-

@ d830ee7b:4e61cd62
2025-03-06 12:41:15
สายลมพัดกระโชกแรง แทรกซึมผ่านแนวต้นไม้สูงใหญ่ในป่าทึบ **รัตติกาลโอบล้อมทุกสิ่งไว้ในความมืดมิด** ร่างของเอี้ยก้วยเคลื่อนผ่านเส้นทางขรุขระ ย่ำเดินไปบนโคลนที่เปียกชื้นจากฝนที่ตกพรำมาทั้งวัน
ทุกย่างก้าวหนักอึ้ง... ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยล้าของร่างกาย แต่เป็นภาระของหัวใจที่แบกรับไว้—**มันหนักเสียยิ่งกว่าภูเขาหลายลูก**
**เซียวเหล่งนึ่ง... จากไปแล้ว**
ราวกับสวรรค์เล่นตลก เหมือนโชคชะตากำลังทดสอบจิตวิญญาณของเขา ทุกสิ่งที่เขาต่อสู้เพื่อมัน ทุกสิ่งที่เขาหวงแหน... **กลับถูกพรากไปอย่างโหดร้าย** ไม่มีสิ่งใดเจ็บปวดมากไปกว่าการยืนอยู่เพียงลำพังในโลกกว้างใหญ่ที่ไร้เงาของนาง
---
ไม่นานก่อนหน้านี้ เอี้ยก้วยและเซียวเหล่งนึ่งยังคงอยู่ด้วยกันภายใน **หุบเขาสุสานโบราณ**—สถานที่ที่ทั้งสองเคยให้คำมั่นว่าจะครองรักกันไปชั่วชีวิต แต่แล้วโชคชะตาก็พลิกผันอย่างโหดร้าย
เซียวเหล่งนึ่งเชื่อว่า **ตนเองถูกวางยาพิษร้ายแรง** นางไม่ต้องการให้เอี้ยก้วยต้องทนทุกข์ทรมานกับการเห็นนางจากไปช้าๆ—นางจึงเลือกที่จะทิ้งเขาไว้
**“อย่าตามหาข้า...”**
เสียงของนางยังคงก้องอยู่ในใจเขา แม้จะเป็นเพียงกระซิบแผ่วเบาในคืนฝนตก แต่สำหรับเอี้ยก้วย **มันราวกับเสียงฟ้าผ่าที่ทำลายทุกสิ่ง**
เขาเคยสาบานว่าจะอยู่เคียงข้างนาง แต่สุดท้ายนางกลับเลือกหนทางนี้...
ฝนยังคงโปรยปราย สายลมยังคงโหมพัด **แต่ในใจของเอี้ยก้วย กลับเงียบงันยิ่งกว่าทะเลทรายอันว่างเปล่า**
ตั้งแต่วันที่เซียวเหล่งนึ่งจากไป เขาออกเดินทางโดยไร้จุดหมาย เท้าของเขาพาเขาไปข้างหน้าอย่างไร้ทิศทาง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่ากำลังจะไปที่ใด
**หรือบางที... อาจเป็นเพราะเขาไม่สนใจอีกแล้ว**
เขาเดินฝ่าภูเขา ป่าทึบ ลัดเลาะเส้นทางอันเปลี่ยวร้างของยุทธภพ แววตาของเขามิได้เต็มไปด้วยความโกรธแค้นอีกต่อไป แต่มันกลับกลายเป็นความว่างเปล่า **ราวกับวิหคที่บินหลงทางในฟากฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุด**
เขาไม่ได้มุ่งหน้ากลับไปที่สุสานโบราณ เพราะเขารู้ว่า—**ต่อให้กลับไป ก็จะไม่พบสิ่งใดอีกแล้ว**

เสียงฟ้าคำรามก้องกังวาน สายฟ้าผ่าลงมาส่องแสงวาบผ่านม่านเมฆดำสนิท ลำแสงสีขาวแหวกทะลุเงาของต้นไม้สูงใหญ่ **เผยให้เห็นร่างของเอี้ยก้วยที่ยังคงยืนอยู่กลางพายุ**
เสื้อคลุมของเขาเปียกโชกจากสายฝน น้ำฝนไหลซึมผ่านผิวกาย แต่อากาศหนาวเย็นกลับไม่อาจทำให้เขาสั่นสะท้านได้ **เพราะจิตใจของเขาเย็นยะเยือกยิ่งกว่าสายลมที่พัดผ่าน**
**“ทำไมกัน...”**
เสียงของเขาถูกกลืนหายไปในเสียงพายุ เอี้ยก้วยกำมือแน่น รู้สึกถึงอารมณ์ที่ปะทุขึ้นภายใน—มันเป็นทั้งความเจ็บปวด ความโกรธ ความสับสน และความสิ้นหวัง
แต่ทันใดนั้นเอง...
**เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง**
มันไม่ใช่เพียงเสียงพายุ หรือเสียงใบไม้ไหวในสายลม—**แต่เป็นสายตา... สายตาของใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่**
ร่างของเอี้ยก้วยตวัดสายตามองไปรอบตัว ลมหายใจของเขาติดขัด ฝนที่ตกหนักบดบังทุกสิ่งรอบกาย แต่มันมิอาจบดบังสัมผัสของเขาได้
จากมุมหนึ่งของม่านฝน...
**เงาหนึ่งขยับเข้ามาอย่างแผ่วเบา**
แม้ไม่มีเสียงฝีเท้า แต่พลังที่เปล่งออกมากลับหนักหน่วง **ยิ่งกว่าคลื่นของมหาสมุทร**
เสียงหนึ่งดังขึ้น แทรกผ่านสายฝน...
**"ดูเหมือนเจ้ายังไม่เข้าใจสายฝนดีพอ..."**
มันไม่ดังนักแต่กลับทะลวงเข้าสู่หัวใจ เอี้ยก้วยหันขวับ ดวงตาจ้องเขม็งผ่านม่านน้ำ
แล้วเขาก็เห็น...
ชายผู้นั้นยืนอยู่กลางสายฝน แต่เสื้อคลุมขาวของเขากลับมิได้เปียกโชกแม้แต่น้อย ร่างสูงโปร่งแต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังอันไม่อาจหยั่งถึง ดวงตาของเขาสงบนิ่งยิ่งกว่าน้ำในบึงลึก ทว่ากลับสะท้อนความลี้ลับดุจมหาสมุทร
**“ข้าแซ่ JAKK นามว่า Goodday”**
เสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับทำให้หัวใจของเอี้ยก้วยเต้นแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ มันไม่ใช่พลังข่มขู่ แต่เป็นแรงกดดันที่มาโดยธรรมชาติ ราวกับภูเขาสูงตระหง่านที่มิได้พยายามบดบังแสงอาทิตย์ แต่กลับบังมันไว้โดยสมบูรณ์
**“เจ้าคือใครกันแน่?”** เอี้ยก้วยเอ่ยถาม ดวงตาจ้องมองชายลึกลับตรงหน้า “เจ้ามีจุดประสงค์ใดถึงได้ปรากฏตัวต่อหน้าข้า?”
JAKK เพียงแค่ยิ้มบาง ๆ แต่ในดวงตานั้นกลับฉายแววที่ทำให้หัวใจของเอี้ยก้วยสั่นสะท้าน
**“ข้าคือผู้เดินทางผ่าน เช่นเดียวกับสายฝนนี้”**
เอี้ยก้วยขมวดคิ้ว คำพูดเหล่านั้นช่างคลุมเครือ ราวกับหยาดฝนที่ร่วงหล่นแต่กลับไร้รูปร่างจับต้อง
ทันใดนั้นเอง สายลมกระโชกแรงขึ้น ฝนที่เคยสาดกระหน่ำกลับเปลี่ยนทิศทาง หยาดน้ำที่ตกลงมากลางอากาศดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ก่อนจะไหลวนตามแรงที่มองไม่เห็น **ราวกับทั้งสายฝนนี้กำลังถูกควบคุม**

**ฟึ่บ!**
เสี้ยววินาทีถัดมา เอี้ยก้วยสัมผัสได้ถึงแรงบางอย่างที่พุ่งผ่านใบหน้า **ไม่ใช่ลม ไม่ใช่ฝน แต่มันคือบางสิ่งที่จับต้องไม่ได้!**
เขาตวัดกระบี่ขึ้นอย่างฉับพลัน แต่กลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า พริบตานั้นเอง... **ใบไม้ด้านหลังเขาถูกเฉือนขาดเป็นเส้นตรง!**
เอี้ยก้วยเบิกตากว้าง **"นี่มัน..."**
JAKK เอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาฉายแววของผู้ที่มองเห็นสิ่งที่ผู้อื่นมองไม่ออก
**“ฝนสามารถทำให้ดินชุ่มชื้น หรือสามารถกัดเซาะภูเขาได้”** เขากล่าวช้า ๆ **“แต่เจ้ากลับปล่อยให้มันตกต้องโดยไร้ความหมาย”**
เอี้ยก้วยกำกระบี่แน่น รู้สึกถึงความโกรธที่แล่นขึ้นมาในอก **"เจ้าหมายความว่าอย่างไร?"**
**JAKK ไม่ตอบ** แต่เพียงยื่นมือออกไป **หยดน้ำฝนที่ปลายนิ้วของเขาค่อย ๆ ไหลรวมกันเป็นเส้นบางเบา ส่องประกายราวใยไหมในความมืด**
**"น้ำ... ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด"**
**"แต่มันไม่มีใครทำลายมันได้"**
เอี้ยก้วยขมวดคิ้ว **เขาไม่เข้าใจ... หรือบางที เขาอาจไม่อยากเข้าใจ**
JAKK ปล่อยให้ความเงียบเข้าปกคลุมชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา **แต่แหลมคมกว่ากระบี่ใด ๆ**
**"เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับสายฝน... หรือเจ้ากำลังปล่อยให้มันกลืนกินเจ้า?"**
คำถามที่ดูเหมือนไร้ความหมาย... กลับหนักหน่วงยิ่งกว่าสายฝนที่โหมกระหน่ำ เอี้ยก้วยรู้สึกถึงอะไรบางอย่างกำลังสั่นคลอนอยู่ในจิตใจของตนเอง
**"ฝนเป็นเพียงฝน ข้าจะไปอยู่เหนือมันหรือถูกมันชะล้างได้อย่างไร?"** เขาตอบโดยไม่ต้องคิด
JAKK ยิ้มเพียงเล็กน้อย ก่อนกล่าวคำที่ทำให้เอี้ยก้วยต้องนิ่งงัน
**"เช่นนั้น เจ้าก็ไม่อาจเข้าใจสิ่งที่กำลังมองหา..."**
---
สายฝนยังคงโปรยปราย ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับมหาสมุทรที่คว่ำลงสู่พื้นพิภพ ฟ้าคำรามก้อง ลำแสงสายฟ้าแหวกม่านเมฆดำสาดลงมาราวกับต้องการเปิดโปงความลึกลับที่ปกคลุมค่ำคืนนี้
เอี้ยก้วยยืนตระหง่านอยู่กลางลานหิน สายตาของเขามิได้จดจ้องสายฝนที่ซัดกระหน่ำร่างของเขาอีกต่อไป หากแต่จับจ้องอยู่ที่ชายตรงหน้า—บุรุษผู้เผยตนจากม่านฝน ร่างสูงสง่าในอาภรณ์ขาวสะอาดไร้รอยเปียก ดวงตาสงบนิ่งดังมหานทีอันลึกล้ำ
**“เจ้ากำลังต้านฝน…”** JAKK กล่าวเสียงเรียบ **“แต่สายฝนนี้มิใช่ศัตรูของเจ้า”**
เอี้ยก้วยสูดลมหายใจเข้าลึก กระชับกระบี่ในมือแน่น
**“ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อทดสอบความหมายของหยาดฝน”** เสียงของเขาเด็ดเดี่ยว **“แต่เพื่อพิสูจน์ว่าข้ายังยืนหยัดอยู่ได้ แม้สวรรค์จะทอดทิ้งข้า”**

JAKK มิได้กล่าวตอบ แต่ปลายนิ้วของเขายื่นออกมาเพียงเล็กน้อย
**ฟึ่บ!**
สายฝนรอบตัว JAKK คล้ายหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะรวมตัวกันเป็นเส้นสายโปร่งใสราวกับใยไหมสะท้อนแสงจันทร์
**“ใยวารี”**
เสียงกระซิบแผ่วเบาดังลอดออกจากริมฝีปากของ JAKK และในพริบตานั้นเอง เส้นสายเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นอาวุธแห่งธารา แหวกอากาศพุ่งเข้าหาเอี้ยก้วยด้วยความเร็วเหนือมนุษย์!
**เคร้ง!**
เอี้ยก้วยสะบัดกระบี่ปัดป้อง แต่บางสิ่งผิดปกติ เส้นใยน้ำมิได้ถูกเฉือนขาด กลับพันรอบคมกระบี่ราวกับเถาวัลย์ที่ไร้ตัวตน ร่างของเขาถูกดึงรั้งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว!
**“อะไร!?”**
**ฟึ่บ!**
เอี้ยก้วยตัดสินใจกระโจนขึ้นกลางอากาศ หมุนตัวเพื่อสะบัดใยวารีออกจากร่าง แต่ในขณะที่เขาลอยตัวกลางหาว ใยโปร่งใสเหล่านั้นกลับเคลื่อนตามมาอย่างลื่นไหล ปรับทิศทางเหมือนมันมีชีวิต!
JAKK มองภาพนั้นนิ่ง ๆ ดวงตาของเขาไร้แววเย้ยหยัน มีเพียงประกายแห่งการสังเกต
**“สายน้ำไม่เคยยึดติด ไม่เคยต่อต้าน”** JAKK กล่าวเรียบ ๆ **“มันซึมซับทุกสิ่งอย่างไร้รูปร่าง เจ้ายังไม่เข้าใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้า”**
เอี้ยก้วยกัดฟันแน่น ฝ่ามือที่จับกระบี่เริ่มสั่นเล็กน้อย **นี่มิใช่วิชาที่เขาเคยประมือมาก่อน…**
**“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะทำให้มันแตกสลาย!”**
**กระบี่วิหคโบยบิน!**
เอี้ยก้วยระเบิดพลังสุดกำลัง กวัดแกว่งกระบี่เป็นวงกว้าง ตวัดเป็นแนวสายลมกรรโชก!
ลำแสงแห่งกระบี่พุ่งตัดผ่านม่านฝน ปะทะเข้ากับใยวารีที่พุ่งมาอย่างแรง!
**ฉัวะ!**
สิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่การแตกสลายของใยวารีไม่ เส้นใยเหล่านั้นกลับยืดหยุ่นและดูดซับแรงปะทะของกระบี่ ราวกับมันมิใช่ของแข็งหรือของเหลว แต่เป็นสภาวะที่อยู่เหนือขึ้นไป!
**เคร้ง!**
แรงสะท้อนทำให้เอี้ยก้วยเสียหลัก กระบี่ของเขาถูกดูดซับพลังไปในชั่วพริบตา ร่างของเขาถอยหลังไปหลายก้าว หัวใจเต้นแรง
**“เป็นไปไม่ได้...”**
JAKK ก้าวเข้ามาช้า ๆ สายตาไร้แววสมเพชหรือโอ้อวด มีเพียงความสงบเช่นผืนน้ำที่ไร้คลื่น
**“พลังที่แข็งแกร่งที่สุด มิใช่พลังที่เผชิญหน้า”** เขากล่าว **“แต่คือพลังที่อยู่เหนือการเผชิญหน้า”**
**เอี้ยก้วยยังไม่เข้าใจ แต่จิตใจของเขาเริ่มหวั่นไหว**
JAKK มองเขาเงียบ ๆ ก่อนจะพลิกมืออย่างแผ่วเบา
**ฟึ่บ!**
ใยวารีสายสุดท้ายพุ่งตรงเข้าหาร่างของเอี้ยก้วย!
เอี้ยก้วยสะบัดกระบี่ขึ้นสุดกำลังเพื่อป้องกัน แต่…
ครั้งนี้ เขารู้สึกว่า **มันมิใช่สิ่งที่สามารถต้านทานได้ด้วยพลังเพียงอย่างเดียว**

เขายังคงหอบหายใจหนัก สองมือกำกระบี่แน่น สายตาจับจ้องไปยังชายตรงหน้า—JAKK บุรุษผู้ควบคุมน้ำฝนได้ดั่งอวัยวะของตนเอง เขาเพียงยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาเรียบนิ่ง ไม่แสดงความเหนือกว่า แต่กลับเปล่งพลังลี้ลับราวกับสายน้ำในห้วงลึก
เอี้ยก้วยไม่เคยเจอศัตรูเช่นนี้มาก่อน
ทุกกระบวนท่าของเขาถูกทำให้ไร้ความหมาย ดุจพายุกระหน่ำใส่ธารน้ำ มันมิได้แตกหัก แต่มันกลืนกินและซึมซับทุกสิ่งที่เข้ามา
**“ข้ายังไม่เข้าใจ…”**
เสียงของเอี้ยก้วยแผ่วเบา แต่หนักแน่นในความสงสัย ดวงตาของเขายังคงคุกรุ่นด้วยไฟแห่งการต่อสู้ แต่ในแววตานั้น เริ่มฉายแววของบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลง
JAKK พินิจเขาครู่หนึ่งก่อนกล่าวขึ้น **“เจ้ายังมิอาจปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านใจเจ้า”**
เขายื่นมือออกไป หยดน้ำฝนที่ตกลงมากลางอากาศหยุดนิ่งชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ เคลื่อนไหว หมุนวนในอากาศดุจเส้นไหมโปร่งใส เอี้ยก้วยจ้องมองมัน หัวใจเต้นแรง
**มันไร้รูปร่าง ไร้ขีดจำกัด…**
**เช่นนั้นข้าจะทำลายมันได้อย่างไร?**
---
เอี้ยก้วยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าไม่อาจพึ่งพากระบี่ของตนเองได้
**“ข้าคิดว่าข้ารู้จักกระบี่ของข้าดีที่สุด แต่เหตุใดมันจึงไร้พลังต่อหน้าเจ้า?”**
JAKK มิได้ตอบ แต่พลิกฝ่ามือเบา ๆ เส้นใยวารีที่ลอยอยู่กลางอากาศเริ่มขยับ เปลี่ยนเป็นรูปแบบใหม่ตลอดเวลา บางครั้งมันรวมกันเป็นหยดน้ำเดียว บางครั้งมันแตกออกเป็นเส้นสายมากมาย ไร้รูปแบบตายตัว
**“แล้วเจ้าคิดว่าตนเองคืออะไร?”** JAKK เอ่ยขึ้น
เอี้ยก้วยขมวดคิ้ว **“ข้าเป็นข้า… เอี้ยก้วย”**
JAKK ส่ายหน้า **“หากเจ้ามีตัวตนเช่นนั้น เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจวารี”**
เอี้ยก้วยเม้มริมฝีปากแน่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าตัวเองถูกผลักให้ตกลงสู่ห้วงแห่งความเงียบ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะค่อย ๆ หลับตาลง
สายฝนยังคงตกลงมา แต่บัดนี้ มันมิได้รู้สึกเหมือนดาบนับพันที่โหมกระหน่ำลงบนร่างของเขาอีกต่อไป
มันค่อย ๆ ซึมผ่านผิวหนัง คล้ายกับเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งของมัน
ปลายนิ้วของเขาขยับเพียงเล็กน้อย—และในวินาทีนั้น เขารู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่าง
**เขาสัมผัสได้ถึงสายน้ำรอบตัว**
แต่ก่อนที่เขาจะเข้าใจมันอย่างแท้จริง—
**ฟึ่บ!**
JAKK พลิกฝ่ามือเสี้ยววินาที เส้นใยวารีสะบัดวูบ ปลดปล่อยแรงกระแทกมหาศาล!
เอี้ยก้วยลืมตาขึ้น **แต่คราวนี้ เขามิได้ต้านทานมัน**
**เขาเคลื่อนตัวไปกับมัน—**
ร่างของเขาหลุดจากการจู่โจมได้อย่างฉิวเฉียด โดยที่มิได้ออกแรงฝืนเลยแม้แต่น้อย!

หยาดน้ำเย็นเฉียบโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง สายลมพัดโหมรุนแรงพอจะถอนรากต้นไม้ แต่ภายในใจของเอี้ยก้วย กลับสงบนิ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อครู่... ร่างของเขาหลุดพ้นจากการจู่โจมของ "ใยวารี" โดยที่มิได้ต่อต้าน แต่มันไม่ใช่เพราะเขาเร็วขึ้น หรือแข็งแกร่งขึ้น
**เขาเพียง ‘ปล่อยให้มันไหลไป’**
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ความรู้สึกหนึ่งพลันแล่นผ่านจิตใจราวกับสายฟ้าที่ส่องลงบนมหาสมุทรอันมืดมิด
JAKK มองเขาอยู่ห่าง ๆ มุมปากของชายลึกลับผู้นี้ยกขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่แฝงไว้ด้วยความพึงพอใจ
**“เริ่มเข้าใจแล้วหรือไม่?”**
เอี้ยก้วยกำกระบี่แน่น... แต่ครั้งนี้ มิใช่ด้วยความโกรธ มิใช่เพื่อจู่โจม มิใช่เพื่อพิสูจน์ตนเองต่อโชคชะตา แต่เพื่อสัมผัสถึงบางสิ่งที่เคยถูกซ่อนเร้นมาตลอดชีวิต
**“ข้าเริ่มสัมผัสได้... แต่ข้ายังไม่เข้าใจ”**
JAKK ยกมือขึ้น นิ้วชี้แตะกลางอากาศ—
**ฟึ่บ!**
หยดฝนที่โปรยปรายอยู่พลันรวมตัวกันกลางอากาศ หมุนวนเป็นเกลียว ก่อนจะยืดขยายออกเป็น **กระบี่วารี**—ใสกระจ่างประหนึ่งกระจก แต่มิใช่ของแข็ง มิใช่ของเหลว มันไร้ตัวตนและมีอยู่ในคราวเดียวกัน
**“เจ้าจะต้องเรียนรู้ด้วยร่างกายของเจ้าเอง”**
**“มาเถิด เอี้ยก้วย”**
เอี้ยก้วยมิใช่คนที่หวั่นเกรงต่อความท้าทาย เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้าวขาขึ้นหน้าอย่างมั่นคง ดวงตาทอประกาย **ครั้งนี้ เขาจะมิใช่ผู้ที่ปล่อยให้คลื่นซัดไปตามใจมันอีกต่อไป**
เขาตวัดกระบี่ขึ้น—
**ฟึ่บ!**
JAKK เคลื่อนกาย กระบี่วารีของเขาโค้งงอ ปรับเปลี่ยนรูปทรงไปราวกับธารน้ำที่ไหลเวียน **ไม่มีมุม ไม่มีองศา ไม่มีวิถีที่คาดเดาได้**

เอี้ยก้วยตวัดกระบี่เข้าปะทะ—
**เคร้ง!**
ปลายกระบี่กระทบกัน แต่กลับมิได้มีเสียงกังวานของโลหะ กลับเป็นเสียงสายน้ำแตกกระจาย ก่อนจะรวมตัวกันใหม่ราวกับไม่เคยแปรเปลี่ยน
**“กระบี่ของเจ้ามีขอบเขต”** JAKK กล่าว **“แต่วารี... ไร้ขอบเขต”**
เอี้ยก้วยมิได้ตอบ แต่ร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหวช้าลง สายตามิได้จับจ้องไปที่กระบี่ของ JAKK อีกต่อไป แต่กลับมองไปที่ **‘กระแสน้ำ’** ที่กำลังไหลเวียนอยู่รอบตัวเขา
**เขาต้องไม่ต่อสู้กับมัน แต่ต้องเป็นหนึ่งเดียวกับมัน**
ร่างของเอี้ยก้วยเริ่มขยับไหลลื่นขึ้น ความแข็งแกร่งของกระบี่วิหคถูกหลอมรวมเข้ากับความอ่อนโยนของสายน้ำ ทุกก้าวย่างของเขาเบาหวิว ทุกกระบวนท่าที่ปล่อยออกไป **ไม่มีจุดเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ**
JAKK มองดูการเปลี่ยนแปลงนั้นก่อนจะค่อย ๆ ลดกระบี่วารีลง
“เข้าใจแล้วหรือยัง?”
เอี้ยก้วยมิได้ตอบ เขาเพียงปล่อยให้หยาดฝนซึมผ่านร่างของตนเอง **แต่ครั้งนี้ มิใช่เพราะมันตกลงมา แต่เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของมัน**
JAKK ยิ้มบาง ๆ ก่อนกล่าวทิ้งท้าย—
**“เมื่อเจ้าเป็นวารี เจ้าจะไม่มีวันถูกทำลาย”**

### **สิบหกปีต่อมา..**
สายลมอ่อนพัดผ่านแมกไม้ เสียงน้ำไหลจากลำธารเล็ก ๆ ขับขานเป็นบทเพลงแห่งความสงบ ฟากฟ้าไร้เมฆฝน แสงอาทิตย์อ่อนจางทอดผ่านปลายใบไผ่ ดุจรอยยิ้มของสวรรค์หลังจากผ่านพายุอันเกรี้ยวกราดมาเนิ่นนาน
เอี้ยก้วยยืนอยู่บนโขดหินริมลำธาร มองสายน้ำที่ไหลผ่านราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด ในแววตานั้นมีเพียงความสงบและลึกซึ้ง ร่างของเขายังคงองอาจเช่นวันวาน แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือพลังอันเงียบสงบที่แผ่ซ่านอยู่รอบกาย **มิใช่เพลิงแห่งโทสะ หากแต่เป็นสายธารที่ไหลลื่น ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นได้**
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
เสียงอ่อนโยนดังขึ้นเบื้องหลัง **เซียวเหล่งนึ่ง** ก้าวออกจากร่มเงาของต้นไม้ นางยังคงงดงามดังเดิม แม้กาลเวลาจะล่วงผ่าน ทว่าดวงตาของนางยังเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน และรอยยิ้มที่มอบให้เอี้ยก้วยยังคงเป็นเช่นเดิม
เอี้ยก้วยหันมองนาง ก่อนยิ้มบาง ๆ แล้วทอดสายตากลับไปยังลำธาร “มีผู้หนึ่งเคยกล่าวกับข้า... วารีไม่เคยต่อต้านสิ่งใด แต่ไม่มีสิ่งใดทำลายมันได้”
เซียวเหล่งนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผู้ใด?”
เอี้ยก้วยนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนตอบ “อาวุโสผู้หนึ่งนามว่า Jakk Goodday ไม่เพียงยอดฝีมือ แต่เป็นผู้ที่เข้าใจธรรมชาติแห่งทุกสรรพสิ่ง” เขายิ้มเล็กน้อย “เขาสอนข้าถึงพลังที่แท้จริงของวารี”
เซียวเหล่งนึ่งรับฟังเงียบ ๆ นางมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ
เขาหย่อนปลายนิ้วลงไปในน้ำเบื้องหน้า แหวนน้ำกระจายออกเป็นวง ทว่าไม่นานก็คืนสู่สภาพเดิม
"แรงที่รุนแรงที่สุด ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างแตกสลาย... แต่มันจะถูกดูดซับไปในที่สุด" เอี้ยก้วยพึมพำเบา ๆ
“เมื่อก่อน ข้ามักต่อต้านทุกสิ่ง” เอี้ยก้วยเอ่ยขึ้น แววตาสะท้อนถึงอดีตที่ผ่านมา “ข้าสู้กับโชคชะตา ข้าท้าทายทุกสิ่งที่ขัดขวางข้า ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์หรือมนุษย์”

เอี้ยก้วยหลับตาลง สายลมพัดผ่านร่างของเขาเย็นเยียบ ก่อนจะเปิดตาขึ้นช้า ๆ
"เมื่อก่อนข้าต้านทานทุกสิ่ง **แต่บางครั้ง... ทางที่มั่นคงที่สุด อาจเป็นทางที่ไม่มีเส้นทางเลย**" เขาเอ่ยเสียงเบา คล้ายกล่าวกับตนเองมากกว่านาง
เซียวเหล่งนึ่งก้าวเข้าไปใกล้ มองสบตาเขานิ่ง ๆ
"แล้วตอนนี้ เจ้าจะไหลไปตามกระแสน้ำ... หรือเจ้ายังต้องการกระบี่ของเจ้าอยู่?"
“น้ำไม่เคยฝืนตัวมันเอง มันไม่แข็งกร้าว แต่มันชนะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหินแข็งหรือเหล็กกล้า” เขายื่นมือแตะผิวน้ำเบา ๆ “กระบี่ของข้าเคยเป็นดังเปลวไฟที่เผาผลาญทุกสิ่ง แต่ตอนนี้... มันเป็นสายธารที่ไหลไปตามใจของมัน”
เซียวเหล่งนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ แสงอาทิตย์ส่องต้องนางราวกับนางเป็นภาพฝัน “ข้าดีใจที่เจ้ากลับมา... และข้าดีใจที่เจ้าพบสิ่งที่เจ้าตามหามาตลอด”
เอี้ยก้วยหันกลับมาสบตานาง แววตาของเขาอ่อนโยน "ข้ารู้แล้วว่า การรอคอยที่แท้จริง... มิใช่เพียงรอคอยเจ้า แต่เป็นรอคอยวันที่ข้าจะเข้าใจตัวข้าเอง"
เซียวเหล่งนึ่งยิ้ม “และตอนนี้ เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่?”
เอี้ยก้วยพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว” เขากุมมือนางเบา ๆ “รักที่แท้จริงมิใช่พันธนาการ มันเป็นดั่งสายน้ำ ไม่ต้องไขว่คว้า ไม่ต้องครอบครอง แต่ไหลไปตามทางของมันเอง”
เซียวเหล่งนึ่งเงยหน้าขึ้นสบตาเขา นางไม่ต้องการคำพูดใดอีก เพราะทุกสิ่งอยู่ในดวงตาของเขาแล้ว
สายลมพัดผ่านเบา ๆ ลำธารยังคงไหลไปข้างหน้า ไม่มีสิ่งใดหยุดยั้งมันได้ เช่นเดียวกับเวลาที่เคลื่อนผ่าน และความรักที่ไม่มีวันจืดจาง
**และในที่สุด... เอี้ยก้วยก็ได้กลายเป็นดั่งสายน้ำ ที่ไม่มีวันถูกทำลาย**

-

@ 5b705e6c:25c1efe5
2025-03-06 11:41:19
Trying out comet!
-

@ 8947a945:9bfcf626
2025-03-06 10:50:28
## Law of diminishing returns : ทำมากได้น้อย ซวยหน่อยขาดทุน

** หมายเหตุ บทความนี้มีเนื้อหาต่อเนื่องจาก [“(TH) Why I quit : สาเหตุที่ผมลาออกจากที่(ทำงาน) ที่ (เคย) เรียกว่า”บ้าน”](https://www.yakihonne.com/article/naddr1qvzqqqr4gupzpz2849zn00wd9e3dpdqdk4mrdm8rqdz6pa3usp44xzjlr7dlea3xqq2hgdtjwsm4zut0v35ksk3dwpghg3rexfgj648vkt4) ใครยังไม่ได้อ่าน แนะนำให้ไปอ่านก่อนนะครับ
ผมได้ยิน คุณท็อป จิรายุส (คุณท๊อป บิทคับ) พูดคำว่า **"Law of diminishing returns"** ไว้ตอนแชร์มุมมองด้านการทำธุรกิจ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจ แต่ผมรู้สึกว่ามันเป็นเจ๋งดี
สำหรับผม สรุปกฏนี้สั้นๆ คือ **“ทำมากได้น้อย ซวยหน่อยขาดทุน”**
กฏข้อนี้ว่าด้วยเรื่องการทำธุรกิจ พูดถึงปัจจัย 3 อย่าง
- **Fixed input** คือสิ่งที่ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้อีกในธุรกิจตอนนั้น เช่น จำนวนห้องตรวจในโรงพยาบาล, พื้นที่ที่ดินทำการเกษตร, ห้องเก็บสินค้า, จำนวนโต๊ะทำงานในสำนักงาน, ช่องบริการลูกค้าในธุรกิจบริการต่างๆ เป็นต้น ผมขอเรียกสั้นๆว่า “พื้นที่”
- **Variable input** คือสิ่งที่สามารถเติมเข้ามาในธุรกิจได้ ปรับแต่งได้ เช่น แรงงาน เครื่องจักร พลังงาน
- **Marginal product** คือผลลัพธ์ของธุรกิจ กำไรเพิ่มขึ้นหลังจากเพิ่ม variable input เข้าสู่ระบบ
ระยะของ law of diminishing returns
- Increased return (ทำเงินได้เยอะขึ้น) เมื่อป้อนแรงงานหรือเครื่องจักรเข้าสู่ระบบ ธุรกิจสามารถทำเงินเพิ่มขึ้นเนื่องจาก fixed input เดิมที่ถูกใช้สอยไม่เต็มที่ (underutilized) ถูกเติมเต็ม กรณีของรพ. คือมีห้องตรวจที่ว่าง ไม่มีหมอนั่งตรวจคนไข้ ห้องตรวจนั้นก็จะไม่สร้างรายได้ แต่เมื่อห้องนั้นมีหมอมานั่ง จะเปลี่ยนเป็นพื้นที่ที่ก่อให้เกิดรายได้ เมื่อห้องตรวจทุกห้องมีหมอนั่งครบ ถือว่าเต็มศักยภาพ ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีตามมา
- Diminishing return (ทำมากได้น้อย) จุดของความพอดี (optimum point) คือจุดที่สมดุลพอดีของธุรกิจนั้น ทำกำไรได้เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แต่ถ้ามองไม่เห็นจุด optimum นี้แล้วยังเพิ่ม”แรงงาน”เข้าไปอีก มันจะทำให้ ”พื้นที่” วุ่นวายเละเทะ ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง
- Negative returns (ซวยหน่อยขาดทุน) ถ้ายังไม่หยุดเพิ่ม “แรงงาน” อีก สามารถนำมาสู่การขาดทุน
สรุปเป็นกราฟหน้าตาตามนี้ครับ

## ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น
### ผมใช้โมเดลธุรกิจรพ.นี้เป็นตัวอย่างเลยนะครับ
ช่วงแรกที่สร้างรพ. ห้องตรวจมีไม่มาก จำนวนหมอและคนไข้สมดุลกันพอดี งานไม่หนักเกินไป การดูแลคนไข้มีประสิทธิภาพ รพ.เป็นที่ไว้ใจของคนในพื้นที่ มีชื่อเสียง ถูกบอกต่อ ทำให้จำนวนคนไข้เข้ามารับบริการมากขึ้น ต้องขยายพื้นที่รพ. สร้างตึกเพิ่ม รับบุคคลากรทุกระดับเข้ามาทำงานมากขึ้น จนเต็มพื้นที่ที่ดินรพ.ไม่สามารถขยายเพิ่มไปได้มากกว่านี้แล้ว เกิดสมดุลพอดี ทุกพื้นที่ถูกใช้งานเต็มศักยภาพ ประสิทธิภาพงานดีมาก

### ผลการดำเนินงาน
**ไม่เคยขาดทุน** ผ่านช่วงวิกฤต**ต้มยำกุ้ง** และ **COVID** ได้สบายๆ ฐานะทางการเงินแข็งแรง จ่ายปันผลสม่ำเสมอ ถ้าผมเป็นเจ้าของรพ.ผมจะ
1. สร้างระบบ
2. สร้างทีมผู้บริหาร
3. เน้นย้ำความสำคัญทำตามระบบ
3. Plan - Do- Check - Act เมื่อเกิดปัญหา
เพื่อให้ตัวผมสามารถถอยตัวเองออกมาจากตัวธุรกิจ คอยติดตาม monitor ทุกไตรมาส อย่างใกล้ชิด ไม่ทำอะไรเพิ่มไปมากกว่านี้
แต่สุดท้ายมันก็เกิดเหตุการณ์ทายาทรุ่นที่ 2 “ไม่เอา” นั่นแหละครับ มันทำให้วัฒนธรรมองค์กรเปลี่ยน ก้าวเท้าเข้าไปสู่ยุคตกต่ำ

> #### บริหารแบบล้าหลัง ทำอะไรไม่สุด คิดว่าทำแล้วแต่จริงๆคือไม่ได้ทำ แก้ปัญหาไม่ตรงจุดสร้างปัญหากว่าเดิม
---
### ตัวอย่าง
#### 1. นโยบายการประหยัดพลังงานเพื่อลด carbon footprint
ฟังดูเหมือนจะดี แต่รพ.สื่อสารให้
> #### รณรงค์ให้ปิดไฟ ... ปิดแอร์เมื่อไม่ใช้งาน ...
ผมว่าประโยคนี้มันคุ้นๆ เหมือนเคยได้ยินมามากกว่า 10 ปีแล้ว ... หรือผมเข้าใจผิดหรือเปล่าไม่แน่ใจ
รณรงค์แค่นี้แหละครับ เรื่องลด carbon footprint ไม่ได้เป็นการคิดอะไรใหม่ๆที่เหมาะกับยุคสมัย หรือสร้างอะไรที่จับต้องได้ (objective)
แต่สิ่งที่ทำสวนทางโดยสิ้นเชิงคือใช้พลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง **(single use plastic)** เป็นภาชนะหลักในการบรรจุอาหารของแพทย์ และผู้เข้าร่วมประชุมงานใหญ่ๆ

มีเสียงเสนอแนะจากบุคคลากรทุกระดับว่าให้ทำเป็นบุฟเฟ่ต์ จานชามช้อนส้อมแบบปกติก็ได้ เสนอกันมา 5 ปี ก็ยังคงไม่่มีการเปลี่ยนแปลง ได้รับแจ้งลงมาว่าใช้ภาชนะพลาสติกมันประหยัดกว่า เอาเป็นว่ากล่องข้าวพลาสติกมีการใช้อย่างน้อย 1200 กล่องต่อเดือน … คาดว่าสมการการปล่อยก๊าสคาร์บอน (carbon emission) ที่ทีมผู้บริหารคำนวณ อาจจะซับซ้อนเกินความเข้าใจของผมก็ได้นะครับ
#### 2. การตลาดที่ล้มเหลวและพาแพทย์ซวย

ทำการตลาดไม่เข้าเป้า “เหมือนจะ” ทำ digital marketing แต่ทำแค่โพสกราฟฟิคโปรโมชั่นภาพนิ่งลงสื่อโซเชียลทุกช่องทาง แล้วบอกว่านั่นคือ digital marketing
#### ... แต่เดี๋ยวก่อนๆๆๆ ...
ผมจะบอกว่าการโพสมันเป็นแค่ 1 ใน 10 ของ digital marketing แต่รพ.เข้าใจว่าตัวเองได้เข้าสู่ digital marketing แล้ว
#### ... จริงๆมันไม่ใช่เลยเว้ย ...
ผลลัพธ์คือไม่สามารถเปิดน่านน้ำลูกค้าใหม่ได้เลย ได้แต่ฐานลูกค้าเดิมที่มี brand royalty (แต่แนวโน้มลดลง)
แถมที่แย่ที่สุดคือทำการตลาดแพคเกจออกมาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ก่อนว่ามันขัดต่อมาตรฐานการรักษาหรือไม่ กลายเป็นทำแพคเกจดึงดูดคนไข้เข้ามาใช้บริการ แต่การรักษาในแพคเกจขัดต่อมาตรฐานการรักษาของแพทย์
คนไข้ไม่รู้หรอกครับ คนไข้จะเอาตามที่มีในแพคเกจ เขาจ่ายตังค์แล้ว
**แต่ความซวยมันไปตกอยู่กับแพทย์**
#### 3. วางกลยุทธไม่เข้าเป้า

ทุกๆต้นปีทางผู้บริหารจะประกาศกลยุทธประจำปี ว่าในปีนั้นๆรพ.จะมุ้งเน้นพัฒนาด้านไหน
รพ.นี้มีปัญหาที่เป็นงูกินหางมานาน มันส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของหมอและพยาบาล มีการเสนอแก้ปัญหาเรื่องนี้วนซ้ำซากมา 5 ปี แต่ไม่ได้รับแก้ไขจริงจัง (ผมขอไม่เล่านะครับ)
แต่กลยุทธประจำปี 3 ปีที่ผ่านมา พุ่งใส่ตัวบุคคลากร เน้นพฤติกรรมบริการที่ดีเลิศ ทราบมาว่ามีการลงทุนกับโครงการนี้หลักแสนหรือหลักล้าน มีการจัด workshop เชิญวิทยากรและ trainer จากบริษัทภายนอก (outsource) เข้ามาอบรม เป็นโครงการที่เน้นให้บุคคลากรทุกคนเข้าอบรม 100%
ผมมองว่าปัญหาที่เป็นราก (root cause) มันยังไม่ถูกแก้เลย เปรียบเทียบเหมือนฐานรากของอาคารที่มันโคลงเคลงๆไม่มั่นคงยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่พยายามตกแต่งห้องด้วยวัสดุคุณภาพดีและเทคโนโลยีที่ทันสมัย … แต่พร้อมจะล้มลงมาได้ทุกเมื่อ
#### 4. มีเสน่ดึงดูด partner ใหม่ๆ แต่ไม่เอาเอง
ในช่วง COVID ระลอกแรก มีผู้นำทางด้านธุรกิจโรงแรมในจังหวัดมานำเสนอโมเดลธุรกิจ “hospitel เปลี่ยนโรงแรมให้เป็นโรงพยาบาล” ด้วยศักยภาพของรพ.ที่มีบุคคลากรเพียงพอ และตัวโรงแรมที่นำมาเสนอมีห้องพักประมาณ 300 ห้อง เป็นโมเดลที่รพ.และโรงแรม win-win ทั้งคู่ แต่ทางผู้บริหารมองว่าไม่คุ้ม ปฏิเสธข้อเสนอนี้ ทำให้เสียโอกาสให้กับคู่แข่งคว้าตลาด blue ocean นี้ไป

ผมได้แต่เกาหัวตอนรู้เรื่องนี้ เพราะ
1. ช่วง COVID คนไข้น้อย พนักงานโดนลดชั่วโมงการทำงาน ได้เงินเดือนขั้นต่ำ ไม่ได้ OT
2. ทาง partner เสนอขอบุคคลากรเหล่านี้แหละ ไปช่วยงาน เรื่องสถานที่ทางโรงแรมเขามีแม่บ้าน ฝ่ายทำความสะอาดอยู่แล้ว
3. ทาง partner เสนอ profit sharing กับทางรพ. ถึงผมจะไม่รู้ตัวเลข แต่เชื่อว่ามันยุติธรรม
> #### ผมก็ไม่รู้ครับ ว่าอะไรคือคุ้มสำหรับผู้บริหาร
#### 5. Top down absolute power
ไม่ฟังข้อเสนอจากตัวแทนหมอ คนที่มีอำนาจการตัดสินใจไม่เคยเอาตัวลงมาคุยกับหมอแบบจริงจังเลย
1-2 ปีจะลงมาพบหมอทั้งรพ.ซักหนึ่งครั้ง สร้างภาพเก่ง พูดขายฝันสวนหรูถึงภาพที่เขาต้องการ สั่งการลงมา พอเกิดปัญหาตัวเองไม่ลงมารับผิดชอบ แต่อาศัยหน่วยข่าวกรอง(ที่ไม่รู้ว่ากรองอะไรเข้าไปบ้าง) ออกคำสั่งแก้ผ้าเอาหน้ารอดลงมาทีหลัง
#### แถมสั่งให้เงียบและหุบปาก
ครั้งหนึ่งมีคำสั่งออกมาไม่ชัดเจน จนพยาบาลทำงานไม่ได้ ตัวแทนพยาบาลต้องโทรมาหาผมเพื่อให้ผมช่วย
ผมรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและพบว่าคำสั่งมีปัญหาจริงๆ ผมจึง chat line ลงไปสอบถามผู้บริหารเพื่อขอความชัดเจน
… ผ่านไปไม่ถึง 5 นาที หนึ่งในผู้บริหาร(คนที่แทงข้างหลังผมที่หาว่าผมมาตรวจคนไข้ VIP เขาช้า 5 นาทีนั่นแหละ)โทรหาผมทันทีคุยกับผมสั้นๆ ใจความว่า “คำสั่งนั้นเอาแบบเดิม ไม่ต้องแก้ และให้ผมเงียบๆซะ”... (ก็ได้วะครับ)

## จุดเปลี่ยนที่ทำให้รพ.เข้าสู่ law of diminishing returns
ห้องตรวจทุกห้องของรพ. ถูกใช้จนเต็มศักยภาพ … เอาจริงๆคือล้นศักยภาพเสียอีก (over-utilized) บางแผนกมีเก้าอี้ดนตรี
- หมอคนแรกหมดเวลาออกตรวจ
- หมอคนต่อไปเดินเข้าใช้ห้องตรวจต่อทันที
- ถ้าไม่ทันก็ต้องคว้าห้องตรวจที่ว่างพร้อมใช้งานก่อน
- หมอทำการไล่ที่กันเอง
- หมอบางท่านต้องใช้ห้องทำงานของพยาบาลเป็นห้องตรวจชั่วคราว
ห้องพักผู้ป่วยก็เช่นกัน บางช่วงเตียงเต็มจนไม่สามารถ admit คนไข้ได้
แต่จำที่ผมบอกได้มั้ยครับว่า คนที่เป็น top down absolute power ไม่เคยเอาตัวลงมาพูดคุยกับแพทย์เพื่อรับฟังปัญหาที่แท้จริงเลย รับแต่ข่าวกรอง(ที่ไม่รู้ว่ากรองอะไรเข้าไปบ้าง) ช่วงนึงมีคนไข้ complaint ว่ารอนั่งรอหมอนาน หมอมาตรวจช้า ผู้บริหารเลยพยายามจะแก้ปัญหา โดยการ monitor **waiting time (ระยะเวลารอหมอ)** หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นวาระเร่งด่วนต้องรีบแก้ไข
แต่เขายังงงๆกับ concept waiting time อยู่เลยว่าจะนับตั้งแต่ตอนไหนถึงตอนไหน
- Waiting time สั้นแปลว่าดี เพราะคนไข้ได้เจอหมอเร็ว
- Waiting time นานแปลว่าไม่ดี เพราะคนไข้นั่งรอหมอนาน
เขาตีความจากตัวเลขครับ แต่เคยเอาตัวลงมาดูจริงๆหรือเปล่าว่าทำไมตัวเลขมันถึงออกมาไม่ดี
>### คำตอบคือ“ไม่” ครับ
หมอบางสาขามีความจำเป็นต้องไปดูคนไข้ที่อาการหนักใช้เวลารักษานาน
... หรือ ...
รับปรึกษาจากแพทย์ต่างสาขา
... หรือ ...
เป็นสาขาเฉพาะทางของเฉพาะทางอีกที ต้องใช้เวลาตรวจละเอียดตรวจนาน
>#### มันเป็นกระบวนการทำงานของหมอ ที่หมอด้วยกันเข้าใจกัน
ส่วนคนเก็บข้อมูลก็นำเสนอไปทั้งอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์อะไรเลย มันเป็นการกรองข้อมูลที่ไม่รอบคอบก่อนนำเสนอผู้บริหาร
สุดท้ายผู้บริหาร ***“โทษหมอ”*** ว่าไม่มีการบริหารเวลาทำงานที่ดีเพียงพอ ทำให้คนไข้รอนาน
เขาสรุปกันดื้อๆแบบนี้เลยครับ
พอหนักๆเข้า **“รอหมอนาน ต้องเพิ่มหมอ”** season การรับสมัครหมอหลายตำแหน่งได้เริ่มขึ้น
แต่เดี๋ยวนะ ห้องตรวจมันแน่นจนแทบไม่มีที่ให้หมอนั่งทำงานแล้ว แต่เขาก็ไม่สนครับ รับหมอหน้าใหม่ๆมาเพิ่มเรื่อยๆ
ด้วย mindset ว่า **"ต้องเพิ่มหมอ หมอจะได้เยอะขึ้น คนไข้จะได้ไม่ต้องรอนาน"** และเชื่อว่าจะทำรายได้ให้รพ.มากขึ้น หมอหน้าใหม่บางท่านเข้ามาทำงานวันแรกถึงขั้นอยู่ในสภาวะ dead air คือ***ไม่มีที่ให้นั่งทำงาน***
### “ทำมากได้น้อย” เริ่มต้น
คนไข้รพ.นี้ ส่วนใหญ่เป็นโรคซับซ้อน ต้องการทักษะและเวลาหมอเฉพาะทางแต่ละสาขาอยู่ดี ไม่ได้ทำให้ waiting time ดีขึ้น คนไข้ยัง “นั่งรอหมอนานเหมือนเดิม”
รายได้เริ่มลดลง ยอดคนไข้เริ่มลดลง
รพ.พยายามแก้เกมโดยการเพิ่มราคาค่าบริการ (เพิ่มขนาด ticket size) ทำให้มีเสียงรีวิวตามโซเชียลว่า **"แพง"**
ผลที่เกิดขึ้นคือคนไข้หลายคนอาศัยรพ.นี้ในการตรวจวินิจฉัยโรคแล้วเอาผลไปรักษาต่อรพ.รัฐบาลตามสิทธิ์เพราะสู้ราคาค่ารักษาไม่ไหว บางคนมีประกันสุขภาพหลายฉบับแต่ก็ต้องจ่ายส่วนต่างมากอยู่ดี

วิธีการข้างต้นนี้ ไม่ผิดกติกาครับ ผล X-ray , CT, MRI, ultrasound จากรพ.เอกชน ไวกว่ารพ.รัฐบาลอยู่แล้ว แต่ก็มีคนไข้บางส่วนยินดีจ่ายแพง เพราะเชื่อมั่นหมอที่รพ.นี้ไม่อยากย้ายรพ.ก็มีครับ เพราะหมอไม่ได้ทำอะไรผิด หมอเก่งๆมีเยอะ
ถึงแม้ว่ารพ.จะรักษา momentum มีจำนวนคนไข้ประมาณ 1100 - 1200 รายต่อวัน แต่ก็เป็นโรคง่ายๆ(simple disease) เช่นไข้หวัด อาหารเป็นพิษ เป็นต้น โรคเหล่านี้ ticket size ไม่ได้ใหญ่มาก ประคองไว้ไม่ให้ขาดทุนเท่านั้นครับ
แต่ความแพงแบบไม่สมเหตุสมผล ทำให้คนไข้หลายรายถอดใจย้ายรพ.ตั้งแต่ทราบค่าใช้จ่ายวินาทีแรก
คนไข้น้อยลง --> รายได้ลดลง --> เพิ่ม ticket size ต่อหัวให้แพงขึ้น --> คนไข้หนีเพราะแพงเกิน
> #### ผมไม่รู้ว่าผู้บริหารเขาเห็นไหม แต่คาดว่าคงจะไม่เห็น
ส่วนโรคหรือการผ่าตัดที่สมศักดิ์ศรีกับศักยภาพของรพ. **"น้อยมากจนแทบไม่มี"**
ไม่ใช่สาเหตุอื่นเลยครับ โดนรพ.คู่แข่งในรัศมี 20 กิโลเมตรเอาไปหมด เพราะราคาถูกกว่า หมอก็เก่งไม่แพ้กัน หมอบางคนเคยอยู่ที่รพ.แห่งนี้ เสนอโปรเจคการรักษาโรคบางโรคที่สามารถสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ทางรพ.ไม่เอาเอง สุดท้ายหมอเหล่านั้นย้ายไปอยู่กับรพ.คู่แข่งและผลักดันโปรเจคเหล่านั้นสำเร็จจนมีชื่อเสียง
> #### "รพ.ขายสินค้า premium ไม่ได้เลย ขายได้แต่สินค้าเกรดท้องตลาด"
กลยุทธที่รพ.ทำต่อมาคือเพิ่มจำนวนชั่วโมงการทำงานของหมอให้เพิ่มขึ้นโดยให้หมอมาทำงานเร็วขึ้น 2 ชม. แต่ไม่จ่าย OT ให้ ด้วยตรรกะว่าถ้าหมอทำงานนานขึ้น จะมีจำนวนคนไข้มากขึ้น ทางรพ.ไม่ได้ขอร้อง แต่บีบคอให้หมอร่วมมือ หากไม่ร่วมมือไล่ออกทันที

ไปๆมาๆ มีการไล่ออกกระทันหันเกิดขึ้น มีการส่งหนังสือส่วนตัวหาหมอทุกคน ใครมีรายชื่อที่จะปลดออกก็ต้องออกจากงานทันที
ผมมองว่าฐานะทางการเงินมีปัญหารุนแรงครับ เงินเดือนพนักงานถือเป็น fixed cost ที่ธุรกิจต้องแบกรับ ถ้าเจ๋งจริงต้องควบคุมรายจ่ายให้ธุรกิจสามารถไปต่อได้โดยไม่ปลดคน ในส่วนของธุรกิจรพ. หมอคือบุคคลากรที่สำคัญที่สุดและเป็นด่านสุดท้ายที่จะไล่ออกเพื่อรักษาชีวิตของธุรกิจ ตอนนี้รพ.ได้เข้าสู่ระยะสุดท้ายของ law of diminishing returns คือ “ซวยหน่อยขาดทุน” เป็นที่เรียบร้อยครับ
จุดจบของรพ.แบบนี้ ที่ศักยภาพดี แต่บริหารห่วยแตก มันจะจบด้วยการถูก take over ผ่านมาไม่นานกราฟหุ้นออกอาการ exit liquidity แล้วครับ
## ข้อคิดที่อยากแบ่งปันกับทุกคนที่อ่านมาจนจบ
1. ช่วงธุรกิจเปลี่ยนผ่านสู่ทายาท คือจุดวัดใจหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะรอดหรือไม่รอด
2. Law of diminishing returns ไม่ได้ใช้เฉพาะกับธุรกิจ แต่สามารถประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตได้หลายมิติ หากใครเข้าใจ จะขยับเข้าสู่ Pareto’s rule … สั้นๆคือ ทำน้อยแต่ได้(โคตร)มาก
3. เจ้าของธุรกิจ ต้องหูไว มองหาเนื้อร้ายที่คอยกัดกินธุรกิจให้เจอ แล้วกำจัดมันซะ ก่อนที่ธุรกิจจะล้มทั้งยืน ทับตัวเองตาย
-

@ d6c48950:54d57756
2025-03-06 09:47:49
This post is going to cover some very basic habits and sanity checks that offer large returns over time whilst having a very low cost and in that theme I’m going to keep this to a condensed bullet point list.
**how to get the solution faster**
- You solve problems every day, when you have a goal and try to achieve it, when you face a shortcoming and try and overcome it, when you have an issue and resolve it
- As a habit each time you solve a problem go over your actual thoguht process, how did you solve it?
- After you’ve looked critically at it ask how you could have improved it
**if someones better do what they tell you**
- I’ve noticed a lot of people won’t take advice from people who knows better (I think because they feel if they just do what they’re told it doesn’t feel like ‘their’ accomplishment)
- If someone is more credible than you and the advice they give is credible just do what you’re told
**accept easy/simple solutions**
- Weight loss is incredibly simple, you weigh yourself daily, count your calories and maintain a deficit of 200-500kcal daily, apps automate most of the heavy lifting
- As a human it’s natural to fight against simple/easy solutions to longstanding problems
- “Not only has this thing been destroying my life for years but the solution is easy and something everyone already knows? the solution is the thing everyones been telling me since the problem first started?”
- supress the urge to push it away and just accept the solution, even if it means your problem was mostly self inflicted and easily avoidable
**log predictions**
- Keep a log of your predictions (I use apple numbers) then also log your confidence (55%, 65%, 75%, 85%, 95%) in each prediction and see how close you are
- If you make 100 predictions at 55% confidence only 55 of them should be correct, if more are correct you’re underconfident if less are correct you’re overconfident
**working harder is almost always beneficial**
- Despite the doomerish advice hard work and time spent working is beneficial way more than most people give it credit for
- there’s probably a point at which it tops off (16hrs a day might be marginally better than 12hrs) but it’s way higher than you’d instinctively expect
- Try working longer hours and harder and see how you do, in my view burnout is probably a non issue if other factors of your life (sleep, diet, exercise, stress management) are correct,
**basic stuff works very well**
- Certain basic advice (sleep, exercise, don’t take recreational drugs, don’t drink) are not only increidlby consistent but they also have very large effect sizes, do the basic stuff before moving onto the more esoteric like nicotine patches or adderall
-

@ d6c48950:54d57756
2025-03-06 09:42:33
This post is going to cover some very basic habits and sanity checks that offer large returns over time whilst having a very low cost and in that theme I’m going to keep this to a condensed bullet point list.
**how to get the solution faster**
- You solve problems every day, when you have a goal and try to achieve it, when you face a shortcoming and try and overcome it, when you have an issue and resolve it
- As a habit each time you solve a problem go over your actual thoguht process, how did you solve it?
- After you’ve looked critically at it ask how you could have improved it
**if someones better do what they tell you**
- I’ve noticed a lot of people won’t take advice from people who knows better (I think because they feel if they just do what they’re told it doesn’t feel like ‘their’ accomplishment)
- If someone is more credible than you and the advice they give is credible just do what you’re told
**accept easy/simple solutions**
- Weight loss is incredibly simple, you weigh yourself daily, count your calories and maintain a deficit of 200-500kcal daily, apps automate most of the heavy lifting
- As a human it’s natural to fight against simple/easy solutions to longstanding problems
- “Not only has this thing been destroying my life for years but the solution is easy and something everyone already knows? the solution is the thing everyones been telling me since the problem first started?”
- supress the urge to push it away and just accept the solution, even if it means your problem was mostly self inflicted and easily avoidable
**log predictions**
- Keep a log of your predictions (I use apple numbers) then also log your confidence (55%, 65%, 75%, 85%, 95%) in each prediction and see how close you are
- If you make 100 predictions at 55% confidence only 55 of them should be correct, if more are correct you’re underconfident if less are correct you’re overconfident
**working harder is almost always beneficial**
- Despite the doomerish advice hard work and time spent working is beneficial way more than most people give it credit for
- there’s probably a point at which it tops off (16hrs a day might be marginally better than 12hrs) but it’s way higher than you’d instinctively expect
- Try working longer hours and harder and see how you do, in my view burnout is probably a non issue if other factors of your life (sleep, diet, exercise, stress management) are correct,
**basic stuff works very well**
- Certain basic advice (sleep, exercise, don’t take recreational drugs, don’t drink) are not only increidlby consistent but they also have very large effect sizes, do the basic stuff before moving onto the more esoteric like nicotine patches or adderall
-

@ bc575705:dba3ed39
2025-03-06 09:39:33
We're living in a digital dystopia. A world where our attention is currency, our data is mined, and our mental well-being is collateral damage in the relentless pursuit of engagement. The glossy facades of traditional social media platforms hide a dark underbelly of algorithmic manipulation, curated realities, and a pervasive sense of anxiety that seeps into every aspect of our lives. We're trapped in a digital echo chamber, drowning in a sea of manufactured outrage and meaningless noise, and it's time to build an ark and sail away.
I've witnessed the evolution, or rather, the devolution, of online interaction. From the raw, unfiltered chaos of early internet chat rooms to the sterile, algorithmically controlled environments of today's social giants, I've seen the promise of connection twisted into a tool for manipulation and control. We've become lab rats in a grand experiment, our emotional responses measured and monetized, our opinions shaped and sold to the highest bidder. But there's a flicker of hope in the darkness, a chance to reclaim our digital autonomy, and that hope is NOSTR (Notes and Other Stuff Transmitted by Relays).

## **The Psychological Warfare of Traditional Social Media**
**The Algorithmic Cage:** These algorithms aren't designed to enhance your life; they're designed to keep you scrolling. They feed on your vulnerabilities, exploiting your fears and desires to maximize engagement, even if it means promoting misinformation, outrage, and division.
**The Illusion of Perfection:** The curated realities presented on these platforms create a toxic culture of comparison. We're bombarded with images of flawless bodies, extravagant lifestyles, and seemingly perfect lives, leading to feelings of inadequacy and self-doubt.
**The Echo Chamber Effect:** Algorithms reinforce our existing beliefs, isolating us from diverse perspectives and creating a breeding ground for extremism. We become trapped in echo chambers where our biases are constantly validated, leading to increased polarization and intolerance.
**The Toxicity Vortex:** The lack of effective moderation creates a breeding ground for hate speech, cyberbullying, and online harassment. We're constantly exposed to toxic content that erodes our mental well-being and fosters a sense of fear and distrust.
**The Attention Deficit Trap:** The constant stream of notifications, updates, and content creates a state of perpetual distraction, making it difficult to focus, think critically, and engage in meaningful interactions.
This isn't just a matter of inconvenience; it's a matter of mental survival. We're being subjected to a form of psychological warfare, and it's time to fight back.

## **NOSTR: A Sanctuary in the Digital Wasteland**
NOSTR offers a radical alternative to this toxic environment. It's not just another platform; it's a decentralized protocol that empowers users to reclaim their digital sovereignty.
**User-Controlled Feeds:** You decide what you see, not an algorithm. You curate your own experience, focusing on the content and people that matter to you.
**Ownership of Your Digital Identity:** Your data and content are yours, secured by cryptography. No more worrying about being deplatformed or having your information sold to the highest bidder.
**Interoperability:** Your identity works across a diverse ecosystem of apps, giving you the freedom to choose the interface that suits your needs.
**Value-Driven Interactions:** The "zaps" feature enables direct micropayments, rewarding creators for valuable content and fostering a culture of genuine appreciation.
**Decentralized Power:** No single entity controls NOSTR, making it censorship-resistant and immune to the whims of corporate overlords.

## **Building a Healthier Digital Future**
NOSTR isn't just about escaping the toxicity of traditional social media; it's about building a healthier, more meaningful online experience.
**Cultivating Authentic Connections:** Focus on building genuine relationships with people who share your values and interests, rather than chasing likes and followers.
**Supporting Independent Creators:** Use "zaps" to directly support the artists, writers, and thinkers who inspire you.
**Embracing Intellectual Diversity:** Explore different NOSTR apps and communities to broaden your horizons and challenge your assumptions.
**Prioritizing Your Mental Health:** Take control of your digital environment and create a space that supports your well-being.
**Removing the noise:** Value based interactions promote value based content, instead of the constant stream of noise that traditional social media promotes.

## **The Time for Action is Now**
NOSTR is a nascent technology, but it represents a fundamental shift in how we interact online. It's a chance to build a more open, decentralized, and user-centric internet, one that prioritizes our mental health and our humanity.
We can no longer afford to be passive consumers in the digital age. We must become active participants in shaping our online experiences. It's time to break free from the chains of algorithmic control and reclaim our digital autonomy.

## **Join the NOSTR movement**
Embrace the power of decentralization.
Let's build a digital future that's worthy of our humanity.
Let us build a place where the middlemen, and the algorithms that they control, have no power over us.
In addition to the points above, here are some examples/links of how NOSTR can be used:
**Simple Signup:** Creating a NOSTR account is incredibly easy. You can use platforms like Yakihonne or Primal to generate your keys and start exploring the ecosystem.
**X-like Client:** Apps like Damus offer a familiar X-like experience, making it easy for users to transition from traditional platforms.
**Sharing Photos and Videos:** Clients like Olas are optimized for visual content, allowing you to share your photos and videos with your followers.
**Creating and Consuming Blogs:** NOSTR can be used to publish and share blog posts, fostering a community of independent creators.
**Live Streaming and Audio Spaces:** Explore platforms like Hivetalk and Zap Stream for live streaming and audio-based interactions.
**NOSTR is a powerful tool for reclaiming your digital life and building a more meaningful online experience. It's time to take control, break free from the shackles of traditional social media, and embrace the future of decentralized communication.**
Get the full overview of these and other apps here: https://nostrapps.com/
-

@ 3492dd43:1af4ffdd
2025-03-06 09:39:22
Testing comet.md
the idea of writing locally is a great. Why would i need to be connected to the internet to login to a server somewhere in order to write. Upon reflection, that seems highly regarded.
This basically has the feel of a combination of an rss reader and the apple notes app. Include email intergration and also subscribing and reading, and this will be a game changer