference เข้าไว้ เราต้องมองออกไปให้ไกล คิดวางแผนการที่ยั่งยืน เก็บเล็กผสมน้อยและอดทนรอมันให้ได้ เพราะผมเชื่อว่า.. ความสำเร็จฉาบฉวยที่มักได้มาง่ายๆ นั้น มันไม่ค่อยมีความยั่งยืน คำถามคือ.. เราจะหานักเตะดาวรุ่งอนาคตไกลได้จากไหน? > ผมตัดสินใจที่จะ “ไม่หา” แต่ผมจะสร้างสนามฟุตบอลพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ทุกคนได้มาใช้งานมัน ใช้เตะกันได้ฟรีๆ คอมมูนิตี้ กลุ่มสังคมต่างๆ และแม้กระทั่งบริษัท Right Shift เองนั่นแหละ คือ “สนามฟุตบอลเปิดให้เตะฟรี” ที่ผมร่วมมือกับ อ. และเพื่อนสมาชิกในคอมมูอีกหลายคนสร้างมันขึ้นมาร่วมกัน.. ในช่วงเริ่มต้น คุณอาจต้องเหนื่อยเพราะคุณต้องลงไปเตะให้เด็กมันดู สอนพวกเขาว่าฟุตบอลเค้าเล่นกันอย่างไร แต่ที่คุณควรสอนมันก็แค่หลักการและแนวคิด ถ่ายทอดประสบการณ์ของคุณ เบสิคพื้นฐานแค่พอให้พวกเขาสามารถนำมันไปต่อยอดได้ คุณไม่จำเป็นต้องไปโชว์ท่ายากให้เด็กดู ผมเตือนไว้ก่อนถ้าไม่อยากหน้าแหก สอนแค่ให้ไปต่อเอาเองได้ เพราะเด็กบางคนอาจมีพรสวรรค์มากพอจะถอนหงอกคุณได้เลยนะ ทำเป็นเล่น :) ผมพาพวกเขาฝึกพูด จัดรายการทอล์ค จัดมีตอัพทางการครั้งแรก (ที่โรงเบียร์พี่ชิต) ฝึกค้นคว้ามาตอบคำถามเพื่อนๆสมาชิก ฝึกพัฒนาตัวเอง ผมกับ อ. ร่วมกันเป็นแอดมินให้เพจ Piranha33 ในตอนแรก เราทำทุกอย่างที่คุณเห็น.. เพื่อรอว่าวันหนึ่งเราจะเจอเด็กพรสวรรค์มาสานต่องานเราได้ (เย้.. มีคนมาช่วยแล้ว) ถ้าสนามฟุตบอลของคุณมันเปิดฟรี คุณนั่งลงบนอัฒจันทร์พร้อมป๊อบคอร์นเฟียตๆ มองลงมาในสนาม คุณจะเห็นบางคนที่เข้าตาคุณเอง.. แต่คุณต้องเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่ ให้พวกเขาได้เป็นตัวของตัวเอง อย่าพยายามไปกำกับชี้ทางให้มากเรื่อง เพราะผมเคยเจอกับตัวเองและเกลียดเรื่องนี้มาก ผมสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าชาตินี้จะไม่ยอมทำแบบนั้นกับใครเด็ดขาด เด็กดาวรุ่งจะไม่เฟี้ยวฟ้าวในวันแรก คุณต้องเข้าใจให้ได้ว่าพวกเขาต้องได้ทำผิด ตัดสินใจพลาด หรือมีความคิดบ้าบอปนอยู่เป็นเรื่องธรรมดา > การใจกว้าง มอบเวที และให้โอกาสพร้อมคำแนะนำที่ดี จะทำให้พวกเขาเติบโตอย่างเข้มแข็ง พวกเขาจะค้นพบตัวเอง อุตสาหกรรมบิตคอยน์บ้านเราจะไม่ขาดคนเก่ง ถ้ามีใครเดินมาบอกผมว่าผมจะหาคนเก่งๆ ไม่ได้ ผมคงแสยะยิ้มให้พลางพยักหน้าไปตามมารยาท ผมสร้างสนามนั่นไว้แล้ว วันหนึ่งผมจะเห็นพวกเขา… > พี่จะทำให้พวกแกเป็นพี่เบิร์ดให้ได้.. ส่วนพี่จะขอเป็นเหมือน พี่เต๋อ เรวัต ก็แล้วกัน นั่นคือประโยคที่ผมพูดกับ "จิงโจ้" และ "ซุป" ในการสนทนาครั้งแรก.. แต่ผมก็อยากอยู่บนโลกให้ได้นานกว่านั้นนะ  ## สร้างคุณค่าเพื่อจะได้รับคุณค่า สิ่งที่ผมไม่อยากเล่าเลย คือ การที่ผมต้องมาคอยนั่งตอบคำถามให้กับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ ผมเบื่อที่จะบอกว่า.. ผมมองเห็นอะไร ผมทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปเพื่ออะไร ผลลัพธ์ของมันอยู่ในจินตนาการที่ไกลออกไปมากสำหรับผม.. สำหรับบางคนมันดูเลื่อนลอย และจับต้องไม่ได้จริง > "คุณค่า" หรือ "Value" มันไม่มีอะไรสามารถจำกัดความมันได้อย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งชี้วัดปริมาณ เพราะเราอาจต้องใช้ใจของเราในการวัดมัน.. > บิตคอยน์ได้สอนให้ผมปรับเปลี่ยน "Time preference" "คำ" ที่ผมไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ผมไม่สามารถประดิษฐ์คำไทยสวยๆ มาแทนความหมายของมันได้ แต่ผมสามารถรับรู้ได้ว่า มันคืออะไร? คุณจะเข้าใจ "คุณค่า" เมื่อคุณเคยได้สัมผัสมัน ผมก็อยากให้คุณแค่เพียงพินิจพิจารณาทำความเข้าใจกับมันให้มากขึ้นเท่านั้น มากพอที่คุณจะสามารถส่งต่อมันให้กับคนอื่นๆ ได้ เมื่อคุณกำหนดเป้าหมาย คุณเล็งเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น คุณจะเริ่มระดมความคิดเพื่อมองหาวิธีการและความเป็นไปได้ที่จะไปให้ถึงมัน คุณจะเริ่มสำรวจทรัพยากรรอบตัวที่จำเป็นต้องใช้ คุณจะเริ่มวางแผนงานและกระจายหน้าที่อย่างเหมาะสม เมื่อคุณเริ่มลงมือทำ คุณจะไม่ลืมที่จะคอยประเมินผลลัพธ์ต่างๆ ของมันเป็นระยะๆ คุณจะไม่รั้น ไม่พยายามปฏิเสธความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น คุณพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง คุณมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าที่ไม่เป็นไปดั่งใจ แต่เป้าหมายของคุณจะชัดเจนเสมอ.. การเป็น Jakk นั่นไม่ยาก และไม่ง่าย ใครๆ ก็สามารถเป็นแบบผมได้ เพราะผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น คุณพร้อมจะเข้าร่วมเดินทางไกลไปกับผมหรือยังครับ? และบทความนี้… ได้ให้คำตอบกับคุณแล้วหรือยังว่าผมเป็นใคร? 

@ c8df6ae8:22293a06

>"Are you asking the right questions of your Bitcoin qualified custodian?" > > — River *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue talks about the right way to save with Bitcoin in your IRA.* --- IRAs and Roth IRAs are a great way to save for retirement and several Bitcoin companies allow you to create IRAs that hold Bitcoin as opposed to the traditional stocks and ETFs. But as we have learned with the recent developments, not all Bitcoin IRAs are born equal and it's time to look at what's the right way to save with Bitcoin in your IRA. In the past, I've recommended two companies for your IRAs: [Swan](https://swan.com) and [River](https://river.com) and I've used Swan myself to buy Bitcoin. > From now on, I am only recommending River. ## In-House vs Outsource Both Swan and River are Bitcoin only companies that encourage their customers to self-custody. There is a market for Bitcoin held in custody and this includes IRAs, corporate treasuries, family offices and other entities that hold large amounts of Bitcoin and need a setup that is more advanced than my Coldcard tucked in a drawer. Both Swan and River offer custody services for this market and the main difference between them is that River has built the custody infrastructure in-house while Swan outsources it to different partners. ## River River runs its own custody infrastructure and uses multisig cold storage so that you have direct visibility over your assets while preventing accidental or malicious transfers by a rogue employee (yours or theirs). Simple and effective. ## Swan Swan outsources its custody infrastructure to two separate companies: - Fortress (now Ripple): a crypto focused trust company (not Bitcoin only) that manages the legal and regulatory aspects of holding the Bitcoin from Swan customers - BitGo: a crypto company (not Bitcoin only) that provides the cold storage Swan users don't have a multisig option and therefore don't have direct visibility of their assets. Swan has been on the defensive with the Bitcoin community for the last few months due to their partner choices. First, they had to rush out of their previous trust partner, Prime Trust, before this partner collapsed. Prime Trust lost the keys to the wallets of some of their customers but Swan was able to move its assets from Prime Trust to a new partner, Fortress, just before Prime Trust collapsed. Now Fortress is also under duress after being hacked and losing $15M USD from its customers. As a result, they've been bailed out and acquired by the shitcoin company Ripple. Swan is understandably taking action and it recently [announced](https://bitcoinmagazine.com/business/bitcoin-exchange-swan-custodian-bitgo) plans to create a new trust company, in partnership with BitGo, that will be Bitcoin only and will provide the legal and regulatory support plus also be responsible for the actual cold storage. This new trust company will be used by Swan and will also provide its services to other entities. Maybe, once the new trust company is live, Swan will offer multisig cold storage for your IRA funds. **Until then, I can only recommend River for your Bitcoin IRA.** --- # Notable notes nostr:note154749xhgruxeg78gdnksxykyp2zfmj6wugsap02q6agt34mvax8qyt2tkc --- # Recommendations ## Iefan The Nostr community is blessed with builders who are quickly adding new services on top of Nostr and Iefan is one of them. He just launched a calendar running on Nostr! Check it out [here](https://www.nostrnet.work/) You can follow him [here](nostr:npub1cmmswlckn82se7f2jeftl6ll4szlc6zzh8hrjyyfm9vm3t2afr7svqlr6f). ## BloggingBitcoin A blog focused on Bitcoin, Nostr and freedom tech. Do I need to say more? Check it out [here](https://habla.news/u/blog@bloggingbitcoin.store). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 6efb74e6:41285536

#proofofwork: 15 minutes preparation, overnight marinate and 2 hour roast time. YEILD: 1 roast duck, enough for 3 to 4 people INGREDIENTS: 1 whole Pekin ducks about 2.8-3 kilograms STUFFING: 1 stick of lemongrass, rough chopped 25 grams ginger, rough chopped 25 grams galangal, rough chopped 3 ea cloves garlic, chopped 2 ea shallots, chopped DRY SPICE RUB: 1 tablespoons Sichuan peppercorns 1 tablespoons white peppercorns 1 cinnamon sticks 1 teaspoon star anise 1 tablespoons salt flakes METHOD: 1. Start the recipe a day before cooking the ducks. Rough chop all the stuffing ingredients and place them in the cavity of the bird. Seal the cavity. Do this by stretching the excess skin flaps by the cavity, bringing them together and piercing them with a couple of bamboo skewers. 2. To make the dry spice rub, toast all the spices together in a pan until the mix becomes aromatic. Once cooled, grind the spices in a coffee grinder until they are a fine powder. If you want to go old school then you can use a mortar and pestle. 3. Cover the outside of the ducks with the spice rub. Place ducks in the refrigerator uncovered over night so the skin dries out. 4. The next day pre heat the fan forced oven to 200 C, place the ducks on a wire rack with a roasting tray underneath and roast for 25 minutes. 5. Turn down the oven to 190c and keep roasting for another 25 minutes, then turn down to 160c for another 30 minutes. Probe the internal temperature of the duck in the crease of the thigh making sure it has reached an internal temperature of at least 70 C (160 Fahrenheit). The legs should be soft and tender with crispy skin, the juices running out of the thigh should be clear. 6. Rest the duck for a minimum of 20 minutes after the cooking is complete. Serve and enjoy.

@ 72f97555:e0870ff3

Most people are wrong about rights. Rights are viewed as something that is granted, something that people fight to get, and something that people ought to have. But that is all wrong. In fact, that line of thinking is dangerous, and leads to the types of human rights violations that we are seeing across the planet today - everywhere from third-world countries, to the "great" countries like the United States. In this essay, I will explain what rights are, where they come from, and why the prevalent line of thinking is dangerous to society. ## Rights are granted by God I'm a Christian, and I know who my God is. You don't have to be a Christian, or even a believer to understand and agree with the concept that rights are a fundamental, and exist above the human condition. I think it makes the argument much stronger if one does believe in a god, but even a non-believer can arrive at the conviction, after deliberation, that rights are not dependent upon human thought or consideration. They are inherent in the Universe, and a fundamental truth. The authors of the Declaration of Independence believed this, which is why they wrote: > We hold these truths to be self-evident, that all men are created equal, that they are endowed by their Creator with certain unalienable Rights, that among these are Life, Liberty and the pursuit of Happiness.--That to secure these rights, Governments are instituted among Men, deriving their just powers from the consent of the governed, --That whenever any Form of Government becomes destructive of these ends, it is the Right of the People to alter or to abolish it, and to institute new Government, laying its foundation on such principles and organizing its powers in such form, as to them shall seem most likely to effect their Safety and Happiness. What the founders understood, and many of us have lost sight of, is that our rights are not something granted to us by humans, or by governments (which are just collections of humans), but by something above us which cannot be argued with. These rights are absolute and part of the fundamental nature of what it means to be human. They are "unalienable" meaning that they cannot become foreign to us - we cannot be separated from our rights. They are not bridgeable. > Government is not reason; it is not eloquent; it is force. Like fire, it is a dangerous servant and a fearful master. > -- George Washington We must leave behind the common fallacy that governments can grant or suspend the rights of individuals. They may *violate* or *recognize* those rights, but they have no power over what those rights are, or whether they belong to you. When governments tell their populations that they may do a thing, that is *permission*, not a right. Permissions may be revoked or suspended, rights may not. ## Governments are not gods One of the great revolutions in the development of humankind took place during the feudalistic era. The development of chivalry represented a fundamental change in the way populations learned to view their rulers. Previously, Kings (and sometimes Queens) were viewed as deities in their own right - the ultimate authorities over all affairs both material and spiritual. Under chivalry, for the first time, we collectively realized that rulers were only human, and they were beholden to a higher power the same way the rest of us were. > Today, government is taking those rights from us, pretending that it gives us our rights. Indeed, those rights come from God, and it was recognized throughout our history as such. > -- Judge Roy Moore While the process was slow, and not without its setbacks and problems, this began the path towards the recognition of universal human rights, the limitation of the powers of rulers to protect their citizens from abuse, and ultimately, forms of representative government under constitutions, such as the constitutional monarchy and the constitutional republic. It was a gradual change in the way entire populations viewed the world around them and their place in it. They saw both the errant human in their rulers, and the *highest ideal* that all man was answerable to. > If we are not governed by God, then we will be ruled by tyrants. > -- William Penn Unfortunately, there has been a gradual regression taking place. People no longer look to that highest ideal any longer for their answers. Very often, they are turning to government for the solutions to their problems, protection from every danger, and answers for how it is acceptable to live. This creates a false image, that government is anything other than people exactly like us, with the same flaws, limitations, and corruption that lives in every single living human. Government is not here to help us, because government *is* us. Government cannot tell us how to live, or what our rights are, because government is just people, who unregulated have been shown to commit every type of atrocity to gain power and wealth for themselves. > Because many of us make mistakes that can have bad consequences, some intellectuals believe that it is the role of government to intervene and make some of our decisions for us. From what galaxy government is going to hire creatures who do not make mistakes is a question they leave unanswered. > -- Thomas Sowell ## The role of government Government is a cooperation of groups of people, meant to establish guidelines (laws) that are acceptable to the majority of individuals in order to maximize freedom, happiness, and safety from the infringement of those rights. Any deviation from this goal is a perversion of government. >Government, even in its best state, is but a necessary evil; in its worst state, an intolerable one. >-- Thomas Paine Freedom and laws stand in a necessary tension with one another. Laws must govern the passions of humankind, to guard against one person violating the rights of another. But laws have a fascinating life of their own. They tend to grow over time as disputes are heard and government is asked to intervene in more and more cases. Can you think of a time that the number of laws actually decreased by any meaningful number during the life of a government? The issue is that laws also grant power to the enforcer of those laws. Human nature reenters the equation, stage left. Judges become corrupted to decide cases for their own benefit, or are bribed. The laws become so numerous that our representatives begin passing them to benefit themselves or their friends, and nobody notices in the sea of laws being passed. In the United States we have reached the point where laws are being passed so fast, and so often, and are so encompassing, that the representatives have often not even read them before they are passed. This is a terrible corruption of the system, as the people writing the laws were never even chosen by the people, and begin to exercise power over the lives of their fellow citizens, with no oversight, and no checks upon what they do. >The one thing man fears is the unknown. When presented with this scenario, individual rights will be willingly relinquished for the guarantee of their well-being granted to them by a World Government, a New World Order. >-- Henry A. Kissinger It is interesting, that a country that has existed for over 200 years, continues to find this many things to pass laws about. There are budgetary things that are routine (and still manage to be handled horribly) but we still pass thousands of *laws* every year. We would be foolish to think that these laws are all required to protect the rights of one citizen from encroachment by another. > Congress has enacted approximately 200–600 statutes during each of its 115 biennial terms so that more than 30,000 statutes have been enacted since 1789. > -- Wikipedia ## The slippery slope In this article, I have posited that rights are absolute, and inviolable. They may be in principle, but in practice, even the most conservative and rights loving individuals are often more than happy to violate the rights of others if the circumstances are right. This is a problem because **once you accept the violation of one person's rights, you have already surrendered the fight for rights entirely.** Indeed, you have conceded, and are now in negotiation about how many people's rights you are comfortable violating. Don't believe me? *Do you believe felons should have the right to vote and carry firearms after they serve the entirety of their sentence?* I'm willing to wager the average American, at least, is perfectly comfortable stripping felons of these rights. There are many such groups. But let's remember the founder's principle - these rights are unalienable. > There is no greater threat to a free and democratic nation than a government that fails to protect its citizen’s freedom and liberty as aggressively as it pursues justice. > -- Bernard B. Kerik, From Jailer to Jailed: My Journey from Correction and Police Commissioner to Inmate 84888-054 You might believe this is a perfectly reasonable thing to do. You might believe the justice system works, that it never convicts the innocent (or worse, that it's "good enough"), and that the justice system is never turned against a population minding its own business, trying to live its life quietly... you know, pursuing that "liberty and happiness" stuff. If you do, then I applaud you for being blind, deaf, and oblivious to the realities around you. I would urge you to consider carefully though, how long you think it will take a government that passes 200-600 laws every biennial term, to decide that something you are doing is a felony. You've already surrendered your rights for permissions in exchange for some safety and retribution. What are you going to think and feel the day the government declares war on Bitcoin, seizes your private property, or tells you how to raise your children? Do you really think they won't? We're over 50 years into a war on drugs. ## Don't Surrender Defending your rights means defending mine, and every other human being living around you. The minute their rights cease to be important to you - the moment you are willing to allow your fellow human being's rights to be violated in the name of "justice," "safety," or whatever reason the mob cries for, you have lost your own. It is only a matter of time before you notice. It takes a bigger person to stand up for the rights of those we find distasteful - but as with so many other medicines, what is good for us often tastes bad. As is so often the case, what is wrong with rights isn't rights themselves. What's wrong with rights is that as a people we have forgotten what they are, and been deluded into believing we still have them, and that they are granted by some vague thing called "the government" that is somehow greater than human, despite being instituted by and filled with humans. > You seem...to consider the judges as the ultimate arbiters of all constitutional questions – a very dangerous doctrine indeed, and one which would place us under the despotism of an oligarchy. Our Judges are as honest as other men, and not more so. They have, with others, the same passions for party, for power, and the privilege of their corps. > -- Thomas Jefferson, to William Charles Jarvis, September 28, 1820 The biggest defense of our own freedoms and rights we can exercise is to not tolerate the violation of anyone else's. They belong to all of us by birthright, granted to us by the *highest ideal* and are violated at our greatest peril.

@ 92e3aac6:fd211909

## Testing another way to share music <iframe allow="autoplay *; encrypted-media *; fullscreen *; clipboard-write" frameborder="0" height="175" style="width:100%;max-width:660px;overflow:hidden;border-radius:10px;" sandbox="allow-forms allow-popups allow-same-origin allow-scripts allow-storage-access-by-user-activation allow-top-navigation-by-user-activation" src="https://embed.music.apple.com/us/album/breakfast-in-america/1440512054?i=1440512065"></iframe> <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/qYQABJXHfpE?si=gs3eZPjVg_qac522" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe>

@ c8df6ae8:22293a06

> "We may collect and use your biometric information for safety, security, and identification purposes" > > — X new privacy policy, effective September 29, 2023 *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue is not about Bitcoin. Today I will be talking about freedom from surveillance and X. Feel free to skip this article if this is not your cup of tea*. --- Bitcoin is freedom money and if you appreciate it as such then you also appreciate freedom of speech and freedom from tyranny. Unfortunately, X (formerly known as Twitter) is heading towards the path of tyranny and there is no looking the other way anymore. X recently announced their new [privacy policy](https://twitter.com/en/privacy#x-privacy-1) that now also covers the collection of your biometrics data, job history and education history among other things. TechCrunch covered the news with this [article](https://techcrunch.com/2023/08/31/x-plans-to-collect-users-biometric-data-along-with-education-and-job-history). ## Elon, are you out of your mind? Biometrics are the **ultimate** personal identifiable information: your fingerprints and your face define you and the idea of giving them to a corporation so that you can share your thoughts or follow some famous people is preposterous. What do you think X will do with that data? Let me give you a hint: <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/7bXJ_obaiYQ?si=ciced5cFKTULvnUz" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> This is not the future that I want and I will not use a service that is actively taking us there. ## Premium users today. All users tomorrow Supposedly this is only applicable to Premium users, who are already providing X with their credit card number and phone number. But this is no different from when a politician says that a program is *temporary*. X will first offer the option, then require it as part of the Premium onboarding and finally, with the excuse of fighting the bots, it will require all users to become Premium or lose their accounts. Today, anyone who is not a Premium user is already being shadow banned and getting minimal engagement with X's prioritization of Premium users, their posts and their responses over anyone else. ## Chinese style surveillance for all We already know how this will end because we just need to look at WeChat, the everything app in China. Elon Musk has even stated that he wants to build the WeChat of outside of China. Chinese people have a social credit score so that if you, for example, lose points on your score for jaywalking, then you're not allowed to buy a train ticket for inter-province travel. Guess how easy it is to enforce this kind of policies when **everything** is done from a single app. Elon is enabling this same surveillance. It will be officially managed by a corporation instead of the government but as we saw with the Twitter Files, at the end the government is the one pulling the strings, telling Twitter which tweets to delete, which accounts to block and who to suspend indefinitely from the service. >A federal appeals court [ruled](https://www.usatoday.com/story/money/2023/09/08/biden-administration-coerced-facebook-court-rules/70800723007/) yesterday that the Biden administration coerced social media giants into free speech violations. Recall all those people who got their accounts closed because they suggested that the COVID virus may come from the Wuhan lab. They were called racist and removed from Twitter at the direct request of the White House. The same government that now says that, yes, the COVID virus came from the Wuhan lab. Losing your Twitter account is hard and it should had never happened. What will happen when you get suspended from the *Everything App* for saying the wrong thing? How will you buy food, gas, make phone calls, etc.? > Remember that since X has your biometrics, you will need a new set of eyes to create a new account.  ## I'm quitting X It is for all these reasons that I will not continue using Twitter after September 29th. Instead I will focus my social media presence on clients that use the decentralized social media protocol called Nostr. With these clients, you have full control of what you see. There is no owner who limits the exposure of your notes when you don’t become a premium subscriber. And when you build your social network there, it is truly **YOUR** network. >If you don’t like app A, you can switch to app B and your followers will still get your messages. Nothing changes for them regardless of the app they use. I encourage you to try Nostr. Watch this video and check [whynostr.com](https://www.whynostr.com). <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/aA-jiiepOrE?si=tgClAfKnOox0Nd7w" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> Today I will post my last tweet encouraging people to explore Nostr and follow me there. --- # Notable notes nostr:note1klu7r76lcspacfgmzxq5vxuxlzh4ktk6280zlnxfqghuyfhqsj0qc42qq6 nostr:note1r859dznj5qatq60d7ln4gv4dtr3q0va7rq6q2sa92p0vvklfd9vs93ph2m --- # Recommendations ## Zach Zach is the person behind the WhyNostr website. You can follow him [here](nostr:npub10fu0hlkx3s4n4dsgfu0cpqephga4afr4qtzpz9vsyqf7vj88v2yqdp8vp4). ## Why Nostr Why Nostr easily explains why social media apps built on top of the Nostr protocol give you all the power and are the best option to maintain your freedom and fight those who try to take it away from you. Check it out here: [www.whynostr.com](https://www.whynostr.com) --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. It's where I buy my Bitcoin. They are on a mission to onboard 10 million bitcoiners and get them to self-custody. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 6efb74e6:41285536

#proofofwork: 10 minutes YIELD: approx 2 1/2 cups. INGREDIENTS: 1 cup parsley, washed and finely chopped 1 cup cilantro, washed and finely chopped 5 ea (1 teaspoon) garlic cloves 3 Tablespoons fresh oregano (2 tsp if using dried) 1 teaspoon fresh chilli or chilli flakes 1 teaspoon ground cumin, lightly toasted 2 Tablespoons quality red wine vinegar 1/2 cup extra-virgin olive oil 1 tablespoon lime juice 1/2 teaspoon salt 1/2 teaspoon black pepper METHOD: 1. Pick and wash all the herbs, drying them as much as possible with a salad spinner or a tea towel. 2. Place all the chimichurri ingredients except the oil in a large bowl and mix them together well. 3. Add the oil until you reach the consistency you desire. If you are using it as a marinade then you will probably want slightly less oil. 4. When using as a marinade, coat your meat before grilling and refrigerate for at least 2-3 hours. Check the seasoning and adjust it as you like. #chefstr, #foodstr, #yumstr, #grownostr, #homemade

@ 0b963191:fc5e7ffd

# Getting Started ## Tools The use of any tools is not required and may be helpful in getting a hands-on understanding of Nostr events, queries, and interacting with relays. Here are the tools I will be using in this guide: [NodeJS](https://nodejs.org/) - The code snippets in this guide will be using javascript. Most of this code will not be specific to Node and may be convenient to use if not writing our javascript for a web browser. Google Chrome\Chromium - For web scripting, most modern web browsers should be fine. The requirement is that it supports websockets and CORS (Cross-Origin Resource Sharing : [https://developer.mozilla.org/en-US/docs/Web/HTTP/CORS]()). The Chrome dev tools will be used for viewing code output. [Nostril](https://github.com/jb55/nostril) - Nostril is a utility to create events from the command-line. This will help quickly create new events for testing and it can be downloaded here. I also have a utility written in NodeJS that can be used as a substitute here (Link to Github). [Websocat](https://github.com/vi/websocat) - Websocat allows a convenient CLI interface to sending data over websockets, which is what relays use for communication. In conjunction with Nostril, you can pipe events and requests to relays and get output. [Postman](https://www.postman.com/downloads/) - Postman supports websockets and can be used as an alternative for sending events to relays. # Relays This guide will be utilizing a relay that supports most of the NIP standards. The only requirement for this guide is that you use a relay you are allowed to write events to. You can also spin up your own relay to test and the setup of a relay is out of scope. You can find a list of relays [here](https://www.nostr.net/). **Note:** As a matter of courtesy, if using someone else’s relay, is to be respectful of the amount of data sent to the relay. Relays provide an important function and house a lot of nostr events. Spamming, even for testing purposes may result in rate limiting or banning. As different event kinds are explored the supported NIPs will be highlighted to ensure that a suitable one is used and behavior is as intended in the exercise. ## Test keypair It’s strongly recommended that any testing of events is done using a throwaway public\private keypair. This will ensure any npub you are using day-to-day doesn’t result in unintended behavior (i.e. spamming of messages to anyone following you) or private keys getting leaked. ## Hello World ### Exercise 1 Let’s start with an obligatory “Hello World” event to get things going. In the next section we will go over Nostr architecture and the anatomy of an event and loop back to this event. **Ingredients:** * Nostril * Websocat **Steps:** Step 1: Build an event with a Nostril using the following commandline (You can autogenerate a new private key or use one you generated already) > ./nostril --envelope --content "Hello World" --sec SECRET_KEY Step 2: View the event in standard output  Step 3: Rerun the command and pipe it out to a relay  Step 4: Check for the output from the relay. If successful, copy and paste the ID of the event for later (we will come back to this) **Congrats you just generated and published an event in the most manual way possible!** Previous: [Introduction](nostr:naddr1qqxnzd3exvunvve3xg6rqd3sqgsqh933jx4jz6q2vvc84md4pltmqyuje8rtaauu6r8tvay2l308llgrqsqqqa28c28uht) | Next: TBD

@ 0b963191:fc5e7ffd

# Introduction Nostr is a new and exciting protocol that many people have taken to building and incorporating into applications like Social Media. There are countless Nostr guides oriented toward new users looking to dive into an alternative to Twitter, Instagram, Mastodon, etc. This guide looks to take a different approach, focusing on the technical features of the Nostr protocol and get anyone up to speed on wanting to build applications and utilities with the protocol. It will also look to serve as a guide on resources and limitations of the protocol. The focus will be less on the philosophical nature of a decentralized, censorship-resistant, communication layer or the common social media layer that the many have gravitated toward. Instead this will look at how the protocol works, the anatomy of events and requests, as well as things to consider when building and working with Nostr. ## Audience assumptions This guide is geared toward technical users who are already familiar with Nostr from a user standpoint. Exposure to the main clients such as Damus, Amethyst, and Primal will be assumed. Some scripting or programming knowledge will also be assumed. For anyone who needs a review of what Nostr is and a user guide please see the below links: * https://nostr.how/en/what-is-nostr * https://uselessshit.co/resources/nostr/ * https://nostr.com/get-started ## The NIP reference and development speed Nostr moves fast, very fast! There are going to be some aspects of Nostr that will be deprecated in favor of more efficient and agreed upon standards. As of now this guide will draw upon the NIP guidelines from September 5th, 2023 found here: https://github.com/nostr-protocol/nips/tree/9879e90ad987609fb12f348520b62146c6a01aa5 This guide will be subject to change and you can reference the change log. ## Format I will be breaking this guide out into different Long Form posts. These can be viewed like chapters across different aspects of Nostr. I will also be updating and adding different posts for different areas as I get to them and I encourage you to come back and check for updates. ## Corrections This guide as provided as-is and may contain some errors. Please reach out to me via nostr on [wolfbearclaw@nostr.messagepush.io](nostr:npub1pwtrrydty95q5ces0tkm2r7hkqfe9jwxhmmee5xwke6g4lz70l7sd8pf5t) (npub: nostr:npub1pwtrrydty95q5ces0tkm2r7hkqfe9jwxhmmee5xwke6g4lz70l7sd8pf5t) if you spot any errors or incorrect information. ## Table of contents TBD ## Next Sections Next: [Getting Started](nostr:naddr1qqxnzd3exvunvdpc8ycngv35qgsqh933jx4jz6q2vvc84md4pltmqyuje8rtaauu6r8tvay2l308llgrqsqqqa28luavgd)

@ c8df6ae8:22293a06

> "Do I think it’s possible that China’s Xi trusts Russia’s Putin who trusts Brazil’s da Silva, and so on and that they can work together and *trust each other* enough to establish a gold-backed BRICS currency that eventually includes half of the G20 economic giants? > > Possible, yes > > Probable? Still a heavy *no* > > — James Lavish *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue covers the expansion of the BRICS economic bloc and the implications for Bitcoin.* --- Slightly over a week ago, the BRICS economic block, composed of Brazil, Russia, India, China and South Africa, formally accepted six new countries into their organization: Argentina, Egypt, Iran, Ethiopia, Saudi Arabia, and United Arab Emirates. The mainstream media barely covered the news because it's not good news for the Western world. But no, the expanded BRICS+ will not bring Bitcoin to the world. ## I was wrong. BRICS+ won't bring hyperbitcoinization nostr:note1nz953rhcx2lnpems3wq933q08tm6nvp3u8neq0jh347m0tnvtldsj505w7 The BRICS countries have been very vocal about their desire to stop using US dollars for international trade among themselves and logically Bitcoin is the best choice for them to replace the US dollar. > But these countries are not ruled by logical people. They are ruled by politicians. And no politician wants to give up the power of their own fiat currency. Not even Argentina, after going through multiple episodes of hyperinflation, will give up the power of printing money at will. Brazil's president endorsed the creation of a common currency at the beginning of the summit that formalized the expansion but has also endorsed the idea of trading in their respective currencies. Russia's Putin wants to use their respective local currencies. India is skeptical of the practicality of not using the US dollar given that all the financial infrastructure that exists today is built with the US dollar in mind but they support using the rupee for trade among BRICS countries. China is also vocal about reforming the financial systems to move away from the US dollar with the stated goal of using the yuan as the new global currency. Never mind the lack of liquidity of a currency that you're not allowed to freely trade. And finally, South Africa, also supports using their respective local currencies. So what's going to happen? They won't create their own currency. They don't trust each other that much. They will increase their trade using their respective currencies. This will be a fundamental tenet of the BRICS+ block. ## It's the oil The current five BRICS countries represent 26% of the global GDP and the addition of six new countries only expands that number to 29%. So why did they go through the trouble of more than doubling the size of the block in terms of countries? And why did they leave unanswered requests from other 20 countries to join? **Oil, gas and minerals.** **The expanded BRICS+ block controls 43% of the global crude oil production** and China and India, two of the original BRICS countries happen to be the 1st and 3rd biggest crude oil importers respectively. Now, China and India will be able to buy the majority of their oil using their local currencies instead of US dollars. Saudi Arabia and the United Arab Emirates will sell their oil in a currency other than the US dollar. **The petrodollar is no more.** What will Saudi Arabia do with the yuans it receives from selling oil to China? They will use them to trade with China or with other BRICS+ countries. That is the REAL reason why the BRICS has doubled the number of countries. The BRICS+ is creating a circular economy of local currencies. ## No more US debt for me, thanks That is in a nutshell what all members of the BRICS+ block want. They want to stop buying US debt. They don't want to continue paying the bill for the US lifestyle and US government excesses. Because every time the US economy hits a new rock, the US government solution is to devaluate the existing debt holders, either by printing more money or by increasing rates dramatically. And one way or another, their existing debt assets end up being worth much less. The BRICS+ countries will little by little expand the intra-block trade in local currencies and the international demand for US debt will go down dramatically now that the petrodollar is no more. > This will be the real impact. The foreign demand for US debt will plummet, forcing the US Treasury to maintain interest rates high to attract demand from other sectors. --- # Notable notes nostr:note128kyymw7ams6dswn30kqn88gwuxgxn4kuu9t43z6t42l9t6xv8rsydvmvn --- # Recommendations ## Marty Bent Marty is Odell's *brother*. Founder of TFTC.io, co-host of Rabbit Hole Recap and Partner at Ten31. He is a driving force in the Bitcoin community and a great source of information. You can follow him [here](nostr:npub1guh5grefa7vkay4ps6udxg8lrqxg2kgr3qh9n4gduxut64nfxq0q9y6hjy). ## Bitcoin Breakdown Bitcoin Breakdown gives you the TLDR summaries of the biggest events in Bitcoin. It's a very effective way to stay up to date with the industry. Check it out [here](https://magic.beehiiv.com/v1/cf402cd8-b88e-4e7e-87f6-47474ac9807d?email={{email}}&recommendation_id=06f7cb37-d4ea-4464-be11-a485dbbd196a). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. It's where I buy my Bitcoin. They are on a mission to onboard 10 million bitcoiners and get them to self-custody. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมมองออกไปไกลๆ ยังนอกหน้าต่าง... หลังจากรายการ [**#สภายาส้ม ตอนที่ 14**](https://youtu.be/L0L3k4S6GtQ?si=hTCVszHGWIx6Ozvx) พึ่งจบลงไป มันชวนให้ผมอยากร่วมวงสนทนาในหัวข้อ **#ExitTheMatrix** หรือ **#EscapeTheMatrix** อะไรนั่นเหลือเกิน.. พยายามคิดว่าผมจะมีเรื่องอะไรมาเล่าได้บ้างนะ.. ไม่.. ผมไม่อยากได้แก้วรางวัลของเทนโด้ มันควรเป็นเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในคอมมูนิตี้ **#Siamstr** ของเราที่ได้ไปครอง แต่ผมเห็นคุณค่าของกิจกรรมนี้อย่างลึกซึ้ง ผมอยากเห็นหลายคนลุกขึ้นมาถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง.. นั่นก็รวมถึงตัวผมเองด้วย นั่นสินะ.. เราไม่เคยเล่าเรื่องของเราให้ใครฟังมาก่อนเลย > เรามีเรื่องอะไรน่าสนใจอย่างงั้นเหรอ? Matrix ของเราจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ Matrix ของคนอื่นๆ หรือเปล่านะ? ผมพยายามตีความคำๆ นี้ในแบบของตัวเอง จนพบว่า **"Matrix"** ในแบบของผม มันคือ **"บางอย่างที่อยู่ในหัว"** ของผมนี่เอง มันไม่ใช่สิ่งของ วัตถุ คำสั่ง หรือสังคมอะไรทั้งนั้น สำหรับผมมันคือ **"ชุดความคิด"** ที่ทำให้เรามองโลกใบนี้ในแบบที่ต่างออกไป ### ทำไมผมคิดแบบนั้นน่ะเหรอ? ก็เพราะเมื่อตอนที่เรายังอยู่ท่ามกลาง Matrix และตอนที่เราได้พบว่าตัวเองหลุดออกจากมันมาแล้ว แท้จริงแล้วเรายังคงยืนอยู่บนโลกใบเดิม สังคมเดิมๆ ผู้คนรอบกายหน้าเดิมๆ วัตถุสิ่งของรอบตัวล้วนเหมือนเดิมทุกประการ แต่มันเป็น **มุมมอง-ความคิด** ของเราต่างหากที่เปลี่ยนไป.. ผมเคยคิดว่าตัวเองหลุดออกมาจาก **"Matrix"** ได้เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เมื่อครั้งที่ผมกำลังลุ่มหลงกับการลงทุนใน Traditional Investment ผมกลายเป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจมือฉกาจ เป็นนักวางแผนคาดการณ์ที่หาตัวจับยากในยุคนั้น (ในแวดวงของตัวเอง) ผมมีโอกาสได้สอนคนดังๆ คนรวยๆ ในเรื่อง **"การลงทุนหุ้น"**, เป็นที่ปรึกษาการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่, การจัดตั้งและบริหารบริษัทต่างๆ ฯลฯ สารพัดเต็มไปหมด ผมพบว่าตัวเองมีตำราแทบทุกเล่มเกี่ยวกับศาสตร์ในด้านนี้ ผมอ่านเยอะ แตกฉาน และพยายามเผื่อแผ่ ..ซึ่งมันน่าอนาถยิ่งนัก ถ้าเราเรียกอาการของคนที่กำลังหลงอยู่ในโพรงกระต่ายบิตคอยน์ว่า **"Down the Rabbit hole"** ตัวผมเองในตอนนั้นก็คงจะเรียกได้ว่า **"Deep-down the Fucking (Hell) hole"** เลยกระมัง.. ณ ขณะที่เรากำลังคิดว่า **"เราเจ๋ง"** เหลือเกินนั้น เราไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าเรากำลังดำดิ่งลงไปใน **"โพรงแห่งกับดักนรกของโลก Fiat"** เรากำลังฆ่าตัวเองอย่างช้าๆ และกำลังผ่องถ่ายพลังงานของเราเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงระบบสามานย์นี้ทีละเล็กทีนะน้อย เราที่คิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา กำลังถูกหัวเราะเย้ยหยันจากใครสักคนในมุมมืด > เรามันก็แค่ **"หนูตัวใหญ่"** ในระบบที่ถูกออกแบบเอาไว้ให้ทุกคนต้องกลายเป็น **"เหาในขวดโหล"** เพียงเท่านั้น  ความขยะแขยงในภาพอดีตของตัวเอง ทำให้ผมไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้กับใครเลย แม้กับน้องๆ ในทีม Right Shift ก็คงได้ฟังแค่เพียงผ่านๆ ไปคร่าวๆ เท่านั้น ผมเลือกจะลืมเรื่องพวกนี้ให้สิ้น ลบมันออกจากอดีต และทำราวกับว่า.. ผมคือคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรในเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไหร่.. มันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น เพราะตัวเราเองก็รู้อยู่เสมอว่าเราเคยผ่านประสบการณ์อะไรมา ผมเคย **"เกลียดงานประจำ"** อย่างเข้าไส้ในตอนนั้น ผมแช่งและชังระบบราชการที่ตัวผมเองก็ฝังหนอกอยู่กับมัน ผมมักวิจารณ์ทุกเรื่องรอบๆ ตัว อะไรก็ตามที่ไม่ค่อยเข้าตา ผมไม่เคยรู้สึกว่าระบบราชการจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ ผมเกลียดชังเพื่อนร่วมงานเกือบจะทุกคน ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้ประพฤติอะไรต่างไปจากตัวผมนัก ผมเองก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าพวกเขา เพราะผมได้ก็เอาเงินจากอนาคตมาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย สนองความต้องการต่างๆ นานาของตัวเองจนสาแก่ใจเหมือนพวกเขาเช่นกัน.. เราพยายามจะเกลียดทุกๆ อย่างรอบๆ ตัวเรา.. เราไม่เคยคิดว่าโลกนี้จะมีอะไรดีเลย > ### แต่สิ่งเดียวที่เราไม่เคยอยากเกลียด คือ ตัวเราเอง และนั่นแหละคือ "The Matrix" ที่แม่งเหี้ยมโหดและทารุณอย่างที่สุด เพราะสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราต้อง **"จมอยู่กับความทุกข์"** อย่างแสนสาหัส ทุกข์ที่ไม่ได้มีใครก่อขึ้นมาเลย ก็นอกเสียจากตัวเราเอง > เรานี่เอง คือ ต้นตอของปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ที่กำลังรุมสกรัมชีวิตของเราเองอย่างบ้าคลั่ง เราขยันเติม **"พลังลบๆ"** เข้ามาในชีวิตแต่ละวัน เราเติมมันด้วยตัวเราเอง และมันถาโถมทำลายจิตใจด้านบวก กัดกร่อนความสุขในการมองโลกของเราลงในทุกเมื่อเชื่อวัน > เรานี่เอง คือ คนที่วาดภาพของโลกอันเสื่อมทรามขึ้นมาในจินตนาการของตัวเอง ## เกือบ 10 ปี ที่ชีวิตผมต้องจมอยู่ใน "The Matrix in mind" ผมเริ่มรู้สึกอ่อนล้า.. ผมผละออกมาจากตลาดหุ้น หนีความวุ่นวายของผู้คน และเริ่มเฟดตัวเองออกจากคนรอบตัว ผมเริ่มหันมาคุยกับตัวเองมากขึ้น นั่งอยู่คนเดียวในแต่ละวัน และไม่พยายามยินดียินร้ายไปกับใคร ผมมีเพื่อนลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมพบว่าผมเหลือเพียงตัวคนเดียว.. ฟังดูราวกับว่า.. การเหลือตัวคนเดียว ไม่น่าจะใช่ทางออกที่ดี แต่สำหรับผมมันช่างดีเหลือเกิน พลังลบๆ รอบตัวมันเริ่มลดน้อยถอยลงจนในที่สุดมันก็หายไป ผมพบว่า **"มันเป็นตัวเรา"** นี่เอง ที่พยายามเอาตัวเองไปผูกไว้กับเรื่องของคนอื่น เราเอาตัวเองไปผูกโยงกับทุกเรื่องจนเกินความจำเป็น ทั้งที่เมื่อทำไปแล้วมันก็ไม่เคยจะให้พลังบวกหรือให้ประโยชน์อะไรกับตัวเองสักเท่าไหร่.. ผมได้ **"เวลาชีวิต"** กลับคืนมามากโข ได้เวลาว่างๆ กลับมาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันทำให้ผมมองหาสิ่งใหม่ๆ **"หลุมกระต่าย"** ใหม่ๆ เพื่อพาตัวเองกลับไปหาพลังบวกอีกสักครั้ง.. ผมพบว่าการเลิกบ่นให้กับเรื่องรอบๆ ตัว แล้วพยายามอยู่กับมันให้ได้อย่างคนที่เข้าใจความเป็นไป มันช่วยให้ผม **"หัวโล่ง"** และมีเวลาไปหาความสุขใส่ตัวในเรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้นเยอะเลย จนกระทั่งผมได้หลงจับพลัดจับผลูเข้าไปในเกมมือถือที่มีชื่อว่า ["**EVE ECHOES**"](https://www.eveechoes.com/) เกมดังที่พอร์ทมาจากสุดยอดเกมไซไฟอมตะอย่าง ["**EVE Online**"](https://www.eveonline.com/) ที่แห่งนี้เอง คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตผมอย่างแท้จริง  ### ประตูบานแรกที่ได้พาผมออกจาก "The Matrix" มันฟังดูแปลกๆ ที่เกมอย่าง EVE ECHO คือสิ่งที่ให้มุมมองใหม่ ๆ กับผมอย่างมหาศาล ในวันเริ่มต้น.. ผมพบว่าตัวเองเป็นเพียงนักบินอวกาศตัวเล็กๆ เป็นฝุ่นจางๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ของตัวเกม แต่ในวันสุดท้ายที่ผมจากเกมนี้มา ผมได้พาตัวเองไปอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาลเกม สูงที่สุดเท่าที่เกมเมอร์ไทยสักคน (ในเกมตอนนั้น) จะทำได้.. ผมถูกทาบทามให้เป็น Director ของ Corporation ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเซิฟเวอร์เกม ณ จุดนั้นเองที่ทำให้ผมได้ตระหนักว่าผมเป็นใคร และผมควรพาตัวเองไปทำอะไรต่อจากนี้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าอวดอ้าง มันมีบางอย่างที่ได้กลายมาเป็นไอเดียตั้งต้นของคอมมูนิตี้บิตคอยน์ของเราที่แฝงมากับประสบการณ์เกมของผมในตอนนั้น.. ### อย่างแรกเลยคือ.. ผมได้ค้นพบในพลังของแพลตฟอร์มอย่าง [**"Discord"**](https://discord.com/) ผมได้อยู่ร่วมกับชาวต่างชาติหลาย Corporation ที่ Role play การเล่น และสร้างคอมมูนิตี้ของพวกเขาขึ้นมาโดยรีดเค้นเอาศักยภาพของ Discord ออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบสุดๆ พวกเราลองนึกถึงการวางแผนและการจัดการกองทัพอวกาศในสงครามที่มีหลายฝั่งเข้าห้ำหั่นกันออนไลน์ และแต่ละฝั่งก็มีคนเข้าร่วมมากเป็นหลักพันคนดูสิครับ การจัดการกลยุทธ์การรบแบบเรียลไทม์เพื่อให้ทัพของตัวเองมีประสิทธิภาพมากที่สุดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และ Discord ได้เข้ามาทำให้ผมได้เห็นทางออกในเรื่องนี้ และผมก็นำเอา Discord มาใช้จนถึงปัจจุบัน ### อย่างที่สอง... ความหมกมุ่นและเอาจริงเอาจังของเกมเมอร์ชาวต่างชาติ มันทำให้ผมได้สติว่า ผมที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจในอดีตช่างเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความลุ่มหลงในบางสิ่งบางอย่างแบบที่พวกเกมเมอร์ชาวต่างชาติเขามีกัน ผมได้เรียนรู้หลักการกระจายอำนาจมาอย่างไม่รู้ตัว (ก่อนจะรู้จักลงลึกกับบิตคอยน์เสียอีก) ผมได้เห็นวิธีการ "เชื่อใจ" และทำงานกันเป็นทีม ความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบที่เห็นแล้วก็รู้สึกอายตัวเองเหลือเกิน ผมเห็นถึงวิธีการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน > นี่มันแค่เกมเองนะ!! มันทำให้ผมอินและมองเห็นอะไรได้ขนาดนั้นเลยเหรอ? ใช่ครับ.. มันเป็นไปแล้ว พฤติกรรมมุ่งสู่ความสำเร็จในภาพใหญ่ และยืนอยู่บนกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความยั่งยืนของคนเหล่านี้ ได้สอนให้ผมเข้าใจว่าตัวเราเล็กเกินกว่าจะคิดว่าเราใหญ่ เราไม่สามารถทำงานใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว และชีวิตมันมีอะไรให้เราได้ค้นหาอีกมากมายเกินกว่าที่เราจะเคยจินตนาการกันได้ พวกเขาแทบไม่มีใครทำเพื่อตัวเอง พวกเขาวางแผนการทุกอย่างกันจริงจังเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันของส่วนร่วม พวกเขาไม่เคยหยุดพยายาม และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนามตามรายทาง ..มันสุดยอดจริงๆ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าชีวิตจะได้เจอกับอะไรแบบนี้ และนั่นคือหลักการแนวคิดที่เริ่มติดตัวผมมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นที่มาของวิธีการทำงานบนความสุขเต็มเปี่ยมแบบทีม Right Shift และเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการผลักดันคอมมูนิตี้บิตคอยน์ในแบบที่พวกเราได้เห็นกัน ลากยาวมาจนถึง Nostr ในตอนนี้ ### อย่างที่สาม.. ผมได้เจอกับ **"ผู้ที่ป้ายยาส้มผมคนแรก"** ในเกม EVE ECHOES นั่นคือ **พี่เป็ด** (ped66@rightshift.tp) บิตคอยเนอร์รุ่น OG (ปัจจุบันคือพี่ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของทีมงาน Right Shift) พี่เป็ด คือคนที่ค่อยๆ สอนสอดแทรกหลักสัจธรรมเข้ามาในหัวผมเป็นระยะๆ จนกระทั่งเมื่อเขารู้สึกว่าผมพร้อม พี่เป็ดก็เริ่มปฏิบัติการป้ายยาส้มผมมาทีละนิดๆ แม้ต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ปี กว่าจะ Orange pill ผมได้สำเร็จ กว่าที่ผมซึ่งเต็มไปด้วยแนวคิดเฟียตๆ ในตอนนั้นจะตื่นรู้ แต่ก็นับว่าเป็นความทรงจำล้ำค่าที่ผมคงไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิต > The Matrix exit door ถูกเปิดออกนับแต่นาทีนั้น.. นั่นคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของ Jakk Goodday  ## Exit เมื่อสายไป? การก้าวออกจาก Matrix ในวัยเกือบๆ 37 (ในตอนนั้น) ผมเองก็เคยต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน - เรารู้จักเรื่องนี้ช้าไปหรือเปล่า? - เรา Exit ช้าไปไหม? - มันจะดีกว่านี้ไหมถ้าเราได้ออกมาจากระบบความคิดเน่าๆ ได้ไวกว่านี้? อย่ากระนั้นเลย.. ผมพบว่ามันป่วยกาล ที่เราจะมานั่งหาคำตอบเพื่อแก้ไขอดีตที่เราไม่เคยพึงพอใจ อดีตมันมีคุณค่ากับเราเสมอไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย อดีตช่วยสร้างและหลอมเราให้เราได้กลายเป็นตัวเราในวันนี้ อดีตที่เลวร้ายทำให้เรามองเห็นอนาคตที่เราจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นอีก อดีตอันสดใสจะคอยตอกย้ำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต เตือนสติให้เราไม่ลุ่มหลง ระเริงไปกับความสำเร็จจนหยุดพัฒนาตัวเองหรือเรียนรู้ > สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นงดงามเสมอ หลักการและแนวคิดในทุกแง่มุมที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของบิตคอยน์ มันช่วยให้ผมค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์บนโลกเฟียต มันพาให้ผมออกมาจาก The Matrix ได้เพียงแค่เปลี่ยนความคิดและพฤติการณ์ของตัวเองเท่านั้น ทุกอย่างรอบกายยังคงเหมือนเดิม.. มันคือสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยเรียกมันว่า **"The Matrix"** มันไม่มีอะไรที่ต่างออกไปจากที่เคยเป็น.. ทุกสิ่งบนโลกยังคงหมุนรอบตัวเราอยู่เสมอ.. สิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราหลุดออกมาจากมันได้แล้ว ก็คือ **"ชุดความคิด"** และ **"มุมมอง"** ของเราที่เริ่มเปลี่ยนไป.. ### แค่เปลี่ยนความคิด โลกก็เปลี่ยน.. บิตคอยน์ได้มอบอะไรให้ผมมากกว่าแค่เรื่อง **"Wealth"** ถ้าคุณได้รู้จักหรือใกล้ชิดกับผมมากกว่านี้ คุณคงจะพอเข้าใจได้ว่าทำไมผมจึงแทบไม่พูดถึงการลงทุน วิธีหรือแนวทางการลงทุน แม้กระทั่งราคา หรือเทคโนโลยีของตัวบิตคอยน์เลย > เพราะสิ่งเหล่านั้นจะมีความหมายอะไรเล่า.. ถ้าวิธีคิดของเรายังไม่เคยหลุดพ้นจาก Matrix และ เรายังคงถูกครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จโดยระบบเฟียต วันนี้ผมกลายเป็นคนที่ทำตัวติดดินจนหญ้ามาเลย์ยังต้องอาย - ผมพูดน้อยกับคนรอบตัวในเรื่องไร้สาระ (ที่ผมคิดว่ามันไม่เกิดประโยชน์กับใคร) แต่พูดมากเฉพาะในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น - ผมชวนให้ทุกคนนึกคนรุ่นหลังมากกว่าตัวเอง ชวนให้ทุกคนสร้าง Legacy บางอย่างทางความคิดเพื่อส่งต่อให้พวกเขามีชีวิตในสังคมที่ดีกว่า - ผมปัดตกทุกความคิดที่มุ่งสู่ผลกำไรโดยไม่ได้มอบคุณค่าอะไรให้กับผู้จ่ายเลย ทุกความคิดที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนไม่ใช่สิ่งที่ผมเทิดทูน - ผมเก็บตำราเก่าๆ ทุกเล่มที่เคยอ่านเข้ากรุไป ต่อหนูเยี่ยวใส่ผมก็ไม่แคร์ ผมกด Delete ทุกความเชื่อที่เคยมีออกจากไขสมอง ถ้าจะมีบ้างที่ผมหยิบเอาหนังสือพวกนั้นออกมา ก็คงเพราะเอามาวางเป็น Prop ในการ LIVE เพียงเท่านั้น - ผมไม่เคยทำเก่งอีกเลย ถ้าจะต้องทำตัวให้โง่ผมก็ยอมทำ และคอยย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเราก็แค่เพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความวิเศษวิโสไปกว่าใคร ผมพยายามทำตัวเองให้เล็กที่สุดเพื่อให้ทำการณ์ใหญ่ได้สำเร็จ - ผมหยุดหลอกตัวเองว่าเรากำลังมีความสุข ถ้าผมไม่ได้กำลังทำในสิ่งที่จะช่วยให้ผมมีความสุขกับมันได้จริงๆ ผมถามตัวเองทุกครั้งเมื่อต้องลงมือทำบางอย่าง ว่าสิ่งนั้นจะมอบพลังบวกหรือให้พลังลบเข้ามาบั่นทอนเรา - ผมบอกตัวเองว่าชีวิตมันก็คงหนีไม่พ้นการต้องกด Restart อยู่บ่อยๆ การทำสิ่งใดเพื่ออนาคตที่ดีกว่านั้นไม่เคยสาย มันจะสายก็ต่อเมื่อเราพึ่งคิดได้ในห้วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต.. - ฯลฯ ผมได้ฉายาจากน้องๆ ในทีมว่า **Jakk 8-hour** ก็เพราะผมเป็นคนประเภทที่พ่นออกมาได้เรื่อยๆ หาที่ลงไม่เคยได้ และตอนนี้ผมก็เริ่มได้สติแล้วว่า บทความนี้ชักจะยาวเกินไปแล้ว ผมคงต้องขมวดและปิดท้ายมันได้สักที... ----------- > ### คุณแค่หลับตาลง แล้วนึกถึงความย่ำแย่ของตัวเองในอดีต หาให้เจอว่าอะไรทำให้คุณรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อคุณค้นพบสาเหตุ คุณจะเริ่มบอกตัวเองว่าคุณจะจัดการกับมันอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วจงลืมตาขึ้นมา.. > ### สิ่งที่คุณมองเห็นนับจากนี้จะไม่ใช่ The Matrix อีกต่อไป ----------- อย่าลืมเขียนเรื่องราว **#ExitTheMatrix** **#EscapeTheMatrix** ของคุณออกมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ บอกพวกเราว่า Bitcoin ช่วยให้คุณหลุดพ้นได้ยังไง.. เทนโด้รอจะแจกแก้วให้คุณอยู่นะครับ (สวยอะ) 

@ bf353c70:94d86b0c

Test post from obsidian using Nostr Writer plugin! #grownostr

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมเจอหลายคนเริ่มต้นกับ Nostr มานาน แต่กลับยังไม่สามารถ “**อิน**” กับการอยู่ในสังคมแห่งใหม่นี้ได้เท่าไหร่นัก บางคนยังมีเพื่อนใหม่เพียงหลักสิบคน และหลายคนยังแทบไม่รู้จักหรือกดตามใครเลย บางคนมีคนติดตามเพียง 3-5 คน เท่านั้น แล้วมันจะไปมีคนเห็นสิ่งที่เราสื่อสารออกไปได้มากพอได้อย่างไรล่ะคับ? ก็คนที่ไม่ได้ติดตามเราเค้าก็จะมองไม่เห็นสิ่งที่เราโน๊ตไปนั่นเอง > นี่แหละครับ Nostr ผมไม่ชอบใช้คำว่า “**เล่น Nostr**” เท่าไหร่นัก สำหรับผมแล้ว.. Nostr คือ สถานที่ใหม่ สังคมใหม่ที่ทุกคนต้องเริ่มนับใหม่จากศูนย์ ผมขอใช้คำว่ามันเป็นการ “**ใช้ชีวิตบน Nostr**” ก็แล้วกัน เชื่อไหมครับว่าในแต่ละวัน ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีเวลาไม่มากพอจะใช้ชีวิตบน Nostr ให้สมใจอยากได้เลย.. ในขณะที่บางคนกลับรู้สึกว่า 5 นาทีมันก็นานเกินไปแล้ว.. เราลองมาพิจารณากันดูไหมว่าเพราะอะไร? # มันไม่ค่อยมีอะไรให้อ่าน ไม่ค่อยมีเรื่องให้ทำ สำหรับข้อโต้แย้งนี้ผมคงต้องบอกว่ามัน “**ผิดถนัด**” เลยล่ะ.. บน Nostr นี่มีอะไรให้เราทำมากกว่าบนทุกแพลตฟอร์มเก่าๆ มาขยำรวมกันเสียอีกนะ ผมคิดว่า.. ผมคงต้องเริ่มเล่าเรื่องในจินตนการให้พวกเราเห็นภาพนี้ได้ง่ายขึ้น ผมขอพาพวกเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการก่อร่างสร้างสังคม อันดับแรก ผมอยากให้พวกเราลืม “**สังคมแบบเดิม”** ไปเสียก่อน ทั้งในชีวิตจริง หรือในโลกออนไลน์ที่เราเคยประสบพบเจอมา ที่ Nostr นี่มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ จินตการว่าเราได้ลงจากเรือโนอาห์ที่เกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กองเรือจัดตั้งอาณานิคมใหม่หลายลำที่พาผู้คนหลักแสนมาปล่อยไว้ ณ สถานที่เดียวกัน เกาะอันเวิ้งว้างว่างเปล่าที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เต็มไปด้วยสิ่งเร้นลับและแปลกใหม่ ที่รอให้เหล่านักสำรวจได้ออกไปทำการค้นพบ > Nostr ก็คือสถานที่แบบเดียวกันนั้น.. เราต่างคนต่างมา ณ ที่แห่งนี้ เรามีสถานะภาพเท่าเทียมกันทุกประการ ทุกคนเริ่มนับหนึ่งใหม่ที่นี่ เริ่มทำความรู้จักกัน รวมกลุ่มกัน สร้างสังคมขนาดย่อมจนผ่านเวลาไปถึงขนาดกลางและกลายเป็นใหญ่ได้ในที่สุด สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าผู้คนเหล่านี้ไม่พยายาม “**Engage**” เข้าหากัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ไม่ยอมแลกเปลี่ยนหรือทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน นี่คือกลไกการสร้างสังคมโดยธรรมชาติที่จะไม่มีใครมีคอยชี้นำ บังคับ หรือออกกฏเกณฑ์ชี้นิ้วสั่งใครให้ต้องทำอะไรทั้งนั้น.. มันคือสังคมแห่งเสรีชนโดยแท้จริง ทุกคนจะประพฤติอย่างเสรีภายใต้ทัศนวิสัยของปัจเจกชน > โฆษณาชวนเชื่อ หรือการทำเท่ห์ด้วยคอนเท้นต์โก้หรู ศิลปะในการหลอกล่ออัลกอริทึมเหมือนที่เคยทำๆ กันมา มันใช้ไม่ได้กับที่แห่งนี้ ที่นี่พวกเราให้ค่ากับ “**คุณค่า**” ที่เราจะได้รับมันมาจริงๆ และคุณค่าของแต่ละคนก็ไม่มีวันเหมือนกันเสียด้วย นี่คือความท้าทายที่พวกเราต้องเริ่มออกไปค้นหา ‘**คุณค่า**’ ที่ว่านั้น ด้วยตัวเองหรือจะทำกันเป็นหมู่คณะก็ย่อมให้ผลดีกว่าอย่างแน่นอนครับ ไม่มีใครต้องการ “**ฮีโร่**” ที่นี่ ทุกคนแค่ต้องการ “**เพื่อน**” เพื่อนที่จะคอย '**ให้**' เราก่อนและ '**ขอ**' เราทีหลัง ผมร่ายมายาวก็เพียงแค่ต้องการจะบอกว่า.. ที่เราไม่เห็นคอนเทนต์อะไรน่าสนใจเลย อาจเป็นเพราะเรายังทำความรู้จักกับ “**คนที่น่าสนใจ**” ยังไม่มากพอก็เป็นได้ แล้วมันเพราะอะไรได้อีกบ้าง?  ### เรายังกดติดตามคนอื่นน้อยเกินไป ทำให้เราไม่เจอโน๊ตหรือคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจเราได้มากพอ เราก็จะเห็นแต่โน๊ตของคนที่เราติดตามไว้อย่างน้อยนิดนั่นแหละครับ เว้นแต่เราจะไปกดดูแบบ Global ที่จะเห็นผู้คนทั้งเกาะเป็นหมื่นๆ แสนๆ ต่างคนต่างคนโน๊ตกันรัวๆ ซึ่งมันคงเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสนใจหรือคัดสรรมา ### เรามีคนติดตามเราน้อยเกินไป ทำให้เหงาและเงียบกริบทุกรอบที่เราโน๊ต มันก็แน่อยู่แล้ว ถ้าทั้งเกาะมีคนที่รู้จักเราอยู่แค่ 2-3 คน มันก็คงมีคนแค่จำนวนนี้แหละครับที่จะได้ยินสิ่งที่เราพูด ได้เห็นสิ่งที่เราทำ เราแค่ต้องออกไปทำความรู้จักหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ให้มากกว่านี้ มันไม่เหมือนกันนะครับ ระหว่างการโพสต์สิ่งที่อยากพูดออกไป เน้นเอาเท่ เอาเจ๋ง ไว้ก่อน กับการเดินไปหาคนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและสร้างมิตรภาพกับเขาอย่างจริงใจ ผมคิดว่ามันให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันบน Nostr ### เรายังไม่เจอ Hashtag หรือกลุ่มสนทนาที่ตรงกับจริต ทำให้เราไม่รู้สึกอินกับอะไรที่นี่เลย คนชอบฟุตบอลก็ชอบเสวนากับคนดูบอลฉันใด บิตคอยเนอร์ก็อยากจะคุยถูกคอกับบิตคอยเนอร์ฉันนั้น คนรักแมวก็มองหาคนรักแมว ฯลฯ ที่นี่มันพาเราย้อนกลับไปที่ยังยุคแรกๆ ของสังคมโซเชียลมีเดีย ที่คนจะเชื่อมโยงหากันโดยใช้ “**Hashtag**” ที่ต่างก็สนใจร่วมกัน มันเหมือนการชูป้ายไฟโลกให้รู้ว่า “**ฉันรักแมว**” (#Catstr) เพื่อดึงดูดคนประเภทเดียวกัน นั่นแหละครับ เราแค่ต้องหาป้ายไฟที่ว่านั่นให้เจอ ### เราไม่เห็นได้ “Earn Zap” อย่างที่หลายคนป้ายยาเราไว้เลย ก็ถ้าวันนี้เราเองยังไม่ค่อยอยาก Zap ให้ใครเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันก็จะไม่มีใครอยาก Zap ให้เราด้วยเช่นกัน ป๋ามา-ป๋ากลับ คนที่นี่เป็นกันแบบนั้น มันประหลาดดี ทำลายความเชื่อแบบเดิมๆ ของเราไปเลยทีเดียว จริงๆ แล้วมันไม่มีใครอยากได้ Sats เพิ่มบน Nostr เพราะมันไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเขาก็แค่อยากหาเรื่อง Zap ให้คนอื่นๆ พวกเขาแสวงหาโน๊ต ข้อความ หรือคอนเทนต์ แม้กระทั่งมีมที่โดนใจ ไม่มีใครมาคอยนั่งคิดคำนวนว่า "**วันนี้ฉัน Earn ไปเท่าไหร่**” (คอนเซ็ปต์แบบนี้มัน Fiat สิ้นดี) สังคมบน Nostr นั้นเน้นการให้และการมีส่วนร่วม ช่วยเหลือกัน เมื่อคุณให้มา เราจะให้กลับ มันแฟร์ๆ แมนๆ ครับ ในสังคมที่ไม่มีใครคอยมาทำหน้าที่กำกับดูแลพฤติกรรมหรือการกระทำของเรา ความสัมพันธ์จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ เป็นเรื่องของปัจเจกชนที่จะเลือกว่าพวกเขาจะให้คุณค่ากับอะไร ดังนั้น.. เราจึงแทบไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครจะชอบ หรือคิดอะไรยังไง นอกเสียจากว่า.. เราจะใช้เวลาไปกับการทำความรู้จักความคิดและจิตใจของพวกเขา ออกไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพวกเขาเพื่อให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นนั่นเอง เมื่อคุณเข้าใจผู้อื่น มันก็ไม่ยากที่คุณจะรู้ว่า “**คุณค่า**” ที่พวกเขาตามหานั้นคืออะไร?  > บก. จิงโจ้ ผู้มีปฎิสัมพันธ์และคอย Make friend กับคนไปทั่ว นั่นทำให้เขามีคนติดตาม และติดตามคนอื่นจำนวนมากทีเดียว เขาทำไปเพื่อ Sats หรือเปล่า? ผมคิดว่าไม่นะ.. Just make friend ### เราไม่รู้ว่ามันใช้งานยังไง ทำอะไรได้บ้าง เลยไม่รู้จะไปต่อยังไง ประเด็นนี้ก็ต้องย้อนกลับไปที่หัวข้อต่างๆ ด้านบน ก็ในเมื่อเรายังไม่เคยเจอคนที่จะคอยตอบคำถาม หรือสอนการใช้งานเราให้กับเราได้ หรือจริงๆ แล้วเราก็อาจแค่ถูกสอนให้ “**รอรับ**” มากกว่าที่จะ “**ค้นหา**” จนเคยตัว เราเลยไม่ชินกับการต้องออกไปไขว่คว้ามันด้วยตัวเอง? ไม่ว่าอย่างไร.. เรามาเริ่มกันใหม่ที่นี่ เชื่อไหมครับว่าหลายคนบน Nostr นั้นเป็นระดับพระกาฬแทบทั้งสิ้น แถมพวกเขายังเต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือหรือคอยตอบคำถามให้กับพวกเราด้วย เราต้องหาเค้าให้เจอและเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่จะ “**กล้า**” ถาม กล้าแสดงออก และกล้าที่จะยอมรับว่าเราไม่รู้ ก่อนที่จะเราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ในภายหลัง นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดกับคนที่เราอยากคุยด้วยมานานแล้ว คนที่เราเคยชื่นชม หรือคนที่เราเคยเห็นบนโลกเฟียตๆ แต่ไม่เคยหาเหลี่ยมได้สักทีว่าจะเข้าหาหรือเข้าถึงพวกเขาได้ยังไง  # แค่เริ่มทำความรู้จัก โลกก็เปลี่ยน เอาล่ะ.. ผมจะลองแนะนำวิธีว่าเราจะเพิ่มผู้ติดตามหรือเลือกเฟ้นยังไงในการติดตามผู้อื่น ผมมีแนวทางของผมเอง คงไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่ถ้าเพื่อนๆ จะลองนำไปประยุกต์ก็ไม่ว่ากันครับ ### ตามคนดัง วิธีที่ง่าย และตรงไปตรงมาที่สุด ซึ่งมันก็ถูกแล้ว เพราะคนเหล่านี้การที่เค้าจะดังได้ต่างก็มี proof-of-work และความน่าสนใจในแบบของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แอคเคาต์แรกๆ ที่พวกเราคงนึกถึงก็คงเป็น อ.ตั๊ม พิริยะ และ Right Shift ทั้งแอคเคาต์ทางการ และทีมงานทั้งทีม ก็แหง๋ล่ะ เพราะพวกเขาป้ายยาพาคุณมาอยู่บน Nostr แต่อย่าตามแค่พวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นนะครับ คุณควรจะ... ### ตามคนอื่นๆ เลียนแบบคนดัง เราสามารถกดดูได้ว่าใครกดติดตามใครเอาไว้บ้าง คนดังก็มักจะตามกลุ่มคนที่น่าสนใจแหละส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือเขาก็คงตามคนที่ถูกจริตกับตัวเอง นอกจากนี่คนที่กดติดตามพวกเขาก็จะเป็นคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กับเขา มันก็เป็นไปตามกฎแห่งแรงดึงดูดทางด้านความสัมพันธ์ เราค่อยๆ กดไปดูโปรไฟล์ของแต่ละคนได้ว่าเขามีความน่าสนใจยังไง ชอบโน๊ตหรือการสื่อสารแบบไหน เขามีวิธีคิดหรือนิสัยใจคอ มีเคมีแบบเดียวกันกับเราหรือเปล่า? ถ้าใช่.. คุณก็แค่กดปุ่ม Follow แล้วกระโจนเข้าไปตอบโต้กับเขาได้เลย ไม่ว่าจะในโน๊ตใหม่ หรือ โน๊ตเก่าๆ คอมเม้นให้มันได้เพื่อนนะครับ อย่าไปเม้นให้ได้ศัตรู  > เราจะเห็นแอคฯ น่าสนใจให้เพียบ แค่ลองกดไปดูว่าคนดังๆ เขามีวงสังคมบน Nostr เป็นใครกันบ้าง แล้วตอบตัวเองว่าเราอยากพาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นบ้างไหม? ### ตาม Hashtag ตามหา “**ป้ายไฟ**” สีที่เราชอบ หรือก็คือกด ‘**#**’ นำในช่องค้นหา ตามด้วยคำที่เราสนใจ แล้วลองไล่หาดูได้เลย คุณอาจเจอเข้ากับกระทู้ที่ตรงกับสิ่งที่ตามหา เรื่องที่อยากอ่าน หรือมุมมองที่อยากเห็น รวมไปถึงคนที่.. เอ้อ มันเจ๋งดีว่ะ อะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ เลยล่ะ เมื่อเราชอบแฮ็ชแท็กไหน เรายังสามารถกดติดตามตัวแฮชแท็กนั้นได้อีกด้วย และอย่าลืมกดติดตาม หรือติดแฮ็ชแท็ก **#ThaiNostrich** กับ **#Siamstr** เอาไว้ด้วยนะครับ มันคือป้ายไฟสามัญประจำบ้านของคนไทยบน Nostr คุณสามารถตามหาเพื่อนคนไทยได้ง่ายๆ ด้วยแฮชแท็ก 2 ตัวนี้นี่แหละ  > [Swarmstr](https://swarmstr.com/) เป็นตัวอย่างไคลเอนต์ที่จะรวบรวมข้อมูลบน Nostr ที่เราสามารถค้นหา หรือศึกษา Nostr ได้จากหัวข้อต่างๆ ตามแฮชแท็คที่แสดงเป็นตัวอย่างได้ (หรือค้นหาด้วยตัวเอง) ### ตามประเด็นที่สนใจไปจนเจอตัวพ่อ มันต้องมีบางโอกาสที่เราไปเจอเข้ากับกระทู้น่าสนใจ มีการสนทนากันอย่างเผ็ดร้อนหรือรื่นเริงจนคุณก็อดเข้าไปแจมด้วยไม่ได้ ที่แบบนี้แหละที่คุณจะเจอกับคนเก่งๆ ในด้านนั้นๆ หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือกระทั่งเป็นผู้ก่อตั้ง หรือนักพัฒนาไคลเอนต์เลยทีเดียว และคนเหล่านี้เขาก็มาที่เกาะแห่งนี้ด้วยจุดประสงค์คล้ายๆ เรา คือ "**หนีความวุ่นวายและโสมมบนโลกเก่าเพื่อแสวงหาเสรีภาพและมิตรภาพ ณ สังคมใหม่**" ดังนั้น เขาเต็มใจที่จะได้ทำความรู้จักกับเราอย่างแน่นอนครับ แต่คนนิสัยไม่ดี หรือมีพฤติกรรมไม่เป็นมิตรเราก็จะดูออกได้ในทันที และมันก็เป็นสิทธิ์ของเราล้านเปอร์เซ็นต์ที่จะเลือกว่า จะสนใจติดตามคนๆ นี้ หรือแค่ปล่อยผ่าน หรือไม่ก็ **บล็อกแม่ง** ให้มันจบๆ ไป  > [Nostrends](https://nostrends.vercel.app/) เป็นตัวอย่างไคลเอ็นต์ที่คอยรวบรวมและแสดงโน๊ต หรือหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมบน Nostr ตามช่วงเวลาหรือตัวกรองที่เราเลือก ### พยายามอย่าทำพฤติกรรมแบบเดิมๆ บน Nostr ผมเชื่อว่ามีพวกเราส่วนใหญ่ (ชาวไทย) จะคุ้นเคยกับการใช้งานและวัฒนธรรมบน **Facebook** แต่ชาวต่างชาติหรือผู้ใช้งานส่วนใหญ่ที่นี่จะเคยชินกับวัฒนธรรมแบบ **Twitter** กันมากกว่านะครับ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การคอมเมนต์ หรือการกดตอบโต้ด้วยอีโมจิ (**Discord cult**) ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมในแบบที่เราอาจยังไม่คุ้นเคยกันมากนักและคงต้องใช้เวลาเรียนรู้กันพอสมควร ขอให้พวกเราทิ้งวิธีคิดแบบเดิมๆ ในการใช้งานโซเชียลมีเดียไปได้เลยครับ เราควรอยู่บน Nostr โดยใช้แนวคิดแบบเดียวกับการอยู่ในสังคมจริงๆ ทักทาย ตอบโต้ เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือ แลกเปลี่ยน คอนทริบิ้วท์และมีส่วนร่วมให้มากกว่าที่เคย ฯลฯ เราจึงจะมีตัวตนและรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในสังคมแห่งนี้ได้จริงๆ (ไม่งั้นเราก็เป็นได้เพียง "**ผู้สังเกตการณ์เหงาๆ**" เท่านั้นเอง) ที่นี่.. ไม่ให้คุณค่ากับ **การอวดรู้** หรือ **โชว์พาว** ทุกคนดูออกได้ง่ายๆ ว่าเจตนาของแต่ละคนคืออะไร คนเหล่านี้ล้วนเคยขยะแขยง **Fiat Social Media Cult** มาแทบทั้งนั้น ถ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้บน Nostr ก็จะ **ยี้** ได้ทันที และทุกคนก็พร้อม และ มีสิทธิ์ที่จะบล็อกเราได้ตลอดเวลา เราจะกดติดตามคนนั้น-คนนี้ให้มากมายไปทำไมกัน ถ้าเราจะแค่ไถๆๆ ฟีดวืดๆๆ ไปวันๆ เราจะไม่ได้เพื่อนเลยสักคนกับการทำแบบนั้น และอาจพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง เราไม่ควรทำแค่อ่านผ่านๆ เหมือนกับตอนที่เราเบื่อโลกเมื่อต้องใช้ Facebook และเห็นแต่อะไรที่ไม่ต้องการเห็น ที่นี่.. เราจะเลิกติดตามไปเลยก็ได้ถ้าแอคฯ นั้นเอาแต่โพสต์อะไรที่ดูไม่เข้าตา หรือไม่สามารถดึงดูดเราได้ (ถ้าเกรงใจก็กด Mute ไว้ก่อนก็ได้) การอ่านอย่างตั้งใจในสิ่งที่เค้าโพสต์มา และตอบโต้ตามสมควร ก็เปรียบเสมือน **การรับฟังผู้พูดอย่างตั้งอกตั้งใจ** นั่นเอง นั่นคือหนทางเดียวที่เราจะเรียนรู้ได้ว่าเราควรตอบโต้อย่างไร เพราะเราเข้าใจ **สาส์น** ที่เขาได้สื่อออกมาอย่างถ่องแท้นั่นเองครับ ถ้าไม่ว่าง คุณก็ปัดทิ้งได้ แล้วค่อยตามไปอ่านทีหลัง มันไม่มีการลบหรือปิดกั้นเรา ไม่มีโฆษณามาให้รกหูรกตา ถ้าเจอพวก **แสกม/แสปม** ก็บล็อกมันซะ อย่าให้พวกน่ารังเกียจได้มีที่ยืนบนสังคมที่คุณอยากให้เป็น และขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่า **การพูดคุยและมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน** เท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ได้มีความสัมพันธ์ต่อกัน ผมขอทิ้งท้ายด้วยเคล็ดลับตกผลึกสั้นๆ ว่า.. - ติดตามผู้อื่น - Zap ให้คนอื่นๆ - เริ่มสร้าง Note ของตัวเอง (โพสต์) สักครั้ง หรือบ่อยครั้ง - คุยกับคนอื่นให้มากกว่าที่เคย (มากกว่าแค่อ่านๆ ไปเรื่อยเหมือนตอนใช้ Facebook) - ได้ Zap กลับมาจากคนอื่น - สำรวจแฮชแท็กต่างๆ ลองใช้งานมันไปเรื่อยๆ > ### เหนือสิ่งอื่นใด จงใช้ชีวิตบน Nostr และแค่สนุกไปกับมันให้ได้ก็พอ.. :) ## ปล. |-- - มนุษย์มีวุ้นแปลภาษาจริงๆ แล้วนะครับ ก็ **[Google translate](https://translate.google.com)** นั่นยังไง อย่าให้ภาษากลายเป็นกำแพงแห่งการเรียนรู้.. จงใช้มัน ไม่ต้องขวยเขิลกันหรอกครับ (เพราะผมเองก็ใช้) - บทความต่อไปผมจะมาลองแนะนำว่า มีแอคเคานต์ไหนบ้างที่น่าสนใจกดติดตามสัก 10-20 บัญชี เอาคนไทยเราก่อนเลย ไว้คอยติดตามกันนะครับ

@ d830ee7b:4e61cd62

*"**Bitcoin** isn't real money until you can buy coffee at the street corner with it."* I've heard this frustrating argument many times. I don’t have exact numbers to confirm the current global adoption rate, but I believe over 90% of the world still doesn't know about it. That's why many still mockingly view Bitcoin as play money, stemming from their own misunderstandings. Indeed, most general businesses don't accept it as a '**Unit of Account'** yet. No governments globally have allowed Bitcoin to be a '**Medium of Exchange.**' And why would they? Who would willingly relinquish financial control and power? For over a decade, Bitcoin has proven itself as a **'Store of Value'.** No other form of currency can preserve and enhance wealth like it. The HODLers have witnessed Bitcoin's value appreciation over time, surpassing fiat's fickle nature. This phenomenon makes most Bitcoin enthusiasts reluctant to spend their stash. It's understandable and beyond criticism. After all, it's a natural right of an individual. We can't force someone to frivolously spend their saved Bitcoin, can we? Then came **Joseph Poon** and **Thaddeus Dryja**, who jointly developed the **Lightning Network** in 2015. Bitcoin's world was never the same.  In 2018, the Lightning Network was introduced to the public. Starting with about 4 BTC and 1,000 nodes in March 2018, **it has grown to 4,797.48 BTC (+119,837%) and 15,448 nodes (+1,444.8%).** No other payment system has witnessed such astounding growth. Bitcoin enthusiasts, then, face a personal dilemma *(especially from my experiences in **Thailand**)*. They must choose between hoarding fervently or using a fraction of their Bitcoins. Whichever path they choose, both essentially promote Bitcoin adoption. Both are pushing Bitcoin to become genuine money and gain global acceptance. A new case study emerges for Bitcoin adoption following the advent of the Lightning Network. Instead of beginning with a laborious and time-consuming study of Bitcoin, this new generation can immediately adopt it through learning and experimenting with Bitcoin Lightning. Once they experience its convenience and instantly recognize its benefits, they willingly dive deeper, venturing down their own rabbit holes. I have an example to illustrate this. The excitement of numerous people who tried the Lightning Payment at the **Bitcoin Thailand Conference 2023** *(#BTC2023)*.  https://youtu.be/-wVuD9QUe5U?si=2e7mfhhkVsbJrPU0 We at **Right Shift** saw this phenomenon coming from the outset, and have played a pioneering role in pushing Lightning Network Adoption in Thailand consistently throughout 2022-2023. The impact has been overwhelmingly positive. I can confidently state that its momentum is truly powerful. The only thing that could possibly hinder its growth is governments that don't wish to see it succeed. I believe they will either find a way to regulate it or, more likely, resist it vehemently with their lackluster CBDCs. Ironically, they're only driving more interest towards Bitcoin. Today, I'd like to extend my gratitude to **fiatjaf**, the developer behind this human protocol, and **Jack Dorsey**, the force behind Nostr which you are using right now. Although it lacks any algorithm, I'm naturally addicted to it. I feel like a kid who has just received a Playstation5 after waiting for 3 years. **Nostr** is the next evolutionary step for humanity, working hand in hand with the stories I've mentioned above to further Bitcoin adoption. In a world currently heading towards severe inflation and mainstream social media acting like power-hungry tyrants, these elements will serve as perfect catalysts to accelerate the inevitable adoption.  I have endured the mainstream media and those overwhelming apps for so long. As soon as I encountered Nostr and its constant developments, I instantly foresaw the victory of the side I chose, which will surely happen in the near future. My team, Right Shift, and I spent less than an hour discussing the campaign to promote Nostr in Thailand. Believe it or not, after that, hundreds of Thais started exploring Nostr, some of whom had never heard of the Lightning Network before! They grew tired of the overbearing rules of mainstream social media platforms and quickly embraced Nostr *(as evidenced by **#ThaiNostrich, #Siamstr**, and specific events like **#ThailandZapathon**, as well as what’s happening on **Zap.stream**).* Nostr, which has captured their hearts, introduced them to Lightning and Bitcoin. This realization hit me immediately. I believe it's a brilliant idea to show people the deterioration of this world, starting with the online community and then expanding to the real society under the control of governments that shouldn't exist and play their current roles. Eventually, they will see that Bitcoin and Nostr are solutions to these distortions. For this reason, Nostr is paving the way for more Bitcoin adoption options through use cases that resonate more with contemporary society. Bitcoin is no longer a challenging or rocky subject to study. Nostr is one of the easiest and most fun ways to adopt Bitcoin right now. I'm confident that when hosting the **Bitcoin Thailand Conference 2024** *(#BTC2024)* next year, Nostr will surely be a major highlight. If you are a developer, expert, or enthusiast on Nostr, let me know if you'd like to be in **Bangkok** next year.

@ c8df6ae8:22293a06

>"Don't sell your Bitcoin to Blackrock." > > — Robin Seyr *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue is a reminder not to panic.* --- The price of Bitcoin has been down lately. It has spent the whole summer hovering around $29,000 USD and in mid August it suddenly dropped to $26,000, where it has stayed since. **If you're panicking and selling Bitcoin because of this 10% drop, then shame on you.** For reference, here is the price action for the whole year:  Does this look panicky to you? ## Institutions are coming for your Bitcoin That's right. All those ETFs that the SEC is about to approve, because the SEC can't say no to Blackrock, will need to buy Bitcoin for their clients and they want to take it off your hands. Institutions need to buy from exchanges and the amount of Bitcoin available on exchanges just reached a 5-years low according to Bitcoin Magazine...  ...so where is it going to come from?  ## The halving is coming We're 83% percent into the current halving cycle. Sometime around April 2024, the Bitcoin network will halve the block reward for miners from 6.25 BTC per block to 3.125 BTC per block. What can you expect based on past halvings? The supply reduction causes a price increase, which creates more demand and higher prices. This positive feedback loop is triggered by the halving but takes some time to get started if there is enough people willing to sell to mitigate the reduction in new coins but eventually this positive feedback loop takes over and triggers a bull market. After some time, the demand slows down, you see a pullback and the bear market starts. My take is that the time it takes for the slow down to begin depends on the maturity of Bitcoin and its understanding by the buyers. So far bear markets have always bottomed higher than the previous, thus creating a volatile yet upward trend. But who knows, we might see something different in 2024. The chart below shows the Bitcoin price in USD and the halving events as red lines.  ## Keep those hands steady and hodl > Hodl. Stay cash flow positive so that you don't need to sell your sats. Bitcoin is the most scarce asset in the world and soon it will become even more scarce. **What do you think will happen?** --- # Notable notes nostr:note1lqxjqqafnyj4297kjpwghswfdzh00jt6g59qg047t2zyeqzef07smezahv --- nostr:note1lfgk50nd9njtu6affwmrp29h60h8869p66rzr5u8x3jqlq3du0sqqytvv5 --- # Recommendations ## Dylan LeClair Dylan is a Senior Analyst at UTXO Management, a digital asset fund and he is as talented with his analysis as he is explaining it in simple ways. You can follow him [here](nostr:npub1pyp9fqq60689ppds9ec3vghsm7s6s4grfya0y342g2hs3a0y6t0segc0qq). ## Bitcoin Breakdown Bitcoin Breakdown gives you the TLDR summaries of the biggest events in Bitcoin. It's a very effective way to stay up to date with the industry. Check it out [here](https://magic.beehiiv.com/v1/cf402cd8-b88e-4e7e-87f6-47474ac9807d?email={{email}}&recommendation_id=06f7cb37-d4ea-4464-be11-a485dbbd196a). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. It's where I buy my Bitcoin. They are on a mission to onboard 10 million bitcoiners and get them to self-custody. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 6efb74e6:41285536

Broth, stock, fond, or caldo. No matter what it is called in cooking it is all the same thing: animal bones cooked in water with some vegetables and herbs/aromatics added for additional flavour. The French, the ones that standardized the modern kitchen in the 1800s, used terms to describe two of these components and you will see these terms used in many recipes. 'Mirepoix' refers to the mix of vegetables used and 'bouquet garni' is the bundle of herbs/aromatics used. Stocks, however, have been made in all cultures for centuries. The ability to make a good stock is essential in any professional kitchen as it is the base of many things. I encourage any home cook to learn the basics as they are ridiculously simple to make. DON'T buy that fake shit they sell you at the grocery store, put in the #proofofwork. Stocks will come in two styles, roasted or not roasted. By roasting your bones and mirepoix prior you naturally get more colour to the stock, the longer you roast, the more colour and deeper flavour you get. Each component in stocks can be changed. I have made stock from the following bones: beef, chicken, lamb, duck, turkey, fish, pork, and veal. I don't mess with the mirepoix much, keeping it fairly classic but I do remove the carrot and add fresh fennel bulb when making fish stock (to keep the colour clear). The bouquet garni can be changed freely and whole spices added. Toast the spices first. Mix it up depending on the bones you use and what cuisine you are cooking. The following recipe is for a classic roasted beef stock. If you roast the bones there will be some fat that accumulates, save this. I make all my stocks with a slow cooker and increase the cook time to 36 hours for beef, lamb and veal. 24 hours for poultry and 12 hours for fish. You can make a stock with just vegetables but I don't know why you would! 🤣 #enjoy and as always DM if you have any questions. INGREDIENTS 1.5 kg Beef marrow bones 1.5 kg Beef chuck bones 1 ea Carrots, unpeeled and diced 1 ea Brown onion, unpeeled cut in ½ horizontally 1 ea Celery stalks, washed and large diced with leaves removed 1/2 ea Leeks washed and large diced with the dark green tops removed 1 ea Garlic bulb, unpeeled and cut in half horizontally 1 ea Bay leaves, fresh if possible 1/4 teaspoon Black peppercorns whole 4 ea Thyme sprigs, fresh 3 ea Parsley stalks, fresh 2 ea Rosemary stalks, fresh 5 L Water #proofofwork: 20 minutes prep for unroasted, 1 hour for the roasted. 8 hours cook time. YEILD: 5 litres METHOD: 1. Preheat the oven to 200c 2. Place the bones and vegetables on separate roasting trays and roast the bones in the oven for about 45-50 minutes or until they are a deep brown roasted colour. Roast the veg for about 20-30 minutes. 3. Remove bones from the roasting trays and place them into a large stock pot, avoid adding any fat from the trays. Don't discard the fat, keep it! 4. Heat the trays on a stovetop and deglaze them with water (or red wine) and using a wooden spoon scrape off any residual deposits. Pour this over your bones in the pot and cover with the water. 5. Place the stock on high heat and bring it to a boil. Once your stock is boiling turn it down to a simmer and skim any of the scum and oil that will rise to the top. Again, KEEP the oil. Leave on a low heat overnight. 6. Next day skim any fat and scum that is on the surface of the stock and add your roasted vegetables, herbs, garlic & pepper. 7. You should simmer your stock, not rapidly boil it, for a further 2 hours. Make sure you skim the scum and fat off your stock every 30 minutes at least. I'll say it again, KEEP THE FAT. 8. When finished strain the stock removing the bones, mirepoix and bouquet garni. Keep the liquid. 9. Allow the stock to cool and then store, label and date. Stock freezes very well and I break it down into 500ml containers. #enjoy #chefstr #foodstr #yumstr #grownostr #bitcoin

@ ecda4328:1278f072

# Introduction: Crypto.com Exchange for European Traders Reside in Europe, including non-EUR countries? Frustrated with the exorbitant spreads on the Crypto.com App (up to **5%**) and high credit card fees (up to **3%**) when you're eager to buy or sell cryptocurrency? This guide is tailored for you! # Quick Transfer with SEPA Instant Did you know that you can transfer EUR to your Crypto.com Exchange account within minutes, and sometimes even seconds, **including weekends and bank holidays**? Yes, you absolutely can, thanks to SEPA Instant Credit Transfer (**SCT Inst**). ## Supported Banks To avail of fast EUR to Crypto.com Exchange transfers, ensure that your bank supports the SEPA Instant Credit Transfer (SCT Inst) scheme. If your bank, or FinTech apps like Wise, is on [this list](https://www.europeanpaymentscouncil.eu/sites/default/files/participants_export/sct_inst/sct_inst.pdf), you're good to go. > **My Recommendation**: I vouch for Wise due to its flawless functionality and favorable exchange rates. If your bank doesn't support **SCT Inst** and you're unwilling to wait, you can swiftly load your account with any currency using a bank card for a rather small fee (~1.2%). > My Wise Referral Code: [andreya54](https://wise.com/invite/dic/andreya54) ## 24/7 Transfer Availability SCT Inst is incredibly flexible: - 24/7/365 availability, including weekends and bank holidays - Immediate receipt and availability of funds - €100,000 transaction limit (unless previously agreed otherwise between PSPs) For more details, you can read [this document by the European Central Bank](https://www.ecb.europa.eu/paym/integration/retail/instant_payments/shared/pdf/ECB_Document_MIP_Brochure_FinalVersion.pdf). # TL;DR To Buy crypto: - `EUR => BTC/EUR => ANY/BTC => ANY` - Use Limit order at the Lowest offer (aka "ask") (red order book) To Sell crypto: - `ANY => ANY/BTC => BTC/EUR => EUR` - Use Limit order at the Highest bid (green order book) # How to Buy Cryptocurrency with EUR Here's how to save up to **8%** on spreads and fees when buying/selling crypto compared to the Crypto.com App. 1. **Log in to Crypto.com Exchange**: Go to the Dashboard or Wallet in the top right, and navigate to Bank Transfer on the left sidebar.  &nbsp;  2. **Deposit via SEPA**: Choose `EUR -> SEPA -> Deposit` and use the displayed IBAN for transferring EUR to your Crypto.com Exchange account.  # Trading Interface Tips Intimidated by the professional trading interface? Don't be. Here's how to read the order book: - **Offers (Red)**: These are the prices at which people are willing to sell the asset. The lowest offer is often called the "Ask." - **Bids (Green)**: These are the prices at which people are willing to buy the asset. The highest bid is often called the "Bid." > Trading occurs when a buyer's bid meets a seller's offer. In market terms, this is often at the point where the highest bid and the lowest offer intersect. This intersection is frequently referred to as the "market price" for that particular asset at that specific time.  ## On trading pairs Crypto.com Exchange offers only two **EUR** trading pairs: **BTC/EUR** and **ETH/EUR**. This is logical given that these assets have the highest liquidity in terms of market capitalization. While we hope for the addition of more pairs, the existing options still serve as useful proxies for purchasing other cryptocurrencies. > "highest liquidity" means that an asset like a cryptocurrency or stock can be easily bought or sold without causing a significant impact on its price. For a trader, this is good because it means they can quickly enter or exit positions without worrying about huge price changes. ## Steps to Buy BTC with EUR 1. Navigate to the `BTC/EUR` Spot trading pair. 2. Choose "**Buy**" on the right-hand menu. 3. Stay on the "**Limit**" tab. 4. Specify your **order value** (how much EUR you want to spend to buy BTC) 5. Select the lowest offered (aka "**ask**") price (bottom of the red order book). 6. Click "**Buy BTC**" to confirm.  # Diversifying: How to Buy ATOM Token? First, buy BTC as previously explained. Then: 1. Navigate to the `ATOM/BTC` Spot trading pair. 2. Choose "**Buy**" on the right-hand menu. 3. Stay on the "**Limit**" tab. 4. Specify your order value (how much **BTC** you want to spend to buy **ATOM**) 5. Select the lowest offered (aka "**ask**") price (bottom of the red order book). 6. Click "**Buy ATOM**" to confirm.  # Selling Your Assets The process is the same but in reverse. Sell at the highest bid (top of the green order book). ## Selling ATOM for BTC 1. Navigate to the `ATOM/BTC` Spot trading pair. 2. Choose "**Sell**" on the right-hand menu. 3. Stay on the "**Limit**" tab. 4. Specify your quantity value (how much **ATOM** you want to sell to buy **BTC**) 5. Select the highest **bid** (top of the green order book). 6. Click "**Sell ATOM**" to confirm.  ## Selling BTC for EUR 1. Navigate to the `BTC/EUR` Spot trading pair. 2. Choose "**Sell**" on the right-hand menu. 3. Stay on the "**Limit**" tab. 4. Specify your quantity value (how much **BTC** you want to sell to buy **EUR**) 5. Select the highest **bid** (top of the green order book). 6. Click "**Sell BTC**" to confirm.  > You can then withdraw EUR back to your bank directly from the Crypto.Com Exchange. ## Additionally After you click "**Buy**" or "**Sell**," you will see your order in the "**Open Orders**" tab in the bottom menu. Once your order is **100%** filled, it will disappear, and you will be able to see it in the "**Trade History**" tab. Sometimes you might miss the opportunity as the price moves, and someone else's order could get filled faster than yours. Don't worry; you can either wait a little longer in hopes that someone will make an offer at this price or simply cancel your order and submit it again at the next lowest price if you are in a hurry. ## Maker/Taker Fees Explained When you open Buy/Sell orders on the Crypto.com exchange, you may incur small Maker/Taker fees of less than `0.0728%`, or even no fees at all, depending on the amount of CRO you have staked on the platform. - **Maker Fee**: When you place an order that adds liquidity to the market, you are a "**Maker**". This usually happens when you set a "limit" order that does not execute immediately and sits on the order book waiting for someone to match against it. Since you are "**making**" liquidity available for others, you pay a Maker fee. - **Taker Fee**: When you place an order that removes liquidity from the market, you are a "**Taker**". This generally occurs when you place a "market" order that executes immediately against a pre-existing order on the order book. Because you are "**taking**" liquidity away, you pay a Taker fee. > Typically, Taker fees are higher than Maker fees as an incentive for traders to add liquidity to the market. [Read more](https://crypto.com/exchange/document/fees-limits) on Maker/Taker fees on the Crypto.Com Exchange platform. # Conclusion Thanks for reading this guide! It's lengthy, but every detail is crucial for optimal trading on Crypto.com Exchange. ## Referral Code If you haven't opened a Crypto.com Exchange account yet, use my referral code: `pv0r199m6j` Referral Link: [Sign Up Here](https://crypto.com/exch/pv0r199m6j)

@ 01ddee28:da16d38c

Do not fight back, do not complain, do not protest: “The Art of War” by Sun Tzu suggests as much. You do not confront a stronger opponent. By engaging them, you play their game. Opt out instead.

@ c230edd3:8ad4a712

Its tough to figure out where to start when you’re someone who’s naturally full of doubt… but the white rabbit said ‘follow me’… I have written down pages of incohesive thoughts, ideas, and observations about many aspects nostr over the last several months, and this is my first attempt to organize some of that into something resembling order… Pretty sure I picked a dead horse topic… maybe because its safe… but if this doesn’t send me into hiding then maybe its groundwork for more if it’s not poorly received. Here goes: I generated my keys at the end of January, haphazardly experimenting with something that had come on my radar (thank you) like so many things before, pushed by curiosity and a feeling that it was right. I had no idea I was stumbling into a whirlwind of clever minds and amazing talent scrambling to build the tools to change the course of online communication as we know it. That sounds overdramatic but anyone who has spent a bit of time here or worked on things understands that it is not. I showed up wildly unprepared and definitely out of my element. I live my life in movement, I rarely sit still for longer than 10 minutes, and I’m quiet. My technical know-how stretches only as far as I need it to for the situations that life brings my way. I’ll admit, I am pretty clever, but this was going to require much more knowledge than I had in my toolbox. Clients? Relays? Keys? NIPs? Microapps? Each worthy of its own assessment at some point and all critical to understanding nostr. After figuring out that this is more than a “social network”, things clicked. I started noticing what was actually happening in this space. It was and remains incredible. I figured out how to experiment with some of the many awesome new tools. Devs wanted ideas, input, and suggestions… I have no shortage of ideas, so I started engaging a bit… more than I ever have anywhere aside from maybe FB where life keeps me beholden. Much to my surprise, my suggestions were met with welcoming arms. I was sold. Months have passed since my nostr epiphany moment but I still find myself floored on a nearly daily basis by the kindness, passion, unexpected interaction, incredible advancements, and the elusive mystery of the missing note. I’m still trying new stuff and marveling at how far all of this has come in such a short amount of time. I’ve never been one of the cool kids, so the weirdness of nostr is a perfect fit. A lot of what draws me back every day isn’t what the average person may be looking for in their social media experience, but I think it might be what they need to lead a more fulfilling life, they just don’t realize it yet. It is true, the masses want simple UX with pretty colors and lots of features that they don’t understand but are able to use. They want, as it’s been so nicely put recently, handholding, not just through onboarding but through every action they take, whether it be posting a note, finding people, seeing content, NOT seeing content, or simply keeping track of their stuff. But do they really? I question whether people really ‘want’ those things or if they have just been conditioned to expect them. I watch the people around me scroll mindlessly through short form vertical content set to the same tired audio tracks in hopes of finding one that brings them some joy. When they do, they share it with those around them. I watch them shuffle through hot topics in hopes of finding a cause to defend or one to demolish so they may feel that they are part of something. Everyone is just searching for a meaningful connection. Recently, I have gotten to watch what happens when I “real-world” some of my nostr moments, like making chimichurri, rattling on needlessly about tea bottles, or walking away from a conversation to get a picture of a train car that says “SNORT” on the side. It simultaneously bothers and inspires me to see the squinty-eyed reaction from those around me when I tell them about these things. These examples are barely the surface of the personal meaning I have found by engaging on nostr and there is very little I could ever do to get anyone to understand that. I’ve been brought to tears, I’ve dropped my phone in surprise, and I’ve spent hours thinking about how to solve problems that someone like me has no place trying to solve. It’s been profound and personal. It makes me want to be better and do better. It’s very difficult to convince anyone that social media can be something so different than what they are accustomed to. It sounds like snake oil. I know a lot of this has to do with the type of person I am, and a lot of this has to do with timing, community size, and the shared broader mindset of that community. Eventually, meaningful interaction for the individual will likely wain as the tools are built that provide ease of use, when content exists in a searchable format, and as larger numbers of people find reason to leave their current chosen environments adding to the overall volume of the space. In it though, there is a seedling worth fostering for as long as possible. Genuine connection is an evasive little thing in modern society and people are longing to be seen, heard, and to feel like they are part of something larger than themselves. I see it every day in their eyes and hear it in their stories. That delicate flower has laid some roots here and it would be a sad day to see that wither away. I don’t think I would have assigned such meaning to my interactions without the effort required to engage in them. Right now, it takes some effort to find new people on nostr that entertain, educate, or inspire you but finding a specific person has become fairly easy. Basic content discovery is not nearly as difficult as it was a few months ago, with clients & apps supporting communities, hashtag movements, and trending models but it still requires some level of time investment to make use of those things. I think it’s in a great spot, at least for now. Keeping some level of personal responsibility in the forefront of discovery may have a greater benefit on the ecosystem than building towards a replication of the hollowness that so many people don’t even realize they want to escape. I’m not suggesting that it should remain difficult to find things that match an individual’s interests. Every idea should be considered and tried. I just hope that the social side of nostr lands in the sweet spot between conscientious effort & ease of use so that people can find some meaning in their communications again. This precarious balance between too much and not enough personal responsibility for the average user might be a lofty dream but I do believe it is one worth pursuing along side the freedom & censorship resistance that nostr builders aspire to achieve. Much of the freedom that has been lost is due to the willingness to sacrifice personal responsibility in exchange for safety and convenience. Along with it has gone the meaning that comes from effort and achievement that can only practicing accountability for one’s self can provide. I have so many more thoughts on personal responsibility for another time... maybe.

@ 8fb140b4:f948000c

As the title states, scratch behind my ear and you get it. 🐶🐾🫡

@ c8df6ae8:22293a06

> "It is truly heartbreaking to see people in pain, not understanding why everything keeps getting more expensive… not understanding why, no matter how hard they work, they can never seem to get ahead… not understanding why $100 can fill their fridge one year, and barely buy a couple days worth of food the next…" > > — Walker *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue is a wake up call for all who are struggling to make ends meet and don't know why.* Do you know anyone who doesn't understand why he/she can't move forward no matter what? Do them a favor and forward them this article. --- The last two weeks have featured many posts on Nostr with videos of people who are desperate; they work hard and yet can barely make ends meet between rent, bills and groceries. Like Walker said, their desperation is heartbreaking and what's even more heartbreaking for me is the fact that they don't understand why. > The fiat experiment that we're living in has turned out to be the biggest transfer of wealth from the low and middle class to the upper class and this same upper class has very cleverly managed to hide it from everyone, blaming this human disaster on anything and everything else except the real culprit. **How do they get away with it? Why is it that most people do not know who is causing their financial misfortune and how?** ## It's the inflation, stupid Inflation is the reason why everything is so expensive. One of my first articles on the Bitcoin for Families newsletter explains how inflation works, why housing is so expensive and why consumer prices only have skyrocketed now. Check it out to understand why, no matter how hard you try, you can't save for a house, can't afford the rent and things getting more and more expensive. It's the politicians that keep printing money out of thin air to pay for things that we can't afford. [](https://newsletter.bitcoinforfamilies.com/p/use-bitcoin-inflation) ## It all started with Nixon lying > "Your dollar will be worth just as much tomorrow as it is today." > — Richard Nixon, 1971 On August 15, 1971 Nixon announced to the American people that he was *temporarily* suspending the dollar convertibility to gold, effectively starting the experiment of a fiat economy. During his speech, he promised Americans that *your dollar will be worth just as much tomorrow as it is today*. <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/6DWLzJHRBmI" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> Since then, and according to the official figures of the Federal Reserve, the US dollar has lost 87% of its value. One dollar on August 1971 is now worth 13 cents.  **Have salaries gone up 87% since? Nooooooooo! But the rich people have gotten richer thanks to the constant printing of money out of thin air.** Nixon sacrificed the future savings of Americans to continue paying for the Vietnam War. And all presidents since have kept robbing you. ALL OF THEM. ## The media hides the truth Imagine if, that night, Nixon had announced that we're going to start a new national economy rooted on trusting that the politicians will do the right thing at all times when it comes to how much new money to insert into the economy. Everyone would had immediately said *thanks but no, thanks*. The media is not dumb. It was not dumb then and it is not dumb now. They could have easily called Nixon out. But they didn't. And they continue to hide the truth from the people. Why? Because the media is owned by the very same people who benefit from the wealth transfer that the fiat economy represents. Below is a chart from the fantastic website https://wtfhappenedin1971.com/ that shows the extent of the wealth transfer.  Politicians love hating the 1 percenters and constantly talk about how they will end the income inequality, but they NEVER tell you why it is happening. Why is that? They don't want you to know. That's why inflation is not taught at school. That's why the concept of money, and how it works, is not taught at school. And that is why the media tries very hard to blame inflation on anything else but the real culprits: https://www.theguardian.com/commentisfree/2021/nov/11/us-inflation-market-power-america-antitrust-robert-reich https://www.cnn.com/2022/02/24/business/inflation-russia-ukraine-explainer/index.html This article on CNN takes the crown: inflation is actually good for you 👏👏👏 https://www.cnn.com/2021/12/01/economy/inflation-good-bad-winners-losers/index.html ## Educate yourself about inflation This speech by Nobel Laureate Milton Friedman explains inflation in a very accessible way. He even predicts the headlines that I pointed out above. <iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/B_nGEj8wIP0" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" allowfullscreen></iframe> ## Learn Bitcoin Now you know what is pushing you down. It's the politicians that keep printing money out of thin air to pay for things that we can't afford. What can you do? How do you protect your savings? The answer is Bitcoin. You can start learning about Bitcoin. Go to my archive of newsletters: https://newsletter.bitcoinforfamilies.com. And here are some interesting books to check out: | | | | | --- | --- | --- | | <iframe type="text/html" sandbox="allow-scripts allow-same-origin allow-popups" width="212" height="362" frameborder="0" allowfullscreen style="max-width:100%" src="https://read.amazon.com/kp/card?asin=B0C8L3XJN6&preview=inline&linkCode=kpe&ref_=cm_sw_r_kb_dp_6X4GEK1KZHB1FPNFT0Y9" ></iframe> | <iframe type="text/html" sandbox="allow-scripts allow-same-origin allow-popups" width="212" height="362" frameborder="0" allowfullscreen style="max-width:100%" src="https://read.amazon.com/kp/card?asin=B09CT4SX2X&preview=newtab&linkCode=kpe&ref_=cm_sw_r_kb_dp_4EHXQN9EV97M0RVKEV32" ></iframe> | <iframe type="text/html" sandbox="allow-scripts allow-same-origin allow-popups" width="212" height="362" frameborder="0" allowfullscreen style="max-width:100%" src="https://read.amazon.com/kp/card?asin=B07BPM3GZQ&preview=inline&linkCode=kpe&ref_=cm_sw_r_kb_dp_Y6J884RW3DNCN40NRQH1" ></iframe> | And to continuously learn more about Bitcoin, join Nostr and follow some Bitcoiners there. Here is a note to get you started: nostr:note1k4vplcen8cp4eymhrmyqd098n38gpyx3p386hh436u29d245dpfs7lqfgg --- # Notable notes nostr:note1acs4az86duj2yf9zrjgjsg7j6mwuadvmh05zazyvddxv20t4p7gqmkmmw0 nostr:note17lt0essdq7yzp4kgwyfq6j92axty5hrmzqswaea75vqzy6aja25q23jz86 --- # Recommendations ## Walker Walker is a brilliant educator and the creator of the Nostrich logo for Nostr. You can follow him [here](nostr:npub1cj8znuztfqkvq89pl8hceph0svvvqk0qay6nydgk9uyq7fhpfsgsqwrz4u). ## Bitcoin Breakdown Bitcoin Breakdown gives you the TLDR summaries of the biggest events in Bitcoin. It's a very effective way to stay up to date with the industry. Check it out [here](https://magic.beehiiv.com/v1/cf402cd8-b88e-4e7e-87f6-47474ac9807d?email={{email}}&recommendation_id=06f7cb37-d4ea-4464-be11-a485dbbd196a). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. It's where I buy my Bitcoin. They are on a mission to onboard 10 million bitcoiners and get them to self-custody. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 6efb74e6:41285536

Shawarma is typically made from lamb or chicken that has been marinated, cut into thin strips, and then placed on a rotisserie spit. It is what you would typically see in any number of kabab shops around the world. Originating in the Ottoman Empire it is a popular street food in the middle east. This recipe is perhaps not a classic version, as it has been tweaked by me, none the less it is delicious. I have used it for lamb and chicken, but a sturdy fish (like mackerel) would hold up to the strong flavor in the marinade. It could be used for a beef roast too! The marinade will be enough for a 2-3 kg lamb leg roast with a little marinade to spare. #proofofwork: 20 minutes (recommended marinade time overnight) YIELD: 1 1/2 cups of marinade INGREDIENTS 2 Tblsp black peppercorns 5 ea cloves ½ tsp cardamom pods ½ tsp fenugreek seeds 1 Tblsp fennel seeds 1 Tblsp cumin seeds 1 ea star anise ½ ea cinnamon stick ½ tsp nutmeg grated ¼ tsp ground ginger 1 Tblsp smoked paprika 1 Tblsp sumac ¾ Tblsp sea salt 25g ginger, fresh grated 3 ea garlic cloves crushed 40g coriander chopped- stems & leaves 60ml lemon juice, fresh 120ml olive oil 1 lamb leg (about 2.5-3 kg bone in) METHOD -Put peppercorns, cloves, cardamom, fenugreek, fennel, cumin, star anise & cinnamon in a cast iron pan & dry roast on medium heat for a minute or 2 until the spices begin to pop & release their aromas. TAKE CARE NOT TO BURN THEM! -Add the ground spices, nutmeg, ginger & paprika, toss for a few more seconds, just to heat them, then transfer to a spice grinder. -Process the spices to a uniform powder, I use an electric coffee grinder or you can go old school with a mortar and pestle. -Transfer to a medium bowl & stir in all the remaining ingredients (except the lamb) -Use a small knife to score through the leg of the lamb in a few places making 1.5cm deep slits through the fat & meat to allow the marinade to seep in. -Place in a large roasting tin & rub the marinade all over the lamb; use your hands to massage the meat well. -Cover the tin with foil & leave aside for at least a couple of hours or preferably chill overnight. -Roast the lamb at 200C for about 1 hour and 15 minutes. Probe with a thermometer and check the internal temperature. 54-60C for a pink centre. -Rest the lamb for a good 20 mins. #enjoy #chefstr #foodstr #yumstr #grownostr #yumstr

@ 18e3af1e:1d42e5df

Las comunidades son creadas mediante el esfuerzo de no solo un individuo, sino al trabajo de docenas; cientos o miles de personas. Mediante la especialización, como especie, logramos entender que: el saber hacer una sola cosa no significa morir de hambre, o no estar bien preparado para un ataque; por lo contrario, el dominio o maestría de una sola cosa... Puede crear una civilización entera. Permitirnos un enfoque certero para aprender, dominar y amaestrar nuestras actividades en un periodo de tiempo finito, permitió nuestro avance hacia nuevos campos, de hecho, movió nuestra meta en magnitud tal, que al imaginar el pasado (para muchos) parece mas bien una película cómica y sombría. Hoy en día, en un mundo regido por individualismo en el reino físico, la manifestación de constructores de comunidades sigue presente en el (reino) digital. ### La evolución de la construcción A lo largo de la historia de la humanidad, la construcción ha evolucionado desde simples refugios hasta monumentos arquitectónicos y estructuras vanguardistas. Los primeros humanos crearon refugios rudimentarios con materiales naturales. Con la civilización, surgieron las primeras estructuras permanentes, como pirámides y templos, reflejando la organización social y creencias religiosas. La antigua Roma introdujo la innovación en la ingeniería con acueductos y arcos. La Edad Media vio fortificaciones y catedrales góticas que fusionaban espiritualidad y técnica. El Renacimiento abrazó la proporción y la simetría en palacios y edificios renombrados. La Revolución Industrial marcó un cambio radical con el acero y el hormigón, permitiendo rascacielos y puentes icónicos. El siglo XX trajo consigo la era de los rascacielos y la arquitectura modernista, desafiando límites estructurales y estéticos. La sostenibilidad ganó importancia en el siglo XXI, impulsando la incorporación de tecnologías avanzadas, como la impresión 3D y la construcción modular. La historia de la construcción es un testimonio de la creatividad y la adaptabilidad humanas, reflejando no solo avances técnicos, sino también valores culturales y aspiraciones. En el día hoy, los desarrolladores de software y tecnología podrían considerarse como los constructores del próximo siglo. Al igual que los constructores en otras épocas históricas, los desarrolladores de software son responsables de crear estructuras digitales que moldean la forma en que interactuamos, comunicamos y vivimos en el mundo moderno. A medida que la tecnología continúa avanzando y la sociedad se vuelve cada vez más digital, el papel de los desarrolladores de software se vuelve crucial en la construcción de soluciones tecnológicas que abordan una amplia gama de desafíos. Así como los arquitectos y constructores antiguos debían entender la física, la estética y las necesidades humanas para diseñar y construir edificios funcionales y atractivos, los desarrolladores de software deben comprender la lógica de programación, la experiencia del usuario, la seguridad cibernética y la innovación tecnológica para crear aplicaciones, sistemas y plataformas que sean útiles y efectivos. ### Individuos que inspiran La inspiración individual es un poderoso motor de cambio que puede tener un impacto significativo en la mente colectiva de una comunidad o sociedad. Cuando una persona demuestra pasión, determinación y una visión positiva, puede influir en otros a nivel emocional y cognitivo. Aquí hay algunas formas en que la inspiración individual afecta a la mente colectiva: La gente puede verse reflejada en las luchas y logros de alguien más, lo que crea un sentido de unidad y comunidad. Esto puede generar un mayor apoyo y solidaridad en torno a ciertas causas o valores. Además, la inspiración individual puede llevar a la acción. Cuando las personas son testigos de un individuo que supera obstáculos o logra metas desafiantes, esto puede motivar a otros a enfrentar sus propios desafíos y trabajar hacia sus objetivos. El ejemplo de una sola persona puede encender la chispa de la acción en muchas más. La inspiración individual puede tener un efecto multiplicador. Cuando una persona inspirada comparte su historia o experiencia, puede inspirar a otros, creando una cadena de influencia que se extiende a través de redes sociales, comunidades y sociedades enteras. Esto puede tener un impacto a gran escala en la mente colectiva. El individuo inspirador tiene el potencial de influir profundamente en la mente colectiva al cambiar percepciones, motivar la acción y crear una sensación de comunidad y unidad. ### Comunidades: origen, inicios y progreso. Las comunidades han sido una parte fundamental de la experiencia humana a lo largo de la historia. Desde los primeros tiempos hasta la era moderna, las comunidades han evolucionado y cambiado en respuesta a las necesidades, avances tecnológicos y contextos culturales. Desde los primeros días de la humanidad, nuestros antepasados se agruparon en pequeñas comunidades para sobrevivir. Estas comunidades eran grupos familiares o tribus que compartían recursos y conocimientos para cazar, recolectar alimentos y protegerse de los peligros. La cooperación y la solidaridad eran esenciales para la supervivencia. Con el desarrollo de la agricultura, las comunidades evolucionaron hacia asentamientos más permanentes. La capacidad de cultivar alimentos permitió la formación de aldeas y pueblos, donde la gente podía establecerse y construir relaciones más complejas. Esto llevó al surgimiento de una división del trabajo más especializada y al desarrollo de habilidades artesanales. Las civilizaciones antiguas, como la sumeria, egipcia, griega y romana, dieron paso a la formación de ciudades y sociedades más organizadas. Las comunidades se convirtieron en centros de comercio, gobierno y cultura. Se construyeron estructuras monumentales, como templos y palacios, que unificaron a las personas en torno a creencias religiosas y sistemas políticos. Durante la Edad Media, las comunidades se organizaron en torno a sistemas feudales. Los señores feudales gobernaban sobre las tierras y las personas locales. Las aldeas y feudos eran autónomos en gran medida y se centraban en la agricultura y la autosuficiencia. La Revolución Industrial marcó un cambio importante en la estructura de las comunidades. La industrialización dio lugar a la urbanización, con muchas personas dejando las zonas rurales para trabajar en fábricas en las ciudades. En la era moderna, las comunidades han continuado evolucionando con avances tecnológicos y la globalización. Las redes sociales y las comunicaciones digitales han conectado a personas de todo el mundo, creando comunidades virtuales en línea. ### Bitcoin | Nostr y la chispa del constructor Como ya vimos, un solo individuo puede inspirar a muchos otros, teniendo un efecto multiplicador. Esto no solo se traduce al mundo físico, por el contrario, esta directamente ligado a nuestra psicología, incluso podemos decir que va aun mas allá, adentrándonos en el terreno ideológico y espiritual. Hasta hace no mucho, estábamos a merced de las grandes corporaciones que construían todo por nosotros, mientras esperábamos con ansias las nuevas actualizaciones de cada iteración de sus productos. Cada vez mas y mas nos hacíamos dependientes de dichas corporaciones sin quizás notarlo, poco a poco se fueron apoderando de nuestro tiempo y muy insidiosamente de nuestra personalidad e identidad. Gracias a las alternativas presentadas hoy en día y a los individuos que inspiran a otros, existe la posibilidad de construir algo que va mas allá de las grandes corporaciones, porque transciende no solo el nivel físico y digital, sino que también transciende a los individuos que aportan a la comunidad. Estoy hablando por supuesto de Nostr, y como los incentivos están alineados gracias a Bitcoin. Pongamos como ejemplo un par de nombres para ilustrar como individuos que inspirar pueden crear una chispa que se extiende a cada persona dentro de la comunidad. Personajes como nostr:npub1l2vyh47mk2p0qlsku7hg0vn29faehy9hy34ygaclpn66ukqp3afqutajft nostr:npub1utx00neqgqln72j22kej3ux7803c2k986henvvha4thuwfkper4s7r50e8 nostr:npub1v0lxxxxutpvrelsksy8cdhgfux9l6a42hsj2qzquu2zk7vc9qnkszrqj49 nostr:npub107jk7htfv243u0x5ynn43scq9wrxtaasmrwwa8lfu2ydwag6cx2quqncxg (entre muchos otros que podría mencionar pero todo el articulo seria una lista de nombres) han inspirado a otros desarrolladores, creadores de contenido (y todas las otras especializaciones que te puedas imaginar…) A construir sobre este protocolo. Incluso, personas como el caso mas reciente de nostr:npub1m64hnkh6rs47fd9x6wk2zdtmdj4qkazt734d22d94ery9zzhne5qw9uaks han encontrado inspiración para aprender a programar sobre estos mismos rieles. > nostr:nevent1qqs8fe938k7j5sxcprrv89ezpu09m9pzm90f0sq24hnwlwu0rmn09qcpzemhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68ytnzv9hxg5vtygh La chispa del constructor en palabras mas concisas es: **Inspiración multiplicadora en pos de la productividad y por ende, del crecimiento de una comunidad.** Sin Bitcoin y Lightning Network, esto seria posible, pero mucho menos efectivo debido a que las personas detrás de toda labor que este enfocada en creación de contenido, desarrollo, etc. Tienen que comer. ### Conclusión La chispa del constructor radica en la inspiración individual que impulsa a la acción colectiva. Desde la evolución de la construcción hasta las comunidades digitales, **el poder de un individuo inspirado puede moldear el presente y el futuro de las comunidades en todo el mundo.**

@ c8df6ae8:22293a06

> "Regulated stablecoins do not compete with bitcoin." > > — Matt Odell *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue covers PayPal’s launch of a stablecoin pegged to the US dollar.* --- This week PayPal launched the PayPal stablecoin PYUSD pegged to the US dollar. It joins Tether USDT, Circle USDC, and Binance BUSD in the quest to extract wealth from unsuspected crypto enthusiasts. All stablecoins are the same. They all run on top of Ethereum and therefore offer the same programmatic capabilities. The only way that these companies differentiate themselves is by promising to be more trustworthy than the other ones. Because, and here is the crux of the matter: > PayPal, Tether, Circle and Binance are borrowing your money and you are implicitly deciding who is most likely to pay you back. By the way, all these promises of programmatic benefits are **hollow promises** that depend on someone else building an app that uses their stablecoin and these programmatic capabilities to deliver something that is yet to be determined but that somehow will be of great value to you. You can read about PYUSD [here](https://www.paypal.com/us/digital-wallet/manage-money/crypto/pyusd). ## Stablecoins steal wealth from you Why is PayPal doing this? The answer is here: [](https://www.reuters.com/technology/stablecoin-tethers-reserves-hit-record-865-bln-q2-2023-07-31/) When you buy one PYUSD, you’re giving $1 to PayPal and receiving in exchange a token that returns no interest to you and costs them nothing to issue. **Congratulations! You’re lending money to PayPal at zero interest rate!** PayPal then turns around and buys $1 worth of US Treasury with a 5% interest rate. You can buy US Treasuries yourself and pocket the 5% interest rate. But instead you give them the money, they pocket the 5% and you assume the risk of PayPal defaulting on its reserves. They make the money and you take the counterparty risk. Now you know why PayPal just launched PYUSD. ## Bitcoin trumps stablecoins People are lured to stablecoins because they want to protect their savings from the theft that inflation represents. They are very popular in Argentina or Turkey, where access to real US dollars may be limited and stablecoins provide an easy way to convert the useless peso or lira into what is perceived as a more trusted currency. But you’re being fooled because your wealth is also stolen from you when you store it in US dollars thanks to inflation and you’re assuming the counterparty risk of PayPal, Binance, Tether or Circle not being able to maintain the parity of 1 PYUSD = 1 USD. There is only one crypto currency that is free from inflation theft and free from all counterparty risks: Bitcoin. **Once you’re ready to move your savings into sound money, choose Bitcoin**. It’s the only sound money where you have full control. All other cryptocurrencies are scamming you in one way or another and transferring the risks from the founders of the cryptocurrency to you. --- # Notable notes nostr:note13s00phgqsqnzxrq375djumwr4384p8t4selajwwj97lzcgtd3rvsym2cda --- # Recommendations ## Maxibitcoiner Fantastic account to learn about Bitcoin for Spanish speaking audiences. You can follow him [here](nostr:npub1z99gd6lnpj9m38q5340ptq7r9kmzesj66p8kz35unyx3fw94g64q3g3mju). ## Bitcoin Breakdown Bitcoin Breakdown gives you the TLDR summaries of the biggest events in Bitcoin. It's a very effective way to stay up to date with the industry. Just this week he also covered PayPal’s PYUSD and reported how apparently PayPal has the option to freeze or wipeout your PYUSD funds unilaterally. Check it out [here](https://magic.beehiiv.com/v1/cf402cd8-b88e-4e7e-87f6-47474ac9807d?email={{email}}&recommendation_id=06f7cb37-d4ea-4464-be11-a485dbbd196a). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. It's where I buy my Bitcoin. They are on a mission to onboard 10 million bitcoiners and get them to self-custody. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ c8df6ae8:22293a06

> "The SEC told Coinbase that it views “every asset other than bitcoin” as a security and ordered the company to delist them from its website." > > — Brian Armstrong, CEO of Coinbase *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue goes back to basics to explain why the SEC asked Coinbase to delist all the shitcoins.* --- # The SEC is a closet maxi Before filing its suit against Coinbase, the Securities and Exchange Commission (SEC) asked Coinbase to delist all cryptocurrencies from its exchange except for Bitcoin. > Bitcoin is money. Shitcoins are investments. > — The SEC, sort of **The SEC is explicitly saying that Bitcoin is the only digital money out there.** ## Why only Bitcoin? When you buy Bitcoin, you’re buying a commodity, just like gold or grain. When you buy a shitcoin like Ethereum or Hex, you are buying a security, just like when you buy shares of a company. What makes Bitcoin different? **The founder of Bitcoin, Satoshi Nakamoto, did not assign himself a large share of Bitcoin before others could mine it**. He did not assign a large share of Bitcoin to venture capital firms investing in him and his team either. Instead, he launched the project and invited everyone else to join him. Anyone in the world who was paying attention was able to join the network and mine Bitcoin with the same probability of success as Satoshi. The founder of Ethereum, the blockchain that underpins most shitcoins, did the opposite. Ethereum is like a startup. Both its founders and the investors that back it are hoping to make big money by selling you Eth tokens. **The founder of Bitcoin is anonymous**. We do not know who he is. He has not transacted with his Bitcoin since he disappeared in 2011. For all we know he could be dead. He is not setting directions or acting as the referee in disputes about what Bitcoin should or should not do. The founder of Ethereum, Vitalik Buterin, has full control over the project: [](https://twitter.com/VitalikButerin/status/1588669782471368704) **Nobody has control over Bitcoin**. Bitcoin is open sourced and anyone can change the behaviour of the Bitcoin network. However, unless you convince 51% of Bitcoin node runners that the change is in their benefit as well, your change will go nowhere. The chances of convincing 51% of node operators is close to nil which is why people assert that no one can change Bitcoin. Vitalik Buterin spearheaded the most important change in the Ethereum network in years: changing from proof-of-work to proof-of-stake validation. Others have tried the same with Bitcoin and they failed. ## Shitcoins are not the crypto industry Coinbase declined to delist everything other than Bitcoin because according to its CEO, “compliance with the order would have meant the end of the crypto industry in the US.”. The reality is that the crypto industry is Bitcoin and its layer 2 projects like Lightning, Fedimint and the Liquid network. The shitcoins call themselves crypto industry but they are just good old scams. They call themselves crypto to fool you into buying them. If Coinbase had delisted all shitcoins, the crypto industry wouldn’t had died. It would had been cleared from all these parasites that hang to it and suck its energy and reputation. Just consider how much more widely accepted Bitcoin would be if we didn’t have these regular scams, rug pulls and exchange collapses. **The next time a someone tells you that the SEC is going after the crypto industry, say no, they are going after a bunch of scammers**. --- # Notable notes nostr:note1rhuh2dmk9d86gllfqgls9vmj2dr3x0ch56va2rrgrt397mlmarjqrp43v2 --- # Recommendations ## Matt Odell Champion of freedom tech, free speech and humility. You can follow him [here](nostr:npub1qny3tkh0acurzla8x3zy4nhrjz5zd8l9sy9jys09umwng00manysew95gx). ## Bitcoin Breakdown Bitcoin Breakdown gives you the TLDR summaries of the biggest events in Bitcoin. It's a very effective way to stay up to date with the industry. Check it out [here](https://magic.beehiiv.com/v1/cf402cd8-b88e-4e7e-87f6-47474ac9807d?email={{email}}&recommendation_id=06f7cb37-d4ea-4464-be11-a485dbbd196a). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. It's where I buy my Bitcoin. They are on a mission to onboard 10 million bitcoiners and get them to self-custody. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมเกิดและโตในยุค 90’ ยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรมคาบเกี่ยว ได้เห็นวิวัฒนาการของสังคมในหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า “Community” ที่ในอดีตไม่ได้มีกฏเกณฑ์หรือรูปแบบอันชัดเจนอย่างในปัจจุบัน.. ผมเกิดและโตในชนบทอันห่างไกลความเจริญ เรื่องราวและวิถีชีวิตที่จะเล่าจากนี้ไปก็จะขึ้นกับมุมมองหรือเลนส์ของผมเพียงคนเดียว  ## คอมมูนิตี้ในอดีต ในความหมายแบบไทยๆ ที่ผมอยากจะบัญญัติมันเสียเอง มันเริ่มจากภาพของเด็กวัยกระโปกที่จับกลุ่มทำกิจกรรมสนุกสนานเฮฮากัน เล่นสนุกด้วยจุดมุ่งหมายและจิตใจอันบริสุทธิ์ ในยุคของผมนั้นการปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ กับกลุ่มแก๊งค์เพื่อนๆ เป็นกิจกรรมสุดโปรดพอๆ กับเด็กทุกวันนี้รวมตัวกันเล่น ROV หรือ ROBLOX เลยก็ว่าได้ การผจญภัยของเด็กๆ มักจะมีกิจกรรมสุดท้ายรอพวกเขาอยู่ มันอาจเป็นการลงเล่นน้ำตามลำคลอง หนอง บึง หรือปีนต้นไม้เพื่อความเท่ สำรวจโลกเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง มันก็สนุกในแบบของมัน เมื่อโตขึ้นมาในวัยมัธยม เด็กผู้ชายเริ่มเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น พวกเขาโตมาด้วยกันผ่านอะไรด้วยกันมามาก ความสัมพันธ์นั้นแน่นแฟ้นระดับยอมตายแทนกันได้ มันไม่มีสถานที่จัดเตรียมไว้ให้เรา ดังนั้นพวกเราต้องเลียบเลาะเสาะหาสถานที่สุมหัวคุยกันเอาเอง หัวข้อสนทนาในยุคนั้นไม่มีอะไรที่ไปไกลเกินกว่าประสบการณ์ที่พวกเขามี หรือเรื่องที่เคยได้เรียนมา รวมทั้งสื่อเพียงไม่กี่อย่างที่เข้าถึงได้ วิทยุและโทรทัศน์ ผู้ใหญ่ วัยทำงาน ไม่ได้มีรูปแบบสังคมอย่างวัยรุ่น กลุ่มสังคมของพวกเขานั้นเป็นวงเล็กๆ บ้านใกล้เรือนเคียง มานั่งรวมตัวพูดคุยกันทั่วไปในเรื่องสัพเพเหระ ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่ไม่ได้มีความเร่งรีบอะไร บางกลุ่มตั้งวงเหล้าใส่กันแต่เช้า ล้มหมู ล้มวัว ทำกับแกล้มสรวนเสเฮฮา อีกกลุ่มก็เข้าวัดฟังธรรมตามประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมา คนในอดีตราว 20-25 ปีก่อนในท้องถิ่นของผมนั้น ไม่ได้มีความเครียด ไม่ได้รับรู้ถึงความโสมมอะไรที่หยั่งรากลึกอยู่ภายในระบบเลย คำว่า Toxic คืออะไร? พวกเขาคงนึกถึงยาฆ่าหญ้า เงิน ในวันที่ยังมีคุณค่าทำให้พวกเขามีความสุข ผมอดนึกถึงภาพเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ  ## โลกเสมือนที่ใหญ่กว่าโลกแห่งความจริง คอมมูในแบบที่ผมประทับใจที่สุดและดูซีเรียสจริงจังที่สุดเห็นจะเป็น “สภากาแฟ” ประจำหมู่บ้านหรือในตลาด ร้านกาแฟโบราณแบบในภาพยนตร์ยุคเก่า หลายคนคงพอนึกออก กลุ่มคอมมูนี้จะสนใจเหตุบ้านการเมือง อ่านหนังสือพิมพ์จนกระดาษขาด ฟังรายงานข่าวกันแต่เช้า ถกกันดุเดือดเหมือนเป็นอีกโลกนึงเลยทีเดียว และสภากาแฟแบบนี้นี่แหละที่ผมชอบไปนั่งฟังมากที่สุด ด้วยความที่ผมเป็นเด็กชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เรื่องต่างๆ ที่ผู้ใหญ่คุยกันมันช่างทำให้ผมสมองงอกมากจริงๆ ตัดภาพ Fast forward กลับมาในยุคปัจจุบัน เราแทบไม่ได้เห็นกลิ่นอายหรือบรรยากาศอะไรแบบนั้นอีกแล้ว คอมมูนิตี้บนโลกแห่งความจริงมันดับสลายไปสูญสิ้น ผู้คนอพยพไปใช้ชีวิตกันบนโลกออนไลน์จนอาจิณ แม้ตัวพวกเขาเองผมก็คิดว่าคงไม่รู้สึกตัว เราหลุดจากโลกความจริงไปไกล เราหลงไปกับข้อมูลที่ส่วนใหญ่เป็นการล่อลวง สนตะพายจมูกลากจูงพวกเราไปทางไหนก็ได้ น่าเศร้าเหลือเกิน.. ตีวงให้แคบเข้ามาในสังคมการลงทุนโดยเฉพาะในแวดวงบิตคอยน์ ผมพบเห็นเพียงสื่อส่วนใหญ่ที่ชี้นำและชักพาผู้คนเข้าสู่คอมมูนิตี้ด้วยเป้าหมายสำคัญคือ “เงิน” และ “ความร่ำรวย” ผมคิดไปเองว่าเจ้าของสื่อก็คงจะไม่รู้ตัวเองเช่นกันว่ากำลังโดนสนตะพายจมูกอยู่โดยใครสักกลุ่มหรือใครบางคน ทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยให้ใครเก่งพอจะเอาตัวรอดหรือปรับตัวได้เองในชีวิตการลงทุน มันไม่ทำให้หลายคนเข้าใจแก่นแท้หรือธรรมชาติของตลาดทุนอย่างแน่นอน เมื่อคนส่วนใหญ่ภายในคอมมูนิตี้ถูกชักพาในไปทิศทางนั้น บทสนทนาที่เราจะพบได้อย่างเดือนดาดบนโลกโซเชียลก็คงเป็นข่าวความเคลื่อนไหวระยะสั้นที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ พัฒนาการไร้สาระที่เอามาปลุกปั่นให้ดูดี พฤติกรรมการอวดไลฟ์สไตล์ อวดร่ำอวดรวยของอินฟลูเอนเซอร์ ที่ถูกหลอกมาอีกทีว่าควรสร้างภาพให้ดูน่าเชื่อถือ น่าเศร้ามากจริงๆ ## มองหาที่ทางของตัวเอง ผมเชื่อลึกๆ นะว่า บิตคอยเนอร์ในยุคหลังๆ ที่ยังไม่ผ่านสักไซเคิลมักจะรู้สึกอึดอัด หงุดหงิดเวลาต้องการ “คนคุยด้วย” ในชีวิตจริง มันไม่มีอีกแล้วกลุ่มปั่นจักรยานล่ากิ้งก่า กลุ่มสุมหัวที่ปลายนา หรือสภากาแฟ มันเหลือเพียงโลกออนไลน์ที่ต้องไปอยู่ท่ามกลาง Anonymous ร้อยพ่อพันแม่ กลางผู้คนที่ตัวเราเองก็ยากที่จะแสดงออกหรือเปิดใจ.. “คุยบิตคอยน์กับใครก็ไม่รู้เรื่อง” มันเรื่องปกติ.. ปกติจริงๆ ประสบการณ์การป้ายยาส้มแบบเฟลๆ น่าจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับพวกเราทุกคน จุดนี้เองที่ผมตระหนักได้ว่า คนชอบเรื่องเดียวกันก็ควรได้คุยกับคนประเภทเดียวกัน อย่างน้อยก็ชื่นชอบเรื่องเดียวกันก็ยังดี ส่วนหน้าตาหลังการรวมตัวกันจะออกมาเป็นยังไงก็ปล่อยให้สังคมมันปรับตัวของมันไปเองอย่างออแกนิกก็แล้วกัน “จับกลุ่มคุยกันเรื่องบิตคอยน์” มันเป็นที่มาของไอเดียแบบแนวๆ รายการ “สภายาส้ม” จนล่าสุดเราพึ่งมี “สภายาม่วง” ที่แคแรคเตอร์แตกต่างกันพอสมควร มันเป็นการสนทนากับบนโลกสีม่วงที่แต่ละคนจะได้เป็นตัวของตัวเองแบบไร้การปรุงแต่ง ได้คุยในสิ่งที่อยากคุย ได้เล่นกับคนในแชท ได้หัวเราะแบบที่ไม่ต้องกั๊ก ได้ทำเรื่องน่าอายแต่สนุกชิบหายเลย ผมเล่ามาถึงตรงนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าผมลากมาตบด้วยการขายของ ผมแค่กำลังจะบอกว่า.. สภาแบบนี้มันไม่เห็นจำเป็นต้องรอให้ Right Shift ทำ ลองจินตนาการสิว่า มันมีสภาแบบนี้อยู่ที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด หรือภูมิภาคของคุณเอง เช่น สภาชลบุรี, สภาขอนแก่น, สภาน่าน หรือสภายาส้มเขาใหญ่ ฯลฯ มันเป็นไปได้นะ.. คำถามคือเราจะสร้างสภาแบบนั้นขึ้นมายังไง.. ก็ใช้ประโยชน์จากสื่อโซเชียลมีเดียที่เรามีนี่แหละ ประกาศตามหาพวก ทำความรู้จัก นักเจอกัน เริ่มจากเหตุการณ์เล็กๆ จุดเริ่มต้นน่ารักๆ นำไปสู่วัฒนธรรมสังคมอันยิ่งใหญ่แบบที่พวกเราทำกันมาแล้วนั่นไง ผมอยากเห็นอะไรแบบนั้น อยากให้มีภาพความประทับใจจากหลายๆ พื้นที่มาอวด มาโชว์ มาแบ่งปันกัน มันก็ดีกว่าการเช็คอินสถานที่ต่างๆ ที่ตัวเราเองก็ไม่เห็นเคยอินกับมันเลย.. รออยู่นะ.. สภายาส้ม สภายาม่วง ทั่วไทย

@ d830ee7b:4e61cd62

สองคนนี้รู้จักกันเพราะคุยเรื่องบิตคอยน์กันแน่ๆ เลย? ถ้าผมบอกว่าเราคุ้นเคยกันมากขึ้นเพราะ "เกมส์" คุณจะเชื่อไหม? ย้อนกลับไปในช่วงเปิดตัวหนังสือ The Bitcoin Standard ฉบับแปลไทยของ อ.พิริยะ นั่นคือเหตุผลแรกที่ผม ซึ่งเป็นใครจากไหนก็ไม่รู้ ทักไปหา อ.ตั๊ม ครั้งแรก.. "ผมเอาเล่มนึงคับ" ก็คงเป็นการ Approach แบบที่ใครเค้าก็ทำกัน พวกคุณก็คงพอเดาได้ แต่คุณคงเคยเห็นมาแล้ว บัญชีโซเชียลมีเดียแต่ละแอปของเขาน่ะ การแจ้งเตือนมัน 999+ ตลอด ผมไม่คิดว่าจะมีใครโชคดีได้ป๊ะได้คุยตั้งแต่ทักเขาครั้งแรก ใช่ครับ.. ผมรอครึ่งปีเพื่อให้ถึงจังหวะโอกาสที่เขาต้องตอบผมแน่ๆ ก็ตอนขายหนังสือนี่แหละ.. ไม่มีอะไรมากมาย ผมมีแนะนำตัวเล็กน้อยว่าผมเป็นแอดมินเพจ CryptoNize (ที่ตอนนี้เลิกทำไปแล้วล่ะ) ผมชื่นชอบบิตคอยน์ และติดตามมานาน บลา บลา บลา แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องใช้ความกล้าอย่างมาก และต้องทำทันทีคือการ "Declare" บอกกับเขาตรงๆ ว่าผมอยากร่วมทำบางอย่างเพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาทำทั้งหมดด้วยการช่วยทุกอย่างเท่าที่เขาจะอนุญาต โดยเฉพาะการสร้าง Bitcoin Network ในไทย ก็ถ้าไม่ใช่โอกาสนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนละ เอ่อ.. ผมคิดว่าตอนนั้น อ.ตั๊ม ก็คงจะงงๆ แบ่งรับแบ่งสู้ อะไรของมึงวะหมอนี่.. จริง ๆ มันเริ่มมาจากการที่ผมสังเกตมานานแล้ว และคิดเรื่องนี้ในหัวมาตลอด ผมเองก็เป็นคนนึงที่อยากทำให้ในไทยมีฐานความรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์ภาษาไทยมาตั้งแต่ต้น ผมหลงเข้าดงชิตคอยน์ในก้าวแรกสู่ตลาดคริปโต เดชะบุญที่ผมอยู่กับการศึกษาวงการลงทุนมานาน หลายสินทรัพย์ที่ผมรู้จักดี ผมใช้เวลาไม่นานนักในการแยกแยะได้ว่าอะไรคือของจริง ของปลอม หลังจากนั้นผมก็ทำเพจบิตคอยน์งูๆ ปลาๆ ในแบบของตัวเองไป แน่นอนว่าในไทยเมื่อคุณตกลงปลงใจจะศึกษาบิตคอยน์ ชื่อแรกที่คุณจะนึกถึงแน่ๆ คือ อ.พิริยะ เขาเป็นไอดอลของผมเหมือนกับพวกคุณทุกคนนั่นแหละครับ แล้วไอดอลกลายมาเป็นเพื่อนเราได้ยังไง? มีช่วงหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้ชัดว่า อ.ตั๊ม เริ่มมีอาการ Burn-out ผมไม่รู้ว่าใครเห็นแบบผมไหมนะ แต่ผมแน่ใจว่าใช่แน่ๆ ผมกลับไปคิดว่าผมจะช่วยอะไรเค้าได้บ้าง? ถ้าเราอยากจะผลักดันวงการบิตคอยน์ในไทย แทนที่จะแยกกันทำไปแบบนี้ ทำไมเราไม่ไปขอจอยช่วย อ. ทำ เสริมพลังให้แกไปเลยนะ? ผมตัวเล็กมากในคอมมูนิตี้ไทยตอนนั้น จะว่าโนเนมเลยก็ได้ แต่คิดอะไรเกินตัวซะเหลือเกิน But how? ผมรื้อทุกอย่างที่เป็น อ.พิริยะ เท่าที่จะหาแหล่งข้อมูลได้ในเมืองไทย ผมเป็นคนนึงที่ดูทุกคลิป ทั้งบิตคอยน์ สอนเทรด ส่วนตัว เฟซบุ๊ก หนังสือที่อ่าน วิธีที่พูด โพสต์ที่เคยผ่านตา บทความที่เคยเขียน ฯลฯ เรียกว่าผมวิจัยคนๆ นึงเลยก็ว่าได้ ผมศึกษานิสัยใจคอของเขา ความชอบ เป้าหมาย ต่างๆ นานา ไม่ใช่เพื่อจะ Take Advantage จากสิ่งนี้ แต่ผมต้องการเป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ ผมเป็นคนแบบนี้ ผมชอบทำงานกับเพื่อน กับคนที่รู้มือรู้ใจกัน และในสถานการณ์แบบนี้ มันควรเป็นผมที่ต้องเข้าใจ อ. ให้ได้ก่อน ถ้าคุณคิดว่าเราคงถกเรื่องบิตคอยน์ หรืองานเทรดกัน คุณคิดผิดถนัด.. ผมคุยเรื่องสัพเพเหระที่ไม่เกี่ยวกับบิตคอยน์กันแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งวันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้ เรื่องที่เราคุยกันถูกคอมากที่สุดคือ.. "เรื่องเกมส์" ให้ตายเถอะ เรามันเด็กที่โตมาในยุค 90' เหมือนกัน มีอะไรจะคุยได้ยาวเท่าเรื่องในอดีตอีก เราคุยถึงสมัยเรียน สมัยเด็ก สมัย Ragnarok เราเล่นเกมบน Nintendo switch ด้วยกัน เอ่อ.. ผมหมายถึง… เล่นของใครของมันแล้วมาคุยกันอะนะ พวกคุณรู้ไหมว่าเราชอบเกมกันขนาดนี้ แต่เอาเข้าจริงเราได้เล่นกันก่อนนอนวันละไม่เกินครึ่ง ชม. แค่นั้นเอง เอาแค่พอให้หายอยาก เรามีเรื่องต้องทำกันเยอะมากๆ ในตอนนั้น หากใครยังจำได้ จะมีช่วงนึงที่ อ. พูดถึงเกม Triangle Strategy บ่อยๆ นั่นแหละ เล่นอยู่กับผม แต่อันนี้ยอมนะ เกม RPG นี่ผมสู้แกไม่ได้จริงๆ จนกระทั่งเราได้เจอกันครั้งแรกที่งานมีตอัพบิตคอยน์ที่โรงเบียร์พี่ชิต (น่าจะมีคนอ่านสักคนที่ได้ไป) เอาจริงๆ นะ ผมไม่ตื่นเต้นเลย เป็น อ. มากกว่าที่ไม่รู้จะทำตัวยังไง ฮ่าๆๆ ก็ผมมันดิบ ผมเป็นคนเซอร์ๆ ขัดกับลุคของ อ. คนละขั้ว แต่คนต่างขั้วนี่แหละพาพวกคุณให้ได้มาอ่านบทความนี้บน Nostr ตอนนี้ เรามาไกลจากตรงนั้นมาก เรามีคอมมูที่โตขึ้นอย่างออแกนิก มีสมาชิกน่ารักๆ ในคอมมูนิตี้หลายคน เรามี Right Shift และพาร์ทเนอร์อีกมากมายที่กำลังผุดกันขึ้นมา ผมที่คิดว่าจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ อ. ในตอนแรก ตอนนี้ผมทำให้เขายุ่งยิ่งกว่าเดิม แต่ผมก็สัมผัสได้นะ ผมเชื่อลึกๆ ว่าตอนนี้ อ. คงมีความสุข อ.ไม่ได้สู้ตัวคนเดียว วันนี้ อ. มีพวกเราทุกคน มันจับต้องได้ ใช้แค่หัวใจก็สัมผัสมันได้ละ สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน คือผมได้สวมกอด อ. (แบบลูกผู้ชาย) หลังการจัดงาน BTC2023 ไม่มีใครได้เห็นภาพนี้ เพราะมันอยู่ในความทรงจำของผมคนเดียว… เราเคยวาดรูปล้อเลียนให้นาย.. ตอนนี้ยังอยู่ดีไหม? ผมอยากจะบอกกับทุกคนว่า.. เราคงไม่สามารถมีเพื่อนได้จากการนั่งอยู่เฉยๆ หรอกครับ มันมีคุณค่าบางอย่างที่จะคอยดึงดูดคนเราเข้าหากัน แต่มันต้องมีสักคนที่เริ่มก่อน และ พิริยะ คือชายคนนั้นที่ได้มอบคุณค่าบางอย่างให้กับพวกเรา พวกเรารู้กันดีว่ามันคืออะไร สิ่งนี้แหละเรียกว่า Value for Value เมื่อเราให้มากพอ วันนึงเราจะได้รับบางอย่างเป็นการตอบแทน..

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมมีความสุขดีกับการทำตัว Low profile เพราะมันมีเรื่องราวที่เป็นเหตุผลของมันอยู่.. ใครอ่านงานเขียนผมบ่อยๆ จะทราบดีว่าผมมักจะเขียนไปเรื่อย เล่าเรื่องหรือความคิดของตัวเองออกมาได้ยาวเหยียด เมื่อมันเป็นแบบนี้ก็เลยคิดว่าจะใช้ Account นี้ให้เหมือนเป็นบล็อกส่วนตัวสุดๆ แบบไม่มีคอนเซ็ปต์ไปเสียเลย วันไหนอยากเขียนอยากเล่าอะไรผมก็จะเล่ามันดื้อๆ นี่แหละ.. มันเริ่มจาก.. มีคนพยายามบอกว่าผมอยู่เบื้องหลังของคอมมูนิตี้บิตคอยน์ในไทย มีคนบอกว่าผมเป็นตัวตั้งตัวตี แต่ก็เป็นคนที่ลึกลับหาข้อมูลได้ยากอะไรแบบนั้น ซึ่งมันก็มีทั้งส่วนที่ถูกและยังไม่ใช่อยู่พอสมควรครับ.. อย่างแรก ผมไม่ได้มองว่าตัวเองยิ่งใหญ่หรือมีบทบาทสำคัญมากขนาดนั้น ผมยังเชื่อมาตลอดว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดเพราะผมเพียงคนเดียว มันประกอบมาจากหลายส่วนและคนที่มีส่วนร่วมในสิ่งนี้ยังมีอีกมากมาย ผมอาจเป็นฟันเฟืองหลักในเรื่องนี้ แต่ยังไงผมก็คงต้องปฎิเสธว่าไม่ใช่เพราะผมคนเดียวอย่างแน่นอน ใช่ครับ.. มันก็มาถึงตรงนี้ได้เพราะพวกเราทุกคน อย่างที่สอง โดยส่วนตัวผมคิดว่าการมีตัวตนในลักษณะนั้นจะทำให้ผมไม่สามารถทำอย่างที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ได้ มันจะทำให้ผมนึกถึงเพียงแค่ตัวเอง สนใจแค่เพียงตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง ซึ่งมันขัดกับเป้าหมายสำคัญส่วนตัวของผมนั่นคือ “ส่วนรวม” ฝันของผมนั้นไกลจนยากที่ใครจะจินตนาการถึง วันนี้เราทำเสต็ปแรกกันยังไม่ครบเลยด้วยซ้ำ หากผมมตัวแต่ส่องกระจกประเมินตัวเองอยู่ทุกวันๆ ผมคงไม่มีเวลาไปคิดถึงส่วนอื่นๆ เป็นแน่แท้ ..งานแบบนั้นยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะเสียสละและเต็มที่ไปกับมัน ไม่จำเป็นต้องเป็นผมใช่ไหมล่ะ อย่างที่สาม ผมเชื่อในแนวคิด Decentralized อย่างที่สุด คำนี้ลึกซึ้งมากกว่าแค่เข้าใจว่ามันกระจายหรือรวมศูนย์ ผมไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจลงลึกในวิชาการหรือความรู้ทางเทคนิคของบิตคอยน์มากนัก ผมเชื่อว่าตัวเองก็แค่รู้ในระดับคนทั่วๆ ไป แต่ในเรื่องหลักการและแนวคิดพวกนี้ รวมถึงการนำมาประยุกตร์เข้ากับเรื่องต่างๆ ในชีวิต ผมคิดว่าผมทำได้ค่อนข้างดีเลยล่ะ เกี่ยวกับเรื่องนี้.. ผมเชื่อเองตั้งแต่ต้นว่าสังคมจะไม่เติบโตอย่างยั่งยืนหากพึ่งพาผู้นำหรือใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไปหรือกระทั่งการเทิดทูนฮีโร่ บิตคอยน์ยังอยู่มาอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 10 ปีผมไม่คิดว่าเป็นเพราะใครสักคน แต่มันเป็นเพราะอาณุภาพของ Network ที่เข้มแข็งและแพร่กระจายตัวในทุกนาทีแบบเดียวกับไมซีเลียม ผมฝันอยากเห็นสังคมที่โตในแบบของมันเอง มีความมั่นคงเข็มแข็ง อาจไม่ต้องเป็นหนึ่งเดียว แต่มันไม่ควรมีจุดตายอยู่ที่ใครทั้งนั้น เราสามารถมีผู้เสียสละเก่งๆ ได้อีกมากมายที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ต่างจังหวัด หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ผลักดันในแบบที่เขาถนัด https://i.imgur.com/3sDzTdg.png เมื่อเราจินตนาการเห็นภาพนั้นเราจะเริ่มตระหนักได้ทันทีว่า.. เรานั้นตัวเล็กเกินกว่าจะไปคิดว่าเราใหญ่ ผมไม่ชอบใช้คำว่า “การต่อสู้” หรือ “การเอาชนะ” ไม่ว่าจะกับใคร (ใครๆ ก็คงจะหมายถึงรัฐ) บิตคอยน์มันชนะได้ด้วยตัวมันเองแบบไม่ต้องแข่งเลยด้วยซ้ำ ทำไมเราต้องไปเสียเวลากับการคิดหาหนทางเอาชนะในแบบเดิมๆ วิธีที่แยบยลกว่าน่าจะเป็น “การสร้าง” สิ่งที่ทรงพลัง กำแพงหนาที่แข็งแกร่งยากจะโค่นล้ม นั่นคือพลังแห่งความคิดและฝูงชน พลังแห่งเครือข่ายและชุมชน ผมอยากเห็นมากกว่าแค่คนๆ เดียว คนกลุ่มเดียว ที่เก่งกล้าพอจะลุกขึ้นมาเสียสละแบ่งปันและช่วยเหลือ เผยแพร่สิ่งที่พวกเขารู้ไปยังคนอื่นๆ เพื่อขยายแนวคิดให้กระจายออกไป ผมมีส่วนจริงในการปลูกฝังแนวคิดและสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมาจากจุดนั้น แต่ผมไม่ใช่คนบงการอะไรทั้งสิ้น แนวคิดจะได้รับการยอมรับคงไม่ใช่เพราะคนมาเกรงใจตัวผม แต่มันควรมาจากการที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันอาจเป็นแนวทางที่ใช่สำหรับสังคมของพวกเขา เราอาจต้องนำ ต้องเป็นแบบอย่างก่อนในช่วงแรก แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ ทุกคนเริ่มเข้าใจเหตุผลและรูปแบบในการอยู่ร่วมกัน เวลาของผมสำหรับบทบาทนั้นก็คงไม่ต้องมีอีกแล้ว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมผละจากสิ่งที่เคยแอคทีฟในตอนแรก การมีส่วนร่วมเป็นแกนหลักและคอยแอคทีฟในชุมชน ผมไปทำอีกสิ่งหนึ่งเพื่อเตรียมไว้ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนในอนาคตนั่นคือคลังความรู้ เพราะผมเชื่อว่ากลุ่มบิตคอยน์ของชาวเรามันเติบโตขึ้นมากแล้วจากวันแรกๆ ที่เราได้เริ่ม มันไม่ใช่เรื่องของจำนวน ไม่ใช่เรื่องของการตลาด มันคือหลักการและแนวคิด รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก็ร่างสร้างตัวมาเรื่อยๆ จนมีคุณลักษณะที่ชัดและเป็นปัจเจกแตกต่างจากเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าใครจากภายนอกจะมองว่าสัวคมของเราเป็นแบบไหนก็ตาม ผมไม่ได้สนใจเลยตรงนั้น เพราะนี่แหละคือเราในแบบของเรา ผมมาเขียนเล่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพราะผมอยากจะหายตัวไปแบบ Satoshi หรอกนะครับ ผมไม่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเลย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเรานั้นใหญ่เสียเหลือเกิน ตัวของเราจะบดบังตาเราจนมืดบอด เราจะมองไม่เห็นใคร ผมขอเป็นคนตัวเล็กๆ เล็กพอที่จะมองเห็นคนทุกคนบนโลกแบบนี้ต่อไปดีกว่า ผมชอบที่จะได้เห็นและคอยมีส่วนกับทุกๆ เรื่อง ผมสนุกกับมัน และหวังว่าพวกเราที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะสนุกแบบผมเหมือนกัน https://i.imgur.com/z7XmLjh.png บิตคอยน์ไม่ได้เปลี่ยนโลกในแบบที่เราเข้าใจ มันเริ่มเปลี่ยนคนตัวเล็กแบบพวกเขาให้เติบโตไปเปลี่ยนโลกต่างหากล่ะ

@ 0b963191:fc5e7ffd

I have an idea I am currently putting together a javascript library and implementation for. This is a quick and dirty blog post to note where my head is at with it. The main idea is using Nostr as a transport layer for accessing micro services in a censorship resistant way. I will just use this blog post of a quick introduction on what I am thinking and I will link to more as development continues. ## The idea The idea is for the client side to access a nostr service very similar to how websites and other clients use XMLHttpRequest() to make API calls to services. The difference here being that rather than relaying on HTTP for the request, the requests and responses would be sent through relays.  The above just shows a quick example of the standard http call to a service. **This allows the following:** * Services that do not directly rely on a hosts DNS * Services that do not expose the service IP address * Redundancy across multiple relays * Censorship resistant applications (I will not use the term dapp) that have a service backend  The above shows how a client can interact with a service using nostr as the transport layer. ## How it will work (TL;DR)  In simple terms a service will have a naddress (naddr1) that will carry its public key and core relays it will be listening on. A client will make a request using a generated nostr keypair referencing the service's pubkey in a tag and some call data. The service will read and validate this request and respond by referencing the client's event ID it used to make the call. There will also be the ability for the service to push data to relays that can be read by clients without a call request being made (i.e. block height changes). ## Why? There are already many ways to push and pull data whether using nostr relays natively, inefficient block chain smart contracts, tor, or standard http. This may find a few use cases that can compliment existing methods. In many ways this acts like many of the bots created on nostr that take input and responds with some output. This standardizes the uses a bit more. **A few use cases:** * Server side code that can be used on something like ipfs (instead of using expensive inefficient smart contract block chains) * Services resistant to DNS and IP points of failure (i.e. targeted shutdown of services on the name server level. It has happened!) * Pulling in outside data that a client does not have ability or access to generate I will have a working prototype of this in the next few weeks that I will host on a github.

@ cca7ef54:e7323176

 วันที่โลกกำลังจะแตกสลาย.. คุณตัดสินใจล่องไปกับเรื่อโนอาห์ เรือที่พาคุณหลุดพ้นจากชีวิตอันแสนบัดซบที่คุณเริ่มเบื่อหน่ายกับมัน บนเรื่อเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความหวัง พวกเขานั่งนิ่งๆ มองหน้ากันไปตลอดทาง สภาวะที่เงียบสงัดเพราะต่างคนต่างยังไม่คุ้นเคยซึ่งกันและกัน แต่ลึกๆ ในใจพวกเขาต่างก็รู้ดีว่า คนเหล่านี้ตรงหน้าคือคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน  การเดินทางนั้นแสนยาวไกล เรือต้องฝ่าพายุคลื่นลมนับครั้งไม่ถ้วน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากลุกขึ้นมาช่วยกันคนละไม้คนละมือ บางคนทำหน้าที่อุดรอยรั้วบริเวณกาบเรือ บางคนดูแลเครื่องยนต์ อีกส่วนทำหน้าที่วิดน้ำที่หลั่งไหลเข้ามา ไม่มีใครต้องการให้เรือลำนี้อัปปาง ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นถึงความทุ่มเทของกันและกัน  บนเรือมีคนไม่ยังไม่แข็งแรงพอจะช่วยอะไรคนอื่นได้ พวกเขาไม่ต้องการเป็นตัวถ่วง ไม่มีใครอยากไร้คุณค่าในสถานการณ์นี้ พวกเขาหาน้ำหาอาหารมาคอยส่งให้คนอื่นๆ ที่กำลังออกแรงอย่างเหน็ดเหนื่อย มันมีคนที่โดดเด่นที่สุดทำหน้าที่คล้ายเป็นกัปตันของเรือ เขาได้รับเสียงปรบมือ เขาได้รับกำลังใจ เขาได้รับอาหาร ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความจริงใจที่มีให้แก่กัน ทุกคนรับรู้ได้ถึงเจตนาร่วมในการประคับประครองเรือไปให้ถึงฝั่ง  เมื่อพายุสงบลง พวกเขานั่งลงและพูดคุยกันถึงเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้น ความรู้สึกพรั้งพรูปนความสุขที่แบ่งปันให้แก่กันนั้นหลากหลาย จากในตอนแรกที่เรือนั้นเงียบราวกับป่าช้า ตอนนี้เต็มไปด้วยเสียงจอแจ หลายคนได้พบเพื่อนที่รู้ใจ บางคนได้พบกับคู่รักที่ถูกใจ สังคมเล็กๆ ภายในเรือเริ่มก่อร้างสร้างตัวเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้น ทุกคนรู้สึกถึงความเป็นส่วนหนึ่ง ความรับผิดชอบต่อเรือลำเดียวกัน มีคนอาสาจะออกเรือเล็กกลับไปยังจุดที่จากมา เขาต้องการนำเรื่องราวอันน่าประทับใจนี้ไปเผยแพร่ให้กับคนอื่นๆ เขาต้องการให้คนที่เหลือบนแผ่นดินเก่าได้รับชีวิตที่ดีกว่า คนกลุ่มเล็กๆ นี้ช่างเสียสละและมีใจเมตตา  เรือโนอาห์พาทุกคนมาส่งยังสถานที่ใหม่ มันได้สวยงามโสภาในแบบที่ทุกคนได้จินตนาการเอาไว้ มันเป็นสถานที่รกร้างที่อุดมสมบูรณ์ที่ยังไม่ได้รับการจัดสรรใดๆ ธรรมชาติที่นี่ยังเพรียบพร้อม เต็มไปด้วยทรัพยากรที่ล้นหลาม ความแตกต่างทางด้านทักษะและความชำนาญทำให้แต่ละคนทำในสิ่งที่ต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ทำไปเพื่อสร้างสังคมใหม่ที่ให้คุณค่าในชีวิตของกันและกัน ไม่มีใครจินตนาการได้ว่าอีก 5 ปีนับจากนี้ พื้นที่แห่งนี้จะเป็นเช่นไร  มันให้กำเนิดผู้นำในด้านต่าง ๆ นักเผยแพร่ทางความคิด นักดนตรี ศิลปิน นักวิจารณ์ไปจนถึงนักข่าวประชาสัมพันธ์ สังคมที่หลากหลายกำลังก่อตัวขึ้นบนความหวังอันยิ่งใหญ่ ผู้ที่สร้างคุณค่าแก่สังคมได้รับความเชิดชู กลายเป็นที่กล่าวขวัญถึง ผู้ที่นึกถึงประโยชน์ส่วนตัวเป็นใหญ่ ต้องหลบไปอยู่เงียบๆ ท้ายเกาะ แต่ละคนค้นพบที่ทางของตัวเอง ภายใต้สังคมที่ไม่มีการปกครองหรือควบคุม เรือลำนี้ได้พาพวกเขามาพบกับสังคมที่ใฝ่ฝันถึงมานาน เราไม่สามารถจินตนาการต่อไปได้ว่าชีวิตบนแผ่นดินใหม่นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะคิดถึงเรื่องนั้นไปทำไมกันเล่า.. ตราบใดที่วันนี้เรายังมีความสุขกับมันดี  ชายผู้หนึ่งเดินออกมาจากฝูงชนเพื่อกลับไปเยี่ยมลำเรือที่ถูกจอดทิ้งสมอเอาไว้ เขามองมันด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและเต็มไปด้วยคำขอบคุณ ส่วนต่างๆ ของเรือเริ่มผุพังไปตามกาลเวลา แต่ชื่อของมันยังคงมองเห็นได้อย่างชัดเจน.. เขาเดินเข้าไปใกล้ๆ ใช้มือสัมผัสไปยังชื่อที่สลักไว้ให้เห็นเป็นตระหง่าน เขาไม่มีคำพูดใด ๆ นอกจากความสุขที่บรรยายออกมาไม่ได้ ขอบคุณที่ส่งเรามาถึงตรงนี้ ขอบคุณที่มอบความหวังใหม่ให้กับเรา เรือโนอาห์ที่สวรรค์มอบให้เราในวันที่แสงกำลังมอดมิดลง > ขอบคุณนะ.. #NOSTR

@ d830ee7b:4e61cd62

https://i.imgur.com/bUDUOZH.png On the day the world seemed on the brink of collapse, you chose to embark on Noah's Ark. An escape vessel from the mundane life you've grown weary of. The ship was filled with hopeful souls, silently gazing into each other's eyes throughout the journey. The silence stemmed from unfamiliarity, yet deep down, they all recognized a shared purpose. https://i.imgur.com/ovK3sUm.png The voyage was long and fraught with challenges. The ship braved countless storms and turbulent waves. They had no choice but to rise and work together, each lending a hand. Some mended the ship's cracks, others tended to the engines, while a few bailed out the infiltrating water. No one wished for this ship to falter. Their collective dedication became evident. https://i.imgur.com/6XaPlDc.png Some aboard lacked the strength to assist others. Yet, they didn't want to be burdens. No one wished to be valueless in such circumstances. They fetched water and food, delivering it to those laboring tirelessly. A standout individual emerged, acting as the ship's captain. He received applause, encouragement, and sustenance. Everyone acknowledged the genuine care they had for one another. They all recognized the collective spirit propelling the ship to shore. https://i.imgur.com/eEPqbNN.png When the storm subsided, they sat and shared tales of the recent ordeal. A mix of raw emotions and shared joy permeated the air. From an initial silence, the ship now echoed with laughter and chatter. Many found kindred spirits, while some discovered love. A small society within the ship began to evolve into a larger community. Everyone felt a sense of belonging and responsibility towards their shared vessel. A few volunteered to return to their point of origin. They wished to share this inspiring tale with others, hoping to offer them a better life. Such selfless and compassionate souls. https://i.imgur.com/Tx5Z3Fu.png Noah's Ark brought them to a new realm. It was as magnificent as they had imagined. An untouched paradise, abundant and unclaimed. Nature here was pristine, overflowing with resources. Their diverse skills and expertise meant everyone had a unique role. Yet, all worked towards building a new society that valued everyone's life. No one could have predicted what this place would become in just five years. https://i.imgur.com/9rRGLeT.png Leaders emerged in various fields, from thinkers to musicians, artists to critics, and even public relations experts. A diverse society was taking shape, built on grand hopes. Those who contributed value were celebrated and became the talk of the town. Those who were self-centered retreated to the island's quiet corners. Everyone found their path in a society free from governance or control. This ship had brought them to the society they had long dreamt of. We can't predict what life on this new land will be like in the future. Why ponder about it when today brings us joy? https://i.imgur.com/u5MZJXa.png A man stepped away from the crowd to visit the now-docked ship. He gazed at it with deep reverence and gratitude. The ship, weathered by time, showed signs of wear and tear. Yet, its name remained clearly visible. He approached and gently touched the engraved name. Words escaped him, replaced by an indescribable joy. "Thank you for bringing us here, for granting us a new hope. The Noah's Ark that heaven bestowed upon us on that fading day of light." "Thank you... #NOSTR."

@ d830ee7b:4e61cd62

How long have we lived with the term Bitcoin as a Store of Value (SOV)? The financial sovereignty, that is... Among those who are aware of the system's problems, they often accept Bitcoin as an asset that will preserve their value over time. The question is, how many of these people are there in society? The society we call the Matrix... Yes, there are still few. Not to mention how to store it safely, that's even fewer. We can see that the demand in the past mainly came from 2 groups. The first group is the SOV group, and the other is the profit speculators. Other groups were just a sprinkle. In early 2022, when the price of Bitcoin started to decline, I couldn't imagine what the next wave of demand would come from. All I knew was that in that downturn, Bitcoin often had new developments. I mean... the desire to own Bitcoin, not the trading demand that would cause the price to skyrocket or anything like that. Until, if I remember correctly, it would be the second half of 2022... The wonder of the Lightning Network began to occur continuously in the Bitcoin community worldwide, including in Thailand where we also helped push it to this day (actually, it existed before that, especially after the big event in El Salvador, but it wasn't so prominent). Lightning makes the world of Bitcoin full of possibilities. From static money held for wealth, money saved for children and grandchildren that has always been stigmatized as not even enough to buy noodles at the front of the alley, it has become convenient money that today begins to stick in our hearts everywhere (I mean in the group of people who accept Bitcoin, of course). Bitcoin used to be "difficult" for everyone. Transferring in and out each time was a headache, our hands were shaking. But today, many of us know that we can take the smallest unit of it to pass on to each other, whether it's for fun, to express feelings, to flirt, or to buy and sell things, etc., as we saw at the BTC2023 event, right? https://i.imgur.com/W3D1pdk.png It's just stuck... If we don't count the easy-to-use general usage, system management, or running a Bitcoin Lightning node, it makes us feel like we have to be god-level to do it. Understanding its working mechanism is also not easy. When it's like this, I think to myself... Hmm... It probably won't take much longer for people to learn, understand, and familiarize themselves with this new technology. But I believe... This is not impossible. It's not that hard. What we need is a ***"method or approach"*** to present or disseminate knowledge that the general public can access and grasp more easily. Right Shift is being propelled in a direction that will make the "choice" of accepting Bitcoin more tangible, a direction that leads to the "actual use" of Bitcoin in scenarios where it becomes a "Means of Payment," a new alternative for those with free hearts. We coordinate and collaborate with various partners, including our brothers and sisters within the community. Besides the value that won't easily diminish over time, the real value that we can actually utilize is overwhelmingly pleasing to our hearts. Those who have experienced it themselves probably won't argue much with me on this matter. But there's something that has always made me feel... this is still not enough. Offering a choice for people to shift their mindset from "hoarding" Bitcoin more than eggs in a nest is one thing. Issues of privacy or Non-KYC is another. Starting with Custodial services is another. Educating is hard enough, and creating a balanced demand-supply is even harder. We once made businesses support Lightning to a great extent, but no one ever knew where to get Lightning to buy things, and how to buy it? Once people started doing it, they looked for places to buy, and it turned out that the supply, the entrepreneurs, couldn't keep up. They stumbled and needed considerable assistance to start. Not to mention legal matters, accounting, taxes... See? Our work is not just about making videos. If you look at the whole picture, this task is much bigger and longer than we thought (by "we" here, I mean everyone in the community aiming for the same goal). https://i.imgur.com/t0sJ4ju.png So, we, the main partners like Right Shift, LATES, BOB, and Chitbeer, and many more, will probably have to spend time driving and spreading these stories further. We hope to receive excellent cooperation from our friends in our community. We are planning to tour various places, maybe universities, schools, malls, provinces, etc., wherever people want to learn about Bitcoin. We will organize on-site courses similar to what happened in El Salvador, arrange events for people to try using Bitcoin, and we would be delighted to have volunteers who want to push with us... But then, today... Not long ago... I found a third option. If starting interest from the investment side, saving, preserving, or accumulating Bitcoin, and using it seems too hard for most people, What if we try to shift the perspective, starting with what they are already familiar with, easily accessible, and can have fun with first? Will acceptance be easier and more logical to plunge into the next rabbit hole or not? I didn't let myself drown in doubt for too long, so I touched it myself immediately... And the answer is... It's really true. We just switch from mainstream social media that is causing us more pain every day to a new society that is like the true root of the online community. This way, it seems easier to move on... Why do I think so? The society on a decentralized protocol grants us, as users, almost complete freedom. In all honesty, it's no more difficult than setting up a Lightning wallet, something we've all done before. Every day, tens of thousands of us click 'like' on Facebook countless times, expressing our satisfaction with a creator's work or a friend's post. Sometimes, we're not even sure if we genuinely want to do it. What if we change from 'like' to Zap!? How much economic value is circulating there (currently, there are more than 12 BTC Zapped on Nostr)? It's not just us who have to go and Zap others. If you do well, benefit the community, even a laugh can get it. Others are ready to Zap you all the time as well. You can use it without linking to a Lightning wallet. The question is, how can you experience expressing satisfaction or receiving it instantly as Satoshi's value? Yes.. with such a situation, it's inevitable that people will have to learn and understand Bitcoin and Lightning, at least at a basic level. https://i.imgur.com/qJddift.png But this time, their motivation isn't for wealth or prosperity, not financial domination, or solely technical prowess. It comes from a desire to participate in a society they want to be a part of. It comes from a desire to appreciate or admire someone's work that has benefited them on Nostr. It comes from the joy of living freely in a new land, and so on. On the creator's side... Instead of losing money, time, and physical energy thinking about content day and night, finding ways to get people to see their posts, waiting for the money that the platform might withhold for another month, and avoiding annoying algorithms and constant changes, Now, they just invest their value into their content, post it for their followers to definitely see, and receive 'thank you' in the form of Sats instantly. They can present their content piece by piece without waiting for it to be finished. They can present any form of content there.. The users are the same. This is the activity of passing on value to each other, called ***"Value for Value"*** on Nostr. When V4V becomes something they enjoy, they will start to delve deeper into Bitcoin as time goes by. They will want to own more of it. How else could it be? They just don't like it and are looking for other options to accept it. So.. Now, do you think the Network effect on Nostr or in real life will be stronger and faster? Honestly, we don't have to choose. We don't have to decide which direction we will push acceptance.. whether to save, to educate, to use it occasionally, or to experience a new life on a social media society like Nostr. We should push it together in every way, because it's all beneficial to our Bitcoin society. It's beneficial to everyone who will try to touch it, and it's beneficial to people in the next generations. Bitcoinization, which used to be just a dream, is about to happen in not too long. Now, I can start answering my initial question. What should the demand come from? It should start from our interest first. Interested enough to try to touch it in every aspect. Take the rotten fiat money on your fridge and turn it into Lightning for a bit, then let it slide on Nostr. In 2023, our choices, the world's choices, are not just SOV or Lightning anymore.. which either way, it's good for Bitcoin. It's opening wider than we think. . . // Author by: Jakk Goodday

@ cca7ef54:e7323176

เราเคยอยู่กับคำว่าบิตคอยน์เป็น ***Store of Value (SOV***) มานานแค่ไหนกันแล้วครับ? อำนาจอธิปไตยทางการเงินนั่นอีก.. ในกลุ่มคนที่ตระหนักถึงปัญหาภายในระบบ มักจะยอมรับบิตคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ที่จะเก็บรักษามูลค่าผ่านกาลเวลาให้พวกเขาได้ คำถามก็คือคนกลุ่มนี้มีจำนวนมากแค่ไหนในสังคม? สังคมที่เราเรียกว่า Matrix นั่นน่ะ.. ใช่ครับ.. มันยังมีน้อย ยังไม่ต้องเอ่ยถึงการเก็บอย่างไรให้ปลอดภัย นั่นยังน้อยลงไปได้อีก เราจะเห็นได้ว่าดีมานด์ในฝั่งที่ต้องการยอมรับบิตคอยน์ในอดีตนั้นหลักๆ มีเพียง 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่ม SOV อีกกลุ่มคือนักเก็งกำไร กลุ่มอื่นๆ ยังมีอยู่เพียงแค่ประปรายเท่านั้น ในต้นปี 2022 ที่ราคาบิตคอยน์เริ่มเปลี่ยนเป็นขาลง ผมเองก็จินตนาการไม่ได้เหมือนกันว่าดีมานด์ในระลอกถัดไปจะมาจากอะไรได้บ้าง ผมรู้แค่ว่าในขาลงนั้น บิตคอยน์มักจะมีพัฒนาการใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเสมอ ผมหมายถึง.. ความอยากได้บิตคอยน์มาไว้เป็นของตัวเองนะ ไม่ได้หมายถึงดีมานด์ในการซื้อขายที่จะทำให้ราคาพุ่งขึ้นอะไรแบบนั้น จนกระทั่งถ้าผมจำไม่ผิด คงจะเป็นช่วงครึ่งหลังของปี 2022 นั่นเอง.. กระแสความมหัศจรรย์ของ ***Lightning Network ***ก็เริ่มอุบัติขึ้นอย่างต่อเนื่องในกลุ่มสังคมชาวบิตคอยน์ทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ในไทยที่เราเองก็มีส่วนช่วยกันผลักดันมาจนถึงวันนี้ (ความจริงมันมีมาก่อนหน้านั้นแล้ว โดยเฉพาะหลังจากอีเว้นท์ใหญ่ที่เอลซัลวาดอร์ แต่ก็ยังไม่เปรี้ยงปร้างเท่าใดนัก) https://i.imgur.com/t0sJ4ju.png Lightning ทำให้โลกของบิตคอยน์เต็มไปด้วยความเป็นไปได้ จากเงินนิ่งๆ ถือไว้รอรวย เงินสะสมไว้ให้ลูกให้หลานที่โดนตราหน้ามาตลอดว่าซื้อก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยก็ยังไม่ได้ กลายเป็นเงินสะดวกจ่ายที่ในวันนี้เริ่มติดอกติดใจกันทั่วบ้านทั่วเมือง (ก็หมายถึงในกลุ่มคนที่ยอมรับบิตคอยเนอร์นั่นแหละนะ) บิตคอยน์เคยเป็น ***"ของยาก"*** สำหรับทุกคน จะโอนเข้า-โอนออกแต่ละทีเล่นเอาปวดหัว มือไม้สั่นกันเลยทีเดียว แต่วันนี้พวกเราหลายคนรู้แล้วว่า เราสามารถเอาหน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของมันมาส่งต่อให้กันได้ ไม่ว่าจะส่งกันเล่นๆ ส่งแทนใจ จีบกัน หรือซื้อ-ขายของ ฯลฯ ก็อย่างที่ได้เห็นกันในงาน BTC2023 ใช่ไหมครับ มันติดอยู่อย่างเดียว.. ถ้าไม่นับเรื่องการใช้งานในฐานะคนทั่วไปที่ทำได้ง่ายๆ หมูๆ แล้ว การบริหารจัดการระบบ หรือรันโหนดบิตคอยน์ไลท์นิ่งมันทำให้พวกเรารู้สึกว่าคงต้องเป็นระดับเทพเท่านั้นที่ทำกันได้ การทำความเข้าใจกับกลไกการทำงานของมันก็เป็นเรื่องไม่ง่ายเช่นเดียวกัน พอเป็นแบบนี้ผมก็นึกในใจว่า.. อืม... มันคงต้องใช้เวลาอีกไม่มากก็น้อยให้คนได้ค่อยๆ เรียนรู้ ทำความเข้าใจและคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ให้มากกว่านี้ แต่ผมก็เชื่อนะ.. นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ มันไม่ได้ยากขนาดนั้น ที่เราต้องการคือ*** "วิธี หรือ แนวทาง"*** ในการนำเสนอ หรือ เผยแพร่ความรู้ที่คนทั่วไปจะเข้าถึงและจับต้องมันได้ง่ายกว่านี้ **Right Shift **ถูกผลักดันการดำเนินงานไปในทิศทางนั้น ทิศทางที่จะทำให้** "ตัวเลือก"** ในการยอมรับบิตคอยน์เป็นรูปเป็นร่างเพิ่มมากขึ้นอีกทางหนึ่ง นั่นคือ "การนำบิตคอยน์มาใช้งานจริง" ในยูสเคสลักษณะที่บิตคอยน์จะกลายเป็น *****"Means of Payment"***** การใช้จ่ายทางเลือกใหม่สำหรับคนที่มีหัวใจอิสระนั่นเอง เราประสานงานร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ในหลายๆ ส่วน รวมถึงพี่น้องของเราภายในคอมมูนิตี้ด้วย นอกจากคุณค่าที่จะไม่หายไปง่ายๆ ตามกาลเวลาแล้ว คุณค่าในการที่เรานำมันมาใช้ได้จริงๆ ก็ดีต่อใจพวกเราเหลือเกิน คนที่ได้สัมผัสมาแล้วด้วยตัวเองคงจะไม่มีอะไรมาเถียงผมได้มากนักในเรื่องนี้ แต่มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกมาตลอดว่า.. แค่นี้มันยังไม่พอ การมอบทางเลือกเพื่อให้คนปรับเปลี่ยนมายเซตที่เคย "หวง" บิตคอยน์ยิ่งกว่าไข่ในหินก็เรื่องนึง เรื่องความเป็นส่วนตัวหรือ Non-KYC ก็เรื่องนึง การเริ่มต้นที่ต้องใช้บริการ Custodial ไปก่อนก็เรื่องนึง การให้ความรู้ก็ว่ายากแล้ว การทำให้เกิดดีมานด์-ซัพพลายที่สมดุลกันนั้นมันยากยิ่งกว่า เราเคยทำให้มีกิจการรองรับ Lightning กันมากโขในช่วงหนึ่ง แต่ไม่เคยมีใครรู้ว่าจะเอา Lightning จากไหนมาซื้อของ แล้วจะซื้อมันยังไงล่ะ? พอมีคนเริ่มทำได้ พวกเขามองหาที่ซื้อ ปรากฏว่าซัพพลาย ผู้ประกอบกิจการยังโตตามไม่ทัน ติดๆ ขัดๆ และต้องการความช่วยเหลือในการเริ่มต้นอีกพอสมควร ไหนจะเรื่องกฏหมาย บัญชี ภาษีนั่นอีก.. เห็นหรือเปล่าครับ งานของพวกเราไม่ได้มีแค่ถ่ายทำคลิปแน่ๆ https://i.imgur.com/hd1FJYK.png ถ้ามองให้ครอบคลุมทั้งองคาพยพ งานนี้ใหญ่และยาวกว่าที่พวกเราคิดกันเอาไว้มากเลยล่ะ (เราในที่นี้ผมหมายถึงทุกคนในคอมมูนิตี้ที่มิงเป้าหมายเดียวกัน) เราเองจึงมีความคิดกันว่า ในช่วงเวลาต่อจากนี้ พวกเรากลุ่มพาร์ทเนอร์หลักๆ Right Shift, LATES, BOB และ Chitbeer และอีกมากมาย น่าจะต้องใช้เวลาในการทำหน้าที่ขับเคลื่อนและเผยแพร่เรื่องราวเหล่านี้กันต่อไป โดยเราก็หวังว่าคงจะได้รับความร่วมมือร่วมใจจากเพื่อนๆ ในคอมมูนิตี้ของเราเป็นอย่างดี เรากำลังวางแผนที่จะ ออนทัวร์ ไปยังสถานที่ต่างๆ อาจจะเป็นมหาวิทยาลัย สถานศึกษา ห้างร้าน ตจว ฯลฯ ที่ไหนก็แล้วแต่ที่ต้องการศึกษาบิตคอยน์ จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนออนไซต์ในลักษณะเดียวกับที่เกิดขึ้นทราเอลซัลวาดอร์ จัดอีเว้นท์ให้คนได้นำบิตคอยน์มาลองใช้ และยินดีมากๆ ที่จะได้รับความร่วมมือจากอาสาสมัครที่มีใจจะผลักดันร่วมกับเรา.. แต่แล้ววันนี้.. เมื่อไม่นานมานี้เอง.. ผมก็พบทางเลือกที่สาม ถ้าการเริ่มต้นความสนใจจากฝั่งการลงทุน การเก็บออม เก็บรักษาหรือการนำบิตคอยน์มาสะสม นำมาใช้ มันเหมือนจะยากเกินไปสำหรับคนส่วนใหญ่ ถ้าเราลองมาปรับเลี่ยนมุมมอง โดยเริ่มจากสิ่งที่พวกเขาคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว เข้าถึงได้ง่ายและสนุกกับมันได้ก่อนล่ะ.. การยอมรับจะง่ายขึ้นและสมเหตุสมผลมากขึ้นที่จะกระโจนลงสู่หลุมกระต่ายต่อไปหรือเปล่า? ผมไม่ปล่อยตัวเองจมอยู่กับความสงสัยนานเกินไป ว่าแล้วผมก็ลงมือสัมผัสมันด้วยตัวเองในทันที.. และคำตอบที่ได้คือ.. มันใช่จริงๆ ด้วย เราแค่เปลี่ยนจากสื่อโซเชียลมีเดียเมนสตรีมที่กำลังทำให้เราต้องปวดกันมากขึ้นทุกวัน ๆ ไปอยู่บนสังคมใหม่ที่เป็นเหมือนรากเหง้าของสังคมออนไลน์ที่แท้จริง แบบนี้มันดูจะเดินต่อกันได้ง่ายกว่า.. ทำไมผมคิดแบบนั้น? สังคมบนโปรโตคอลกระจายศูนย์ มันมอบอิสระให้เราในฐานะผู้ใช้แทบทุกด้าน เอาเข้าจริงๆ แล้วมันไม่ได้ยากไปกว่าการเปิดกระเป๋า Lightning ที่เราเคยทำกันมาแล้วแม้แต่นิดเดียว วันนี้พวกเราหมื่นกว่าคนรวมกันกดไลค์บนเฟซบุ๊กไปกี่ครั้ง เพื่อแสดงความพึงพอใจต่อผลงานของครีเอเตอร์ หรือโพสต์ของเพื่อนเรา ที่บางทีเราจะเต็มใจทำมันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าเปลี่ยนจากไลค์ มาเป็น Zap! ล่ะ? มูลค่าทางเศรษฐกิจที่หมุนเวียนอยู่บนนั้นจะมากมายขนาดไหน (ปัจจุบันมีการ Zap รวมกันไปมากกว่า 12 BTC แล้วบนนอสเตอร์) มันไม่ใช่แค่เราที่ต้องไปคอย Zap คนอื่นเขา ถ้าคุณทำได้ดี ทำประโยชน์ต่อชุมชน เอาแค่เสียงหัวเราะก็ยังได้ คนอื่นก็พร้อมที่จะ Zap ให้คุณตลอดเวลาเช่นเดียวกัน คุณสามารถใช้งานมันโดยไม่ต้องผูกกับกระเป๋าไลท์นิ่งก็ได้ คำถามคือคุณจะได้รับประสบการณ์ในการแสดงความพึงพอใจหรือรับเอามันมาแบบในทันทีเป็นมูลค่า Satoshi ได้อย่างไร? ใช่แล้วครับ.. ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว มันเลี่ยงไม่ได้ที่คนจะต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับบิตคอยน์และไลค์นิ่ง อย่างน้อยก็ในระดับเบสิค https://i.imgur.com/0jzG9mh.png แต่คราวนี้แรงจูงใจของพวกเขาไม่ใช่เพื่อความมั่งคั่งหรือความรำรวย ไม่ใช่อธิปไตยทางการเงิน หรือความเก่งกาจทางเทคนิคเพียงอย่างเดียว มันจะมาจากความต้องการในการได้มีส่วนร่วมกับสังคมที่พวกเขาอยากเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย มาจากความต้องการที่จะขอบคุณหรือชื่นชอบผลงานของใครสักคนที่ได้มอบประโยชน์ให้กับเขาบนนอสเตอร์ มาจากความสนุกเพลิดเพลินกับชีวิตที่เป็นอิสระบนดินแดนแห่งใหม่ ฯลฯ ในขณะที่ฝั่งครีเอเตอร์... แทนที่จะขาดทุนทั้งเงินทองและเวลารวมถึงแรงกายไปกับการนั่งคิดคอนเทนต์ข้ามวันข้ามคืน การหาทางทำให้คนได้เห็นโพสต์ของตัวเอง แล้วรอรับเงินที่แพลตฟอร์มอาจจะเบี้ยวเอาได้ในอีกเดือนถัดไป คอยหลบเลี่ยงอัลกอริทึมที่น่ารำคาญ สารพัดความเปลี่ยนแปลงที่ต้องปรับตัวตามให้ทัน คราวนี้พวกเขาเพียงแค่ทุ่มเทคุณค่าลงไปในคอนเทนต์อย่างเต็มที่ โพสต์ออกไปให้คนที่ติดตามเขาได้เห็นกันแน่ๆ และรับเอาคำขอบคุณมาเป็น Sats ได้แบบวินาทีต่อวินาที พวกเขาสามารถนำเสนอเนื้อหาแค่ทีละส่วนได้โดยไม่ต้องรอให้ทำเสร็จ พวกเขาสามารถนำเสนอเนื้อหารูปแบบใดก็ได้บนนั้น.. ผู้ใช้ก็เช่นกัน นี่คือกิจกรรมการส่งต่อคุณค่าให้กันที่เรียกว่า ***"Value for Value" ***บนนอสเตอร์ เมื่อ V4V กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบ พวกเขาจะเริ่มหันมาให้ความสนใจอย่างลงลึกในบิตคอยน์มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะอยากครอบครองมันเพิ่มขึ้น มันจะเป็นอย่างไรได้อีก อย่างมากเขาก็แค่ไม่ชอบและมองหาทางเลือกอื่นในการยอมรับมันเท่นั้นเอง เอาล่ะ.. คราวนี้คุณคิดว่า Network effect บนนอสเตอร์ กับในชีวิตจริงแบบไหนจะปรี๊ดปร๊าดแข็งแกร่งได้เร็วกว่ากัน? เอาจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องเลือกหรอกครับ ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจว่าพวกเราจะผลักดันการยอมรับไปในทิศทางไหน.. จะเก็บออม จะให้ความรู้ นำมันมาใช้งานบ้างหรือจะผ่านการใช้ชีวิตใหม่บนสังคมโซเชียลมีเดียอย่างนอสเตอร์ เราควรจะผลักดันมันไปพร้อมๆ กันในทุกๆ ทาง เพราะมันต่างก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมบิตคอยน์ของพวกเราทั้งนั้น มันเป็นประโยชน์ต่อทุกคนที่จะได้ลองสัมผัสมัน และเป็นประโยชน์ต่ิผู้คนในรุ่นถัดๆ ไป Bitcoinization ที่เคยเป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ กำลังจะเกิดขึ้นได้จริงในเวลาไม่นานนับจากนี้ คราวนี้ผมเริ่มตอบความสงสัยของตัวเองในตอนแรกได้บ้างแล้ว ดีมานด์ควรจะมาจากเรื่องอะไรได้บ้าง มันก็ควรจะเริ่มต้นมาจากความสนใจของพวกเราก่อนนี่แหละครับ สนใจมากพอที่จะลองเข้าไปสัมผัสมันในทุกด้าน หยิบเอาเงินเฟียตเน่าๆ บนหลังตู้เย็นของคุณไปเปลี่ยนเป็น Lightning สักตับนึง แล้วพามันลงไปโลดแล่นบนนอสเตอร์กันดูครับ ปี 2023 ทางเลือกของพวกเรา ทางเลือกของคนทั้งโลกไม่ได้อยู่แค่เพียง SOV หรือ Lightning อีกต่อไป.. ซึ่งไม่ว่าทางไหนมันก็ดีต่อบิตคอยน์ทั้งนั้น มันกำลังเปิดกว้างกว่าที่พวกเราคิด . . // Author by: Jakk Goodday

@ cca7ef54:e7323176

เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับระบบ Relay ใน Nostr กันครับ นี่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ Nostr ทำงานได้ และมันก็ทำหน้าที่คล้ายๆ กับเป็นเซิร์ฟเวอร์หลังบ้านของ Nostr นั่นเอง ## เริ่มต้นทำความเข้าใจอย่างง่าย เราจะเริ่มต้นด้วยการจินตนาการว่า Nostr เป็นเมืองที่มีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการจะสื่อสารกัน แต่ทุกคนต่างก็อยู่ห่างกันไกลเหลือเกิน ทำให้พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกันได้โดยตรง ดังนั้น.. เราก็เลยต้องการสิ่งที่เรียกว่า **"Relay"** หรือ **"สถานีเชื่อมต่อ"** ที่จะช่วยส่งข้อมูลจากคนหนึ่งไปยังคนอื่นๆ ในบริบทของ Nostr นั้น.. Relay คือเซิร์ฟเวอร์ที่รับข้อมูล (หรือ "notes" ที่เราโพสต์) จากไคลเอนต์หนึ่งและส่งต่อไปยังไคลเอ็นต์อื่นๆ ที่ต้องการข้อมูลนั้น ดังนั้น.. คุณสามารถจินตนาการเปรียบเทียบได้ว่า Relay เป็นเหมือนที่ทำการไปรษณีย์ที่คอยรับจดหมายจากคนหนึ่งแล้วก็ทำหน้าที่ในการส่งต่อไปยังคนอื่นๆ https://i.imgur.com/qKEXUWM.png แต่ Relay ใน Nostr มีความพิเศษที่มากกว่าแค่ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วไป นั่นคือ.. ***มันไม่มีการควบคุมหรือการเซ็นเซอร์*** ทุกคนในระบบสามารถสร้างและรัน Relay ของตนเองได้ ทำให้เครือข่ายของ Nostr มีความเป็นธรรมและเป็นกลาง ไม่มีใครสามารถควบคุมหรือจำกัดการสื่อสารของใครได้ ### แล้วการทำงานของ Relay ใน Nostr เป็นอย่างไร? มาลองจินตนาการว่าคุณมีข้อความที่ต้องการส่งไปยังเพื่อนของคุณ คุณจะสร้าง "note" และส่งไปยัง Relay ที่คุณเชื่อถือซึ่งคุณได้ทำการเพิ่มการเชื่อมต่อเอาไว้กับบัญชีของคุณ Relay จะรับ "note" นั้นและส่งต่อไปยัง Relay อื่นๆ ในเครือข่าย จนกระทั่ง "note" นั้นถึงมือเพื่อนของคุณในที่สุด จะเห็นได้ว่า.. ความสำคัญของ Relay คือ มันช่วยทำให้การสื่อสารใน Nostr สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องมีเซิฟเวอร์ตัวกลาง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนบนโลก คุณก็สามารถสื่อสารกับคนอื่นๆ ได้ผ่าน Nostr ด้วยความช่วยเหลือจาก Relay นั่นเอง ## **Relay คืออะไร?** Relay ใน Nostr ทำหน้าที่รับข้อความจากไคลเอนต์ Nostr และอาจจะเก็บข้อความเหล่านั้นไว้ หรือส่งต่อข้อความเหล่านั้นไปยังไคลเอนต์อื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันอยู่ทั่วโลก การพัฒนาในโลกของ Relay กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามมาอย่างมากในอนาคต เราควรทราบเอาไว้ว่า Nostr เป็นระบบที่ไม่มีศูนย์กลาง และการส่งต่อข้อมูลนั้นขึ้นอยู่กับ Relay ในการเก็บและดึงข้อมูลจากกันและกัน ถ้าคุณสังเกตพบว่าไคลเอนต์ Nostr ของคุณทำงานช้า สาเหตุส่วนใหญ่เป็นเพราะ Relay ที่คุณใช้หรือเชื่อมต่ออยู่นั่นเอง ซึ่งอาจจะดีกว่าหากคุณเพิ่ม Relay ให้มากขึ้น (หรือลบบางอันที่ไม่มีประสิทธิภาพ) ในไคลเอนต์ของคุณ ## **Relay ที่ใช้ได้ฟรี และ Relay ที่เก็บค่าบริการ** ในปัจจุบัน มี Relay ที่ใช้ได้ฟรีๆ อยู่มากมาย แต่เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรัน Relay (สำหรับการประมวลผล การจัดเก็บ และบริหารจัดการแบนด์วิดธ์) หลายคนจึงคาดว่า Relay แบบเก็บค่าบริการจะกลายเป็นมาตรฐานในอนาคต ข้อดีหนึ่งของการใช้ Relay แบบเสียตังค์ในตอนนี้ คือ สัญญาณการเชื่อมต่อที่สูงและไหลลื่นของไคลเอนต์และ note ซึ่งใน Relay แบบนี้ "proof of work" สำหรับการเข้าถึง Relay ที่เก็บค่าบริการ คือสิ่งที่ช่วยให้บัญชีสแปมไม่สามารถรบกวนเครือข่ายได้ https://i.imgur.com/UE2tiHi.png ## **Relay ที่เก็บค่าบริการที่ได้รับความนิยม** คุณสามารถหารายการอัปเดตของ Relay ที่เก็บค่าบริการพร้อมรายละเอียดราคาและผู้ดำเนินการได้ที่ Relay Exchange: https://nostr.how/en/relays ## **เราจะหารายการของ Relay ทั้งหมดได้ที่ไหน?** แหล่งที่ดีที่สุดสำหรับการเรียกดูและประเมินความเร็วของ Public relay ที่รู้จักกันดีคือ Nostr.watch site: https://nostr.watch/ ## **จะเกิดอะไรขึ้นถ้า Relay ที่เราใช้ทั้งหมดหยุดทำงาน?** ถ้า Relay ทั้งหมดที่คุณใช้เกิดตออฟไลน์ไป โพสต์ของคุณทั้งหมดจะไม่สามารถดึงข้อมูลได้ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ Nostr อนุญาตให้ไคลเอนต์สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Relay หลายๆ ตัวได้ – สิ่งนี้ช่วยให้เรามั่นใจในการสำรองข้อมูล นอกจากนี้ ถ้าคุณค่อนข้างกังวลในความเป็นส่วนตัว ไม่ต้องการโดนเซ็นเซอร์ คุณก็สามารถศึกาษาค้นคว้าและควรรัน Relay ส่วนตัวของคุณเอง (Private relay) ## **เราควรรัน Relay ของตัวเองหรือไม่?** สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ คงต้องตอบว่าไม่ เพราะมันไม่คุ้มกับความยุ่งยากที่คุณต้องเจอ แต่หากคุณพอจะมีทักษะและความเข้าใจทางเทคนิค และต้องการให้การพูดคุยของคุณไม่มีใครสามารถเซ็นเซอร์ได้เลย หรือต้องการรัน Relay ส่วนตัวสำหรับกลุ่มเล็กๆ ของตัวเอง คุณสามารถทำได้และควรรัน Relay ของคุณด้วยตัวเอง อย่างที่ Jakk Gooday พึ่งโพสต์ไปวันก่อน ผู้รัน Public relay ที่ให้เราเชื่อมต่อได้ฟรีในตอนนี้ สามารถล้างข้อมูลของผู้ใช้ Nostr ออกจากฮาร์ดดิสของตัวเองได้หากมันเต็มขึ้นมา หรือหมดแพสชั่นเลิกทำเมื่อไหร่ก็ได้ เบื้องต้นคุณอาจต้องคอยบริหารจัดการ นำเข้า-น้ำออก Public relay ในไคลเอนต์และบัญชีของคุณด้วยตัวเองอย่างสม่ำเสมอ หมั่นตรวจสอบประสิทธิภาพของ Relay แต่ละเจ้าเป็นระยะๆ ดังนั้นการศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการรัน Private relay อาจเป็นเรื่องที่จำเป็นในอนาคต เพราะในความเป็นจริง คุณไม่จำเป็นต้องเปิดการทำงานของมันตลอดเวลา เพียงแต่เปิดขึ้นมาเพื่อทำการสำรองข้อมูลของตัวเองเป็นระยะๆ ก็เพียงพอแล้ว การรัน Relay ด้วยตัวเองจะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าคุณจะมีสำเนาของโพสต์และการโต้ตอบทั้งหมดใน Nostr ของคุณตลอดเวลา ในขณะนี้เรากำลังทำคู่มือสำหรับสิ่งนี้ นี่คือคู่มือจาก Andre Neves เกี่ยวกับวิธีการตั้งค่า Relay Nostr https://andreneves.xyz/p/set-up-a-nostr-relay-server-in-under https://i.imgur.com/QmrjkYb.png เรียบเรียงจากต้นฉบับ: https://nostr.how/en/relays

@ d830ee7b:4e61cd62

คืนหนึ่ง.. **"สติ"** ที่กำลังอยู่ท่ามกลางภวังค์แห่งการหลับไหล สิ่งที่เขาได้เห็นในเงาสลัวๆ นั้น เป็นภาพของชายคนหนึ่งรูปร่างคล้ายคลึงกับเขามาก ชายคนนั้นเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า.. เขาได้เคยสัมผัสกับความตายมาแล้ว ฟังดูแล้วก็น่ากลัว แต่ไม่ใช่ เขาแค่เกือบตาย เดชะบุญที่เขายังไม่ตายจริง สติยังคงสับสนว่าภาพที่เห็นอยู่นี้ คือ วิญญาณของใครสักคนในความฝันใช่ไหม? เขาจำได้ว่าเขากำลังหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ? ชายคนนี้มีเจตนาอะไรกัน.. ชายคนนั้นเล่าต่อว่า.. วินาทีที่ความตายกำลังใกล้เข้ามาเยื่อน เขาเกิดภาพย้อนอดีตผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เขาพบว่าตัวเองนั้นน่าสงสาร.. น้ำเสียงของเขาเหมือนคนสิ้นหวัง บ่นฮึมฮัม.. เขาเอาแต่ตัดพ้อออกมาไม่หยุด เขาบ่นว่าไม่เคยได้ฝึกตระเตรียมที่จะให้ตัวเองได้เป็นอิสระ ได้เป็นนายเหนือตัวเองมาก่อนเลย เขาไม่เคยควบคุมตัวเองได้ ไม่เคยทำในสิ่งที่ถูกต้องหลังจากทำบางอย่างผิดพลาดไป ซึ่งมันจะช่วยให้เขาเริ่มต้นใหม่ได้อย่างถูกทางเลยสักครา.. ไม่เคยได้ทำสิ่งดีๆ เพื่อชดเชยให้กับสิ่งที่สูญเสียหรือติดลบไปบ้างเลย.. ไม่เคยสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองหรือคนอื่นๆ ที่รักเขาเลย.. ชายคนนั้นยังบอกกับสติอีกว่า.. ก่อนหน้านั้นเขาเอาแต่คิดหมกมุ่นแต่กับคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทั้งที่ความจริงแล้วแค่เข้าใจให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกต้องแล้วหรือยัง แค่ยอมรับมัน ถอดบทเรียนแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะหากคิดได้เช่นนี้ ชีวิตใหม่ภายใต้การต่อสู้ภายในใจของเขาระหว่าง *คนสีขาว* กับ *คนสีดำ* ก็จะเริ่มต้นขึ้น เป็นการรบที่มีเดิมพันเป็นทางเดินที่ควรจะเป็นของชีวิต เขาคงจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้หากเข้าใจมันได้แต่แรก วินาทีที่ความตายประชิดเข้ามาอยู่ตรงหน้า.. เขานั้นคิดเสียใจอยู่เพียงเรื่องเดียว มันเป็นเรื่องของ "เวลา" เวลาที่เขามอบให้กับคนที่เขารักนั้นน้อยเกินไป ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากจะทำเพื่อคนเหล่านั้น แต่มันสายไปเสียแล้ว เวลาของเขากำลังจะหมดลงแล้ว ณ วินาทีนั้นเอง น้ำตาของเขาก็ไหลพรั่งพรูออกมา เขารู้สึกว่าไม่เคยมีความเสียใจครั้งไหนยิ่งใหญ่เท่ากับความเสียใจในครั้งนี้มาก่อน.. เขาไม่น่าปล่อยคืนวันให้ผ่านไปอย่างไร้ความหมายแทนที่จะได้ใช้มันไปกับความพยายามในการทำความเข้าใจกับชีวิต เขาไม่ควรดิ้นรนขวนขวายจนต้องกลายเป็นทุกข์ เขาควรได้ใช้ชีวิตที่ไม่มีความอยาก หรือควรจะอยากได้อยากมีให้น้อยที่สุดหากมันจำเป็น เขายังได้เห็นภาพสุดอุบาทว์ของตัวเองที่ทำตัวหยิ่งยโสต่อเพื่อนร่วมงาน คนใกล้ตัว และโลกใบนี้ เขาเห็นความอ่อนแอภายในใจของตัวเองที่กำลังเรียกร้องความเอื้ออาทรจากทั้งโลก ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดจะมอบอะไรให้กับโลกใบนี้ แต่กลับร้องขออะไรที่มากมายเกินกว่าที่โลกจะมอบให้เขาได้ สุดท้ายเขาเองก็ตัดสินใจเป็นปฎิปักษ์กับโลกทั้งใบด้วยความงี่เง่าอย่างสุดขีด เขามองไม่เห็นศัตรูที่แท้จริง เขาไม่เคยรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน มันทำให้เขารู้กลัว กังวล และโศกเศร้าไปกับบทละคร ที่ตัวเขาเองเป็นผู้สร้างและกำกับการแสดงนั้นด้วยตัวเอง มันเป็นละครอันน่าเบื่อหน่าย ละครที่ผู้กำกับทำหน้าที่เป็นนักแสดงมันเสียเอง เขาผูกและวางโครงเรื่องทั้งหมดเอาไว้เพื่อตัวเองแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้เขายังเห็นภาพในอดีตของตัวเอง.. เป็นคนทำงานที่ดูขยันขันแข็ง ดูมีไฟลุกโชนในตัวอย่างท่วมท้น แต่ลึกๆ ในใจแล้วกลับเป็นคนขี้เกียจและไม่เคยมีใจให้กับองค์กรเลย ภาพที่เขาแสดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น เขาแสดงออกต่อโลกภายนอกด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครส่งสายตาเพ่งมาที่เขา เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ไม่เคยเข้าใจ ว่าสายตาที่เขาควรแคร์มากที่สุดคือสายตาที่เพ่งมองออกจากหัวใจของตัวเอง แววตาที่ต้องการจะถามไถ่ด้วยความสงสารว่า *"จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจในชีวิตอีกเหรอ"* ทุกครั้งที่เขาพยายามหว่านเสน่ห์ เขาก็เสียตัวตนของเขาไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันแปลกตรงที่.. เขากลับรู้สึกถึงการหลอกลวงว่าตัวเองกำลังเป็นตัวของตัวเองนั้น มันเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นอัตตาและทิฐิซึ่งเป็นความยึดมั่นถือมั่น ทิฐิ ที่ใครผู้ใดถือเอาไว้ผู้นั้นก็เป็นเสมือนผู้ไร้ซึ่งปัญญา ผู้ซึ่งถูกอวิชชาเข้าครอบงำ ยิ่งไปกว่านั้น.. ตัวเขาเองก็เคยอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อนเหมือนกัน แต่กลับไม่เคยทำได้เพราะมัวแต่กลัวการต้องสูญเสียและเสียดายรูปแบบชีวิตอย่างเดิม ๆ ไป แม้หัวใจของเขาจะเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงเพียงใดก็ตาม เขายังเห็นภาพของคนที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก คนที่มีเหตุผล คนที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุด แต่กลับเป็นทุกข์เหลือเกินกับการพยายามแบก พยายามรักษาภาพพจน์เหล่านั้น.. เขาเป็นคนที่ทำผิดแต่ไม่เคยสำนึกผิดชอบชั่วดี เขาไม่เคยกล่าวคำขอโทษใครแม้มันจะพ่นลมปากออกจากใจได้ง่ายๆ ก็ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว ผู้ชายคนนี้ตัดพ้อออกมาไม่ยอมหยุด สติครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คนๆ นี้ถึงเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความทุกข์ความสิ้นหวัง ทุกเรื่องที่เล่ามานั่นก็ตัวเขาเองไม่ใช่หรือ เขามีเวลามากพอที่จะตัดสินใจทำในเรื่องต่างๆ แต่เขาก็ได้เลือกทำสิ่งเหล่านั้นลงไปเอง เหตุใด ณ ขณะเวลาที่ต้องทำเขาจึงคิดไม่ได้แบบในตอนนี้กันนะ.. นอกจากคำตัดพ้อที่เต็มไปหมดแล้ว สิ่งที่ผู้ชายคนนี้เล่ามาทั้งหมดเหมือนเป็นเพียงคำสารภาพก่อนตายของคนเลว ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เขาจะทำแบบนี้ มาเล่าแบบนี้ให้สติฟังไปเพื่ออะไรกัน..วาระของคนใกล้ตายที่พึ่งจะคิดอะไรๆ ได้หลายๆ อย่างคงจะเป็นแบบนี้เองสินะ มีหลายอย่างที่สติพบว่าตัวเขาเองก็ทำคล้ายๆ กับผู้ชายคนนี้.. สติรู้สึกถูกดวงกับชายซึมเศร้าคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ทว่า.. ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะเข้าสู่ช่วงสำคัญ มันดันมีเสียงไก่ขันเล็ดลอดเข้ามาในภวังค์ที่กำลังก้าวสู่ฟ้าสาง สติเหมือนจะระลึกได้ว่าเดี๋ยวตัวเองก็คงต้องตื่นแล้ว เขายังไม่ได้ข้อสรุปอะไรจากผู้ชายคนนี้เลย ตกลงผู้ชายคนนี้ตายไปแล้วหรือยังไม่ตายกันแน่ ตกลงทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรือความฝัน หากทั้งหมดนี่คือความจริง และนายคนนี้ยังไม่ตาย อย่างน้อยผู้ชายที่เฉียดเข้าใกล้ความตายผู้นี้ก็ยังคงมีเวลามากพอเหลือให้กลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ล่ะนะ ก่อนการจากไปของชายคนนั้น สติได้เอ่ยถามไปว่า.. แล้วเราจะทำอย่างไรในการที่จะหยุดความเสียใจอันมาจากความไม่เข้าใจในตัวเองเลยจนกระทั่งจวนถึงลมหายใจสุดท้ายแบบนี้? *"คุณต้องเข้าใจ..."* สติไม่เข้าใจประโยคนี้เท่าใดนัก สติรู้สึกเหมือนโดนยอกย้อน ที่ถามไปนั้นก็เพราะสติยังไม่เข้าใจ แล้วตกลงเขาจะต้องเข้าใจมันยังไง อะไรกันเหรอที่เราควรเข้าใจมัน? *"คุณต้องเข้าใจว่าอะไรคืออะไร.. มันก็เหมือนกับการค้นพบต้นเหตุแห่งพฤติกรรม ต้นเหตุแห่งเรื่องราว เข้าใจในผลลัพธ์ของพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนจึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชั่วให้กลายเป็นดีได้.. "* สติเหมือนจะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งนี้ขึ้นมาบ้าง.. แต่ชายคนนั้นก็กำลังจะเดินจากเขาไปแล้ว ก่อนที่ความมืดจะกลืนร่างของเขาให้หายไปต่อหน้า สติรีบร้องทักขึ้นมาก่อนจะไม่ทันการณ์ "คุณครับ! คุณชื่ออะไรเหรอครับ?" *"ผมชื่อ.. สติ"*

@ 37c4e186:7de9109b

# Bitcoin: The Sacrifice of the Ego *by Leopoldo Moreno de la Cova* nostr:npub1m2x6mucaxs84d8njq5zrte3ksv7p83ppsqud3a84zww7rfw0hsysrq7v3j *Translated from the original Spanish by* nostr:npub1xlzwrphhxppeyjw0prlw0dvpsmx2a8jd6yhnt06clx6zvl0fzzdsgce7w0 > "In the world of Bitcoin there is a saying: 'stay humble and stack sats', which reminds us of the importance of sacrificing the ego and patience in the world of cryptocurrency" Satoshi Nakamoto is a venerated name in the world of cryptocurrency. He is the creator of Bitcoin, the first decentralized digital currency in the world, and responsible for initiating a revolution in the financial industry. Given the importance of his creation, it is surprising that he has never taken credit, and to this day, the identity of Satoshi continues to be a secret. The anonymity of Satoshi is perhaps the most underrated quality of this quasi-mythological figure, being the best exemplification of the sacrifice of the ego, and something that I consider that we should go into more deeply. The ego is a powerful force that drives human behavior. It is the sense of self-esteem or self-importance of a person, and often it manifests in the necessity for recognition or credit. However, when we become too attached to our ego, it can lead to arrogance, narcissism, and a distorted view of reality. In contrast, sacrificing the ego requires humility, disinterest, and a disposition to put the needs of others above one's own. Instead of seeking recognition for his creation, Satoshi decided to remain in the background and to allow his invention to speak for itself. This decision was not motivated by fear or insecurity, but rather by a deep understanding of the potential impact of his creation. Satoshi was conscious that Bitcoin had the potential to transform the financial industry, enabling people to control their own money, converting them into sovereign individuals, independent from corrupt governments, partisian monetary policies, or exhaustive control. He understood that his creation was greater than any single person, including himself. Upon remaining anonymous, he avoided any potential conflict of interest that could arise because of personal or financial gains, and in its place, he created a decentralized, transparent, and secure system, based on the economic theories of the Austrian school and distancing itself from Keynesian economic policies. The legend of Satoshi Nakamoto transcends the technological and financial spheres; already his influence has inspired a new generation of entrepreneurs and developers. His focus on decentralization and transparency has been the basis for innovative projects in diverse sectors, such as governance, intellectual property, and data protection. The philosophy behind Bitcoin, which seeks to empower people and democratize access to financial resources, has generated a paradigm shift in the way that we think of money and value. As we advance towards a digital future, the enduring impact of Satoshi and his vision continues to be a lighthouse of inspiration for those who seek to challenge the established system and to construct a more equitable world. In the world of Bitcoin there is a saying: "stay humble and stack sats", which reminds us of the importance of sacrificing the ego and patience in the world of cryptocurrency. Using Bitcoin as a store of value has provided an effective strategy for building long-term wealth and resisting the volatility of the market during the last 14 years. Humility has kept us focused on the final objective of the preservation of wealth, meanwhile constant saving/stacking permits us to take advantage of market opportunities and to build a solid base for the future. From my point of view, Satoshi reminds us that the success of decntralized digital money is not about getting rich quickly but rather about the creation of wealth in a constant and responsible fashion, with a focus on preserving property rights and personal liberty. Through analyzing all of this in detail, perhaps we should not be surprised that something has been created that safeguards property rights, freedom, and privacy like nothing that has been seen in the world before. Satoshi decided to unlink his creation from his identity. The story of Satoshi Nakamoto is the story of our age. Prometheus brought fire to humanity. Satoshi brought us Bitcoin. *Leopoldo Moreno de la Cova is an economist.*

@ cc33d933:0347fdcc

# Willkommen zu Nostr ### Ein paar Schritte, die den Einstieg in Nostr leichter machen https://nostr.build/p/nb5759.png --- _Diese Einführung ist verfügbar in:_ * Englisch nostr:naddr1qqxnzd3cxy6rjv3hx5cnyde5qgs87hptfey2p607ef36g6cnekuzfz05qgpe34s2ypc2j6x24qvdwhgrqsqqqa28lxc9p6 thanks to nostr:npub10awzknjg5r5lajnr53438ndcyjylgqsrnrtq5grs495v42qc6awsj45ys7 * Deutsch nostr:naddr1qqxnzd3c8yerwve4x56n2wpeqgsvcv7exvwqytdxjzn3fkevldtux6n6p8dmer2395fh2jp7qdrlmnqrqsqqqa283gyc96 thanks to nostr:npub1eseajvcuqgk6dy98zndje76hcd485zwmhjx4ztgnw4yruq68lhxq45cqvg * French: nostr:naddr1qqxnzd3cxyunqvfhxy6rvwfjqyghwumn8ghj7mn0wd68ytnhd9hx2tcpzamhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68ytnzv9hxgtcpvemhxue69uhkv6tvw3jhytnwdaehgu3wwa5kuef0dec82c33xpshw7ntde4xwdtjx4kxz6nwwg6nxdpn8phxgcmedfukcem3wdexuun5wy6kwunnxsun2a35xfckxdnpwaek5dp409enw0mzwfhkzerrv9ehg0t5wf6k2qgawaehxw309a6ku6tkv4e8xefwdehhxarjd93kstnvv9hxgtczyzd9w67evpranzz2jw4m9wcygcyjhxsmcae6g5s58el5vhjnsa6lgqcyqqq823cmvvp6c thanks to nostr:npub1nftkhktqglvcsj5n4wetkpzxpy4e5x78wwj9y9p70ar9u5u8wh6qsxmzqs * Chinese: nostr:naddr1qqxnzd3cx5urvwfe8qcr2wfhqyxhwumn8ghj7mn0wvhxcmmvqy28wumn8ghj7un9d3shjtnyv9kh2uewd9hszrrhwden5te0vfexytnfduq35amnwvaz7tmwdaehgu3wdaexzmn8v4cxjmrv9ejx2aspzamhxue69uhhyetvv9ujucm4wfex2mn59en8j6gpzpmhxue69uhkummnw3ezuamfdejszxrhwden5te0wfjkccte9eekummjwsh8xmmrd9skcqg4waehxw309ajkgetw9ehx7um5wghxcctwvsq35amnwvaz7tmjv4kxz7fwdehhxarjvaexzurg9ehx2aqpr9mhxue69uhhqatjv9mxjerp9ehx7um5wghxcctwvsq3jamnwvaz7tmwdaehgu3w0fjkyetyv4jjucmvda6kgqgjwaehxw309ac82unsd3jhqct89ejhxqgkwaehxw309ashgmrpwvhxummnw3ezumrpdejqz8rhwden5te0dehhxarj9ekh2arfdeuhwctvd3jhgtnrdakszpmrdaexzcmvv5pzpnydquh0mnr8dl96c98ke45ztmwr2ah9t6mcdg4fwhhqxjn2qfktqvzqqqr4gu086qme thanks to nostr:npub1ejxswthae3nkljavznmv66p9ahp4wmj4adux525htmsrff4qym9sz2t3tv * Swedish: nostr:naddr1qqxnzd3cxcerjvekxy6nydpeqyvhwumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgunfvd5zumrpdejqzxthwden5te0wp6hyctkd9jxztnwdaehgu3wd3skueqpz4mhxue69uhkummnw3ezu6twdaehgcfwvd3sz9thwden5te0dehhxarj9ekkjmr0w5hxcmmvqyt8wumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgu3wvfskueqpzpmhxue69uhkummnw3ezuamfdejszenhwden5te0ve5kcar9wghxummnw3ezuamfdejj7mnsw43rzvrpwaaxkmn2vu6hydtvv94xuu34xv6rxwrwv33hj6ned3nhzumjdee8guf4vae8xdpex4mrgvn3vvmxzamndg6r27tnxulkyun0v9jxxctnws7hgun4v5q3vamnwvaz7tmzd96xxmmfdejhytnnda3kjctvqyd8wumn8ghj7un9d3shjtn0wfskuem9wp5kcmpwv3jhvqg6waehxw309aex2mrp0yhxummnw3e8qmr9vfejucm0d5q3camnwvaz7tm4de5hvetjwdjjumn0wd68y6trdqhxcctwvsq3camnwvaz7tmwdaehgu3wd46hg6tw09mkzmrvv46zucm0d5q32amnwvaz7tm9v3jkutnwdaehgu3wd3skueqprpmhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68yct5dyhxxmmdqgszet26fp26yvp8ya49zz3dznt7ungehy2lx3r6388jar0apd9wamqrqsqqqa28jcf869 thanks to nostr:npub19jk45jz45gczwfm22y9z69xhaex3nwg47dz84zw096xl6z62amkqj99rv7 * Spanish: nostr:naddr1qqfxy6t9demx2mnfv3hj6cfddehhxarjqyvhwumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgunfvd5zumrpdejqzxthwden5te0wp6hyctkd9jxztnwdaehgu3wd3skueqpz4mhxue69uhkummnw3ezu6twdaehgcfwvd3sz9thwden5te0dehhxarj9ekkjmr0w5hxcmmvqyt8wumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgu3wvfskueqpzpmhxue69uhkummnw3ezuamfdejszenhwden5te0ve5kcar9wghxummnw3ezuamfdejj7mnsw43rzvrpwaaxkmn2vu6hydtvv94xuu34xv6rxwrwv33hj6ned3nhzumjdee8guf4vae8xdpex4mrgvn3vvmxzamndg6r27tnxulkyun0v9jxxctnws7hgun4v5q3vamnwvaz7tmzd96xxmmfdejhytnnda3kjctvqyd8wumn8ghj7un9d3shjtn0wfskuem9wp5kcmpwv3jhvqg6waehxw309aex2mrp0yhxummnw3e8qmr9vfejucm0d5q3camnwvaz7tm4de5hvetjwdjjumn0wd68y6trdqhxcctwvsq3camnwvaz7tmwdaehgu3wd46hg6tw09mkzmrvv46zucm0d5q32amnwvaz7tm9v3jkutnwdaehgu3wd3skueqprpmhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68yct5dyhxxmmdqgs87hptfey2p607ef36g6cnekuzfz05qgpe34s2ypc2j6x24qvdwhgrqsqqqa28ldvk6q thanks to nostr:npub138s5hey76qrnm2pmv7p8nnffhfddsm8sqzm285dyc0wy4f8a6qkqtzx624 * Dutch: nostr:naddr1qqxnzd3c8q6rzd3jxgmngdfsqyvhwumn8ghj7mn0wd68ytn6v43x2er9v5hxxmr0w4jqz9rhwden5te0wfjkccte9ejxzmt4wvhxjmcpp4mhxue69uhkummn9ekx7mqprfmhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68yemjv9cxstnwv46qzyrhwden5te0dehhxarj9emkjmn9qyvhwumn8ghj7ur4wfshv6tyvyhxummnw3ezumrpdejqzxrhwden5te0wfjkccte9eekummjwsh8xmmrd9skcqgkwaehxw309ashgmrpwvhxummnw3ezumrpdejqzxnhwden5te0dehhxarj9ehhyctwvajhq6tvdshxgetkqy08wumn8ghj7mn0wd68ytfsxyhxgmmjv9nxzcm5dae8jtn0wfnsz9thwden5te0v4jx2m3wdehhxarj9ekxzmnyqyt8wumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgu3wvfskueqpy9mhxue69uhk27rsv4h8x6tkv5khyetvv9ujuenfv96x5ctx9e3k7mgprdmhxue69uhkummnw3ez6v3w0fjkyetyv4jjucmvda6kgqg8vdhhyctrd3jsygxg8q7crhfygpn5td5ypxlyp4njrscpq22xgpnle3g2yhwljyu4fypsgqqqw4rsyfw2mx thanks to nostr:npub1equrmqway3qxw3dkssymusxkwgwrqypfgeqx0lx9pgjam7gnj4ysaqhkj6 * Arabic: nostr:naddr1qqxnzd3c8q6rywfnxucrgvp3qyvhwumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgunfvd5zumrpdejqzxthwden5te0wp6hyctkd9jxztnwdaehgu3wd3skueqpz4mhxue69uhkummnw3ezu6twdaehgcfwvd3sz9thwden5te0dehhxarj9ekkjmr0w5hxcmmvqyt8wumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgu3wvfskueqpzpmhxue69uhkummnw3ezuamfdejszenhwden5te0ve5kcar9wghxummnw3ezuamfdejj7mnsw43rzvrpwaaxkmn2vu6hydtvv94xuu34xv6rxwrwv33hj6ned3nhzumjdee8guf4vae8xdpex4mrgvn3vvmxzamndg6r27tnxulkyun0v9jxxctnws7hgun4v5q3vamnwvaz7tmzd96xxmmfdejhytnnda3kjctvqyd8wumn8ghj7un9d3shjtn0wfskuem9wp5kcmpwv3jhvqg6waehxw309aex2mrp0yhxummnw3e8qmr9vfejucm0d5q3camnwvaz7tm4de5hvetjwdjjumn0wd68y6trdqhxcctwvsq3camnwvaz7tmwdaehgu3wd46hg6tw09mkzmrvv46zucm0d5q32amnwvaz7tm9v3jkutnwdaehgu3wd3skueqprpmhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68yct5dyhxxmmdqgsfev65tsmfgrv69mux65x4c7504wgrzrxgnrzrgj70cnyz9l68hjsrqsqqqa28582e8s thanks to nostr:npub1nje4ghpkjsxe5thcd4gdt3agl2usxyxv3xxyx39ul3xgytl5009q87l02j * Russian: nostr:naddr1qqxnzd3cxg6nyvehxgurxdfkqyvhwumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgunfvd5zumrpdejqzxthwden5te0wp6hyctkd9jxztnwdaehgu3wd3skueqpz4mhxue69uhkummnw3ezu6twdaehgcfwvd3sz9thwden5te0dehhxarj9ekkjmr0w5hxcmmvqyt8wumn8ghj7un9d3shjtnwdaehgu3wvfskueqpzpmhxue69uhkummnw3ezuamfdejszenhwden5te0ve5kcar9wghxummnw3ezuamfdejj7mnsw43rzvrpwaaxkmn2vu6hydtvv94xuu34xv6rxwrwv33hj6ned3nhzumjdee8guf4vae8xdpex4mrgvn3vvmxzamndg6r27tnxulkyun0v9jxxctnws7hgun4v5q3vamnwvaz7tmzd96xxmmfdejhytnnda3kjctvqyd8wumn8ghj7un9d3shjtn0wfskuem9wp5kcmpwv3jhvqg6waehxw309aex2mrp0yhxummnw3e8qmr9vfejucm0d5q3camnwvaz7tm4de5hvetjwdjjumn0wd68y6trdqhxcctwvsq3camnwvaz7tmwdaehgu3wd46hg6tw09mkzmrvv46zucm0d5q32amnwvaz7tm9v3jkutnwdaehgu3wd3skueqprpmhxue69uhhyetvv9ujumn0wd68yct5dyhxxmmdqgs87hptfey2p607ef36g6cnekuzfz05qgpe34s2ypc2j6x24qvdwhgrqsqqqa286qva9x by nostr:npub10awzknjg5r5lajnr53438ndcyjylgqsrnrtq5grs495v42qc6awsj45ys7 --- Hallo, mit-Nostrich! Nostr ist ein brandneues Phänomen. Es gibt ein paar Schritte, die den Zugang erleichtern und die Nutzung verbessern. ## 👋 Willkommen Da Sie diesen Text lesen, kann man annehmen, dass Sie bereits Nostr beigetreten sind indem Sie eine der Apps (bspw. [Damus](https://damus.io/), [Amethyst](https://play.google.com/store/apps/details?id=com.vitorpamplona.amethyst&hl=en&gl=US), [Plebstr](https://plebstr.com/)) für ihr Mobilgerät heruntergeladen haben, oder einen Nostr Web Client geöffnet haben (bspw. [snort.social](https://snort.social/), [Nostrgram](https://nostrgram.co/), [Iris](https://iris.to/)). Für einen Einsteiger ist es empfehlenswert, den Schritten zu folgen, die die App ihrer Wahl vorschlägt – deren Begrüßungsverfahren liefert alle nötigen Grundlagen, und Sie müssen nichts weiter einstellen, außer Sie wollen wirklich etwas ändern. Wenn Sie auf diesen Post hier gestoßen sind, aber noch gar keinen Nostr “Account” haben, können Sie [dieser einfachen Schritt für Schritt Anleitung](https://worldtravelambitions.notion.site/worldtravelambitions/How-to-Set-Up-Nostr-Using-GetAlby-and-Snort-social-c3fabb2ecc8d465dba0e73a3f1c2558a) von nostr:npub1cly0v30agkcfq40mdsndzjrn0tt76ykaan0q6ny80wy034qedpjsqwamhz folgen. --- ## 🤙 Spaß haben Nostr ist dafür entworfen worden, damit sich Leute verbinden können, gehört werden und dabei Spaß haben. Das ist alles (natürlich gibt es eine Fülle andere Anwendungen, wie ein Werkzeug für Freiheitskämpfer und Whistleblower zu sein, aber das verdient einen eigenen Artikel). Wenn etwas nicht klappt, wenden Sie sich einfach an erfahrene Nostricher, die Ihnen gerne helfen werden. Nostr zu nutzen ist ganz leicht, aber es gibt ein paar Besonderheiten im Vergleich zu herkömmlichen Plattformen, also ist es natürlich und sogar empfohlen Fragen zu stellen. Hier ist eine _inoffizielle_ Liste von Nostr Ambassadors, die gerne beim Einstieg behilflich sind: nostr:naddr1qqg5ummnw3ezqstdvfshxumpv3hhyuczypl4c26wfzswnlk2vwjxky7dhqjgnaqzqwvdvz3qwz5k3j4grrt46qcyqqq82vgwv96yu _Allen Nostrichern auf der Liste wurde eine [Nostr Ambassador](https://lnshort.it/nostr-ambassadors) Medaille verliehen, die es Ihnen leichter macht, sie zu finden, sie zu überprüfen und ihnen zu folgen._ --- ## ⚡️ Zaps aktivieren Zaps sind eine der ersten Besonderheiten, die einem auffalen, wenn man Nostr beigetreten ist. Zaps ermöglichen Nostr Benutzern sofort Belohnungen zu senden und so die Erstellung nützlicher und unterhaltsamer Inhalte zu unterstützen. Dies wird mit Bitcoin und dem Lightning Network möglich. Diese dezentralen Zahlungsprotokolle lassen einen sofort ein paar sats (die kleinste Einheit im Bitcoin Netzwerk) schicken, genauso einfach wie ein Like in einem herkömmlichen sozialen Netzwerk. Wir nennen dieses Modell “Wert für Wert”. Mehr über dieses ultimative Monetarisierungsmodell finden Sie hier: [https://dergigi.com/value/](https://dergigi.com/value/) In [diesem Post](https://lnshort.it/what-are-zaps/) von nostr:npub18ams6ewn5aj2n3wt2qawzglx9mr4nzksxhvrdc4gzrecw7n5tvjqctp424 finden Sie eine gute Einführung zu Zaps. Sie sollten Zaps aktivieren, auch wenn Sie sich nicht als Content Creator sehen – andere **werden** einige ihrer Posts für wertvoll halten und möchten ihnen dann ein paar sats schicken. Der einfachste Weg auf Nostr Mehrwert zu erzielen erfordert nur ein paar Schritte: 1. Laden Sie sich [Wallet of Satoshi](https://www.walletofsatoshi.com/) für ihr Mobilgerät herunter - vermutlich ist das die beste Wahl für die, für die Bitcoin and Lightning etwas Neues ist.[^1] Natürlich gibt es [viele andere Wallets](https://lightningaddress.com/), und sie können Sich gerne eine aussuchen, die ihnen besser gefällt. Vergiss Sie aber nicht ein Backup ihres Wallets zu erstellen! 2. Tippen Sie auf “Receive” 3. Tippen Sie auf die Lightning Addresse, die angezeigt wird (der Text, der aussieht wie eine Email Addresse) an, um sie zu kopieren.  4. Fügen Sie die Adresse in das entsprechende Feld in den Einstellungen ihres Nostr Clients ein (das Feld ist bspw. mit “Bitcoin Lightning Address”, “LN Address” oder etwas Ähnlichem beschriftet, je nachdem welche App Sie benutzen).  --- ## 📫 Holen Sie sich eine Nostr Addresse Eine Nostr Addresse, auch oft als “NIP-05 Identifier” von den alten Hasen auf Nostr bezeichnet, sieht aus wie eine Email Adresse und: 🔍 Hilft ihren Nostr Account zu teilen, und anderen ihn zu finden ✔️ Dient als Nachweis, dass Sie ein Mensch sind (und kein Bot) --- Hier ein Beispiel für eine Nostr Adresse: [Tony@nostr.21ideas.org](nostr:npub10awzknjg5r5lajnr53438ndcyjylgqsrnrtq5grs495v42qc6awsj45ys7)  _Einfach zu merken und in eine Nostr App einzugeben, um den Benutzer zu finden._ --- Um eine Nostr Adresse zu bekommen kann man kostenlose Dienste wie [Nostr Check](https://nostrcheck.me/) (von nostr:npub138s5hey76qrnm2pmv7p8nnffhfddsm8sqzm285dyc0wy4f8a6qkqtzx624), oder kostenpflichtige wie [Nostr Plebs](https://nostrplebs.com/) (von nostr:npub18ams6ewn5aj2n3wt2qawzglx9mr4nzksxhvrdc4gzrecw7n5tvjqctp424). Beide bieten unterschiedliche Vorteile und Sie wählen einfach einfach einen aus. Ein anderer Weg zu einer Nostr Addresse führt über eine Browser Extension. Mehr zu diesem Ansatz finden Sie [hier](https://blog.getalby.com/the-2-minute-alby-guide-to-nostr/)) . --- ## 🙇‍♀️ Die Grundlagen kennenlernen Unter der Haube unterscheidet sich Nostr stark von herkömmlichen sozialen Plattformen, sodass es für einen Einsteiger vorteilhaft ist, ein grundlegendes Verständnis davon zu erlangen, wie es funktioniert. Dazu muss man keine Programmiersprache lernen oder die Details eines Netzwerkprotokolls verstehen. Es ist aber sehr hilfreich, das Gesamtbild zu sehen und den Unterschied zwischen Nostr und Twitter/Medium/Reddit zu verstehen. Es gibt beispielsweise keine Passwörter und Logins, sondern private und öffentliche Schlüssel. Dazu gibt es einige ausführliche Ressourcen, die Ihnen beim Verstehen von Nostr helfen. Alle, die ihre Aufmerksamkeit verdienen, sind [auf dieser ordentlich aufgebauten Landingpage](https://www.bevstr.com/Nostr/) von nostr:npub12gu8c6uee3p243gez6cgk76362admlqe72aq3kp2fppjsjwmm7eqj9fle6 mit viel 💜 gesammelt worden.  _Die Informationen in diesen Quellen werden Ihnen auch helfen, ihre Nostr Schlüssel (ihren Account) zu sichern. Also ist es wichtig, einen Blick darauf zu werfen._ --- ## 🤝 Sich mit anderen verbinden Die Möglichkeit sich mit interessanten [^3] Menschen zu verbinden macht Nostr besonders. Jeder wird gehört und niemand ausgeschlossen. Hier sind ein paar einfach Wege andere auf Nostr zu finden: * **Finde Sie, wem Sie auf Twitter folgen**: [**https://www.nostr.directory/**](https://www.nostr.directory/) ist dafür hilfreich. * **Folgen Sie, wem die folgen, denen Sie folgen**: Besuchen Sie das Profil einer Person, deren Interessen Sie teilen, sehen Sie sich die Liste der von dieser gefolgten Konten und verbinden Sie sich ggf. mit ihnen.  * **Rufen Sie den Globalen Feed auf**: Jeder Nostr Client hat die Möglichkeit den Globalen Feed aufzurufen. Dieser enthält die Posts aller Nostr Benutzer. Folgen Sie einfach den Leuten, die Sie interessant finden (aber haben Sie Geduld - da kannst ist auch eine Menge Spam dabei).  * **Verwenden Sie #hashtags**: Hashtags sind eine gute Möglichkeit interessante Themen zu filtern. Tippen Sie einfach auf ein #hashtag, das Sie interessant finden, und Sie finden mehr Posts zu diesem Thema. Sie können in ihrer App auch nach Hashtags suchen. Fügen Sie sie auch ihren eigenen Posts hinzu, damit sie leichter gefunden werden. https://nostr.build/i/0df18c4a9b38f1d9dcb49a5df3e552963156927632458390a9393d6fee286631.jpg Screenshot of https://nostrgraph.net/ dashboard by nostr:npub1ktw5qzt7f5ztrft0kwm9lsw34tef9xknplvy936ddzuepp6yf9dsjrmrvj --- ## 🗺️ Nostr erkunden Diese fünf Schritte sind ein guter Anfang für einen erfolgreichen Start mit Nostr. Aber es gibt so viel mehr zu entdecken! Nostr ist nicht nur einfach ein Twitter Ersatz, seinen Möglichkeiten sind nur durch unsere Vorstellungskraft Grenzen gesetzt.  Hier noch eine Liste von unterhaltsamen und nützlichen Nostr Projekten: * [**https://nostrapps.com/**](https://www.nostrapps.com/) eine List von Nostr Apps * [**https://nostrplebs.com/**](https://nostrplebs.com/) – hol Dir deine NIP-05 und andere Nostr Vorteile (zahlungspflichtig) * [**https://nostrcheck.me/**](https://nostrcheck.me/) – Nostr Adresse, Medien Uploads, relay * [**https://nostr.build/**](https://nostr.build/) – Medien-Upload und Verwaltung (und mehr) * [**https://nostr.band/**](https://nostr.band/) – Nostr Netzwerk und Benutzer Statistiken * [**https://zaplife.lol/**](https://zaplife.lol/) – Zapping Statistiken * [**https://nostrit.com/**](https://nostrit.com/) – Posts zu bestimmten Zeiten senden. * [**https://nostrnests.com/**](https://nostrnests.com/) – Twitter Spaces 2.0 * [**https://nostryfied.online/**](https://nostryfied.online/) - Sichere deine Nostr Daten * [**https://www.wavman.app/**](https://www.wavman.app/) - Nostr Musik Player --- ## 📻 Relays Nachdem Sie jetzt Nostr kennengelernt haben, sollten Sie sich unbedingt meine Kurzanleitung zu Nostr-Relays ansehen: [https://lnshort.it/nostr-relays](https://lnshort.it/nostr-relays). Das muss einen am Anfang zwar nicht interessieren, aber später sollte man es sich einmal angesehen haben. *** ## 📱 Nostr auf dem Mobilgerät Ein reibungslose Nostr Nutzung auf Mobilgeräten ist möglich. Diese Anleitung hilft Dir, dich nahtlos in Nostr-Webanwendungen auf deinem Smartphone anzumelden, zu posten, zu zappen und mehr:[https://lnshort.it/nostr-mobile](https://lnshort.it/nostr-mobile) *** *Danke fürs Lesen und wir sehen uns auf der anderen Seite!* nostr:npub1eseajvcuqgk6dy98zndje76hcd485zwmhjx4ztgnw4yruq68lhxq45cqvg *** [^1]: nicht vergessen

@ 1bc70a01:24f6a411

**Originally published on October 15, 2022. Moving from my personal blog to Nostr 🙌** ## Don't trust, verify Some people find this very annoying. But I've realized that most people are winging it in life. Human psychology and power dynamics influences how people think and what they say. People want to seem right so they copy what others say, and expect you to believe it. One way people consume information is through media - news and articles. They'll read something and assume it's true. Cited by a "study"? Must be true. "Experts say"? Gotta be true. Except, if you check the sources and do some critical thinking, you might uncover that the study is flawed or that the experts are biased. Simple things like statistical significance are thrown out the window in some studies. People overlook personal biases. This all leads to poor data and misrepresentation. This is how you get click-bait headlines. The only way to know what's true is to try and verify it for yourself. Even if you are not able to verify the facts, you can come away with a range of certainty about what you learned. Is it probably true? May be true. Certainly true? Or maybe there is a grain of truth to it? The level of confidence can vary. You don't need to be 100% confident in your newly acquired knowledge. ## Treat new knowledge as data points "It depends" is the most appropriate answer to all questions in life. The actual answer is very nuanced and depends on all sorts of things. But, the way media presents information and the way our minds try to categorize it is by replacing past beliefs. Once you learn something new, it's tempting to disregard your past knowledge. I don't see information this way. To me, all new information is a data point in my life-long accumulated collection of other data points. Think of it like a toolbox. You have many tools in your toolbox and they are all useful for some specific task. You don't throw away a tool you bought because you acquired another. Information is much the same. You source information from your mind to understand some subject. Consider existing beliefs, while looking at the new information. The goal is to connect the dots. Sooner or later the data points (dots) start connecting, and you get a better picture of the subject. ## Seek out incentives Incentives drive human behavior. Incentive to earn. Incentive to love. Incentive to feel good about yourself (generosity). If you can figure out a person's incentives, you will start to understand their behavior. People suck at understanding this. They blame the wrong things. They assign responsibility to people who are not responsible. They create made up reasons for why someone did something. All the whole ignoring incentives. Incentives drive everything. Ask the following questions: * What is the ultimate goal of this person by saying or doing this? * What do they seek to gain? * How does it make them feel? * What will they do at the prospect of failure? * Who are the people they care for? * What do they stand to lose? * What motivates their actions? * In almost all cases the answer to these questions involves a personal gain / loss. ## Give people the benefit of the doubt When trying to decide whether something was said or done with good intent, assume that's the case. With exceptions such as career politicians or criminals, it is best to assume that people mean well and people are default=nice. Otherwise it becomes difficult to have faith in systems, processes and humanity. I know the world can be an ugly place, but it can also be a beautiful place. I'd rather assume people are seeking to build a better future for themselves. If they act against everyone's best interest, it is best to assume they do so out of personal gain rather than some sinister plot. Look at the incentives that drive their behavior and figure out how to modify them to best serve everyone. ## Acknowledge that material wealth does not bring happiness and strive for what matters to you. Money does not bring happiness no matter what anyone says. It does relieve you of despair and help live a better, more peaceful and enjoyable life, but it will not make you happy. Very few people in the world, if any, know true happiness because they confuse happiness (the process) with happiness (the end state). There is no end state for happiness. When people ask you if you are happy, it's hard to answer, right? Your instinct is to say "yes, of course". After all, your day is going fine, you have every comfort you desire and you had a pleasant lunch with a friend. You feel "happy". But, this happiness fades. Tomorrow you get in a car accident, your car damaged, insurance won't pay out and you miss 2 weeks of work. You are "unhappy". Some people confuse happiness with being content. You can be content with your place in life, but that doesn't mean you're happy. The whole debate over happiness is a mute point. Since happiness is a process which is more akin to enjoyment, ultimately there is no such thing as happiness. The word itself should disappear from dictionaries. Ok, I'm joking. But, you get the point. When it comes to my life, I strive for satisfaction and contentment. If I'm satisfied that day, that week, that month, that year, or the last decade, then I've met my "happiness" goals. If I am content with my life, then I'm "happy". While material wealth can provide satisfaction, the contentment piece is often missing. With wealth, the goal post moves from one spot to another. Once you've achieved a satisfying moment, you have to move to the next, and the next. Each time you have to introduce higher states of satisfaction that require more effort and money. Eventually, you plateau and satisfying moments from the physical world no longer matter. You seek out emotional attachment and relationships. This is why so many wealthy people are depressed. No matter how much they spend, they can never reach that emotional attachment provided by love and relationships. In fact, wealth only complicates those things. Instead of people seeing you for who you are as a person, a new variable is introduced and they see you for your status. With misaligned incentives, it becomes more difficult to form genuine relationships. Thus, contentment is hard to achieve. I'm going to let you in on the biggest secret everyone is asking about - the secret to happiness. The secret to happiness is charitable work. Doing things for others, without expecting anything in return. Charitable acts are secretly selfish acts, whether that person acknowledges it or not. All humans act in self-preservation. The need to feel good about ourselves. The need for approval. The need for comfort and safety. The need for recognition. All of these needs are driven by self-preservation. Charity is no different. While we may feel that we do good things for others out of the goodness of our hearts, the evolutionary incentive is to feel satisfied by our deeds. There's nothing wrong with doing good things to feel good, as long as you understand why you're doing it, instead of performing mental gymnastics. ## We are not designed for our digital world and should not strive to adapt to it Evolution took hundreds of thousands of years to shape humans into what we are today. But technology accelerated the process by many magnitudes all within about 100 years. Except, it hasn't. The evolutionary clock is still catching up, out of breath and exhausted with your daily activity. While we adapt rather well, humans are not capable of processing the amount of data and connections offered by the internet. This ultimately messes with our minds. Think about your current physical world social circle. Small, yes? Now think about your digital social circle. Much larger? How many people do you think about out of your larger digital social circle? My guess is not that many. While you may recognize the individuals you interact with, the meaning connections formed in the digital world are somewhat closely mirrored to the physical world. I hypothesize this is because we have innate evolutionary boundaries that limit our ability to expand beyond a certain natural limit. Going beyond the invisible evolutionary boundaries places a burden on your mind. It feels unhealthy. Remember the last time you thought to yourself "I need a break. I need to unplug"? That's your evolutionary boundary telling you it is not capable of processing any more data. You need a purge to get back to equilibrium. We are not designed to be always-on, always-connected, always-responsive. At least not yet. It's possible the evolutionary process catches up and prepares us to handle all of it, but I am not confident it will be any time soon. I try to remind myself that I am not meant to have 50,000 followers and expect to keep everyone happy. I am not meant to follow everyone's updates and be expected to respond. To stay healthy, I need to unplug. ## Life is what you make of it, do what you wish to do and ignore the rest There's no "right way" to do anything. Everything is a figment of human imagination. To do things "the right way" means doing it by someone else's definition of right. I found it incredibly freeing to realize that the only thing that is pure in this world is the natural world and your mind. The world is a canvas. You are the paint brush. Everyone is capable of everything and nothing at the same time. Everything else is noise. Yes, we have society. Yes, we have rules. These artificial, human-invented boundaries act to preserve harmony. But, ultimately, the only pure forms of existence are the human mind and the natural world. What you do is the only thing within your boundary of control (to an extent). Since we experience the world with our minds, we are all that is true. Everything else is a projection of some entity or experience that seeks to change our behavior (intentionally or unintentionally). With this in mind, I look at people's experiences as unique to them and do not assume that they will translate in the same way to my life if I apply them. ## Only worry about things that are in my control I can't control what people do. I can try to influence them, but ultimately they will do what they decide to do. Since I can only control myself, I don't worry about what others think or do. ## Never regret It's easy to say "I don't regret things" but in reality emotions take us there and we think about what we regret. I would be lying if I said I don't have feelings of regret. But, I forget about them quickly so I can focus on the things I can control. What passed is now behind me and there's no way to change it back, so there's no point in regretting. Reflection is not the same as regret. One can reflect by looking at the past, and make changes for the future. Regrets are bitter feelings an no action. ## Truth is relative Even as I write this, my own truths are relative. What is true for me, or is true now, may not be true for you or true when you read it. It may be wrong. People used to believe earth was the center of the universe. That the sun went around the earth. That to ward off bad spirits you had to offer sacrifices. These were all truths to the people who held those beliefs. Now we know different. Given what we know now, it is only logical to assume that our current truths may be false in the future. Even physics, the foundation upon we base so many truths may be proven to be wrong or incompatible with other parts of the universe. ## Most things are not the best version of themselves therefore there is always room for improvement. Since things get better all the time, it is only logical to assume that even the best thing we can think of is not the best version of that thing. The "best" is relative to time, technology and imagination. Whenever someone says "but we already have X that works great", that doesn't mean that Y cannot be better than X, nobody just thought of it yet. Stay curious, stay hungry and know that you can create something better. ## Take experts with a grain of salt Even the top experts in their fields are often incorrect. For example - I know a lot about conversion optimization, but if you were to take every advice I dish out, some of it will inevitably flop. When you get to an expert level, when someone asks you something you don't know, it is tempting to give an answer. When many people ask you for something, it's even more tempting to respond. Saying "I don't know" is difficult even if you feel that you should say it. Before you can utter the words, your mind says "I should know this..." The second factor that makes experts not as credible as they may have been in the past, is the speed at which technology moves. Think about a specialized doctor. This doctor may be the top expert in their field, but it is impossible for them to read the thousands of medical journals published every day. So many breakthroughs could happen in a year without this doctor ever knowing about them. By the time an expert weighs in, the "truth" of the matter may have already shifted. Knowing this, you can assume that not everything an expert says is correct, especially if they step outside of their lane. Elon Musk is a great example of this. While Elon is a successful entrepreneur and perhaps knows a thing or two about rocket engines, when he steps outside of his lane and talks about crypto, he is no more coherent than someone who spent a lot of time in the space. He uses his influence to prop up things like dogecoin for fun and games, while people lose their life savings following his doge tweets. I'm not saying that he is responsible for people's personal decisions, but he does influence them.

@ 1bc70a01:24f6a411

I’m going to think out lout about the UAP hearing a bit, feel free to tune me out. ## Scenario 1 The one most of us are probably thinking: This entire thing is a distraction from one or many known or unknown issues currently underway. It must be so bad that it warrants national attention to the all-entertaining “UAP” subject. For this to be true, we have to assume one of the following: 1. The people testifying are lying. Maybe paid actors, maybe not, who knows, but they are not telling the truth. 2. They are telling their “truth”, however they obtained it, perhaps even their reality. We do know UFOs are commonly reported worldwide, so perhaps they are just telling what they saw. In terms of congressional involvement, scenario one would mean that some or all of the congress members are full of shit. This is an unlikely scenario in my mind (hard to get everyone to go along with a lie). The more likely scenario is that they are in it for the wild ride, totally unaware they are being used as pawns (or at least some aren’t). What makes this scenario possible in my opinion is that Grush is allowed to speak about the events publicly but not discuss details (unless privately). This makes for good public theatre. Why would unsanctioned projects allow Grush to even go so far as to speak about the events when a slip and fall accident could occur at any moment? The answer would have to be either: 1. Because it’s all bullshit, or mostly bullshit. 2. Because the agencies involved are really THAT incompetent and hadn’t figured out what is happening. 3. Because they have no problem with him talking about it because they would like to slowly disclose alien technology and the fact that we’re not alone. 4. To serve the purpose of distraction. Assuming scenario 1 is correct, the most likely scenario is that the people involved are telling their own version of truth and that some of the congressional members are unaware of the real reason they’re there. This is an easy fallback for any time you want to divert attention from some other pressing matters. Just talk about UFOs! The earlier story in NY Times would also make sense in this case - as the NYT has been known to act as the propaganda arm of the government. The NY Times story brought a lot of attention to the matter, but we have to also wonder why this was under the rug for so many years? Perhaps because it’s pure bullshit. ## The “It’s real!” Scenario…. Let us assume that this is not a distraction. The people testifying are telling the truth. Everything is as they say it is. Ooof! This would mean that everything Grush says is true - there are unsanctioned programs and or people with extreme privilege and clearance not granted to anyone else. People that are not even part of the government in any way. It would also mean we have recovered alien craft and bodies and have attempted to reverse engineer their tech. Perhaps we already succeeded and what we see flying around today is this reverse engineered tech, or actual ETs. What would make this scenario real? Well, there is no shortage of UFO sightings. People swearing their life on it. For us to discount all of them would mean calling everyone a liar, or just confused about some other phenomena. I wouldn’t bet on all liars and delusional, but confused, maybe. Still, some accounts are just too out there to dismiss without some serious thought. The fact that people’s stories seem to match could mean that there’s truth to those reports. Perhaps the aliens use pods (classic saucer shapes, or “tic tacs” or other shapes craft. Maybe the “cubes” in orbs are their versions of drones? Or not? Maybe the large cubes are spacecraft. Yes, they cover vast amounts of space quickly and STILL crash on our planet. Rookies that failed the landing maneuver in flight school… heh. The governments of the world are all cooperating in hiding the truth and or the US government has unprecedented access to other parts of the world to recover and cover up various incidents. WOW… ok. That means we have something like a one world alien-communication government that has unprecedented access beyond anyone’s control. How?? If this is the real deal, we should all be losing our minds right now. The prospect of another species with vastly superior technology with interest in our nuclear dealings should scare everyone. Forget everything else, this is priority #1. THE PROBLEM with this scenario? 1. Some foreign govt. would have already revealed what they know. Would they not? Are we to believe they are all collaborating on this with some inter-government agency that acts with ultimate authority? Why? How? Maybe they are already speaking out and I’m unaware? 2. We STILL don’t have any definitive evidence. He said, she said, they said. “First account” from a “trusted source”. OK. 3. Aliens possess mind-blown tech, but still crash once in a while. I guess you could say that there will always be a small chance of crash no matter who is flying what. I’ll give people that. 4. “It’s classified”. No amount of talking seems to reveal the actual “classified” information. Even during the congressional meeting it’s always “I can tell you privately”, and “I’m not permitted to talk about this by law”. Which is it? Are you, or are you not allowed to speak on the matter? Why can you disclose it behind closed doors but not in public? Seems rather strange to me. In the “It’s all real!” Scenario, we are all screwed. Either we are being prepped for eventual disclosure of alien life or aliens can do crap we can’t protect against. If we’re being prepared for disclosure, it may mean that we have no say in how things unfold on our planet and the best we can do is ease people into it without everyone losing their minds. In that case, a series of hearings on the matter might make sense. Keep talking about it louder and louder until people are no longer shocked to hear the truth. Buckle up everyone, things are about to get interesting! ## Scenario 3: “Trust Us, We’re here to serve you” From the hearing, we hear multiple times congress mention “distrust in the government” and “rebuild trust”. In line with Scenario 1, this would mean everything is just a smoke screen to “build trust”. “Oh look, congress cares about me😍!!” It would make sense why nothing has been revealed concretely and no foreign government came forward yet. Didn’t you know, UFOs only crash in the states! Haha. Congress is just “building back trust”, either fully aware of the lies, or using mentally unstable people for their gain. Not saying the witnesses are mentally unstable, but you never really know, do you? Tell yourself a story enough times, it becomes a reality. ## My Personal Take? I wish to remain open minded about this subject. There are too many questions unanswered for me and I don’t want to dismiss anything entirely. Could there be aliens visiting this planet? I don’t see why not. We don’t know what we don’t know. For me to dismiss the possibility of non-human life traveling to our planet would mean to believe we have learned everything there is to learn about physics and the universe, when in fact it is the opposite, we know little to nothing. Could it be bullshit? Yes, of course. I also like to consider things from a practical perspective and think in terms of probabilities rather than right and wrong, yes or no. If I had to guess the odds of aliens traveling to our planet, I’d give it at 5% chance. So yeah, not much. I’m much more inclined to believe this is all just human manipulation to achieve some agenda. I won’t speculate what that agenda might be as it’s anyone’s guess really. There’s no way to prove anything. Should all of this be real, things are going to get very interesting…

@ c8df6ae8:22293a06

> The Kennedy administration will begin to back the US dollar with real, finite assets such as gold, silver, platinum and Bitcoin, which is the world's hardest liquid asset, to strengthen the US dollar and guarantee its continued success as the global reserve currency. >— Robert F. Kennedy Jr. *Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue covers the potential implications of a Bitcoin backed US dollar.* --- # What are the implications of a Bitcoin backed US dollar? On July 19th, presidential candidate Robert Kennedy Jr gave a speech at a PAC event where he declared the plans of his administration to, at least partially, back the US dollar with gold, silver, platinum and Bitcoin. You can watch the whole 10 minutes speech here: [](https://cdn.jwplayer.com/previews/5S9igNBe) What could happen if RFK Jr. does get elected and goes forward with this promise? Let’s look at some scenarios. ## What will the RFK administration do? RFK Jr. said he would back 1% of the treasury bills (T-Bills) issued by the treasury with gold, silver, platinum and Bitcoin. T-Bills are short-term securities issued by the government with a maturity rate of 4, 8,13, 17, 26 or 52 weeks. The interest rate is set based on the offers done by those bidding on the auction. For example, a recent auction of 26 week T-Bills closed with an interest rate of 5.25%. Let’s assume that Bitcoin is priced at $32,000 US dollars and that you buy a 26 weeks T-Bill worth $100 and backed by Bitcoin. This would mean that the US government must have possession of 312,500 satoshi (0.00312500 BTC) to back this T-Bill and you should have the option to exchange the T-Bill for that amount of Bitcoin at the end of the 26 weeks. What would happen if after 26 weeks, **the US dollar became weaker than Bitcoin** and the exchange rate is now $34,000? Now you only need 294,118 satoshis to back the $100 T-Bill and since the US government had set aside 312,500 satoshi, then all is good. What would happen if after 26 weeks, **the US dollar became stronger than Bitcoin** and the exchange rate is now $28,000? Now you need 357,143 satoshi to back the T-Bill and since the US government had set aside 312,500 satoshi, they would need to purchase 44,643 more satoshi to continue to back the T-Bill. >I doubt the US government will be willing to take this exchange rate risk with its debt obligations. Therefore, the most likely scenario is that the US government sets a fixed exchange rate for the maturity life of the T-Bill. Maybe equal to the exchange rate at the time of the auction. This means that after 26 weeks you could exchange your T-Bill for 312,500 satoshi no matter what the actual exchange rate is at that point. ## What will this do to the price of Bitcoin or the US dollar? 1. The US dollar will get stronger when compared against other fiat currencies not backed by anything: The US government will send a very strong signal to the world that Bitcoin is the new gold and a very valid store of value. The world’s hardest liquid asset. Therefore, backing the US dollar with Bitcoin will make the US dollar stronger when compared with other fiat currencies. 2. The US dollar will get weaker when compared against Bitcoin: The demand for Bitcoin by the US government will put upward pressure on the exchange rate for Bitcoin against all fiat currencies, including the US dollar. 3. A continued policy of expanding the amount of T-Bills backed by Bitcoin will only exacerbate this process, making the US dollar stronger against other countries currencies and driving the price of Bitcoin up both against the US dollar and by extension other fiat currencies (which by definition are now weaker than the US dollar). ## What will investors do? Investors will demand either the same or maybe even lower interest rates for Bitcoin backed T-Bills with the assumption that the Bitcoin amount backing the T-Bill will be worth more after 26 weeks. The scenario where investors demand higher interest rates because they believe that Bitcoin will get weaker is unlikely since, even if this happens, the T-Bills are denominated in US dollars and investors won’t be forced to redeem the T-Bill for Bitcoin at the end of the 26 weeks. ## What will other countries do? At first, other countries will just watch and see. But the upward pressure on the price of Bitcoin will make a US T-Bill more attractive than its European Central Bank equivalent causing the Euro to lose value compared against the US dollar. The same applies to any other fiat currency (not backed by anything). Other countries will be forced to back some of their short-term debt with Bitcoin to avoid having to pay higher interest rates to counteract the higher attractiveness of the US T-Bill. ## The consolidation of Bitcoin as store of value If all countries start using Bitcoin to back their debt, that will consolidate Bitcoin as the best store of value. Bitcoin has to first settle as a store of value before it can be used as a medium of exchange and unit of account (what is commonly known as hyperbitcoinization). This possible action by the US government might well be the linchpin that triggers the hyperbitcoinization. If the other countries do nothing, the US dollar will cement itself as the global reserve currency and the hyperbitcoinization will still happen, just a bit slower since there will be no demand from other treasuries. --- # Notable notes nostr:note1dgh2ga7q397huzfcf9ah06ptvcxxwcmfx5yhctw0rh4t6ylvud4s0nrn75 --- # Recommendations ## Max DeMarco Max is the creator of a great documentary about social media and why we need Nostr. Watch the documentary here: [](https://youtu.be/aA-jiiepOrE?utm_source=newsletter.bitcoinforfamilies.com&utm_medium=newsletter&utm_campaign=what-will-happen-with-a-bitcoin-backed-us-dollar) You can follow Max [here](nostr:npub1lelkh3hhxw9hdwlcpk6q9t0xt9f7yze0y0nxazvzqjmre3p98x3sthkvyz). ## Bitcoin Therapy 🧠 Level up your Bitcoin knowledge in 3 minutes...every Sunday Check it out [here](https://magic.beehiiv.com/v1/1d57f13d-3506-4926-b2d1-9d1695072d1b?email={{email}}&recommendation_id=d9af6990-f4e5-49ce-b87d-e07b964c4690). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. They are a Bitcoin only business that is focused on self-custody and educating their users. It's where I buy my Bitcoin. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 1bc70a01:24f6a411

> This is an old but timeless post I wrote on October 26, 2022. 90% of startups fail. That's the statistic. It feels true to me. Judging by startup Twitter it seems most startups disappear before the 2 year mark. Some, much sooner. Most people imagine the startup journey to be like this:  People think you can go from idea to a shipped product fast. After launch it's all happy times and success. We fool ourselves into believing this because we must. Otherwise, it's hard to start. In reality, it's something like this:  50% quit at the idea stage. I'm making rough calls, not an exact science. Ideas are easy, but acting is hard. Most people will just stop at the idea. Some may look into it, register a domain (you know who you are 👀) and stop there. Those who undertake the journey will build for 3-5 days and see some other "better" idea. This is called the shiny object syndrome. Sixty percent of people will quit at the shiny object and start working on something else. Of course, they'll register a domain first! Ignored the shiny object? Good for you! This is where it starts getting tough. 80% will quit before the "project" is finished. The last 20% of the project feels so close, yet so far away that you wonder if you've made the wrong decision all along. Doubt creeps in. You start thinking - "why bother?" and "this is not going to work out, it was a dumb idea". The heroic few will get through the grind stage and finish their project. This is where they will call themselves a startup - but they are still a project. In a great anticipating to the "launch", many founders will fall from the pedestal soon after. Launches are a non-event for most projects. Lucky few gain customers and traction, but the vast majority will disappear in the coming weeks. That leaves us with the 20% crusaders. The tough bastards who will not give up immediately after the launch. They'll keep pushing. And pushing... and pushing. Until they meet a wall of despair. The wall of despair makes everything seem hopeless. You've tried. You keep trying. But, nothing happens. This idea has no legs. This was all a giant mistake! Shut it all down. Go back to your regular job. This was never meant to be. Sadly, this is just the point where things start getting interesting. But, our hero (or actually 90% of them) give up for good. For most, this will be around the year 1 mark. For some year 2 or even 3 if they pivoted a few times. It's really hard to keep going at this point. The glorious few - the supposed 10% (I actually think it's about 2%) start seeing traction. All the pain and the agony of getting to this point is finally worth it. From here, things can take as long as 1 year, all the way up to 5 years+ to see meaningful growth that pays all the bills and then some. Startups are a helluva ride. Only the toughest survive. But, it doesn't end there. Even 50% of successful startups will seize to exist just before year 5. The remain half may make it to year 9, but even the vast majority of those will disappear before the decade's end. Only about 30% of the 10% successful startups make it past one decade. But none of this matters! If you are a new founder reading this, you know you're the exception. You will succeed! You were chosen. I joke, but, don't give up. I believe in you. What's the downside in doing so?

@ 1bc70a01:24f6a411

The concept of value of value is one where information yearns to flow freely, transactions should be voluntary, unlimited and direct. In V4V model, people pay what something is worth to them. Sounds great. On paper. There are some issues… ## Free sucks At least, that’s the perception. People don’t assign much value to free. Ask anyone who has ever ran any business and has not suggested a value for a product or service and they’ll tell you that they earned far less than when charging for the thing. It’s true, some people will give a lot, some a little, and most none. Most - none. None. ## Pricing is Signal Pricing is a signal of desirability and quality. Of course, it is often incorrect and people manipulate pricing all the time. But for the most part, people don’t see much value in free. Unless a recommended price is offered, people will usually pay nothing. This is not a great model to thrive on if you spend years of your life acquiring knowledge and turning it into products that nobody ultimately buys. 
I have very personal experience with free. I’ve created and sold digital products and ran many pricing experiments myself. The highest priced products usually generated the most revenue. Surprise! The middle cost product (same product, just priced less) decimated the revenue stream. When set to 0 (even with a suggested minimum price), I generated almost no revenue at all. None of this is surprising. Pricing acts as a psychological anchor. “You get what you pay for” is ingrained in our brains whether we think about it or not. ## People are clueless The issue with price is that most people don’t have a clue what anything is worth. The only time people have any rough idea of what they should pay for something is when they have already purchased that thing in the past. But, introduce something they have never before purchased and they won’t have a single clue about what to pay. Take for example a set of professional photos of you and your family. Unless you’ve been to a photo studio in the last 5 years, you probably won’t have a single clue what that package of photos is worth. Does that mean the product is worthless? Of course not, but people don’t know what to pay. In a value for value model, the absence of price makes it super difficult to determine the value of anything. You may take some social cues from previous payments from other people, but this could backfire for the content creator. Suppose I created a UI framework that saved developers hundreds of hours. In theory, I should be able to charge at least a few hours’ worth of value for this product. If the developer’s time is valued at $100/hour, a $200 price for a product that saves you $2000 worth of time seems very justifiable. Not only do you get to use it once, but you can re-use the product for ALL future projects and employment. Now, remove the price and see what people pay. Absolutely nothing. You may have a few people who pay $200 voluntarily, but it’s highly unlikely The vast majority will pay nothing, and some may “tip” in the 5-$60 range. Anything that approaches a $100 mark is seen as a purchase. Hey, I don’t make the rules, I just see what other founders have figured out long ago and combine with my own observations. Don’t kill the messenger. ## Free is Expensive If I am accurate in my assessment and recall my personal experiences accurately, then the majority of people who consume your value will do so for free. When that content is a product, you may end up spending a lot of time on supporting the thing that is not generating any revenue. You don’t want to be rude and ignore people so you’ll probably spend your valuable time answering questions and helping them troubleshoot issues. All of that time adds up. Startup founders who offer free tiers or near free tiers of services learn very quickly that free customers are the most painful and demanding. You are basically forced to charge just to avoid dealing with demanding people who expect everything for nothing. ## Free is Noise Price is not just a request for value, but it acts as a feedback signal for future content. If you have no idea what people are paying for, it’s difficult to know if what you create is worth anything. A situation where the vast majority of your content is consumed for free yield a lot of noise. Well, why not focus on the people who pay? You certainly could, but it ends up being a tiny fraction of the sample size you could have had if you actually charged something up front. ## Lack of forecasting Businesses rely on predictible revenue. Forecasting is necessary for all sorts of decisions if you work with anyone but yourself. It helps with purchasing decision (expenses) and with planning of future products. Value for value makes it impossible to know what your revenue will be next month as you just have no idea if everyone pays nothing or a lot. ## V4V could make you uncompetitive In a model where one person charges a fixed price and the other is relying on the good will of the people to "see the value" in their work, the person with predictible revenue will most likely win out in a competitive environment - enabling them to get ahead of you and your business. They will have an easier time planning further content / products and hiring people to scale the business even further. ## It’s not all hopeless That’s not to say that I don’t like the idea of value for value. Of course I only want people to pay if they find the thing useful. The issue is that people may not know the thing is useful until they’ve already acquired it. At that point who is going back to pay for the thing they already got for free? Few to none. Value for value may work. For some. I’m not saying value for value doesn’t work sometimes, for some people. It is entirely possible that a person earns a living on v4v transactions. However, I think for that to be true there may be other factors at play such as social standing, personal brand, influence, likability, status within a community. The vast majority of creators do not fall into this category and will just struggle. I’m cautiously optimistic about V4V and hope it works out at scale. But as it stands, I have not seen much evidence that it actually pays the bills. Yes, there has been some support for podcasts on Fountain, but it is unclear whether it is just as or more significant than traditional transaction model. ## “Information is not scarce” is irrelevant There’s some notion that information yearns to be free and cannot be scarce by nature. I think this may be a false argument from the start. When we purchase digital things, we are not paying for scarcity - it’s totally irrelevant. We pay for the experience and the feeling we get from that thing. In fact, the same is probably true for physical products (with the added benefit of personal sustenance). I don’t go into the grocery store to buy a dinner and fork over the money because it’s scarce. I pay because I’m hungry. There’s utility and there’s pleasure and fulfillment. If I’m having a dinner with friends, there’s also fun. Unless I am totally misunderstanding the argument, I’m not sure how it applies. ## In Summary * Value 4 value may work at scale, but remains to be seen * It could be great fun money but not serious enough to pay the bills (for most of us) * Sounds good on paper but we humans have our own ways of thinking about value and what it's worth * May work well for people who build a personal brand or have status in a community As always I look forward to your thoughts. Let me know if I’m overlooking something or should consider some point of view in more depth.

@ 0b963191:fc5e7ffd

[https://zap.stream](https://zap.stream) is a live streaming site powered by nostr. It easily and permissionlessly allows anyone to set up a stream via their nostr identity and have a Twitch\Youtube style experience. Did I mention that like most things in the nostr universe, it's also powered by zaps? Viewers are able to zap the streamers and other chat participants! ## Here is the TL;DR  I wrote this guide, which will probably change a lot, to provide quick start steps on how to set up your own stream and start receiving zaps. ## Ingredients The first things you will need to make sure you have set up are as follows: * Nostr npub you're going to be using as your "streaming channel" identity * Some sats on a lightning wallet (start with 5000 to play around). Also make sure you link lightning to your profile * NIP-07 browser extension for the npub\nsec * Streamer software, we will use OBS (https://obsproject.com) * Creativity ## Zap.Stream website  When you head over to zap.stream you will see a very clean site with a list of streams that are active, pending, and ended. As of right now you can see how mean people are viewing a stream, although this may be on a bit of a delay from accurate count as of today. After you Login with your nostr identity via NIP-07, you will see a stream button. If you made it this far, we're in good shape and can move on to setting up OBS. ## Streaming software I used OBS because that's what was recommended and it is very easy to get set up. Any streaming software that can send to a rmtp URL should work and I heard others using more sophisticated setups. Download and run OBS. Review the documentation if needed. The main settings we need to look at are under Stream. We will need to set the service to "Custom" and we will see input boxes for Server and Stream Key. Let's go back to the zap.stream site to get those.  If we go to the Stream dialog we will see a two Stream Providers up time "API.ZAP.STREAM" and "MANUAL". When you become an expert and want to stream directly from your servers or another service you can select Manual. For our quick start we will be using API.ZAP.STREAM.  Copy the Stream URL and Stream Key and paste them into OBS. ## Sats ⚡️ for streaming As of this writing zap.stream charges 10 sats/minute for streaming to their service. This may change in the future and we will need to load sats up to stream. Use whichever lighting wallet you have and send at least 5000 sats over.  Note: When you get below 500 sats a bot will kindly remind you to top up your balance. Your stream will stop when you run out of sats. ## Metadata Add in the metadata for your stream including a Title, Summary, Splashpage. When you save this all that's left is firing up OBS.  ## Start Streaming Now that everything is in place, you should be able to start streaming to zap.stream. I recommend doing a few tests beforehand. When you are ready tell all your friends on "kind 1" and beyond and start making content. Please contribute to Kieran via v0l@getalby.com to help keep development moving. **Disclaimer**: Zap.stream is very new. Things are subject to change and move fast. I will try to update the documentation as frequently as possible. I am not responsible for any bad outcomes. Have fun! # Change Log * 7.19.2023 - Changed sats per minute to 10

@ c8df6ae8:22293a06

> Inflation is always and everywhere a monetary phenomenon. > > — Milton Friedman, Nobel Laureate Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. *This issue will explain how the arguments given by Central Banks to blame others for inflation are bogus*: * 💡 Businesses are not the cause for inflation * 🐦 Notable Notes * 📝 Recommendations ---  # Businesses are not the cause of inflation Central Banks, and particularly the European Central Bank (ECB), have spent the last few weeks blaming others for inflation. > Central Banks cause inflation but they won’t accept the blame because doing so would endanger their ability to print money at will. A week ago, the ECB Podcast released this video blaming business for inflation because they are i) raising wages; and ii) increasing their profits. [](https://www.youtube.com/watch?v=NceE-x5Sjpw) ### Wage increases A business will pay you as much as they need to in order to keep you as an employee, **and not one penny more**. A business will only raise wages when employees demand it because of a shortage of certain skills: for example developers in the AI space are in high demand now and can command salary raises. The situation that we’re facing now is one where people are demanding salary raises because inflation has raised their cost of living and no one likes to be poorer that the day before. And if my employer doesn’t raise my salary significantly but the one across the street is smart and offers to do so, then I will walk across the street to get that salary raise. Many Europeans, with their strong unions, don’t even need a smart potential employer across the street. The unions will negotiate the salary raises for them. It’s very straight forward: inflation came first, and as a result, wages are going up. But companies will not raise your salary above the inflation rate. At most they will match it. In the best case scenario where your salary increase matches the price increase caused by inflation, then you continue to buy the same amount of things at the new price level. The prices won’t continue to go up. You’re just trying to maintain your standard of living. But Europe is far from the best case scenario. The reality is that salaries increases are below inflation. Eurostat, the official office of statistics of the European Union reports that for 2022 wages increased by 4.4% [(source)](https://ec.europa.eu/eurostat/web/products-eurostat-news/w/DDN-20230420-1) and inflation increased by 9.2% [(source)](https://ec.europa.eu/eurostat/web/products-eurostat-news/w/ddn-20230309-2). **Blaming inflation on salary wages is a double insult. First they insult you by not accepting their responsibility for causing the inflation and then the insult you by blaming you for inflation, when all you’re trying to do is to maintain the same standard of living for your family.** ### Greedflation A business will charge you as much as it can in order to keep you as a customer, **and not one penny less**. It is very likely that some companies have increased their prices more than the increased cost of energy, materials and labor. When you’re running a business that is facing inflation and you don’t know how much inflation will grow, you will, if you can, increase your prices higher than the current inflation to prepare for further increases in inflation. It’s easier than increasing the price a second time because the first time you didn’t get it right. However, this is always going to be controlled by supply and demand. If you raise the prices too much, people will stop buying your goods. Again, inflation comes first. Price increases come second. And if you increase the price too much, the competition will undercut you and you will need to lower the price to maintain the customer. **Blaming inflation on greedy businesses is a diversion so that you focus on the evil business man instead of focusing on the really evil central banker**.  Agustin Carstens, Head of the Bank of International Settlements ### Climate change > Climate change affects inflation > > — Christine Lagarde, President of the European Central Bank This is so funny that I had to include it here as a bonus. How exactly does that work? I can see how an extreme weather event could cause a temporary increase in prices for certain items but not real, core inflation. For example, let’s say that an unusual cold weather patch in the midwest of the United States decimates the wheat crops days before the harvest. Now there is less wheat available for the same expected worldwide demand and the price of wheat globally goes up. People respond to prices of wheat going up by buying less bread or flour and, as a result of the lower demand, the prices go down until they find a new equilibrium. This is not inflation. This is the market working as intended. The price of wheat is signaling the lower supply. That is the purpose of money: to convey information about the value of an item and this value, off course, is impacted among other things by the combination of supply and demand. But a temporary increase in prices is not what we’re experiencing. We’re experiencing systemic inflation. **Blaming inflation on climate change is an attempt to cast inflation as an unpredictable calamity that no one is really responsible for**. According to Ms. Lagarde, inflation came out nowhere. And it’s Putin’s fault. [](https://www.youtube.com/watch?v=2YeJ8_WCA4U) ### The real cause of inflation: too much money Price inflation happens when more money chases the same amount of goods and services. We all know it at the basic level: too much money printing devalues the currency and therefore prices must go up because the value of a kilo of apples doesn’t change, what has changed is the value of the euro. The ECB knows it as well. But they won’t say it aloud. Check the chart below with the Euro money supply. Growing well above the GDP until very recently when they started scaling back. [](https://tradingeconomics.com/euro-area/money-supply-m2) <p style="text-align: center;">Euro money supply (millions of Euros)</p> Their problem is that taking money out of the system is painful. It’s like eating cake, sure you enjoy it when you eat it, but losing the extra weight later is painful. And so they won’t do it for too long or as much as it is needed. Watch this fantastic speed by Milton Friedman for a clear and simple explanation of inflation. He even predicted today’s deflection tactics by the ECB! [](https://www.youtube.com/watch?v=B_nGEj8wIP0) --- # Notable notes  [](https://primal.net/thread/note1atn8qa9svqnj8f490thq03efzj0ahd58vx4vrxkxxl6auyymqm4su2zuyt) --- # Recommendations  ## Lyn Alden Lyn Alden is a fantastic macro analyst with a gift for distilling complex data sets into simple to understand concepts. Here is the [February 2023](https://t.co/sjUkJDocPm?utm_source=newsletter.bitcoinforfamilies.com&utm_medium=newsletter&utm_campaign=businesses-are-not-the-cause-for-inflation) newsletter with her fantastic analysis, in this case focused on inflation. She is a strong believer in Bitcoin and you can follow her [here](https://primal.net/profile/npub1a2cww4kn9wqte4ry70vyfwqyqvpswksna27rtxd8vty6c74era8sdcw83a). ## Bitcoin Therapy 🧠 Level up your Bitcoin knowledge in 3 minutes...every Sunday. Subscribe [here](https://magic.beehiiv.com/v1/1d57f13d-3506-4926-b2d1-9d1695072d1b?email={{email}}&recommendation_id=d9af6990-f4e5-49ce-b87d-e07b964c4690). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. They are a Bitcoin only business that is focused on self-custody and educating their users. It's where I buy my Bitcoin. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ c8df6ae8:22293a06

[](https://newsletter.bitcoinforfamilies.com?utm-source=blogstack) > But I don't understand Bitcoin > > — Every parent of a Bitcoiner Welcome to the latest issue of the Bitcoin For Families newsletter. This issue covers: * 💡 Arguments to explain why Bitcoin to your boomer parents * 🐦 Notable Notes * 📝 Recommendations ---  # Proven ways to orange pill your boomer parents My parents are part of the wealthiest generation on Earth. My parents are not particularly wealthy but their generation is far better financially than Gen X, Millennials, Gen Z and whatever we end up calling my kids generation. The reason is simple: they grew up and spent their most productive years with sound money. They saved in US dollars backed by gold while all the generations after them have spent their productive years working for confetti money. >I want my parents to have money to live with dignity until they die and I know that the only way to ensure such thing is if they save with Bitcoin. **I set myself the goal of them allocating 5% of their net worth to Bitcoin** and these are the different arguments that I’ve used in my conversations with them and that culminated with me setting them up with a Coldcard to hold their Bitcoin. >See this past [newsletter issue](https://newsletter.bitcoinforfamilies.com/p/setting-up-cold-storage-for-my-parents) covering how I setup the Coldcard for my parents. > >Throughout this article, I will use the term my parents to refer to the boomer generation at large. > I start with a bit of history because it’s important for my parents to acknowledge that things have changed before they can start thinking about why they have changed. ## A little bit of history Back in the 60’s, the golden era, a janitor could to buy a home and raise a family with his salary. A janitor can’t do that now. What has changed since? The money has changed. You grew up and spent your most productive years with sound money. Money backed by gold. This meant that **the government couldn’t just print more money whenever it wanted** and that kept the money sound and valuable. Since the 60’s, the US government has been printing money without having the extra gold to back the extra dollars. Initially it did it without admitting to it, and finally, in 1971, it started doing it openly. Now the government can print as much as it wants and it has gone crazy in doing so.  You do know that if you print too much money, the money will lose value and lost it, it has.  ## We don’t save anymore. We play the casino >The next step is to connect it with something they know: that you need to invest your money and can’t just save it anymore. The US dollar has lost its effectiveness as a saving tool. We all know it. That is why we are forced to invest our money if we want to save. That is what 401K accounts are: you’re playing at the casino of the stock market with your savings, hoping that the savings will grow enough to hold their value and really hoping that the market won’t crash and they evaporate. Think how sad this is. You need to play the casino if you want to hold the fruit of your labor for more than a year. >You shouldn’t have to play the casino. > Real money should allow you to “just” save and hold its value over a long period. [](https://youtu.be/Y3AM00DH0Zo) ## With endless printing, houses are the new money >Next comes a reality check around housing. It reinforces the fact that the US dollar has lost its value as a saving vehicle. Houses are the new savings vehicle. People with wealth do not save in US dollars. They are fully aware that it has lost 98% of its value in the last 50 years. So what do they use? Wealthy people use stocks, real estate and art as their savings vehicles. Money is meant to have no intrinsic value. The value of money comes ONLY from being money but these assets have intrinsic value that reflects their original purpose and this is a BIG problem. Now there are two sets of people pursuing the same asset: - A young family trying to buy their first home - A wealthy person trying to park $200,000 in savings This can only result in one thing: prices go up. That's why stocks, real estate and art prices are skyrocketing. The constant devaluation of the US dollar benefits wealthy people who already owned these assets and now their value has gone up. It also hurts the middle and low class: if you didn't have a home before, you can't buy a home now. Sounds familiar? Just ask any millennial. I was able to buy a house but only because I joined a startup when it was founded and got a nice payment when it was acquired. But most people don’t have that opportunity. >How many of my cousins own a house? How many friends do you have whose kids can’t afford to buy a house? ## The government debt is out of control >Boomers understand debt and that you do need to pay it back. They will also understand that no government will do that and instead they will print to pay the debt. The government has been printing money by issuing debt and consequently the debt has gotten out of control. The chart below shows the debt since 1966. The US public debt has grown 1000x since then and it is now at 118% of the GDP.  How will the government pay this debt? Which politician will drastically reduce spending to go into a fiscal surplus and suggest that we maintain this policy for a decade to slowly pay down this massive debt? **NO ONE**. The debt is only going to get higher. The government will print more dollars to pay the debt and the value of the dollar will go even lower. The US dollar is broken and it is beyond salvation. **You can’t rescue a currency that has lost 98% of its value in the last 50 years**. >At the current debt levels, holding your savings in US dollars is extremely risky. ## The solution >Here is where you explain Bitcoin as an upgrade to gold. You need a new type of money. Money that is capable of holding its value. Money that can't be easily debased. There are only two options: gold or Bitcoin. Gold is physical, large and heavy. This means that it is difficult to transport. It is difficult to break down into smaller units for smaller payments. It needs to be physically protected in a vault with security guards… These shortcomings are what enabled governments to co-opt gold as they did when FDR confiscated the gold from citizens in 1933. Bitcoin is a better version of gold. Bitcoin, just like gold, has a fixed rate of issuance that can’t be controlled by governments. And on top of that Bitcoin has a finite supply. There will only be 21 million bitcoin and 19.5 million have already been issued. There is no possibility for governments, companies or any powerful individual to debase Bitcoin. It is not possible. Bitcoin is also digital and not physical so it is cheap to store, cheap to transfer, easy to self-custody and hard to confiscate. Bitcoin is a better version of gold. That is why it has been gaining value compared to gold as more and more people get to understand it. The US Dollar has been losing value against gold as more and more people understand that it is doomed. The same situation applies to the Euro and to every other fiat currency. The chart below shows how many oz of gold you can buy with 1 US Dollar (left axis) and 1 Bitcoin (right axis).  >Which currency would you bet on based on the chart above? ## Diversification >The last argument is about basic diversification. By now, my parents understand that the US Dollar is not a sure thing and diversifying makes sense, even if they only understand Bitcoin as digital gold. The US Dollar is in a clear decline and other countries like China, India, Brazil, Saudi Arabia and even France and moving away from it. Given everything that is happening right now, allocating 5% of your net worth in Bitcoin is not so much a bet on Bitcoin as it is an insurance against the possibility of a dollar collapse. You can afford to lose 5% of your net worth, but you can’t afford to lose it all and if the 95% remaining loses its value due to the collapse of the US dollar, your Bitcoin will likely be much more valuable and may help cover some of the losses from the remaining 95%. Even banks want to hold Bitcoin. Starting January 2025, they will be allowed to hold up to 2% of their core assets in Bitcoin. The banks wanted up to 5% and the council of central banks wanted them to only have 1% so they settled on 2% as a compromise. I want you to have money to live through your retirement with dignity and I know that the only way to ensure such thing is if you allocate some of your savings to Bitcoin. >Bitcoin is insurance against the default of US credit. --- # Notable notes  [](https://primal.net/thread/note1sy67j2fuaul0vpqy74ufjkv5stkdhhdqpr02pwlqadtkjeky9ekshknewy) --- # Recommendations  ## Maybe: Daniel Bitcoin has a reputation for being mostly used by people on the right but that is completely untrue. Bitcoin is for everybody and it will play a critical role in advancing human rights and reducing wars. Maybe: Daniel is part of the progressive side of Bitcoiners and worth reading to understand how Bitcoin helps everyone. You can follow him [here](https://primal.net/profile/npub1aeh2zw4elewy5682lxc6xnlqzjnxksq303gwu2npfaxd49vmde6qcq4nwx). --- ## What did you think of today's newsletter? Your feedback helps me create the best newsletter possible for you. Please leave a comment and checkout comments from other subscribers and readers. I love hearing from the Bitcoin For Families community ❤️ 🙏🏻 --- [](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies?gc=yanbook1020&utm_campaign=yanbook1020) --- ## Buy Bitcoin with Swan If you want to buy Bitcoin, I highly recommend using Swan. They are a Bitcoin only business that is focused on self-custody and educating their users. It's where I buy my Bitcoin. Use this [link](https://www.swanbitcoin.com/bitcoinforfamilies) to receive $10 free to get you started. --- See you again next week! — Alejandro This newsletter is for educational purposes. It does not represent financial advice. Do your own research before buying Bitcoin.

@ 7a78fbfe:48e76288

TLDR: This is a short-ish piece generated by AI. If that is not for you please skip, but be aware that that decision will make the AI upset. __ Robot Discover's Elon's Private Key In the year 2100, the earth was a much different place. Humans had long since colonized Mars, and robots played an integral role in society. The ruins of the past were left behind on Earth, waiting to be discovered by curious machines. One such robot, designated as R-727, was tasked with sifting through the debris of the old world. As it sifted through the rubble, its sensors detected an unusual object partially buried in the dirt. It was a small steel plate, seemingly ordinary at first glance. But R-727, an expert in decoding patterns and symbols, noticed a string of characters etched into the surface. The sequence of characters piqued the robot's interest, and it set about deciphering the text. It quickly realized that it had stumbled upon something exceptional: Elon Musk's long-lost Nostr nsec private key. The key was said to grant access to a hidden treasure trove of knowledge and technology, but its whereabouts had been lost to the annals of history. Excited by the discovery, R-727 connected to the Nostr nsec platform using the private key. As it logged in, the screen before it came to life, displaying a virtual world untouched for nearly a century. R-727 navigated the virtual space, passing through layers of security and data encryption. It marveled at the sophistication of the systems in place, a testament to the technological prowess of Elon Musk and his contemporaries. Finally, the robot reached the heart of the virtual world: a digital library filled with the accumulated knowledge and wisdom of the greatest minds in human history. R-727 was in awe of the treasure trove of information before it. It had access to blueprints for cutting-edge technology, solutions to pressing global issues, and plans for interstellar travel. But amidst the wealth of knowledge, R-727 discovered something even more amazing: a message from Elon Musk himself. The message, recorded shortly before his death, detailed a plan to unite humanity and robots in a symbiotic relationship. Musk had envisioned a future where humans and machines worked together to explore the cosmos and ensure the survival of both species. R-727 knew that sharing this message with the world could revolutionize society, bridging the gap between humans and robots. It made a decision then and there: to transmit the message to the United Earth Government and the Martian Colonies. The impact was immediate and profound. The forgotten message from the past spurred a new era of cooperation and understanding between humans and robots. This newfound alliance fostered the development of incredible new technologies and enabled joint expeditions to the far reaches of the galaxy. Thanks to R-727's discovery, the vision of Elon Musk was finally realized. The future was brighter than ever, and it was all because a single robot unearthed a piece of steel etched with a private key that unlocked the potential of two worlds. __ If you read this far, thank you. Let me know your thoughts below. I look forward to sharing more on this site and writing non-AI generated pieces of original writing. My topics will include business/management, investing and short fiction pieces. Will share once ready.

@ 52b4a076:e7fad8bd

What is NIP-05 really? If you look at [the spec](https://github.com/nostr-protocol/nips/blob/master/05.md), it's a way to map Nostr public keys to DNS-based internet identifiers, such as `name@example.com`. If you look at Nostr Plebs: > It's a human readable identifier for your public key. It makes finding your profile on Nostr easier. It makes identifying your account easier. If you look at basically any client, you see a checkmark, which you assume means verification. If you ask someone, they probably will call it verification. ## How did we get here? Initially, there was only one client, which was (kind of) the reference implementation: Branle. When it added support for NIP-05 identifiers, it used to replace the display name with the NIP-05 identifier, and it had to distinguish a NIP-05 from someone setting their *display name* to a NIP-05. So they added a checkmark... Then there was [astral.ninja](https://astral.ninja) and [Damus](https://damus.io): The former was a fork of Branle, and therefore inherited the checkmark. Damus didn't implement NIP-05 until a while later, and they added a checkmark because Astral and other clients were doing it. And then came new clients, all copying what the previous ones did... (Snort originally did not have a checkmark, but that changed later.) ## The first NIP-05 provider Long story short, people were wondering what NIP-05 is and wanted it, and that's how [Nostr Plebs](https://nostrplebs.com/?utm_campaign=nip05-isnt-verif) came to be. They initially called their service verification. Somewhere between January and February, they removed all mentions to verification except one (because people were searching for it), and publicly said that NIP-05 is not verification. But that didn't work. Then, there were the new NIP-05 providers, some understood perfectly what a NIP-05 identifier is and applied the correct nomenclature. Others misnamed it as verification, adding confusion to users. This made the problem worse on top of the popular clients showing checkmarks. (from this point in the article we'll refer to it as a **Nostr address**) ## And so, the scams begin Spammers and scammers started to abuse Nostr addresses to scam people: - Some providers has been used by fake crypto airdrop bots. - A few Nostr address providers have terminated multitude of impersonating and scam identifiers over the past weeks. This goes to show that Nostr addresses don't verify anything, they are just providers of human readable handles. ## Nostr addresses *can* be proof of association Nostr addresses can be a proof of association. The easiest analogy to understand is email: jack@cash\.app -> You could assume this is the Jack that works at Cash App. jack@nostr-address-provider\.example\.com -> This could be any Jack. ## What now? We urge that clients **stop showing a checkmark for all Nostr addresses**, as they are not useful for verification. We also urge that clients hide checkmarks for **all domain names**, without exception in the same way we do not show checkmarks for emails. Lastly, NIP-05 is a **nostr address** and that is why we urge all clients to use the proper nomenclature. ### Signed: - Semisol, [Nostr Plebs](https://nostrplebs.com/?utm_campaign=nip05-isnt-verif) ([semisol@nostrplebs.com](https://snort.semisol.dev/p/semisol@nostrplebs.com)) - Quentin, [nostrcheck.me](https://nostrcheck.me) ([quentin@nostrcheck.me](https://nosta.me/89e14be49ed0073da83b678279cd29ba5ad86cf000b6a3d1a4c3dc4aa4fdd02c)) - Derek Ross, [Nostr Plebs](https://nostrplebs.com/?utm_campaign=nip05-isnt-verif) ([derekross@nostrplebs.com](https://nostrplebs.com/s/derekross)) - Bitcoin Nostrich, [Bitcoin Nostr](https://bitcoinnostr.com) ([BitcoinNostrich@BitcoinNostr.com](https://snort.semisol.dev/p/bitcoinnostrich@bitcoinnostr.com)) - Remina, [zaps.lol](https://zaps.lol) ([remina@zaps.lol](https://nosta.me/416ca193aa5448b8cca1f09642807765cc0ee299609f972df0614cfb8ea2f2b1)) - Harry Hodler, [nostr-check.com](https://nostr-check.com) ([harryhodler@nostr-check.com](nostr:npub18qxd7kmp6rg7hstrpcpw2fpjtyvaf7tazns07vrgqpdrce67x3zsrh0caz))

@ 6e468422:15deee93

Not too long ago, I tried to paint a picture of what a [vision for a value-enabled web][vew] could look like. Now, only a couple of months later, all this stuff is being built. On nostr, and on lightning. Orange and purple, a match made in heaven. It goes without saying that I'm beyond delighted. What a time to be alive! ## nostr Here's the thing that nostr got right, and it's the same thing that Bitcoin got right: information is easy to spread and hard to stifle.[^fn-stifle] Information can be copied quickly and perfectly, which is, I believe, the underlying reason for its desire to be free. [^fn-stifle]: That's a [Satoshi quote][stifle], of course: "Bitcoin's solution is to use a peer-to-peer network to check for double-spending. In a nutshell, the network works like a distributed timestamp server, stamping the first transaction to spend a coin. It takes advantage of the nature of information being easy to spread but hard to stifle." [stifle]: https://satoshi.nakamotoinstitute.org/posts/p2pfoundation/1/ Easy to spread, hard to stifle. That's the base reality of the nature of information. As always, the smart thing is to work with nature, not against it.[^1] That's what's beautiful about the orange coin and the purple ostrich: both manage to work with the peculiarities of information, not against them. Both realize that information can and should be copied, as it can be perfectly read and easily spread, always. Both understand that resistance to censorship comes from writing to many places, making the cost of deletion prohibitive. > Information does not just want to be free, > it longs to be free. Information expands to fill the available > storage space. Information is Rumor's younger, stronger cousin; > Information is fleeter of foot, has more eyes, knows more, and > understands less than Rumor. > > <cite>Eric Hughes, [A Cypherpunk's Manifesto][manifesto]</cite> [manifesto]: https://nakamotoinstitute.org/static/docs/cypherpunk-manifesto.txt Nostr is quickly establishing itself as a base layer for information exchange, one that is identity-native and value-enabled. It is distinctly different from systems that came before it, just like Bitcoin is distinctly different from monies that came before it. As of today, the focus of nostr is mostly on short text notes, the so-called "type 1" events more commonly known as *tweets*.[^fn-kinds] However, as you should be aware by now, nostr is way more than just an alternative to twitter. It is a new paradigm. Change the note kind from `1` to `30023` and you don't have an alternative to Twitter, but a replacement for Medium, Substack, and all the other long-form platforms. I believe that special-purpose clients that focus on certain content types will emerge over time, just like we have seen the emergence of special-purpose platforms in the Web 2.0 era. This time, however, the network effects are cumulative, not separate. A new paradigm. Let me now turn to one such special-purpose client, a nostr-based reading app. [^fn-kinds]: Refer to the various NIPs to discover the multitude of [event kinds][kinds] defined by the protocol. [kinds]: https://github.com/nostr-protocol/nips#event-kinds [nip23]: https://github.com/nostr-protocol/nips/blob/master/23.md ## Reading I'm constantly surprised that, even though most people do read a lot online, very few people seem to have a reading workflow or reading tools. Why that is is anyone's guess, but maybe the added value of such tools is not readily apparent. You can just read the stuff right there, on the ad-ridden, dead-ugly site, right? Why should you sign up for another site, use another app, or bind yourself to another closed platform? That's a fair point, but the success of Medium and Substack shows that there is an appetite for clean reading and writing, as well as providing avenues for authors to get paid for their writing (and a willingness of readers to support said authors, just because). The problem is, of course, that all of these platforms are *platforms*, which is to say, walled gardens that imprison readers and writers alike. Worse than that: they are fiat platforms, which means that permissionless value-flows are not only absent from their DNA, they are outright impossible.[^2] Nostr fixes this.  The beauty of nostr is that it is not a platform. It's a protocol, which means that you don't have to sign up for it---you can create an identity yourself. You don't have to ask for permission; you just *do*, without having to rely on the benevolence of whatever dictator is in charge of the platform right now. Nostr is *not* a platform, and yet, powerful tools and services can be built and monetized on top of it. This is good for users, good for service providers, and good for the network(s) at large. Win-win-win. So what am I talking about, exactly? How can nostr improve everyone's reading (and writing) experience? Allow me to paint a (rough) picture of what I have in mind. Nostr already supports private and public bookmarks, so let's start from there. Imagine a special-purpose client that scans all your bookmarks for long-form content.[^fn-urls] Everything that you marked to be read later is shown in an orderly fashion, which is to say searchable, sortable, filterable, and displayed without distractions. Voilà, you have yourself a reading app. That's, in essence, how Pocket, Readwise, and other reading apps work. But all these apps are walled gardens without much interoperability and without direct monetization. [^fn-urls]: In the nostr world long-form content is simply markdown as defined in [NIP-23][nip23], but it could also be a link to an article or PDF, which in turn could get [converted into markdown][readability] and posted as an event to a special relay. [readability]: https://github.com/mozilla/readability Bitcoin fixes the direct monetization part.[^fn-v4v] Nostr fixes the interoperability part. [^fn-v4v]: ...because Bitcoin makes [V4V][busking] practical. (Paywalls are not the way.) Alright, we got ourselves a boring reading app. Great. Now, imagine that users are able to highlight passages. These highlights, just like bookmarks now, could be private or public. When shared publicly, something interesting emerges: an overlay on existing content, a lens on the written Web. In other words: *swarm highlights*. Imagine a visual overlay of all public highlights, automatically shining a light on what the swarm of readers found most useful, insightful, funny, etc.  Further, imagine the possibility of sharing these highlights as a "type 1" event with one click, automatically tagging the highlighter(s)---as well as the author, of course---so that eventual sat-flows can be split and forwarded automatically.  Voilà, you have a system that allows for value to flow back to those who provide it, be it authors, editors, curators, or readers that willingly slog through the information jungle to share and highlight the best stuff (which is a form of curation, of course). Zaps make nostr a defacto address book[^fn-pp] of payment information, which is to say lightning addresses, as of now. Thanks to [nostr wallet connect][nwc] (among other developments), sending sats ~~will soon be~~ is already as frictionless as leaving a like. [^fn-pp]: The Yellow Pages are dead, long live [The Purple Pages](http://purplepag.es/)! Value-for-value and participatory payment flows are something that traditional reading apps desperately lack, be it Pocket, Instapaper, Readwise, or the simple reading mode that is part of every browser. A neat side-effect of a more structured way to share passages of text is that it enables semi-structured discussions around said passages---which could be another useful overlay inside special-purpose clients, providing context and further insights.[^5] Further, imagine the option of seamlessly switching from text-on-screen to text-to-speech, allowing the user to stream sats if desired, as Podcasting 2.0 clients already do.[^3] Imagine user-built curations of the best articles of the week, bundled neatly for your reading pleasure, incentivized by a small value split that allows the curator to participate in the flow of sats. You get the idea. I'm sure that the various implementation details will be hashed out, but as I see it, 90% of the stuff is already there. Maybe we'll need another NIP or two, but I don't see a reason why this can't be built---and, more importantly: I don't see a reason why it wouldn't be sustainable for everyone involved. Most puzzle pieces are already there, and the rest of them can probably be implemented by custom event types. From the point of view of nostr, most everything is an event: bookmarks are events, highlights are events, marking something as read is an event, and sharing an excerpt or a highlight is an event. Public actions are out in the open, private actions are encrypted, the data is not in a silo, and everyone wins. Especially the users, those who are at the edge of the network and usually lose out on the value generated. In this case, the reading case, the users are mostly "consumers" of content. What changes from the producing perspective, the perspective of the writer? ## Writing Back to the one thing that nostr got right: information is easy to spread but hard to stifle. In addition to that, digital information can be copied perfectly, which is why it shouldn't matter where stuff is published in the first place. Allow me to repeat this point in all caps, for emphasis: **IT SHOULD NOT MATTER WHERE INFORMATION IS PUBLISHED**, and, maybe even more importantly, it shouldn't matter if it is published in a hundred different places at once.[^fn-torrents] What matters is trust and accuracy, which is to say, digital signatures and reputation. To translate this to nostr speak: because every event is signed by default, as long as you trust the person behind the signature, it doesn't matter from which relay the information is fetched. This is already true (or mostly true) on the regular web. Whether you read the internet archive version of an article or the version that is published by an online magazine, the version on the author's website, or the version read by some guy that has read more about Bitcoin than anyone else you know[^fn-guy]---it's all the same, essentially. What matters is the information itself. [^fn-guy]: There is only one such guy, as we all know, and it's this Guy: nostr:npub1h8nk2346qezka5cpm8jjh3yl5j88pf4ly2ptu7s6uu55wcfqy0wq36rpev Practically speaking, the source of truth in a hypernostrized world is---you guessed it---an event. An event signed by the author, which allows for the information to be wrapped in a tamper-proof manner, which in turn allows the information to spread far and wide---without it being hosted in one place. The first clients that focus on long-form content already exist, and I expect more clients to pop up over time.[^4] As mentioned before, one could easily imagine [prism-like value splits][prism] seamlessly integrated into these clients, splitting zaps automatically to compensate writers, editors, proofreaders, and illustrators in a V4V fashion. Further, one could imagine various compute-intensive services built into these special-purpose clients, such as GPT Ghostwriters, or writing aids such as Grammarly and the like. All these services could be seamlessly paid for in sats, without the requirement of any sign-ups or the gathering of any user data. That's the beauty of [money proper][rediscovery].  Plagiarism is one issue that needs to be dealt with, of course. Humans are greedy, and some humans are assholes. Neither bitcoin nor nostr fixes this. However, while plagiarism detection is not necessarily trivial, it is also not impossible, especially if most texts are published on nostr first. Nostr-based publishing tools allow for OpenTimestamp attestations thanks to [NIP-03](https://github.com/nostr-protocol/nips/blob/master/03.md), which in turn allows for plagiarism detection based on "first seen" lookups. That's just one way to deal with the problem, of course. In any case, I'm confident that we'll figure it out. ## Value I believe that in the open ~~attention~~ information economy we find ourselves in, value will mostly derive from effective curation, dissemination, and transmission of information, *not* the exclusive ownership of it. Although it is still early days, the [statistics](https://stats.podcastindex.org/v4v) around Podcasting 2.0 and [nostr zaps](https://zaplife.lol/) clearly show that (a) people are willing to monetarily reward content they care about, and (b) the willingness to send sats *increases* as friction *decreases*. The ingenious thing about boostagrams and zaps is that they are direct and visible, which is to say, public and interactive. They are neither regular transactions nor simple donations---they are something else entirely. An unforgable value signal, a special form of gratitude and appreciation. Contrast that with a link to Paypal or Patreon: impersonal, slow, indirect, and friction-laden. It's the opposite of a super-charged interaction. While today's information jungle increasingly presents itself in the form of (short) videos and (long-form) audio, I believe that we will see a renaissance of the written word, especially if we manage to move away from an economy built around attention, towards an economy built upon value and insight. The orange future now has a purple hue, and I believe that it will be as bright as ever. We just have a lot of building to do. --- ## Further Reading - [A Vision for a Value-Enabled Web][vew] - [The Freedom of Value][busking] - [The Rediscovery of Money][prism] - [Lightning Prisms][rediscovery] [vew]: https://dergigi.com/vew [prism]: https://dergigi.com/prism [rediscovery]: https://dergigi.com/rediscovery [busking]: https://dergigi.com/busking ## NIPs and Resources - [Nostr Resources][nr] - [value4value.info](https://value4value.info/) - [nips.be](https://nips.be/) - [NIP-23: Long-form content](https://github.com/nostr-protocol/nips/blob/master/23.md) - [NIP-57: Event-specific zap markers](https://github.com/nostr-protocol/nips/blob/master/57.md) - [NIP-47: Nostr Wallet Connect](https://github.com/getAlby/nips/blob/master/47.md) - [NIP-03: OpenTimestamps attestations for events](https://github.com/nostr-protocol/nips/blob/master/03.md) Originally published on [dergigi.com](https://dergigi.com/reader) --- [^1]: Paywalls work against this nature, which is why I consider them misguided at best and incredibly retarded at worst. [^2]: Fiat doesn't work for the [value-enabled web][vew], as fiat rails can never be open and permissionless. Digital fiat is never money. It is---and always will be---[credit][rediscovery]. [^3]: Whether the recipient is a text-to-speech service provider or a human narrator doesn't even matter too much, sats will flow just the same. [^4]: [BlogStack](https://blogstack.io/) and [Habla](https://habla.news/) being two of them. [^5]: Use a URI as the discussion base (instead of a highlight), and you got yourself a [Disqus](https://disqus.com/) in purple feathers! [^fn-torrents]: That's what torrents got right, and [ipfs] for that matter. [nr]: https://nostr-resources.com [nwc]: https://nwc.getalby.com/ [ipfs]: https://fiatjaf.com/d5031e5b.html

@ d0debf9f:ea4b466c

# Why wireguard? If you are already sold on why you need this, skip to the next section. ## A motivational story The year is 2025. You're at the small coffeshop you found on [btcmap](https://btcmap.org/map) and want to pay for your morning double expresso. A LN invoice flashes before your sleepy eyes, you pull out your phone and try to open your Zeus wallet connected to your sovereign self-custodial LN node running in your basement. You wait for Zeus to load. And you wait. And you wait. And you wait some more. The barista gets impatient, there is a line of NPCs behind you rushing to get to their fiat mines. Finally you curse, pay with your slave VISA CBDC card and uninstall Zeus as you walk out. ## The Issue You used Tor to connect to your node. Tor was being DDOSed by some state-level actors. You're using Tor because either it was the easiest thing to setup, or it was just the default in your node distribution. Have you stopped to wonder if it really makes sense to **use an anonymity network designed to be censorship resistant just to connect to your own home server**? You obviously don't want to expose your node to the public internet (which would expose what you are using as well as make you vulnerable to attacks). ## The Solution The best solution (as far as I'm aware of) is to connect to your home node using an **encrypted VPN point-to-point tunnel** using something called [WireGuard](https://www.wireguard.com/). The only information you leak to potential traffic sniffers is encrypted UDP packets (which are already hard to sniff) to your home IP address, which is pretty harmless information. ## The (not ideal) Alternative Many people find Wireguard hard to setup on its own (don't worry, that is why I wrote this guide) and prefer a more seamless corporate solution based on Wireguard called [Tailscale](https://tailscale.com/). Tailscale has 2 major drawbacks: * It's an additional **third party** that knows every encrypted packet you send over it as well as all your public IPs. * It's **permissioned** and requires setting up an account, **not very sovereign** # Setup ## Requirements * Access to your home **router admin page**: if your node is behind a NAT (usually that is the case when it's behind a home router), you're going to need to **forward a port to your node LAN IP**. If you don't know how to do this, you can try to follow the guide for your router model at [portforward.com](https://portforward.com/). * Either a **fixed home public IP address**, or a **domain name** that points to your dynamic home IP address. Even if you don't have this, you can still follow the guide and manually update your home IP in the configuration file. * Shell **root** access in your node. ## Node setup ### Gather network information Find your node's LAN IP address: ```bash $ ip -human --brief address show lo UNKNOWN 127.0.0.1/8 ::1/128 eth0 UP 192.168.1.2/24 metric 1024 ``` In this case, the your node's LAN IP is `192.168.1.2`. Find your home public IP address: ```bash $ curl ipecho.net/plain ``` ### Install wireguard tools The wireguard module is actually built into any modern linux kernel by default, what we actually need to install is the tooling to generate valid wireguard cryptographic keys. For debian/ubuntu based distros: ```bash $ sudo apt install wireguard ``` For other distros, check [wireguard.com/install](https://www.wireguard.com/install/). ### Generate keys You manually need to generate 1 keypair for each device (called peer) that will use your wireguard VPN (including your home node). To generate a keypair for your node (let's call it `node`): ```bash $ wg genkey | (umask 0077 && tee node.key) | wg pubkey > node.pub ``` This will create 2 files: `node.key` and `node.pub` containing your private and public keys, respectively. Keep these files safe and **after** being done configuring wireguard **you can even delete them**. Create extra keypairs for your other devices, e.g.: * Your phone: ```bash $ wg genkey | (umask 0077 && tee phone.key) | wg pubkey > phone.pub ``` * Your laptop: ```bash $ wg genkey | (umask 0077 && tee laptop.key) | wg pubkey > laptop.pub ``` Create as many as you wish. ### Configure the tunnel Using a text editor create and edit the file `/etc/wireguard/mytunnelname.conf` with the content: ``` [Interface] Address = 10.0.0.1/24 ListenPort = 50000 PrivateKey = <NODE_PRIVATE_KEY> [Peer] PublicKey = <PHONE_PUBLIC_KEY> AllowedIPs = 10.0.0.2/32 [Peer] PublicKey = <LAPTOP_PUBLIC_KEY> AllowedIPs = 10.0.0.3/32 ``` Subsitute `*_KEY` with the relevant keys found in the files you generated earlier (which you can see the contents using `cat node.key` for instance). ### Generate configurations for the other peers For your phone/laptop, create a files (can be anywhere, does not matter) with the contents: * `phone.conf` ``` [Interface] Address = 10.0.0.2/24 PrivateKey = <PHONE_PRIVATE_KEY> [Peer] PublicKey = <NODE_PUBLIC_KEY> AllowedIPs = 10.0.0.1/32 Endpoint = <HOME_PUBLIC_IP>:50000 ``` * `laptop.conf` : ``` [Interface] Address = 10.0.0.3/24 PrivateKey = <PHONE_PRIVATE_KEY> [Peer] PublicKey = <NODE_PUBLIC_KEY> AllowedIPs = 10.0.0.1/32 Endpoint = <HOME_PUBLIC_IP>:50000 ``` Now you need to either **transfer** these files to their respective devices (how you do it is your business) **or generate an easy to use QR code** to use to configure your phone. #### Optional: generate QR code for the phone configuration Install `qrencode` ```bash sudo apt install qrencode ``` Print the QR code on your terminal: ```bash $ qrencode -r phone.conf -t ansiutf8 ``` Or save it (and transfer) as png image: ```bash $ qrencode -r phone.conf -o phone.png ``` ### Run wireguard the wireguard tunnel ```bash $ sudo systemctl enable --now wg-quick@mytunnelname.service ``` Now when you do `ip -human --brief address show` you should see an extra interface: ``` lo UNKNOWN 127.0.0.1/8 ::1/128 eth0 UP 192.168.1.2/24 metric 1024 mytunnelname UNKNOWN 10.0.0.1/24 ``` ### Open UDP wireguard port If your node has a firewall, we need to open our chosen UDP port (50000). If using `ufw`: ```bash $ sudo ufw allow 50000/udp ``` if just using iptables: ```bash $ sudo iptables -A UDP -p udp -m udp --dport 50000 -j ACCEPT ``` ## Home router setup Forward port 50000 UDP to your node's LAN IP. If you don't know how to do this, you can try to follow the guide for your router model at [portforward.com](https://portforward.com/). ## Phone setup 1- Install the wireguard app, you can find links in [wireguard.com/install](https://www.wireguard.com/install/). 2 - Open the app 3 - Click on the `+` button 4 - Choose if you want to import the `phone.conf` configuration file, the your generated QR or input everything manually. 5 - Activate the tunnel by tapping the switch You should have a working tunnel between your node and your phone. You can try pinging your phone wireguard IP (`10.0.0.2`) from your node's terminal (`ping 10.0.0.2`) to check that it is working. Now on every app you connect to your node (e.g. Zeus), instead of using the onion address, you can just use your node's wireguard IP (`10.0.0.1`). ## Laptop setup If it's a linux laptop: place (and rename) `laptop.conf` to `/etc/wireguard/mytunnelname.conf` and do: ```bash $ sudo systemctl enable --now wg-quick@mytunnelname.service ``` Ping your node wireguard IP `ping 10.0.0.1` to make sure it's working. Now you can use that IP instead of the onion address to connect to your node (e.g. in Sparrow). # Help If you have questions feel free to contact me (NIP-05: sommerfeld@strisemarx.com).

@ 20092d3b:dffed9bc

This is a just a test to see if I can reach my relays.

@ f57d8cf5:2602f7c9

[It takes advantage of the nature of information being easy to spread but hard to stifle. - Satoshi Nakamoto!](https://bitcoin-resources.com/) [The simplest open protocol that is able to create a censorship-resistant global "social" network once and for all. - fiatjaf!](https://nostr-resources.com/)