@ 8947a945:9bfcf626

## Law of diminishing returns : ทำมากได้น้อย ซวยหน่อยขาดทุน  ** หมายเหตุ บทความนี้มีเนื้อหาต่อเนื่องจาก [“(TH) Why I quit : สาเหตุที่ผมลาออกจากที่(ทำงาน) ที่ (เคย) เรียกว่า”บ้าน”](https://www.yakihonne.com/article/naddr1qvzqqqr4gupzpz2849zn00wd9e3dpdqdk4mrdm8rqdz6pa3usp44xzjlr7dlea3xqq2hgdtjwsm4zut0v35ksk3dwpghg3rexfgj648vkt4) ใครยังไม่ได้อ่าน แนะนำให้ไปอ่านก่อนนะครับ ผมได้ยิน คุณท็อป จิรายุส (คุณท๊อป บิทคับ) พูดคำว่า **"Law of diminishing returns"** ไว้ตอนแชร์มุมมองด้านการทำธุรกิจ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเจ๋งดี สำหรับผม สรุปกฏนี้สั้นๆ คือ **“ทำมากได้น้อย ซวยหน่อยขาดทุน”** กฏข้อนี้ว่าด้วยเรื่องการทำธุรกิจ พูดถึงปัจจัย 3 อย่าง - **Fixed input** คือสิ่งที่ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้อีกในธุรกิจตอนนั้น เช่น จำนวนห้องตรวจในโรงพยาบาล, พื้นที่ที่ดินทำการเกษตร, ห้องเก็บสินค้า, จำนวนโต๊ะทำงานในสำนักงาน, ช่องบริการลูกค้าในธุรกิจบริการต่างๆ เป็นต้น ผมขอเรียกสั้นๆว่า “พื้นที่” - **Variable input** คือสิ่งที่สามารถเติมเข้ามาในธุรกิจได้ ปรับแต่งได้ เช่น แรงงาน เครื่องจักร พลังงาน - **Marginal product** คือผลลัพธ์ของธุรกิจ กำไรเพิ่มขึ้นหลังจากเพิ่ม variable input เข้าสู่ระบบ ระยะของ law of diminishing returns - Increased return (ทำเงินได้เยอะขึ้น) เมื่อป้อนแรงงานหรือเครื่องจักรเข้าสู่ระบบ ธุรกิจสามารถทำเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจาก fixed input เดิมที่ถูกใช้สอยไม่เต็มที่ (underutilized) ถูกเติมเต็ม กรณีของรพ. คือมีห้องตรวจที่ว่าง ไม่มีหมอนั่งตรวจคนไข้ ห้องตรวจนั้นก็จะไม่สร้างรายได้ แต่เมื่อห้องนั้นมีหมอมานั่ง จะเปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อห้องตรวจทุกห้องมีหมอนั่งครบ ถือว่าเต็มศักยภาพ ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีตามมา - Diminishing return (ทำมากได้น้อย) จุดของความพอดี (optimum point) คือจุดที่สมดุลพอดีของธุรกิจนั้น ทำกำไรได้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่ถ้ามองไม่เห็นจุด optimum นี้แล้วยังเพิ่ม”แรงงาน”เข้าไปอีก มันจะทำให้ ”พื้นที่” วุ่นวายเละเทะ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง - Negative returns (ซวยหน่อยขาดทุน) ถ้ายังไม่หยุดเพิ่ม “แรงงาน” อีก สามารถนำมาสู่การขาดทุน สรุปเป็นกราฟหน้าตาตามนี้ครับ  ## ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น ### ผมใช้โมเดลธุรกิจรพ.นี้เป็นตัวอย่างเลยนะครับ ช่วงแรกที่สร้างรพ. ห้องตรวจมีไม่มาก จำนวนหมอและคนไข้สมดุลกันพอดี งานไม่หนักเกินไป การดูแลคนไข้มีประสิทธิภาพ รพ.เป็นที่ไว้ใจของคนในพื้นที่ มีชื่อเสียง ถูกบอกต่อ ทำให้จำนวนคนไข้เข้ามารับบริการมากขึ้น ต้องขยายพื้นที่รพ. สร้างตึกเพิ่ม รับบุคคลากรทุกระดับเข้ามาทำงานมากขึ้น จนเต็มพื้นที่ที่ดินรพ.ไม่สามารถขยายเพิ่มไปได้มากกว่านี้แล้ว เกิดสมดุลพอดี ทุกพื้นที่ถูกใช้งานเต็มศักยภาพ ประสิทธิภาพงานดีมาก  ### ผลการดำเนินงาน **ไม่เคยขาดทุน** ผ่านช่วงวิกฤต**ต้มยำกุ้ง** และ **COVID** ได้สบายๆ ฐานะทางการเงินแข็งแรง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ถ้าผมเป็นเจ้าของรพ.ผมจะ 1. สร้างระบบ 2. สร้างทีมผู้บริหาร 3. เน้นย้ำความสำคัญทำตามระบบ 3. Plan - Do- Check - Act เมื่อเกิดปัญหา เพื่อให้ตัวผมสามารถถอยตัวเองออกมาจากตัวธุรกิจ คอยติดตาม monitor ทุกไตรมาส อย่างใกล้ชิด ไม่ทำอะไรเพิ่มไปมากกว่านี้ แต่สุดท้ายมันก็เกิดเหตุการณ์ทายาทรุ่นที่ 2 “ไม่เอา” นั่นแหละครับ มันทำให้วัฒนธรรมองค์กรเปลี่ยน ก้าวเท้าเข้าไปสู่ยุคตกต่ำ  > #### บริหารแบบล้าหลัง ทำอะไรไม่สุด คิดว่าทำแล้วแต่จริงๆคือไม่ได้ทำ แก้ปัญหาไม่ตรงจุดสร้างปัญหากว่าเดิม --- ### ตัวอย่าง #### 1. นโยบายการประหยัดพลังงานเพื่อลด carbon footprint ฟังดูเหมือนจะดี แต่รพ.สื่อสารให้ > #### รณรงค์ให้ปิดไฟ ... ปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน ... ผมว่าประโยคนี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมามากกว่า 10 ปีแล้ว ... หรือผมเข้าใจผิดหรือเปล่าไม่แน่ใจ รณรงค์แค่นี้แหละครับ เรื่องลด carbon footprint ไม่ได้เป็นการคิดอะไรใหม่ๆที่เหมาะกับยุคสมัย หรือสร้างอะไรที่จับต้องได้ (objective) แต่สิ่งที่ทำสวนทางโดยสิ้นเชิงคือใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง **(single use plastic)** เป็นภาชนะหลักในการบรรจุอาหารของแพทย์ และผู้เข้าร่วมประชุมงานใหญ่ๆ  มีเสียงเสนอแนะจากบุคคลากรทุกระดับว่าให้ทำเป็นบุฟเฟ่ต์ จานชามช้อนส้อมแบบปกติก็ได้ เสนอกันมา 5 ปี ก็ยังคงไม่่มีการเปลี่ยนแปลง ได้รับแจ้งลงมาว่าใช้ภาชนะพลาสติกมันประหยัดกว่า เอาเป็นว่ากล่องข้าวพลาสติกมีการใช้อย่างน้อย 1200 กล่องต่อเดือน … คาดว่าสมการการปล่อยก๊าสคาร์บอน (carbon emission) ที่ทีมผู้บริหารคำนวณ อาจจะซับซ้อนเกินความเข้าใจของผมก็ได้นะครับ #### 2. การตลาดที่ล้มเหลวและพาแพทย์ซวย  ทำการตลาดไม่เข้าเป้า “เหมือนจะ” ทำ digital marketing แต่ทำแค่โพสกราฟฟิคโปรโมชั่นภาพนิ่งลงสื่อโซเชียลทุกช่องทาง แล้วบอกว่านั่นคือ digital marketing #### ... แต่เดี๋ยวก่อนๆๆๆ ... ผมจะบอกว่าการโพสมันเป็นแค่ 1 ใน 10 ของ digital marketing แต่รพ.เข้าใจว่าตัวเองได้เข้าสู่ digital marketing แล้ว #### ... จริงๆมันไม่ใช่เลยเว้ย ... ผลลัพธ์คือไม่สามารถเปิดน่านน้ำลูกค้าใหม่ได้เลย ได้แต่ฐานลูกค้าเดิมที่มี brand royalty (แต่แนวโน้มลดลง) แถมที่แย่ที่สุดคือทำการตลาดแพคเกจออกมาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนว่ามันขัดต่อมาตรฐานการรักษาหรือไม่ กลายเป็นทำแพคเกจดึงดูดคนไข้เข้ามาใช้บริการ แต่การรักษาในแพคเกจขัดต่อมาตรฐานการรักษาของแพทย์ คนไข้ไม่รู้หรอกครับ คนไข้จะเอาตามที่มีในแพคเกจ เขาจ่ายตังค์แล้ว **แต่ความซวยมันไปตกอยู่กับแพทย์** #### 3. วางกลยุทธไม่เข้าเป้า  ทุกๆต้นปีทางผู้บริหารจะประกาศกลยุทธประจำปี ว่าในปีนั้นๆรพ.จะมุ้งเน้นพัฒนาด้านไหน รพ.นี้มีปัญหาที่เป็นงูกินหางมานาน มันส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของหมอและพยาบาล มีการเสนอแก้ปัญหาเรื่องนี้วนซ้ำซากมา 5 ปี แต่ไม่ได้รับแก้ไขจริงจัง (ผมขอไม่เล่านะครับ) แต่กลยุทธประจำปี 3 ปีที่ผ่านมา พุ่งใส่ตัวบุคคลากร เน้นพฤติกรรมบริการที่ดีเลิศ ทราบมาว่ามีการลงทุนกับโครงการนี้หลักแสนหรือหลักล้าน มีการจัด workshop เชิญวิทยากรและ trainer จากบริษัทภายนอก (outsource) เข้ามาอบรม เป็นโครงการที่เน้นให้บุคคลากรทุกคนเข้าอบรม 100% ผมมองว่าปัญหาที่เป็นราก (root cause) มันยังไม่ถูกแก้เลย เปรียบเทียบเหมือนฐานรากของอาคารที่มันโคลงเคลงๆไม่มั่นคงยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่พยายามตกแต่งห้องด้วยวัสดุคุณภาพดีและเทคโนโลยีที่ทันสมัย … แต่พร้อมจะล้มลงมาได้ทุกเมื่อ #### 4. มีเสน่ดึงดูด partner ใหม่ๆ แต่ไม่เอาเอง ในช่วง COVID ระลอกแรก มีผู้นำทางด้านธุรกิจโรงแรมในจังหวัดมานำเสนอโมเดลธุรกิจ “hospitel เปลี่ยนโรงแรมให้เป็นโรงพยาบาล” ด้วยศักยภาพของรพ.ที่มีบุคคลากรเพียงพอ และตัวโรงแรมที่นำมาเสนอมีห้องพักประมาณ 300 ห้อง เป็นโมเดลที่รพ.และโรงแรม win-win ทั้งคู่ แต่ทางผู้บริหารมองว่าไม่คุ้ม ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ทำให้เสียโอกาสให้กับคู่แข่งคว้าตลาด blue ocean นี้ไป  ผมได้แต่เกาหัวตอนรู้เรื่องนี้ เพราะ 1. ช่วง COVID คนไข้น้อย พนักงานโดนลดชั่วโมงการทำงาน ได้เงินเดือนขั้นต่ำ ไม่ได้ OT 2. ทาง partner เสนอขอบุคคลากรเหล่านี้แหละ ไปช่วยงาน เรื่องสถานที่ทางโรงแรมเขามีแม่บ้าน ฝ่ายทำความสะอาดอยู่แล้ว 3. ทาง partner เสนอ profit sharing กับทางรพ. ถึงผมจะไม่รู้ตัวเลข แต่เชื่อว่ามันยุติธรรม > #### ผมก็ไม่รู้ครับ ว่าอะไรคือคุ้มสำหรับผู้บริหาร #### 5. Top down absolute power ไม่ฟังข้อเสนอจากตัวแทนหมอ คนที่มีอำนาจการตัดสินใจไม่เคยเอาตัวลงมาคุยกับหมอแบบจริงจังเลย 1-2 ปีจะลงมาพบหมอทั้งรพ.ซักหนึ่งครั้ง สร้างภาพเก่ง พูดขายฝันสวนหรูถึงภาพที่เขาต้องการ สั่งการลงมา พอเกิดปัญหาตัวเองไม่ลงมารับผิดชอบ แต่อาศัยหน่วยข่าวกรอง(ที่ไม่รู้ว่ากรองอะไรเข้าไปบ้าง) ออกคำสั่งแก้ผ้าเอาหน้ารอดลงมาทีหลัง #### แถมสั่งให้เงียบและหุบปาก ครั้งหนึ่งมีคำสั่งออกมาไม่ชัดเจน จนพยาบาลทำงานไม่ได้ ตัวแทนพยาบาลต้องโทรมาหาผมเพื่อให้ผมช่วย ผมรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและพบว่าคำสั่งมีปัญหาจริงๆ ผมจึง chat line ลงไปสอบถามผู้บริหารเพื่อขอความชัดเจน … ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที หนึ่งในผู้บริหาร(คนที่แทงข้างหลังผมที่หาว่าผมมาตรวจคนไข้ VIP เขาช้า 5 นาทีนั่นแหละ)โทรหาผมทันทีคุยกับผมสั้นๆ ใจความว่า “คำสั่งนั้นเอาแบบเดิม ไม่ต้องแก้ และให้ผมเงียบๆซะ”... (ก็ได้วะครับ)  ## จุดเปลี่ยนที่ทำให้รพ.เข้าสู่ law of diminishing returns ห้องตรวจทุกห้องของรพ. ถูกใช้จนเต็มศักยภาพ … เอาจริงๆคือล้นศักยภาพเสียอีก (over-utilized) บางแผนกมีเก้าอี้ดนตรี - หมอคนแรกหมดเวลาออกตรวจ - หมอคนต่อไปเดินเข้าใช้ห้องตรวจต่อทันที - ถ้าไม่ทันก็ต้องคว้าห้องตรวจที่ว่างพร้อมใช้งานก่อน - หมอทำการไล่ที่กันเอง - หมอบางท่านต้องใช้ห้องทำงานของพยาบาลเป็นห้องตรวจชั่วคราว ห้องพักผู้ป่วยก็เช่นกัน บางช่วงเตียงเต็มจนไม่สามารถ admit คนไข้ได้ แต่จำที่ผมบอกได้มั้ยครับว่า คนที่เป็น top down absolute power ไม่เคยเอาตัวลงมาพูดคุยกับแพทย์เพื่อรับฟังปัญหาที่แท้จริงเลย รับแต่ข่าวกรอง(ที่ไม่รู้ว่ากรองอะไรเข้าไปบ้าง) ช่วงนึงมีคนไข้ complaint ว่ารอนั่งรอหมอนาน หมอมาตรวจช้า ผู้บริหารเลยพยายามจะแก้ปัญหา โดยการ monitor **waiting time (ระยะเวลารอหมอ)** หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วนต้องรีบแก้ไข แต่เขายังงงๆกับ concept waiting time อยู่เลยว่าจะนับตั้งแต่ตอนไหนถึงตอนไหน - Waiting time สั้นแปลว่าดี เพราะคนไข้ได้เจอหมอเร็ว - Waiting time นานแปลว่าไม่ดี เพราะคนไข้นั่งรอหมอนาน เขาตีความจากตัวเลขครับ แต่เคยเอาตัวลงมาดูจริงๆหรือเปล่าว่าทำไมตัวเลขมันถึงออกมาไม่ดี >### คำตอบคือ“ไม่” ครับ หมอบางสาขามีความจำเป็นต้องไปดูคนไข้ที่อาการหนักใช้เวลารักษานาน ... หรือ ... รับปรึกษาจากแพทย์ต่างสาขา ... หรือ ... เป็นสาขาเฉพาะทางของเฉพาะทางอีกที ต้องใช้เวลาตรวจละเอียดตรวจนาน >#### มันเป็นกระบวนการทำงานของหมอ ที่หมอด้วยกันเข้าใจกัน ส่วนคนเก็บข้อมูลก็นำเสนอไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์อะไรเลย มันเป็นการกรองข้อมูลที่ไม่รอบคอบก่อนนำเสนอผู้บริหาร สุดท้ายผู้บริหาร ***“โทษหมอ”*** ว่าไม่มีการบริหารเวลาทำงานที่ดีเพียงพอ ทำให้คนไข้รอนาน เขาสรุปกันดื้อๆแบบนี้เลยครับ พอหนักๆเข้า **“รอหมอนาน ต้องเพิ่มหมอ”** season การรับสมัครหมอหลายตำแหน่งได้เริ่มขึ้น แต่เดี๋ยวนะ ห้องตรวจมันแน่นจนแทบไม่มีที่ให้หมอนั่งทำงานแล้ว แต่เขาก็ไม่สนครับ รับหมอหน้าใหม่ๆมาเพิ่มเรื่อยๆ ด้วย mindset ว่า **"ต้องเพิ่มหมอ หมอจะได้เยอะขึ้น คนไข้จะได้ไม่ต้องรอนาน"** และเชื่อว่าจะทำรายได้ให้รพ.มากขึ้น หมอหน้าใหม่บางท่านเข้ามาทำงานวันแรกถึงขั้นอยู่ในสภาวะ dead air คือ***ไม่มีที่ให้นั่งทำงาน*** ### “ทำมากได้น้อย” เริ่มต้น คนไข้รพ.นี้ ส่วนใหญ่เป็นโรคซับซ้อน ต้องการทักษะและเวลาหมอเฉพาะทางแต่ละสาขาอยู่ดี ไม่ได้ทำให้ waiting time ดีขึ้น คนไข้ยัง “นั่งรอหมอนานเหมือนเดิม” รายได้เริ่มลดลง ยอดคนไข้เริ่มลดลง รพ.พยายามแก้เกมโดยการเพิ่มราคาค่าบริการ (เพิ่มขนาด ticket size) ทำให้มีเสียงรีวิวตามโซเชียลว่า **"แพง"** ผลที่เกิดขึ้นคือคนไข้หลายคนอาศัยรพ.นี้ในการตรวจวินิจฉัยโรคแล้วเอาผลไปรักษาต่อรพ.รัฐบาลตามสิทธิ์เพราะสู้ราคาค่ารักษาไม่ไหว บางคนมีประกันสุขภาพหลายฉบับแต่ก็ต้องจ่ายส่วนต่างมากอยู่ดี  วิธีการข้างต้นนี้ ไม่ผิดกติกาครับ ผล X-ray , CT, MRI, ultrasound จากรพ.เอกชน ไวกว่ารพ.รัฐบาลอยู่แล้ว แต่ก็มีคนไข้บางส่วนยินดีจ่ายแพง เพราะเชื่อมั่นหมอที่รพ.นี้ไม่อยากย้ายรพ.ก็มีครับ เพราะหมอไม่ได้ทำอะไรผิด หมอเก่งๆมีเยอะ ถึงแม้ว่ารพ.จะรักษา momentum มีจำนวนคนไข้ประมาณ 1100 - 1200 รายต่อวัน แต่ก็เป็นโรคง่ายๆ(simple disease) เช่นไข้หวัด อาหารเป็นพิษ เป็นต้น โรคเหล่านี้ ticket size ไม่ได้ใหญ่มาก ประคองไว้ไม่ให้ขาดทุนเท่านั้นครับ แต่ความแพงแบบไม่สมเหตุสมผล ทำให้คนไข้หลายรายถอดใจย้ายรพ.ตั้งแต่ทราบค่าใช้จ่ายวินาทีแรก คนไข้น้อยลง --> รายได้ลดลง --> เพิ่ม ticket size ต่อหัวให้แพงขึ้น --> คนไข้หนีเพราะแพงเกิน > #### ผมไม่รู้ว่าผู้บริหารเขาเห็นไหม แต่คาดว่าคงจะไม่เห็น ส่วนโรคหรือการผ่าตัดที่สมศักดิ์ศรีกับศักยภาพของรพ. **"น้อยมากจนแทบไม่มี"** ไม่ใช่สาเหตุอื่นเลยครับ โดนรพ.คู่แข่งในรัศมี 20 กิโลเมตรเอาไปหมด เพราะราคาถูกกว่า หมอก็เก่งไม่แพ้กัน หมอบางคนเคยอยู่ที่รพ.แห่งนี้ เสนอโปรเจคการรักษาโรคบางโรคที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ทางรพ.ไม่เอาเอง สุดท้ายหมอเหล่านั้นย้ายไปอยู่กับรพ.คู่แข่งและผลักดันโปรเจคเหล่านั้นสำเร็จจนมีชื่อเสียง > #### "รพ.ขายสินค้า premium ไม่ได้เลย ขายได้แต่สินค้าเกรดท้องตลาด" กลยุทธที่รพ.ทำต่อมาคือเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานของหมอให้เพิ่มขึ้นโดยให้หมอมาทำงานเร็วขึ้น 2 ชม. แต่ไม่จ่าย OT ให้ ด้วยตรรกะว่าถ้าหมอทำงานนานขึ้น จะมีจำนวนคนไข้มากขึ้น ทางรพ.ไม่ได้ขอร้อง แต่บีบคอให้หมอร่วมมือ หากไม่ร่วมมือไล่ออกทันที  ไปๆมาๆ มีการไล่ออกกระทันหันเกิดขึ้น มีการส่งหนังสือส่วนตัวหาหมอทุกคน ใครมีรายชื่อที่จะปลดออกก็ต้องออกจากงานทันที ผมมองว่าฐานะทางการเงินมีปัญหารุนแรงครับ เงินเดือนพนักงานถือเป็น fixed cost ที่ธุรกิจต้องแบกรับ ถ้าเจ๋งจริงต้องควบคุมรายจ่ายให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้โดยไม่ปลดคน ในส่วนของธุรกิจรพ. หมอคือบุคคลากรที่สำคัญที่สุดและเป็นด่านสุดท้ายที่จะไล่ออกเพื่อรักษาชีวิตของธุรกิจ ตอนนี้รพ.ได้เข้าสู่ระยะสุดท้ายของ law of diminishing returns คือ “ซวยหน่อยขาดทุน” เป็นที่เรียบร้อยครับ จุดจบของรพ.แบบนี้ ที่ศักยภาพดี แต่บริหารห่วยแตก มันจะจบด้วยการถูก take over ผ่านมาไม่นานกราฟหุ้นออกอาการ exit liquidity แล้วครับ ## ข้อคิดที่อยากแบ่งปันกับทุกคนที่อ่านมาจนจบ 1. ช่วงธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ทายาท คือจุดวัดใจหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะรอดหรือไม่รอด 2. Law of diminishing returns ไม่ได้ใช้เฉพาะกับธุรกิจ แต่สามารถประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตได้หลายมิติ หากใครเข้าใจ จะขยับเข้าสู่ Pareto’s rule … สั้นๆคือ ทำน้อยแต่ได้(โคตร)มาก 3. เจ้าของธุรกิจ ต้องหูไว มองหาเนื้อร้ายที่คอยกัดกินธุรกิจให้เจอ แล้วกำจัดมันซะ ก่อนที่ธุรกิจจะล้มทั้งยืน ทับตัวเองตาย

@ d6c48950:54d57756

This post is going to cover some very basic habits and sanity checks that offer large returns over time whilst having a very low cost and in that theme I’m going to keep this to a condensed bullet point list. **how to get the solution faster** - You solve problems every day, when you have a goal and try to achieve it, when you face a shortcoming and try and overcome it, when you have an issue and resolve it - As a habit each time you solve a problem go over your actual thoguht process, how did you solve it? - After you’ve looked critically at it ask how you could have improved it **if someones better do what they tell you** - I’ve noticed a lot of people won’t take advice from people who knows better (I think because they feel if they just do what they’re told it doesn’t feel like ‘their’ accomplishment) - If someone is more credible than you and the advice they give is credible just do what you’re told **accept easy/simple solutions** - Weight loss is incredibly simple, you weigh yourself daily, count your calories and maintain a deficit of 200-500kcal daily, apps automate most of the heavy lifting - As a human it’s natural to fight against simple/easy solutions to longstanding problems - “Not only has this thing been destroying my life for years but the solution is easy and something everyone already knows? the solution is the thing everyones been telling me since the problem first started?” - supress the urge to push it away and just accept the solution, even if it means your problem was mostly self inflicted and easily avoidable **log predictions** - Keep a log of your predictions (I use apple numbers) then also log your confidence (55%, 65%, 75%, 85%, 95%) in each prediction and see how close you are - If you make 100 predictions at 55% confidence only 55 of them should be correct, if more are correct you’re underconfident if less are correct you’re overconfident **working harder is almost always beneficial** - Despite the doomerish advice hard work and time spent working is beneficial way more than most people give it credit for - there’s probably a point at which it tops off (16hrs a day might be marginally better than 12hrs) but it’s way higher than you’d instinctively expect - Try working longer hours and harder and see how you do, in my view burnout is probably a non issue if other factors of your life (sleep, diet, exercise, stress management) are correct, **basic stuff works very well** - Certain basic advice (sleep, exercise, don’t take recreational drugs, don’t drink) are not only increidlby consistent but they also have very large effect sizes, do the basic stuff before moving onto the more esoteric like nicotine patches or adderall

@ d6c48950:54d57756

This post is going to cover some very basic habits and sanity checks that offer large returns over time whilst having a very low cost and in that theme I’m going to keep this to a condensed bullet point list. **how to get the solution faster** - You solve problems every day, when you have a goal and try to achieve it, when you face a shortcoming and try and overcome it, when you have an issue and resolve it - As a habit each time you solve a problem go over your actual thoguht process, how did you solve it? - After you’ve looked critically at it ask how you could have improved it **if someones better do what they tell you** - I’ve noticed a lot of people won’t take advice from people who knows better (I think because they feel if they just do what they’re told it doesn’t feel like ‘their’ accomplishment) - If someone is more credible than you and the advice they give is credible just do what you’re told **accept easy/simple solutions** - Weight loss is incredibly simple, you weigh yourself daily, count your calories and maintain a deficit of 200-500kcal daily, apps automate most of the heavy lifting - As a human it’s natural to fight against simple/easy solutions to longstanding problems - “Not only has this thing been destroying my life for years but the solution is easy and something everyone already knows? the solution is the thing everyones been telling me since the problem first started?” - supress the urge to push it away and just accept the solution, even if it means your problem was mostly self inflicted and easily avoidable **log predictions** - Keep a log of your predictions (I use apple numbers) then also log your confidence (55%, 65%, 75%, 85%, 95%) in each prediction and see how close you are - If you make 100 predictions at 55% confidence only 55 of them should be correct, if more are correct you’re underconfident if less are correct you’re overconfident **working harder is almost always beneficial** - Despite the doomerish advice hard work and time spent working is beneficial way more than most people give it credit for - there’s probably a point at which it tops off (16hrs a day might be marginally better than 12hrs) but it’s way higher than you’d instinctively expect - Try working longer hours and harder and see how you do, in my view burnout is probably a non issue if other factors of your life (sleep, diet, exercise, stress management) are correct, **basic stuff works very well** - Certain basic advice (sleep, exercise, don’t take recreational drugs, don’t drink) are not only increidlby consistent but they also have very large effect sizes, do the basic stuff before moving onto the more esoteric like nicotine patches or adderall

@ bc575705:dba3ed39

We're living in a digital dystopia. A world where our attention is currency, our data is mined, and our mental well-being is collateral damage in the relentless pursuit of engagement. The glossy facades of traditional social media platforms hide a dark underbelly of algorithmic manipulation, curated realities, and a pervasive sense of anxiety that seeps into every aspect of our lives. We're trapped in a digital echo chamber, drowning in a sea of manufactured outrage and meaningless noise, and it's time to build an ark and sail away. I've witnessed the evolution, or rather, the devolution, of online interaction. From the raw, unfiltered chaos of early internet chat rooms to the sterile, algorithmically controlled environments of today's social giants, I've seen the promise of connection twisted into a tool for manipulation and control. We've become lab rats in a grand experiment, our emotional responses measured and monetized, our opinions shaped and sold to the highest bidder. But there's a flicker of hope in the darkness, a chance to reclaim our digital autonomy, and that hope is NOSTR (Notes and Other Stuff Transmitted by Relays).  ## **The Psychological Warfare of Traditional Social Media** **The Algorithmic Cage:** These algorithms aren't designed to enhance your life; they're designed to keep you scrolling. They feed on your vulnerabilities, exploiting your fears and desires to maximize engagement, even if it means promoting misinformation, outrage, and division. **The Illusion of Perfection:** The curated realities presented on these platforms create a toxic culture of comparison. We're bombarded with images of flawless bodies, extravagant lifestyles, and seemingly perfect lives, leading to feelings of inadequacy and self-doubt. **The Echo Chamber Effect:** Algorithms reinforce our existing beliefs, isolating us from diverse perspectives and creating a breeding ground for extremism. We become trapped in echo chambers where our biases are constantly validated, leading to increased polarization and intolerance. **The Toxicity Vortex:** The lack of effective moderation creates a breeding ground for hate speech, cyberbullying, and online harassment. We're constantly exposed to toxic content that erodes our mental well-being and fosters a sense of fear and distrust. **The Attention Deficit Trap:** The constant stream of notifications, updates, and content creates a state of perpetual distraction, making it difficult to focus, think critically, and engage in meaningful interactions. This isn't just a matter of inconvenience; it's a matter of mental survival. We're being subjected to a form of psychological warfare, and it's time to fight back.  ## **NOSTR: A Sanctuary in the Digital Wasteland** NOSTR offers a radical alternative to this toxic environment. It's not just another platform; it's a decentralized protocol that empowers users to reclaim their digital sovereignty. **User-Controlled Feeds:** You decide what you see, not an algorithm. You curate your own experience, focusing on the content and people that matter to you. **Ownership of Your Digital Identity:** Your data and content are yours, secured by cryptography. No more worrying about being deplatformed or having your information sold to the highest bidder. **Interoperability:** Your identity works across a diverse ecosystem of apps, giving you the freedom to choose the interface that suits your needs. **Value-Driven Interactions:** The "zaps" feature enables direct micropayments, rewarding creators for valuable content and fostering a culture of genuine appreciation. **Decentralized Power:** No single entity controls NOSTR, making it censorship-resistant and immune to the whims of corporate overlords.  ## **Building a Healthier Digital Future** NOSTR isn't just about escaping the toxicity of traditional social media; it's about building a healthier, more meaningful online experience. **Cultivating Authentic Connections:** Focus on building genuine relationships with people who share your values and interests, rather than chasing likes and followers. **Supporting Independent Creators:** Use "zaps" to directly support the artists, writers, and thinkers who inspire you. **Embracing Intellectual Diversity:** Explore different NOSTR apps and communities to broaden your horizons and challenge your assumptions. **Prioritizing Your Mental Health:** Take control of your digital environment and create a space that supports your well-being. **Removing the noise:** Value based interactions promote value based content, instead of the constant stream of noise that traditional social media promotes.  ## **The Time for Action is Now** NOSTR is a nascent technology, but it represents a fundamental shift in how we interact online. It's a chance to build a more open, decentralized, and user-centric internet, one that prioritizes our mental health and our humanity. We can no longer afford to be passive consumers in the digital age. We must become active participants in shaping our online experiences. It's time to break free from the chains of algorithmic control and reclaim our digital autonomy.  ## **Join the NOSTR movement** Embrace the power of decentralization. Let's build a digital future that's worthy of our humanity. Let us build a place where the middlemen, and the algorithms that they control, have no power over us. In addition to the points above, here are some examples/links of how NOSTR can be used: **Simple Signup:** Creating a NOSTR account is incredibly easy. You can use platforms like Yakihonne or Primal to generate your keys and start exploring the ecosystem. **X-like Client:** Apps like Damus offer a familiar X-like experience, making it easy for users to transition from traditional platforms. **Sharing Photos and Videos:** Clients like Olas are optimized for visual content, allowing you to share your photos and videos with your followers. **Creating and Consuming Blogs:** NOSTR can be used to publish and share blog posts, fostering a community of independent creators. **Live Streaming and Audio Spaces:** Explore platforms like Hivetalk and Zap Stream for live streaming and audio-based interactions. **NOSTR is a powerful tool for reclaiming your digital life and building a more meaningful online experience. It's time to take control, break free from the shackles of traditional social media, and embrace the future of decentralized communication.** Get the full overview of these and other apps here: https://nostrapps.com/

@ 3492dd43:1af4ffdd

Testing comet.md the idea of writing locally is a great. Why would i need to be connected to the internet to login to a server somewhere in order to write. Upon reflection, that seems highly regarded. This basically has the feel of a combination of an rss reader and the apple notes app. Include email intergration and also subscribing and reading, and this will be a game changer

@ a012dc82:6458a70d

In a groundbreaking move that could significantly alter the investment landscape, Harvest Fund Management, a prominent Chinese asset manager, has boldly stepped forward with an application for a spot Bitcoin exchange-traded fund (ETF) in Hong Kong. This initiative is not just a leap towards diversifying investment options but also a testament to the evolving acceptance and integration of digital assets into the mainstream financial ecosystem. **Table of Contents** - Introduction to Spot Bitcoin ETFs - Harvest Fund's Strategic Move - The Significance for Hong Kong - Regulatory Landscape and Stablecoin Interest - The Road Ahead - Conclusion - FAQs **Introduction to Spot Bitcoin ETFs** Spot Bitcoin ETFs represent a bridge between the traditional financial world and the burgeoning realm of cryptocurrencies. By mirroring the current market price of Bitcoin, these ETFs offer investors a straightforward path to participate in the cryptocurrency market without the direct ownership of Bitcoin. This eliminates the need for investors to engage with cryptocurrency exchanges or secure digital wallets, thereby lowering the entry barriers to the Bitcoin market. The significance of spot Bitcoin ETFs extends beyond convenience; they are a symbol of the growing legitimization of cryptocurrencies as a viable asset class. By being listed on conventional stock exchanges, these ETFs are subjected to regulatory scrutiny and standards, offering a layer of security and transparency that is sometimes questioned in the crypto space. This development could potentially attract a new wave of institutional and retail investors, who have been on the sidelines due to concerns over regulatory clarity and the technical challenges associated with cryptocurrency investments. **Harvest Fund's Strategic Move** Harvest Fund Management's application for a spot Bitcoin ETF is a calculated strategic move, positioning the firm at the forefront of financial innovation in Hong Kong. By aiming to launch the city's first such ETF, Harvest Fund is not merely expanding its product lineup but is also contributing to the legitimization and institutionalization of Bitcoin as an investable asset. This pioneering effort reflects a deep understanding of market dynamics and a vision for the future of investment, where digital and traditional assets coexist within regulated frameworks. The initiative by Harvest Fund could catalyze a shift in investor sentiment, encouraging more conservative players to consider the potential of Bitcoin and other cryptocurrencies. Furthermore, it sets a benchmark for product innovation and regulatory compliance, potentially influencing the pace and direction of cryptocurrency adoption across the financial sector. As the first mover, Harvest Fund could enjoy a competitive advantage, capturing significant market share among investors eager to explore digital assets within a regulated environment. **The Significance for Hong Kong** Hong Kong's financial landscape is on the cusp of transformation, with Harvest Fund's application signaling a broader trend towards the acceptance of digital assets. This move comes at a pivotal moment, as Hong Kong seeks to assert itself as a global hub for cryptocurrency and blockchain technology. The interest from approximately 10 fund companies in launching their own spot crypto ETFs underscores the city's potential to lead in the virtual asset space. This collective momentum could significantly enhance Hong Kong's attractiveness as a financial center, drawing in global investors looking for regulated avenues into the cryptocurrency market. The introduction of spot Bitcoin ETFs would not only diversify the city's financial products but also reinforce its reputation as a jurisdiction that balances innovation with investor protection. By providing a structured and regulated framework for cryptocurrency investments, Hong Kong can set a global standard for how financial centers can adapt to the evolving landscape of digital assets. This development is a key step in the broader journey towards integrating cryptocurrencies into the global financial system, with Hong Kong leading the way. **Regulatory Landscape and Stablecoin Interest** The enthusiasm for spot Bitcoin ETFs in Hong Kong is paralleled by an equally significant interest in stablecoins, indicating a comprehensive approach to cryptocurrency regulation and adoption. The discussions between the HKMA and various companies about stablecoin trials reflect a proactive stance towards understanding and integrating digital currencies in a way that supports financial stability and innovation. This balanced approach is crucial, as stablecoins represent a bridge between traditional fiat currencies and cryptocurrencies, offering the potential for more efficient payment systems and financial services. The regulatory efforts around stablecoins, coupled with the move towards spot Bitcoin ETFs, show Hong Kong's commitment to creating a robust framework for digital assets. This not only enhances the city's competitive edge as a financial hub but also provides a blueprint for other jurisdictions navigating the complexities of cryptocurrency regulation. By leading in both areas, Hong Kong is positioning itself at the forefront of financial innovation, setting the stage for a future where digital and traditional finance converge seamlessly. **The Road Ahead** The initiative by Harvest Fund Management to launch a spot Bitcoin ETF in Hong Kong marks the beginning of a new era in cryptocurrency investment. This move is more than just an expansion of the financial products available to investors; it is a signal of the maturing relationship between the cryptocurrency industry and the broader financial community. As regulatory frameworks continue to evolve and more players enter the market, the landscape for cryptocurrency investment is set to undergo significant changes. Hong Kong's role in this transition cannot be understated. By fostering an environment that encourages innovation while ensuring investor protection, the city is not just adapting to the rise of digital assets but is actively shaping the future of finance. The success of Harvest Fund's application and the subsequent launch of the city's first spot Bitcoin ETF could serve as a catalyst for other financial centers to follow suit, potentially leading to a global shift in how cryptocurrencies are perceived and utilized within the investment world. **Conclusion** Harvest Fund Management's bold step towards launching a spot Bitcoin ETF in Hong Kong is a landmark moment in the integration of digital assets into mainstream finance. This initiative not only opens up new avenues for investment but also underscores Hong Kong's ambition to be at the forefront of financial innovation. As the regulatory landscape evolves and the market for digital assets continues to grow, the efforts of Harvest Fund and like-minded institutions will be crucial in bridging the gap between traditional finance and the digital asset world. The path ahead is promising, and Hong Kong's leadership in this space could pave the way for a new chapter in the global financial narrative, where digital and traditional assets coexist in a regulated, dynamic, and inclusive investment ecosystem. **FAQs** **Who has filed for the first spot Bitcoin ETF in Hong Kong?** Harvest Fund Management, a major Chinese asset manager, has filed an application for the first spot Bitcoin ETF in Hong Kong with the Securities and Futures Commission (SFC). **Why is a spot Bitcoin ETF significant for investors?** A spot Bitcoin ETF provides a regulated, accessible, and potentially less risky way for investors to gain exposure to Bitcoin's price movements without dealing with the complexities of cryptocurrency exchanges, digital wallets, and private keys. **How does a spot Bitcoin ETF work?** A spot Bitcoin ETF buys and holds actual Bitcoin, and the value of the ETF shares fluctuates with the real-time price of Bitcoin. Investors can buy and sell these shares through traditional stock exchanges. **What are the benefits of investing in a spot Bitcoin ETF?** Investing in a spot Bitcoin ETF offers the benefits of trading and owning a stock, including regulatory protection, ease of access, and liquidity, while also providing exposure to Bitcoin's price. **That's all for today** **If you want more, be sure to follow us on:** **NOSTR: croxroad@getalby.com** **X: [@croxroadnewsco](https://x.com/croxroadnewsco)** **Instagram: [@croxroadnews.co/](https://www.instagram.com/croxroadnews.co/)** **Youtube: [@thebitcoinlibertarian](https://www.youtube.com/@thebitcoinlibertarian)** **Store: https://croxroad.store** **Subscribe to CROX ROAD Bitcoin Only Daily Newsletter** **https://www.croxroad.co/subscribe** **Get Orange Pill App And Connect With Bitcoiners In Your Area. Stack Friends Who Stack Sats link: https://signup.theorangepillapp.com/opa/croxroad** **Buy Bitcoin Books At Konsensus Network Store. 10% Discount With Code “21croxroad” link: https://bitcoinbook.shop?ref=21croxroad** *DISCLAIMER: None of this is financial advice. This newsletter is strictly educational and is not investment advice or a solicitation to buy or sell any assets or to make any financial decisions. Please be careful and do your own research.*

@ bc575705:dba3ed39

One of the most exciting aspects of music production is blending the organic warmth of acoustic instruments with the limitless possibilities of electronic sounds. Combining these two worlds allows me to create rich, layered compositions that feel both timeless and modern. In this post, I’ll share my process for merging acoustic and electronic elements, offering a glimpse into how I approach this dynamic interplay in my music. ## **Start With a Core Idea** Every track begins with a central idea that sets the tone for the composition. This could be a melody played on an acoustic piano, a chord progression on a guitar, or a rhythmic motif created with electronic drums. Starting with a strong foundation helps anchor the track, making it easier to integrate acoustic and electronic layers cohesively. Example: I might record a simple acoustic guitar loop and use it as the backbone of the track. Its natural tone provides a grounding element that contrasts beautifully with the synthetic textures I’ll layer in later. ## **Record Acoustic Elements With Character** When incorporating acoustic instruments, I focus on capturing their raw, authentic sound. Imperfections—like the creak of a guitar string or the ambient noise of the recording space—add character and depth to the track. **What I Use:** I often record acoustic elements using a condenser microphone to capture detail and warmth. Instruments like piano, guitar, or even simple percussive hits serve as the organic counterpoint to electronic layers. **How I Use It:** I’ll sometimes process these recordings with effects like reverb or delay to give them a dreamlike quality, or leave them raw for a more intimate feel. ## **Build Electronic Layers** With the acoustic elements in place, I begin crafting the electronic components. These can range from deep, evolving synth pads to intricate drum patterns and glitchy textures. The goal is to complement the acoustic elements without overpowering them. **What I Use:** Tools like Serum, Omnisphere, and analog synths like the Korg Minilogue are my go-to for designing electronic sounds. Drum machines or sample packs provide the rhythmic backbone. **How I Use It:** I’ll often create electronic layers that echo or contrast with the acoustic parts—for instance, pairing a warm piano melody with shimmering, high-frequency synths to create a sense of balance. ## **Focus on Blending and Balance** The magic of combining acoustic and electronic elements lies in how they interact. To achieve a cohesive sound, I pay close attention to how each layer fits within the mix. **Techniques I Use:** **EQ:** I carve out space in the frequency spectrum for each element. For example, cutting low-end frequencies on a synth pad can make room for the natural resonance of an acoustic bass. **Compression:** Light compression can help glue the acoustic and electronic layers together, ensuring they feel like part of the same sonic space. **Reverb and Delay:** Applying similar reverb settings to both acoustic and electronic elements can create a sense of unity and atmosphere. ## **Experiment With Textures and Effects** One of my favorite parts of the process is experimenting with how acoustic and electronic sounds can interact. Sometimes, this involves processing acoustic recordings through electronic effects, or vice versa. **Examples:** *Running an acoustic guitar loop through a granular synthesizer to create glitchy, fragmented textures.* *Sampling a piano note and pitching it down to create a haunting drone.* *Adding subtle distortion to electronic drums to give them a more organic, analog feel.* ## **Embrace the Contrast** Part of what makes this combination so compelling is the contrast between the two elements. Acoustic instruments bring warmth, humanity, and imperfection, while electronic sounds add precision, innovation, and texture. Leaning into these differences can create dynamic and emotionally resonant compositions. **Example:** Pairing a raw, emotive vocal recording with a pulsating, mechanical bassline creates a tension that keeps the listener engaged. ## **Refine and Iterate** Once all the elements are in place, I spend time refining the mix and arrangement. **This involves:** *Adjusting levels to ensure no element overpowers the others.* *Experimenting with transitions to smoothly blend acoustic and electronic sections.* *Listening to the track as a whole to ensure it tells a cohesive story.* ## **Why This Approach Inspires Me** Blending acoustic and electronic elements allows me to explore the dualities of sound—the organic and the synthetic, the familiar and the futuristic. It’s a process that pushes me creatively, challenging me to think beyond genre boundaries and embrace the full spectrum of sonic possibilities. At its core, this approach is about connection—bridging the past and the present, the human and the technological, to create music that feels both timeless and forward-thinking.

@ 1c19eb1a:e22fb0bc

It's been barely two years since I joined Nostr on my main npub, nostr:npub1kun5628raxpm7usdkj62z2337hr77f3ryrg9cf0vjpyf4jvk9r9smv3lhe, and in just that relatively short time, the amount of development on top of this protocol has been staggering. When nostr:npub1sg6plzptd64u62a878hep2kev88swjh3tw00gjsfl8f237lmu63q0uf63m first opened the floodgates of adoption by tweeting about Nostr, it felt like most of the available clients were barely serviceable and held together with a prayer and copious amounts of duct tape. Of course, it can sometimes still feel that way, but there are definitely some Nostr apps looking and feeling more polished and providing true innovation when compared with legacy social platforms. Indeed, there are a growing number of Nostr-based applications and tools that have very little to do with social media at all. One thing we have not had available to the growing Nostr community, and those considering joining it, is a source for application reviews that is thorough, approachable, knowledgeable, and balanced. This is what I hope to begin to provide through this new npub dedicated to reviewing as many of the Nostr clients, apps, and tools as I possibly can, so you the reader can determine which ones will fit your needs, and perhaps help you find new ones you had never heard about. One of the best parts about Nostr is the portability of your identity and social graph, allowing users to log into any Nostr-based application with their same "account" without some centralized tech giant like Google or Apple owning who you are and all of your data. Leverage this super-power of Nostr with me as we explore the best applications and tools the intrepid developers building on this platform have cooked up. ## What will you review? My choice of applications to review will be based on a few factors. First, I will only be reviewing applications that have a production release, or are otherwise considered production ready by the developer. nostr:npub1xtscya34g58tk0z605fvr788k263gsu6cy9x0mhnm87echrgufzsevkk5s, you won't have to worry that I will be putting NoteDeck under the microscope while it is still very much in alpha. All of us who love to try the new clients as soon as they are available understand well enough that there will be plenty of bugs, UI quirks, and rough edges to look past. Second, I will generally be reviewing applications that are meant to be user-facing for the average person. That is, apps that your normie friends might soon be using, and then asking you why they can't edit anything they post. I will not be doing reviews of various relay implementations, for instance, unless they are designed to be approachable to the average user to install and manage. nostr:npub10npj3gydmv40m70ehemmal6vsdyfl7tewgvz043g54p0x23y0s8qzztl5h, your project might just be a notable exception. Third, my reviews will be limited by the operating systems I have available to me at the time. Sorry folks over on iOS, Mac, and Windows. I will only be able to review apps I can run on Android, Linux, or my web browser for the time being. ## How will the apps be rated? I want to be thorough in my reviews, and yet avoid overloading my readers with information they don't care about. In order to attempt to achieve this, I will break my reviews into several sections, so readers can skip to the sections relevant to their interests. First, I will provide a basic overview of the type of application I am reviewing, what it is trying to achieve, and why a user might want to try it out. Next, I will give my overall impression of the application. The good, the bad, and the ugly, as it were, so that those who just want a brief rundown can get the TLDR right out the gate and be on their way. Then we will begin diving into the nitty-gritty with an in depth look at the main features of the application. What it does well. What features seem lacking. What expected features are absent. What features make it unique and set it apart from other applications with a similar purpose. For the sake of all the baby Nostriches out there, the next section will be an assessment of how approachable the application would likely be to a normie who is coming to Nostr with no idea what a public and private key are, what relays are, or why they might want to start interacting here instead of on a legacy equivalent. What would someone used to Twitter think of #Snort? What would someone used to Spotify think of #Fountain or #Wavlake? The next section will be a review of the application's UI. The design and polish. How easy it is to find the things you want in the areas you would expect them. In short, how well the application achieves the goal of making the user feel at home and want to continue using the app just through quality UI design. If you know me and my contstant harping on developers to include various forms of external signing, it should be no surprise to you that the next section will cover login options. What does the sign-in and sign-up flow look like, and does the user have to expose their private key to the application in order to use it? A review of virtually any Nostr application would be incomplete without a section dedicated to zap integration. How prominent is zapping in the app? How easy is it to zap or start receiving zaps? Are zaps displayed in a way that encourages users to compete to be top zapper? Is Nostr Wallet Connect supported for using external wallets for one-tap-zapping? Most Nostr applications, even "other stuff" clients, are designed to present some form of content to the user. The next section will cover how easy it is for the user to find the type of content they may be interested in, or to discover content they didn't know they might be interested in. For social clients, how easy is it to discover other users that they might want to follow? The backbone of the protocol is the interplay between clients and relays, and the next section of the review will cover how the app manages relays. Are they hidden from the user? Are there sensible defaults? Can users who want to do so select the relays they prefer? Does the app respect relays the user has selected in other apps, or are the app's relays independent of those selected in other apps. Worse, does the app overwrite your selected relays with its defaults? Finally, I will scour the #AskNostr feed for questions and comments from other users about the app under review to get more perspectives than just my own. What are the common pain-points other users are having? What do they love about the app? What features would they like to see added? Are there other sections you would like to see me add before I start dropping reviews? Get them to me soon, because I am currently taking notes for my first review, which will be the #Primal #Android client! PV 🤙