@ d830ee7b:4e61cd62

มิถุนายน 2022 กลุ่ม Discord ที่เราเริ่มกันเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่หลังจากนั้นเพียงไม่ถึง 2 เดือน เรากลับพบว่าตัวเองต้องเมาเละ ท่ามกลางบิตคอยเนอร์นับร้อยคน ณ โรงเบียร์มิตรสัมพันธ์!!

ผมอยากจะเขียนถึงเหตุการณ์คราวนั้นก่อนที่ความทรงจำของผมจะหายไป (เฉพาะในมุมตัวเอง) ซึ่งตอนนี้มันก็เริ่มเลือนลางไปเรื่อยๆ บ้างแล้วล่ะ.. สิ่งหนึ่งที่ผมจำได้ไม่ลืม คือ ผมเมาหนักมากในคืนนั้น ระดับที่ อ.ตั๊ม ไม่ยอมให้ผมกลับเอง แกต้องขับรถไปส่งผมจนถึงที่นอน.. เมาจนจำไม่ได้ว่าดื่มไปมากขนาดไหน.. คุณก็คิดเอาเองละกันว่าผมไม่ยึดถือตัวตนแม้แต่น้อย ไม่กลัวด้วยว่า อ.ตั๊ม ที่ได้เจอผมครั้งแรกจะคิดกับผมยังไง ก็กูจะเมา 555

คุณลองนึกภาพคนไม่ถึงสิบคนที่ไม่สนิทกันเท่าไหร่นัก (พึ่งรู้จักกันเลยล่ะ) ซึ่งอาจหาญอาสาเป็น Founder ของกลุ่ม Discord ที่ขนานนามตัวเองว่าเป็น "บ้านหลังใหม่" ของชาวบิตคอยน์กันดูสิ มันเป็นอะไรที่ท้าทายและเลอะเทอะเอามากๆ ซึ่งสมาชิกหลายๆ ท่านไม่เคยใช้ Discord กันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ น้องๆ อีก 5-6 คนที่ตามผมมาก็เต็มไปด้วยความสงสัยเหมือนกัน.. พี่พาพวกผมมาเล่นอะไรเนี่ย?

ผมเริ่มเป็นคนพูดมากก็จากตอนนั้นเลย เพราะผมต้องนั่งอธิบายคอนเซ็ปต์ทั้งหมดในหัวว่าผมหวังจะพาพวกเค้าทำอะไรกันต่อ ทั้งตัวโปรแกรม Discord มันใช้งานยังไง ชุมชนที่เราสร้างขึ้นจะขับเคลื่อนไปทางไหน ไปยังไง แต่ละคนจะมีบทบาทอะไรบ้าง ฯลฯ สารพัดเรื่องราวที่จัดว่าเป็นของใหม่เกือบหมดสำหรับพวกน้องๆ แต่หลายๆ ไอเดียก็มาจากพวกเขาเช่นกัน ผมไม่เคยรู้ตัวเองมาก่อนเลยว่าได้ยึดตามแนวทางของตลาดเสรีมาตั้งแต่ตอนนั้น

บรรยากาศในช่วงเริ่มต้นของกลุ่ม Discord ในตอนนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจาก Nostr ในตอนนี้ ผมพยายามผลักดันและแนะนำให้น้องๆ ซึ่งประกอบไปด้วย ขิง, อาร์ม, บอส, ตั๋ง, กาย และน้องแฮ่ม ออกไปมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกใหม่แบบเดียวกับที่ผมพยายามแนะนำพวกเราในตอนนี้ แค่ต่างบริบทต่างวาระกันเท่านั้นเอง

เราลองใช้ห้องเสียง เพื่อเปิดเวทีพูดคุยสัพเพเหระ ขิง อาจจะเป็นคนเดียวที่พอจะมีทักษะในการพูดในที่สาธารณะมากหน่อย ส่วนพวกที่เหลือก็ล้วนไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อนเลย แต่ทุกคนก็เริ่มจากความไม่ชำนาญด้วยกันทั้งหมด เอาว่า อาร์ม ยังพูดไม่ค่อยได้ และออกจะพูดไม่ค่อยชัดอยู่เลยในตอนนั้น ใครอยู่กับเราใน Discord มาตั้งแต่ยุคแรกคงจะพอนึกภาพออกว่าแต่ละคนเป็นยังไง ผมออกแรงค่อนข้างเยอะในช่วงแรกตามระเบียบ แต่ก็พยายามให้น้องๆ ทุกคนได้เวทีเพื่อฝึกฝนตัวเองไปพร้อมๆ กัน จากตรงนั้นผ่านเวลามาเป็นปี ทุกคนกลายเป็นพวกต่อยหอยในรายการสภายาส้มกันไปแล้ว

ผมอยากจะชี้ตรงนี้ให้เห็นตรงนี้ว่า แม้ในตอนต้นเราจะยังโนเนมหรือแทบไม่เคยทำอะไรกันมาก่อนเลย แต่การเรียนรู้ เพิ่มพูนทักษะ การฝึกฝนเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเอาจริงเอาจัง จะพาให้เราพัฒนาจนกลายเป็นอีกคนได้เมื่อเวลาผ่านไป นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนและจับต้องได้มากที่สุดที่มาจากผลของความตั้งใจและความอุตสาหะ ถ้าคุณฝึกมันมากพอ วันหนึ่งคุณก็จะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ

กลุ่ม Discord และสังคม Siamese เริ่มทำให้คอมมูนิตี้เราเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ผมได้สมาชิกคนสำคัญอีก 2-3 คนเข้ามาในทีมนั่นคือ หมอนิว, น้องนิ่มและน้องอิสร จากใน Discord นี่เอง เราได้ค้นพบพี่เดชา ซึ่งตอนแรกอิทฤทธิ์ของแกก็ทำเอาน้องๆ ต้องแตกกระเจิงกันมากทีเดียว ก็เป็นผมนี่เองที่ต้องคอยเข้าชนกับแกอยู่บ่อยๆ เป็นระยะๆ มันใช้เวลากว่าคนรุ่นเราจะเริ่มเข้าใจกันกับคนอย่างรุ่นพี่เดชาได้ จนกระทั่งความสัมพันธ์ของพวกเราได้กลายเป็นอย่างที่เห็นในทุกวันนี้ หลังจากนั้นก็มีพี่จิมที่คอยจดๆ จ้องๆ อยู่นานสองนานตามเข้ามาสมทบด้วยอีกคน

มีสมาชิกหลายท่านที่แอคทีฟกันมากในช่วงนั้น แต่ก็ห่างหายกันไปบ้าง หลายคนอ้างว่ากลุ่มของเราฮาร์ดคอร์และ Toxic กันมากเกินไป มีคนมาขอให้ผมช่วยทำอะไรบางอย่างกับวัฒนธรรมภายในนั้น ผมเลือกที่จะปฏิเสธ ผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงวิถีของชุมชนเพราะผมเชื่อในกลไกตลาด มันเป็นแบบนั้นไม่ได้เกิดจากใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นผมรวมของการกระทำของทุกคน ผมยอมรับได้ที่จะมีใครคิดว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นั่นและเลือกที่จะเดินจากไป นั่นคือกลไกของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ผมไม่คิดว่าผมจะต้องไปเปลี่ยนแปลงหรือควรแทรกแซงแต่อย่างใด

ผมก็ต้องยอมรับว่าเป็นพี่เดชานี่เองที่ทำให้ชุมชนของเราตื่นตัวกันเรื่อง Lightning Network มากขึ้นในเวลาต่อมา มากเสียจนผมต้องเอามันมาขยายผล เราเริ่มเข้าใจว่ามันคืออะไร ทำงานอย่างไร และเราก็เริ่มเผยแพร่มันอย่างจริงจัง จนปัจจุบันมันเกือบจะกลายเป็นเรื่องเบสิคของชาวคอมมูเราไปแล้ว ต้นตอก็มาจากพี่เดชาและความบ้าของพวกผมนี่เอง

ใครยังจำภาพนี้กันได้บ้าง?

ย้อนกลับไปในเดือน กรกฎาคม 2022 หนึ่งเดือนให้หลังจากเริ่มก่อตั้งกลุ่ม Discord ในหัวของผมมันเริ่มอยากจะนัดให้ทุกคนได้เจอกันจริงๆ ดูสักครั้ง การพบกันบนโลกความจริงเจอกันตัวเป็นๆ ของบิตคอยเนอร์ไทยคือฝันของผมตั้งแต่ต้น และในที่สุดการพบกันครั้งแรกของ อ.ตั๊ม พี่ชิต พี่เดชา และพี่จิม ก็เกิดขึ้นจนได้ที่ Bob spaces จุดเริ่มต้นมันก็มาจากกลุ่ม Discord ของเรานี่เอง นั่นคือครั้งแรกที่คนทั้ง 4 ได้มาเจอกันจริงๆ ซึ่งมันก็ตามมาด้วยโจทย์ที่ยากมากขึ้นสำหรับพวกเรา เพราะทั้ง 4 คนดันอยากจัดอะไรที่ใหญ่กว่าเดิม ตั้ม กับน้องๆ ไปหาวิธีทำให้มันเกิดขึ้นมาให้ทีสิ..

ให้ตายเถอะ เราไม่เคยมีใครได้จัดงานอะไรแบบนี้กันมาก่อน ผมจำไม่ได้แล้วว่าผมเริ่มก่อหวอดมันยังไง รู้เพียงว่าเราใช้เวลาถกเถียงกันนานพอสมควรกับกลุ่มน้องๆ และเพื่อนๆ สมาชิกภายใน Discord เราเลือกสถานที่เป็นโรงเบียร์มิตรสัมพันธ์ของพี่ชิต เราประกาศรับคนเข้าร่วมงานประมาณ 80 คน (ซึ่งก็บานไปเกิน 100 คนในภายหลัง) ตั๋วราคา 380 บาท ถูกขายหมดในเวลาไม่นานมากนัก เราคำนวณแล้วว่าเอาแค่ไม่เจ๊ง ไม่เข้าเนื้อพวกที่จัดงานก็พอใจแล้ว

ใครล่ะที่จัดงาน? ก็ผมกับน้องๆ ทีม Mod ใน Discord ทุกคนนั่นแหละครับ

เรื่องนี้ทำเอาเราตึงกันพอสมควร การศึกษาความเป็นไปได้ วางแผน แบ่งงาน แบ่งบทบาท ประชาสัมพันธ์ เอกสาร อุปกรณ์ ประสานงาน ทำอะไรต่างๆ ค่อนข้างวุ่นวายมากด้วยความที่เราล้วนอยู่กันคนละทิศละทาง มีสัมพันธ์ทางออนไลน์กันเป็นหลัก เราได้บทเรียนค่อนข้างเยอะจากคราวนั้น โดยเฉพาะเรื่องระบบการขายตั๋วที่เราเลือกจะทำกันแบบ Manual ความไม่เคย และความไม่พร้อม รวมทั้งความไม่รู้ในหลายๆ ด้านของพวกเราเอง เราไม่สามารถสร้างความประทับใจให้กับแขกได้ครบทุกคน แม้จะมีหลายท่านที่ชื่นชอบงานนั้นมากๆ ก็ตาม แต่ก็ยังมีบางท่านที่รู้สึกไม่ซาบซ่ากับมันเท่าไหร่นัก ซึ่งบทเรียนในคราวนั้นก็ทำให้เราทำกันได้ดีขึ้นมาหน่อยกับงานคอนเฟอเรนซ์ในเวลาต่อมา

ผมถือคติว่า ถ้าเราเอาแต่กลัว เอาแต่ไม่กล้า เราจะไม่มีวันได้เรียนรู้อะไรเลย สุดท้ายเราก็จะกลายเป็นคนไม่รู้อะไรแบบนั้นไปตลอด.. เราแค่ต้องทำ ลงมือ และเทคเอาบทเรียนที่ได้รับมาปรับปรุง ถ้าเราอยากพัฒนาตัวเอง อยากเป็นคนที่มีความสามารถมากขึ้น เราต้องกล้า เราไม่มีทางเลือก นั่นคือเหตุผลที่ผมไม่เคยปฏิเสธความท้าทายอะไรเลยและบ้าพอที่จะทำมัน

เอาล่ะ.. ผมปูมายาว ก็เพื่อจะหาทางเริ่มเล่าสิ่งที่เกิดขึ้น เท่าที่ยังพอเหลืออยู่ในความทรงจำของผมบ้างนับจากนี้..

เหตุการณ์ในวันเมา

ผมนอนบนรถไฟไปในคืนก่อนวันงาน ผมไปถึง กทม. ในตอนเช้าตรู่.. นั่นแหละคือปัญหา ผมต้องเดินเตร็ดเตร่เพื่อรอเวลาเช็คอินเข้าโรงแรมก็คือนู่นเลยตอนบ่าย 2 ซึ่งกรุงเทพในเวลานั้นมันช่างอ้างว้าง (ช่วงโควิดยังไม่จาง) ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยเหมือนกัน ผมเดินวนหาร้านซัดกาแฟ นั่งเล่นเกมรอเวลาจนกาแฟหมดไป 2 แก้ว.. เอาวะ ผมตัดสินใจไปหาพี่ชิตดีกว่า ไม่งั้นผมคงต้องเบื่อตายแน่ๆ กว่าจะถึงเวลาเข้าที่พัก

นั่นคือครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปที่บาร์เต่า ข้ามเจ้าพระยาไปที่ร้านชิตเบียร์ ผมบอกพี่ชิตไว้ก่อนแล้วว่าผมจะไปที่นั่น เรานัดกันหลวมๆ และผมก็ไปถึงก่อนเวลา กว่าพี่ชิตจะมาถึงผมก็หมดไปแล้วราวๆ 2-3 แก้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ลองคราฟท์เบียร์อันเลื่องชื่อ โอ้... ไม่เคยแดกเบียร์รสชาติดีขนาดนี้มาก่อนเลย มันเพลินจนไหลไปเรื่อยๆ เนื้อหนัง กลิ่น ความละมุนละไมมาครบ..

จนกระทั่งพี่ชิตเดินทางมาถึง มันเป็นครั้งแรกที่เราได้เจอกันแม้จะเคยคุยกันมานานแล้ว ผมยังจำสีหน้าของพี่ชิตได้.. อ่อ ไอ้ตั้มหน้าตามึงเป็นอย่างนี้เองหรอกเหรอ แกคงจะคิดในทำนองนั้น.. สภาพผมที่ไม่ได้จัดการตัวเองเลยนับจากลงรถไฟในตอนตรู่ก็ดูไม่จืดสักเท่าไหร่หรอก บทสนทนาของเราในช่วงแรกยังคงเต็มไปด้วยความถ้อยทีถ้อยอาศัย เรายังคงเคอะเขิลกันอยู่พอสมควร เมื่อเราเริ่มละลายพฤติกรรมกันได้แล้ว เราก็เหมือนนักปรัชญาสองคนที่ได้มาเจอกัน แม้จะเริ่มกันอย่างเนิบๆ แต่กลับลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ ในท้ายที่สุด เราต่างก็สัมผัสได้ว่าเราสองคนมีหลายๆ แนวคิดที่มีท่วงทำนองคล้ายๆ กัน

ผมรู้สึกตัวอีกทีก็เริ่มจะหัวโยกแล้ว เพราะพี่ชิตแกกดเบียร์มาเติมให้ผมไม่ยอมหยุด ถึงจะให้ฟรีผมก็ไม่ได้รู้สึกยินดีเท่าไหร่เพราะชักจะเมาแล้ว ตอนนั้นคิดว่าน่าจะดื่มไปราวๆ สัก 7-8 แก้วได้.. เล่นเอาผมเริ่มเมาได้ที่ตั้งแต่ช่วงกลางวันแสกๆ ในหัวก็คิดอยู่เหมือนกันว่าวันนี้กูจะรอดไหม แต่อย่ากระนั้นเลย.. เราน่าจะต้องร่ำลากันไปก่อนแล้วค่อยไปเจอกันที่งาน เรานัดหมายกันตามสมควรเพราะทางผมก็พ่องาน ส่วนพี่ชิตก็เป็นเจ้าของสถานที่ร่วม ตอนนี้ผมต้องรีบกลับไปเช็คอินเข้าที่พักก่อนจะต้องเดินทางไปต่อยังสถานที่จัดงาน..

น้องๆ เริ่มแชทส่งข่าวกันเข้ามาเรื่อยๆ บางคนไปถึงที่หมายกันก่อนล่วงหน้าแล้ว ผมในตอนนั้นกำลังต้องตัดสินใจทำบางอย่างที่ค่อนข้างเสี่ยง แอลกอฮอล์มันเริ่มแผลงฤทธิ์ ผมเริ่มหนักหัวมากขึ้นเรื่อยๆ ปกติผมจะไม่ดื่มแอลกอฮอล์เลยถ้าไม่เจอกับคนที่รู้ใจ ผมจึงไม่ใช่คอทองแดงแบบตอนสมัยยังเป็นวัยรุ่นอีกต่อไปแล้ว

ผมรู้สึกว่าตัวเองชักจะไม่ไหวแล้วในตอนนั้น มีทางเดียวคือผมต้องนอนซึ่งก็กลัวจะไม่ตื่น แล้วถ้าไม่ตื่นขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะงามไส้กันน่าดู เวลาก็เหลือไม่มากเท่าไหร่นักก่อนที่งานจะเริ่มขึ้น ผมไม่มีทางเลือกมากนักเพราะไม่อย่างงั้นคงไปไม่ไหวแน่ ผมโทรไปบอกให้น้องๆ ช่วยโทรมาปลุกผมด้วยเพราะจะขอ Snap สักครึ่งชั่วโมง ชีวิตมันก็มีเรื่องให้เราต้องตื่นเต้นอยู่เสมอแบบนี้สินะ ในที่สุดผมก็นอนหลับไปแบบเมาๆ

ผมไม่กล้าหลับ ผมรู้ว่าตัวเองหลับลึก ผมแค่นอนลงให้โลกหยุดหมุน หลับตาให้แอลกอฮอล์มันเริ่มสบายบนความสลึมสลือ ผมตื่นมามาอาบน้ำและเดินทางต่อไป..

จากที่พักจนถึงสถานที่จัดงานมันใช้เวลาไม่มากนัก ผมขอให้แท็กซี่จอดตรงปากซอย ผมชอบที่ตะเดินซึมซับบรรยากาศและเก็บเรื่องราวตามรายทางเองมากกว่า ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดถนัด… ผมไม่คิดว่าในซอยนั้นจะมีคนบ้าเลี้ยงหมาเป็นสิบๆ ตัว ให้ตายเถอะ แล้วมันเป็นจังหวะที่เจ้าของเอาหมาทั้งฝูงออกมาเดินเล่นพอดี ใช้คำว่าฝูงน่ะถูกแล้ว…

ความลับก็คือ.. ผมกับหมาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เข้ากันได้ดีสักเท่าไหร่.. อาจเป็นเพราะผมคอยโดนหลอกให้ยัดเนื้อหมาลงท้องในตอนเด็กๆ หรือเปล่าไม่ทราบได้ ที่แน่ๆ ชีวิตนี้เคยโดนหมากัดอย่างงงๆ มา 2 รอบละ.. ผมเดินมาถึงที่หมายในบรรยากาศที่ยังไม่พร้อมกันเท่าไหร่นักในตอนนั้น ทั้งสถานที่ที่เหมือนจะงงๆ กันอยู่ กลุ่มน้องๆ ที่มาถึงกันก่อนที่ก็ยังไม่รู้ว่าควรทำอะไรกันดี พวกเขานั่งอยู่ในร้านมีเบียร์ประดับโต๊ะกันคนละแก้ว.. นั่นคือครั้งแรกที่ทุกคนได้เจอกับ Jakk Goodday

จากทางซ้าย ขิง, แฮ่ม, ผม และขวาสุดคือตั๋ง (ตอนที่ยังตุ้ยนุ้ยอยู่) สภาพผมคือ.. พวกมึงจะคุยอะไรกันก็คุยไปกูขอเอนหลังหน่อยละกัน จะร่วงไม่ร่วงแหล่อยู่ละ น้องๆ น่าจะยังเกร็งที่ Jakk Goodday อาจไม่ได้เป็นแบบที่คิด สีหน้าตั๋งเหมือนจะอยากถามว่าตกลงผมเสพหรือขายกันแน่.. ผมอยากจะบอกว่าผมแค่วิ่งเต้นเส้นสายให้เท่านั้น.. ผ่าม! เราคุยทำความรู้จักกันบนโลกฟิสิคัลพอหอมปากหอมคอ จากนั้นผมก็เริ่มให้ทุกคนกระจายกันออกไปทำตามหน้าที่เมื่อใกล้เวลาเริ่มงาน.. (ใช่.. ผมน่าจะกดไปอีก 1-2 แก้วเป็นอย่างน้อยๆ ในระหว่างนั้น)

ตั๋งกับน้องอิสร คือ 2 คนที่ต้องกลายเป็นผู้เสียสละในวันนั้น.. ทั้งคู่มีหน้าที่ต้องไปประจำจุดลงทะเบียนหน้างานที่ก็ทุลักทุเลกันพอสมควร เจ้าขิงเห็นสภาพเรื้อนๆ ของผมคงรู้สึกไม่ค่อยวางใจ ว่าแล้วก็เลยเดินไปดูแลความเรียบร้อยตามจุดต่างๆ ด้วยตัวเอง มันก็ต้องแบบนี้สิวะ จะให้พี่ทำทุกเรื่องได้ยังไง พี่เมา!

ปัญหาที่เจอนอกจากขั้นตอนการลงทะเบียนแบบไร้ Ai แล้วก็คือแขกหลายท่านที่มาร่วมงานไม่ได้มีตั๋วกันมาก่อน ทำนองพวกมากลากมาหรืออาจจะรู้ช้าแล้วก็อดใจไม่ไหว ก็นั่นสินะ.. นี่คืองานพบปะครั้งแรกของชาวบิตคอยเนอร์ไทยเลยเชียวนะ งานแรกที่จะได้เจอ 4 เสาหลัก ใครจะอยากพลาดถ้าไม่ติดธุระจำเป็นกันจริงๆ ผมทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนั้นนอกจากปล่อยให้เหตุการณ์ต้องเลยตามเลย คงไม่มีใครอยากผิดหวังถูกไล่กลับบ้านไปหรอกใช่ไหม..

เกี่ยวกับสถานที่ในช่วงแรกยังคงสับสนวุ่นวาย จัดที่นั่งกันค่อนข้างไม่ลงตัว แขกหลายท่านมาก่อนเวลาก็เลือกที่จะนั่งบริเวณลานด้านนอกร้านกันก่อน บางคนไม่ได้ต้องการมาล่าลายเซ็นค์หรือคุยกับคนดังอะไรขนาดนั้น พวกเขาเพียงแค่อยากเป็นหนึ่งในสักขพยานของงานเล็กๆ ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของชุมชนเราในครั้งนี้ พวกเขาจับกลุ่มกันเอง สั่งเบียร์ เดินซื้อกลับแกล้มจากรถด้านนอกร้านมานั่งคุยกันเองตามอัธยาศัย แม้จะดูไม่เข้าร่องเข้ารอยมากนัก ผมแสกนภาพทั้งหมดแล้วก็อดภูมิใจไปกันมันไม่ได้เช่นกัน.. นี่สินะ.. ภาพที่เราอยากเห็น มันกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว

และนี่คือภาพของความวุ่นวายบริเวณทางเข้างานที่เกิดขึ้นในวันนั้น…

หลังจากนั้นพี่ใหญ่ทั้ง 3 ท่านก็มาถึง พี่จิม, พี่เดชา ตามด้วยพี่ชิต ทั้ง 3 ท่านกับผมโผเข้ากอดกันจนมันกลายเป็นธรรมเนียมระหว่างเราไปแล้ว เราไม่จำเป็นต้องพูดกันมาก เราสื่อสารกันผ่านเจตนารมณ์และความรู้สึก พี่ชิตมาถึงเลทไปนิดหน่อยพร้อมกับยกมือขอโทษขอโพยทุกๆ คนกับความไม่สะดวกที่เกิดขึ้นในช่องแรก.. ไม่มีใครโกรธพี่หรอกครับ การปรากฏตัวของพี่ทำให้ทุกสายตาจับจ้อง บรรยากาศในบริเวณนั้นกลับมามีชีวิตชีวากันอีกครั้ง ในเวลานั้นพี่ชิตคือไอดอลเบอร์ต้นๆ ที่ใครๆ ก็อยากเจอ ผมเดินเข้าไปพูดคุยรายละเอียดต่างๆ ที่พวกเราต้องรีบทำให้เสร็จก่อนแขกจะล้นกันไปมากกว่านี้

พี่เดชามีบุคลิกที่ชัดเด่นเห็นมาแต่ไกล หลายคนกล้าๆ กลัวๆ ที่จะเข้าไปทักทายแก แต่นั่นไม่ได้เป็นปัญหาอะไรสำหรับผม ผมเดินดุ่ยๆ เข้าไปสวมกอดในขณะที่พี่เดชาตั้งตัวยังไม่ค่อยทัน ผมไม่รีรอรีบชวนแกคุยทันทีแบบเนียนๆ ก่อนที่แกจะแจกหอยให้ผมเสียก่อน สรุปว่าผ่านไปได้ด้วยดี

ภาพบางส่วนเหล่านี้ที่คุณเห็นนี้ เป็นฝีมือของอาร์ม Notoshi (เป็นเหตุผลที่ผมหาภาพของคนสำคัญอย่างอาร์มในงานไม่เจอ) หะแรกที่เจอหน้าผมไม่รู้จะเรียกน้องว่าทรงอะไรดี แต่นี่คือเด็กที่น่ารักน่าเอ็นดูและดูเรียบร้อยมารยาทดีกว่าที่คิด ต่างจากผมที่ห่ามและเซอร์ได้ใจจนน้องๆ หลายคนแอบจะแขยงอยู่เหมือนกัน

หมอนิวเดินมากับน้องนิ่มในชุดสบายๆ ท่าทางเรียบร้อย สมกับเป็นพวกเค้า ทั้งคู่ให้เกียรติผมมาก ทุกวันนี้นับถือผมเป็นพ่อไปแล้ว หลายๆ ท่านเริ่มทะยอยกันเข้ามาในงาน ผมสังเกตุได้ถึงรอยยิ้ม เสียงพูดคุยกันเอะอะจอแจ บางท่านจับกลุ่มสนทนากันเองได้ บางท่านไม่ไปไหน เอาเก้าอี้มานั่งฟังพวก Right Shift กับพวกพี่ใหญ่เค้าคุยกัน พวกเค้าก็มีความสุขกันได้.. ก็แปลกดีอยู่เหมือนกัน ผมในตอนนั้นเริ่มเห็นภาพทุกอย่างเลือนลางเต็มทีแล้ว สติเริ่มโดนพรากไปจากตัวด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่หนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ๆ ๆ

มันไม่แปลกที่จะมีบางคนสนุกไปกับบรรยากาศภายในงาน บางคนรู้สึกเหงาและต้องปลีกวิเวกไปนั่งในมุมเล็กๆ ของตัวเอง ก็นี่มันคือครั้งแรกที่สังคมของกลุ่มคนที่พยายามจะรักษา Privacy ต้องยอมออกมาเปิดเผยตัวตนและเจอหน้ากัน ณ สถานที่แห่งนั้นเราต่างไม่เคยมีใครรู้จักกัน เราไม่เคยเจอกันที่ไหนมาก่อน แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์คือเรากลับคุยกันได้อย่างถูกคอเมื่อใช้ภาษาเดียวกัน นั่นคือ ภาษาบิตคอยน์

เวลาล่วงเลยมาจนตะวันคล้อย.. ในที่สุดพระเอกของงานก็เดินทางมาถึง ผมเดาว่า อ. ก็คงจะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่จะได้เจอกับอะไรแบบนี้และคงจะนึกภาพไม่ออกเหมือนกันว่างานจะออกมาหน้าตายังไง (ซึ่งเอาเข้าจริงๆ ด้านในก็เริ่มเละเทะกันแล้วล่ะ) ผมเดินออกไปรับ อ. ด้วยตัวผมเองถึงที่จอดรถ ผมอยากให้ทุกคนนึกภาพตามว่า.. นั่นคือครั้งแรกจริงๆ ที่เรา 2 คนได้เจอกัน คนที่ทำงานร่วมกันผ่านทางออนไลน์มาสักระยะหนึ่งแล้ว จับมือกันอย่างงงๆ จนเกิดเป็น Right Shift สำหรับ อ. แล้ว.. แกคงจะกังวลกับการเจอตัวเป็นๆ ของผมอยู่ไม่น้อย

ผมเป็นพวกหน้าด้านยกกำลังหมื่น ผมเดินไปถึงตัวและประครองมือโอบหลัง อ. ราวกับว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันมานานแรมปี (ผมต้องการจะแกล้งแก) อ. ทำหน้าเลิ่กลั่กวางตัวไม่ค่อยถูก พยายามจะพูดอะไรสักอย่างกับผมเป็นการแก้เขิล แต่ขอโทษนะ.. ผมไม่ฟังหรอก ผมขาดสติไปมากแล้วในตอนนั้น อย่างมากก็เออออห่อหมกตามน้ำไปพอเป็นพิธี และกลิ่นละมุดตามตัวผมก็คงจะหึ่งเตะจมูกแกอยู่ไม่น้อย..

เรื่องของเรื่องก็คือผมไม่ต้องการให้ อ. วางตัวลำบาก ผมทำลายกำแพงตรงนั้นให้ อ. เรียบร้อยตั้งแต่นาทีแรกที่ลงจากรถ ผมคือคนขี้เมาเสียงโหวกเหวก ดูก้าวร้าว คงจะผิดจากภาพที่ อ. วาดไว้ไปพอสมควร แต่จะทำอะไรได้ล่ะ ลงเรือลำเดียวกันกับมันมาแล้วนี่ ฮ่าๆๆๆ

ในขณะที่ผมไม่ทานอะไรรองท้องเลยนอกจากเบียร์ อ.ตั๊ม แก้เขิลด้วยการไปซื้อกับแกล้มมาเป็นอย่างแรก หลังจากนั้นผมจำไม่ได้ว่าคุยอะไรกับ อ. ขี้เขิลผู้นั้นไปบ้าง ผมรุกเร้าทุกคนด้วยบทสนทนาอันคึกคักเพื่อให้บรรยากาศความสนิทสนมมันผ่อนคลาย

ใช่.. ผมมีนิสัยแบบนี้เอง ใครจะเกลียดกูก็ได้ แต่ทุกคนควรจะรักกัน.. ก็ถ้าพวกเราชาวบิตคอนเนอร์ไม่รักกันเอง แล้วพวกชิตคอยน์ที่ไหนมันจะมารักเราล่ะ?

ในวันนั้นชุมชนของเรายังไม่คุ้นเคยกับการใช้งาน Lightning Network กันมากนัก มันยังเป็นของใหม่สำหรับหลายๆ คน มันเลี่ยงไม่ได้ที่ผมพยายามจะหาวิธี Demonstrate ให้ทุกคนได้เห็นในความอัศจรรย์ของมัน ผมจำได้ว่าผมเล่นสนุกโอน Lightning ให้กันกับพี่เดชา กับ อ.ตั๊ม ไปมาอย่างเร่าร้อน โดยมีน้องๆ รุมเชียร์กันเฮฮาเสียงดังรอบโต๊ะ บรรยากาศคึกคักกันน่าดู ราวกับกลุ่มคนป่าเถื่อน และแน่นอน คนที่แหกปากเสียงดังที่สุดในกลุ่มก็น่าจะเป็นผมนี่แหละ.. จำได้ว่ามีคนแอบถ่ายคลิปเอาไว้ด้วยนะ

ผมมองไปรอบๆ งานที่ตอนนี้ทุกคนเริ่มเข้ามาแออัดกันภายในตัวร้านแล้ว เสียงผู้คนสาดใส่กันไปมาอึกทึกครึกโครมจนเริ่มจับสำเนียงแทบไม่ได้ว่าใครเป็นใคร กลุ่มหนึ่งคาดหวังจะให้พวกเราซึ่งเป็นตัวหลักของงานกระจายกันออกไปนั่งตามโต๊ะต่างๆ เพื่อให้พวกเค้าได้สัมผัสบทสนทนากับเราบ้าง

แต่มันก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้วมันคือพวกเรานี่แหละที่อยากเจอกันเองมากสุดๆ เราผ่านอะไรกันมาเยอะจนอยากจะบ้วนน้ำลายใส่กันได้ไม่ยอมหยุด ถ้าเหตุการณ์ดังกล่าวมีส่วนทำให้บางท่านรู้สึกผิดหวังจากความตั้งใจผมก็อยากจะขออภัยมา ณ ที่นี้จริงๆ ครับ

ในตอนนั้นผมสังเกตเห็นได้ถึงความเอาจริงเอาจังและความตั้งใจของพิธีกรจำเป็นของเราอย่าง อ.ขิง ที่ได้รับมอบหมายจากผมให้ไปเตรียมตัวมาทำหน้าที่อะไรแบบนี้อย่างกระชั้นชิดพอสมควร ซึ่งผมคิดว่าขิงน่าจะทำได้ลุล่วงสบายๆ แม้เวทีจำลองที่เราจัดขึ้นพร้อมกับเครื่องเสียงที่ยังไม่สามารถสู้เสียงอื้ออึงภายในร้านได้ จะไม่อำนวยให้กับการดำเนินรายการสักเท่าไหร่นักก็ตาม ขิงเตรียมโพยคำถามมาราวกับว่าจะไปประกวดเวทีระดับโลก ผมเห็นครั้งแรกก็อึ้งไปเหมือนกัน ในใจก็พลางคิดว่า.. สบายแล้วกู นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ผมเมาแบบไม่สนหินสนแดดใดๆ เลยในคืนนั้น เพราะผมเชื่อในทีมของผม ทีมของพวกเรา..

หลังจากนั้นบนเวทีก็เวียนหน้ากันไปกล่าวบางอย่างพอเป็นพิธี ตัวผมเองได้กล่าวเปิดงานก่อนหรือเปล่านะ? เมาจนจำไม่ได้แล้ว ผมจำไม่ได้แล้วด้วยว่าผมพล่ามอะไรออกไปบ้าง จำได้ว่าแหกปากนะ ฮ่าๆ พี่จิม พี่ชิต อ.ตั๊ม พี่เดชา ทุกคนได้ลุกขึ้นมาจับไมค์กันจนครบ ผมแน่ใจว่าหลายคนคงจับสาระอะไรไม่ได้เท่าไหร่นัก เพราะเสียงในร้านมันดังมากจริงๆ หรือผมเมามากจนพาลไม่ได้ยินอะไรไปเอง?

หากใครอยากรู้ว่าในคืนนั้น อ.ตั๊ม ได้พูดอะไรไปบ้าง คุณต้องไปดูกันเอาเองในคลิปนี้ https://youtu.be/-tJ_87rudzY?si=4Matbn6uaXoxtXMQ

ภาพในหัวผมเริ่มหายไปบ้างแล้วหลังจากช่วงเวลานี้ ภาพต่อมาที่ยังปรากฏอยู่คือหลายคนเริ่มออกไปกินกันนอกร้าน เพราะพี่ใหญ่ทั้ง 4 ได้ออกไปเสวนากันด้านนอกแล้วนั่นเอง มันไม่ต่างอะไรกับวงไฮโลที่ทุกคนมุงดูไอดอลของตัวเองกำลังคุยกันอย่างออกรสออกชาติ มันไม่ใช่บทสนทนาที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ หาไม่ได้ง่ายๆ ทั้ง 4 คนมานั่งคุยกันอย่างเมามันส์หลังกระดกเบียร์กันไปคนละหลายแก้วแล้ว

อ้อ… มันมีคนๆ นึงนั่งเนียนๆ อยู่ด้านหลังในภาพสุดท้ายนี่ด้วย เขาคือ "สมนึก" นั่นเอง สมนึกเป็นคนขี้สงสัยใคร่รู้ อยากจะถามผมทุกเรื่อง น่าจะอยากกวนตีนผมเป็นการแกล้งเล่นในตั้งแต่วันนั้นแล้ว แต่ผมก็พร้อมจะอ้วกใส่หน้าตลอดเวลาเหมือนกัน ว่าแล้วต่างคนก็เลยต่างรอดกันไป

ยังไงผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ เพราะผมจำอะไรไม่ได้แล้วหลังจากนั้น ผมจำไม่ได้เลยว่านอกร้านคุยเรื่องอะไรกันไปบ้าง ที่ยังหลงเหลือในความทรงจำบ้างก็คงจะ…

• พี่จิมคุยมันส์มาก ใส่อารมณ์สุดเดือด มันส์ไปหน่อยจนทุบโต๊ะแก้วแตกไปใบนึง
• ทุกคนอยากให้มีการจัดงาน Bangkok Bitcoin Conference ดูมีความหวังและฮึกเหิมกันน่าดู พูดเสร็จก็หันมามองผมพร้อมๆ กัน (ตูอีกแล้วเหรอ?) นั่นคือจุดเริ่มต้นแห่งไอเดียงานคอนเฟอเรนซ์
• ด้านในขิงยังดำเนินรายการต่อไปกับกลุ่มของเจ้าต้า BeerZpot อัจฉริยะสมองเพี้ยนอีกคนและเพื่อนๆ อีกกลุ่ม มีการแจกของรางวัลกันเล็กๆ น้อยๆ

หลังจากนั้นหลายๆ คนก็ค่อยๆ เริ่มทะยอยกลับกันไปต่างคนต่างวาระ ผมไม่ได้รับอนุญาตให้กลับเอง เพราะ อ.ตั๊ม น่าจะเกรงว่าอาจไม่ได้เจอผมอีกเป็นแน่ สมนึกและ อ.ตั๊ม คือสองคนที่อาสาลากผมไปแหมะไว้ที่โรงแรมด้วยตัวเอง ผมถาม อ. ว่ารู้สึกยังไงบ้าง ..

"สนุกดีนะ.. " ตามด้วยอะไรสักอย่าง.. รวมๆ คือน่าจะรู้สึกดีนั่นแหละที่นานๆ ได้ออกจากบ้านที เมื่อถึงที่หมายเราก็ร่ำลากันไป โดยไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมานับจากนั้น

ใครจะคิดว่าคนเมาๆ ที่เดินโซซัดโซเซลงจากรถเหมือนจะรอดไม่รอดแหล่ในคืนนั้น มันจะกลายเป็นคนบ้าที่ลากทุกคนมาไกลจนถึงวันนี้..

ว่าแต่… ทำไมคนเมาเละเทะถึงจำอะไรได้มากขนาดนี้กันนะ..

---

• ใครอยู่ในงานคืนนั้นบ้างครับ มาเล่าความทรงจำสู่กันฟังหน่อยเร็ว
• มีใครอยากเห็นบรรยากาศแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไหม แต่คราวนี้ผมไม่ขอเป็นตัวตั้งตัวตีอีกแล้วนะ เหนื่อยเหลือเกิน 555+ ฉลอง Halving หน้ากันดีไหมพวกเรา?

@ 04c915da:3dfbecc9

For years American bitcoin miners have argued for more efficient and free energy markets. It benefits everyone if our energy infrastructure is as efficient and robust as possible. Unfortunately, broken incentives have led to increased regulation throughout the sector, incentivizing less efficient energy sources such as solar and wind at the detriment of more efficient alternatives.

The result has been less reliable energy infrastructure for all Americans and increased energy costs across the board. This naturally has a direct impact on bitcoin miners: increased energy costs make them less competitive globally.

Bitcoin mining represents a global energy market that does not require permission to participate. Anyone can plug a mining computer into power and internet to get paid the current dynamic market price for their work in bitcoin. Using cellphone or satellite internet, these mines can be located anywhere in the world, sourcing the cheapest power available.

Absent of regulation, bitcoin mining naturally incentivizes the build out of highly efficient and robust energy infrastructure. Unfortunately that world does not exist and burdensome regulations remain the biggest threat for US based mining businesses. Jurisdictional arbitrage gives miners the option of moving to a friendlier country but that naturally comes with its own costs.

Enter AI. With the rapid development and release of AI tools comes the requirement of running massive datacenters for their models. Major tech companies are scrambling to secure machines, rack space, and cheap energy to run full suites of AI enabled tools and services. The most valuable and powerful tech companies in America have stumbled into an accidental alliance with bitcoin miners: THE NEED FOR CHEAP AND RELIABLE ENERGY.

Our government is corrupt. Money talks. These companies will push for energy freedom and it will greatly benefit us all.

@ d830ee7b:4e61cd62

ชีวิตคนเราจะยอมแลกอนาคตกับความหลงไหลในบางอย่างได้มากแค่ไหนกัน?

เราถูกสอนให้รู้จักบริหารจัดการความเสี่ยงเป็นอย่างดี.. เราค่อนข้างจะตัดสินใจกันแบบ Conservative เสียเป็นส่วนใหญ่ เมื่อถึงคราวต้อง Take risk กับอะไรบางอย่าง ไม่มีใครหรอกที่จะอยากเดินเข้าไปสู่หนทางอันมืดมิด

แต่ผมกลับได้เจอกับ “ผู้ชายคนหนึ่ง” ที่กล้าจะยอมแลกทุกอย่างในชีวิตของเขา.. เพียงเพื่อบิตคอยน์

. .

“คนนี้เค้าชื่ออะไรเหรอตั๋ง? เขาเป็นใครน่ะ?”

ผมถามเจ้าตั๋ง หลังจากที่ได้เห็นภาพถ่ายของชายคนนั้น..

ในมือถือแก้วเบียร์ สีหน้ามีความสุขล้น ผมจำแทบไม่ได้แล้วว่า.. ภาพนั้นเขาถ่ายกับใครหรือเป็นสถานที่ไหน มันก็นานมากแล้วเหมือนกัน แต่ใบหน้าของหมอนี่ค่อนข้างจะรบกวนจิตใจผมพอสมควร..

ผมเห็น “เขา” ผ่านตามาสักระยะนึงแล้ว..

เขามักจะโผล่มาโพสต์ในกลุ่ม Siamese Bitcoiners อยู่เป็นระยะ ๆ นอกจากนี้ผมยังรู้สึกว่าหมอนี่ทำไมมันถึงต้องเอาจริงเอาจังกับบิตคอยน์ขนาดนั้นเลยวะ?

เขามักจะอ่านบทความต่างประเทศ โดยเฉพาะบทความของ Bitcoin Magazine เขาจะไฮไลท์บางส่วนในบทความมาแชร์ต่อให้เพื่อนๆ ในกลุ่มเสมอ โดยไม่สนใจด้วยว่าใครจะอ่านหรือไม่อ่าน

ที่เล่ามาคุณอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยนี่นา..

สิ่งที่พิเศษคือ.. ไม่ว่าในกลุ่มจะกำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่ก็ตาม หมอนี่จะทำราวกับว่าไม่ได้สนใจกระแสที่เกิดขึ้นเลย (เขาอาจจะแว๊บไปมีส่วนร่วมกับมันบ้างแหละ พวกการปะทะคารมกันในกลุ่มน่ะ) สิ่งที่เขาโพสต์นั้น เหมือนกำลังจะบอกทุกคนว่า..

“เฮ้! พวกเรา! มาดูนี่สิ โคตรเจ๋งเลย บิตคอยน์ของพวกเราแม่งสุดยอดไปเลยว่ะ!”

“เฮ้ย! อ.พิริยะ แม่งโคตรคูล ผู้ชายคนนี้นี่สุดยอดไปเลยนะ!”

ผมสัมผัสได้ถึงความหลงไหลในบิตคอยน์ ผมสัมผัสได้ถึงเทคนิคทางด้านภาษาและสไตล์การเขียน วิธีที่เขาใช้เขียนหรือแนวทางในการสื่อสารนั้น.. มีเอกลักษณ์บางอย่างที่ผมคงต้องใช้คำว่า.. “ละเมียดละไม”

การแสดงออกของเขานั้นค่อนข้างให้ความรู้สึกว่า.. หมอนี่มันช่างใสซื่อกับบิตคอยน์เสียจริง..

มึงเพิ่งรู้จักบิตคอยน์มาไม่นานสินะ? ..ผมแอบคิดในใจ ในตลาดนี้มันจะมีมุมร้ายๆ ที่รอวันชำแหละพวกมือใหม่อยู่นะ..

มึงจะโลกสวยขนาดนี้เลยเหรอวะ? . .

“คนนี้เขาเป็น ……….. นะพี่ เขาชื่อ…… ครับ”

..ไอ้ตั๋งสุดหล่อตอบผมมาแบบนั้น

คนที่ใช่ในเวลาที่คู่ควร

"พี่ยะมาแล้ววว…"

คำก็ "พี่ยะ" สองคำก็ "พี่ยะ" อืมมม.. ทำไมเรารู้สึกหมั่นไส้ไอ้นี่จังวะ?

ชาวบ้านเค้าเรียก อ.ตั๊ม ไม่ก็ อ.พิริยะ หรือ ปิรันย่า กัน มึงไปเอาคำว่า "พี่ยะ" มาจากไหนกันล่ะเนี่ย.. ก่อนที่ผมจะหมั่นไส้ใครไปมากกว่านี้ ผมดึงสติตัวเองกลับมาคิดว่า.. คนนี้ไม่ใช่หรอที่ควรจะมีอะไรน่าสนใจให้เราได้ค้นหา..

เออ.. นั่นสินะ

ผมวางอคติส่วนตัวลงชั่วขณะ.. ตัดสินใจหาคำตอบและค้นคว้าข้อมูลของผู้ใช้คนนี้อย่างจริงจัง.. จนกระทั่งไปเจอเข้ากับ บล็อกส่วนตัว ของเขาเข้า ใน Word press

ในวันที่ใครๆ ก็เผยแพร่เรื่องราว บอกเล่าความคิดของตนลงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย หมอนี่กลับเขียนบล็อกจำนวนมากได้เป็นวรรคเป็นเวรมาตั้งแต่ปี 2007!!

ผมมีความสามารถติดตัวที่บรรยายเป็นคำพูดไม่ได้ เมื่อผมได้อ่านอะไรแบบนี้ ผมจะสามารถเจาะลึกเข้าไปในความรู้สึกนึกคิดของคนเขียนได้ ถึงแม้ว่า “ตัวหนังสือ” จะเป็นสิ่งที่ถูกประดิษฐ์ประดอยขึ้นมาโดยไม่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับความจริงในใจเลยก็ตาม.. แต่สำหรับบล็อกนี้ผมสัมผัสได้เลยว่า.. เขาเขียนมันออกมาจากตัวตนของเขาจริงๆ

แต่ละคนก็มักจะมีความน่าสนใจ มีความพิเศษในตัวเองไม่มากก็น้อย หมอนี่เองก็เช่นกัน ซึ่งนอกจากสิ่งที่เขาเขียนกว่า 40 เพจบนบล็อกนั่นแล้ว ก็คงไม่มีอะไรต้องสนใจมากนัก

แต่สำหรับผม.. ผมสังเหตุเห็นบางมุมที่น่าค้นหา

ถ้าสังเกตกันให้ดี บล็อกของเขาจะถูกเขียนอย่างต่อเนื่องออกมาเป็นระยะๆ นับตั้งแต่ปี 2007 แต่แล้วมันก็หยุดไปดื้อๆ ในปี 2013

เขากลับมาเขียนมันอีกครั้งในปี 2022

มันเพราะบิตคอยน์ใช่ไหมที่ทำให้เขากลับมามีพลังพลุ่งพล่านกับงานเขียนได้อีกครั้ง?

ผมยังค้นพบต่อไปอีกว่า..

แม้ผู้ชายคนนี้จะมีชีวิตจริงที่ดูเหมือนจะโลดโผน ถูกรายล้อมไปด้วยผองเพื่อน แต่เขาไม่น่าจะมี “เพื่อนแท้” ที่พอหาได้เลยสักคน บทความมากมายในบล็อกของเขาแสดงให้ผมเห็นว่า เขามีบางอย่างในใจที่ไม่สามารถพูดกับใครได้.. มันอาจไม่มีคนรับฟังเขา หรือเป็นตัวเขาเองที่ไม่ต้องการเปิดเผยมัน..

คนๆ กำลังมองหา "ที่ของตัวเอง" โดยที่อาจไม่รู้ตัว

ช่วงเวลาแห่งการสืบค้นนั้น.. Right Shift กำลังริเริ่มความคิดที่จะสร้างแหล่งบทความบิตคอยน์ขึ้นมาบนเว็บไซต์ ผมอยากเปิดโอกาสให้กับชาวคอมมูนิตี้ได้เข้ามา “ปล่อยของ” กันที่นั่น ในขณะเดียวกันก็จะเป็นการยอมรับและได้ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับ Bitcoin Lightning ไปในตัว เพราะเราจะเปิดให้มีการรับทิปสำหรับบทความเหล่านั้นได้โดยตรงผ่าน LN ด้วยนั่นเอง

เรากำลังหาเหาใส่หัว.. เราปฏิเสธเรื่องนั้นไม่ได้

เพราะทั้งหมดมันจะตามมาด้วยภาระความรับผิดชอบ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว เราจะไม่ได้รับผลตอบแทน “ทางตรง” ใดๆ เลย แต่สำหรับผมแล้ว ผมอยากทำมันมากๆ เพราะผมเล็งเห็นถึงศักยภาพของคุณค่าที่เราจะได้รับกลับมาในอนาคต

ทุกคนถูกฝึกให้กลายเป็นนักแปลเกือบๆ จะเข้าใกล้คำว่ามืออาชีพ เราเริ่มกันอย่างกระท่อนกระแท่นจนกระทั่งเจอระบบการดำเนินการที่ลงตัวได้ในที่สุด

แต่อย่างไรก็ตาม.. ผมก็ยังรู้สึกว่าทีมของเรายังขาดอะไรอยู่บางอย่าง.. ผมพยายามหาคำตอบมาตลอดว่ามันคืออะไรกันแน่?

สิ่งที่เรากำลังตามหา มันก็คือ.. ประสบการณ์อย่างมืออาชีพ

ปัญหา มักไม่เคยทำให้ผมรู้สึกกลัวหรือย่อท้อ ผมไม่เคยคิดว่าปัญหาคืออุปสรรค กลับกัน.. ปัญหาสำหรับผม มันเป็นแรงผลักดันชั้นดีให้เราได้ออกไปหาวิธีการจัดการกับมัน ปัญหาทำให้ผมรู้ว่าผมต้องการอะไรเพื่อจะไปให้ถึงเป้าหมาย มันคือบททดสอบว่าตัวเราจะไปได้ไกลแค่ไหนเมือเจอเข้ากับทางตัน..

มันคือชะตาฟ้าลิขิต..

วันหนึ่งหมอนั่นก็ส่งบทความแปลของตัวเองเข้ามาที่เว็บไซต์ของเรา

ด้วยสัญชาตญาณส่วนตัว.. ผมใช้เวลาไม่นานก็รู้ได้ทันทีว่า.. คนที่ผมแอบสนใจอยู่ คือ คนเดียวกันกับที่ผมกำลังพยายามควานหามานาน มันมีบางอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่า.. หมอนี่แหละจะเป็นคนที่ใช่สำหรับเราในอนาคต

ผมใช้เวลาไม่นานมากนัก ในการทำความรู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว หลังบทความของเขาเริ่มทะยอยถูกเผยแพร่ขึ้นบนเว็บไซต์ของเราอย่างต่อเนื่อง ผมเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและเอาจริงเอาจังของเขาในเรื่องที่ผมอาจจะยังรู้สึกแค่เพียง “เรื่องสนุก” เท่านั้น แต่สำหรับเขา มันยิ่งใหญ่และเป็นความภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน

ผมจะยังรออะไรอีกเล่า.. งั้นแกมาทำงานกับพี่เถอะ.. “จิงโจ้”

มืออาชีพไม่เคยต้องอวดอ้างสรรพคุณของตัวเอง

การเข้ามาในทีมบทความของจิงโจ้ สร้างบรรยากาศแบบใหม่ขึ้นในทีมน้องๆ ของผมที่อยู่กันมาก่อนแล้ว ทุกคนรู้สึกถึงพลังบางอย่างในตัวเขา ความสนุกสนานหยอกล้อเหมือนพี่น้องในตอนแรกเริ่มค่อยๆ กลายเป็นความตึงๆ อย่างเสียมิได้

ผมไม่คิดจะโทษจิงโจ้ในเรื่องนี้..

เพราะตัวเขาเองก็คงไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อเราต้องเจอเข้ากับ “ของจริง” เราจะรู้สึกยำเกรงและไม่กล้าเล่นสนุกกันมากเกินไป จิงโจ้นำเอาความเป็นมืออาชีพในด้านงานเขียนเข้ามาสู่ทีม เขาเป็นคนเดียวที่ให้ความเคารพกับผมในลักษณะที่ยังเป็นเหมือน เจ้านาย-ลูกน้อง อยู่ในตอนนั้น (ซึ่งผมไม่เคยต้องการให้เป็นแบบนั้น)

เขาทำงานให้เราอย่างเต็มที่ ควบคู่ไปกับงานประจำที่ก็หนักหนาพอๆ กัน ไม่เคยคิดก้าวก่ายงานส่วนอื่นหากผมไม่ขอให้ช่วย ไม่ยุ่งเรื่องของใครมากนัก และดูจะตึงพอสมควรเท่าที่ผมสัมผัสได้ แต่มันก็เป็นความตึงที่มาจากความตั้งใจอันเปี่ยมล้นของเขา เป็นความตึงที่ไม่ได้มีเจตนาจะให้ใครตึงตามไปด้วย..

เขาแค่ไม่ได้ต้องการจะทำให้ผมรู้สึกผิดหวังเท่านั้นเอง

จิงโจ้ เก่งเกินกว่าที่ผมเคยคิดเอาไว้.. มันไม่แปลก เพราะนี่มันเป็นอาชีพของเขาเลยก็ว่าได้ เขาทำให้ผมรู้สึกว่า.. Right Shift จะไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ในด้านงานบทความและงานหนังสือ รวมไปถึงงานเขียนในด้านต่างๆ

ตำแหน่ง บก. ที่เขาถูกเรียก ไม่ได้มาจากการที่ผมเป็นคนแต่งตั้งให้..

เด็กๆ ในทีม Right Shift ล้วนแต่เป็นเด็กที่ชาญฉลาด พวกเขาแยกแยะได้ว่าใครคือคนเก่ง ใครยังต้องพัฒนาต่อ พวกเขาเข้าใจดีว่าอะไรคืออะไร และสำหรับจิงโจ้ เด็กๆ ของเราก็เลือกเองที่จะให้เกียรติและเรียกเขาว่า "บก. จิงโจ้"

กับทีมงานนั้น.. จิงโจ้แสดงออกถึงมารยาทที่ดีและมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่เสมอ.. เขาไม่เคยยอมให้ความสามารถตัวเองไปกดดันเพื่อนร่วมทีมเลยสักครั้ง เขามีวิธีสื่อสารที่น่าฟัง เราใช้เวลาเกือบครึ่งปี ในการที่ผมจะหาทางละลายพฤติกรรมและความตึงเครียดของทุกคนให้ผ่อนคลายได้

ถ้าเรากำลังหงุดหงิดที่เพื่อนร่วมทีมของเราช่างไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย เราควรจะสอนหรือถ่ายทอดงานให้กับพวกเขา จริงอยู่ว่าวิชาของเราอาจจะไม่ได้มันมาง่ายๆ แต่มันจะดีกว่าไหม ถ้าเราไม่ต้องมาคอยแบกทีม หรือรับผิดชอบอะไรหนักๆ อยู่เพียงคนเดียวไปตลอด?

ผมแนะนำจิงโจ้ไปแบบนั้น ..หลังจากนั้นมันกลายเป็นวัฒนธรรมของเราที่ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับจิงโจ้ แต่มันเกิดกับทุกคน พวกเรารู้สึกดีกว่ามากที่เราได้แชร์ประสบการณ์ให้แก่กัน รู้สึกดีที่ถูกรายล้อมไปด้วยคนที่เราจะเชื่อมือพวกเขาได้ ..นั้นแหละคือคีย์สำคัญของคำว่า "ทีมเวิร์ค"

ความเชื่อใจ ที่บิตคอยน์ไม่เคยสอนเรา แต่กับบางเรื่องในชีวิตจริง เราก็ยังต้องการมันมากอยู่ดี

วันนี้กับวันนั้น เราไม่เหมือนเดิม ที่ Right Shift เราทำงานกันอย่างมีความสุข สนุกสนานและรักใคร่กลมเกลียวกันดี

นักฟุตบอลที่ลงซ้อมด้วยกันบ่อยๆ วันหนึ่งก็จะเล่นเข้าขากันได้เองในที่สุด ถ้าคุณพยายามทำความเข้าใจและศึกษาสไตล์ของเพื่อนร่วมทีมคุณให้มากพอ พูดง่ายๆ ก็คือใส่ใจในทีมมากกว่าตัวเอง

เรื่องราวของจิงโจ้ตามที่ผมเล่ามาดูเหมือนจะงดงามไปหมดเสียทุกอย่าง

แต่โลกของเรามันไม่ได้มีแค่มุมที่สวยงามหรอกนะครับ.. มนุษย์คนหนึ่งก็เช่นกัน ทุกคนก็มักจะมีด้านมืดและด้านสว่างปะปนกันอยู่

จิงโจ้เองก็ไม่เว้น..

ตกบันได ต้องตกให้ถึงพื้น

เวลาที่คนดวงตก เวลาที่ทำอะไรก็ไม่เคยได้ดั่งใจ มันก็เหมือนกับการที่เรากำลังตกลงมาจากบันไดทีละขั้นๆ ถ้าหากบันไดมีทั้งหมด 7 ขั้น ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จำเป็นต้องตกลงไปให้ครบทั้ง 7 ขั้น จนกระทั่งไปกองอยู่ที่พื้นก่อนเสมอด้วยกฏแห่งแรงโน้มถ่วง คุณจึงจะสามารถลุกขึ้นมาเดินขึ้นบันไดได้ใหม่อีกครั้ง..

ถ้าวันนี้คุณรู้สึกว่าชีวิตกำลังแย่ มันอาจยังไม่ได้แย่ที่สุดก็ได้นะ.. ถ้าชีวิตของคุณพึ่งร่วงลงมาแค่ 5 ขั้น มันอาจยังเหลือเรื่องร้ายๆ ให้คุณต้องเจออีกตั้ง 2 ขั้นก็เป็นได้ นี่เป็นการเปรียบเปรยเพื่อให้คุณเห็นภาพได้ง่ายขึ้นเพียงเท่านั้น

เรื่องนี้เป็นสัจธรรมที่ผมได้ค่อยๆ เรียนรู้มาเองทั้งชีวิต

การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป

มันฟังดูค่อนข้างแย่.. แต่มันก็มักจะเป็นความจริง เรามักจะฝืนชะตาชีวิตในช่วงที่ทุกอย่างรอบตัวไม่เป็นดังหวัง ผมเลือกที่จะทำความเข้าใจและยอมรับในทุกความเป็นไป เลือกจะปล่อยตัวเองให้หล่นลงไปกองที่พื้น ผมรอให้ถึงเวลานั้นอย่างเข้าอกเข้าใจ

เพราะผมเชื่อในสังสารวัฏ ณ จุดที่ผมกองอยู่แนบพื้น ชีวิตของผมคงไม่อาจย่ำแย่ไปกว่านั้นได้อีกแล้ว จุดนั้นเองที่ผมจะลุกขึ้นมาทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ และก้าวเดินขึ้นบันไดไปอย่างมั่นคง ชีวิตหลังจากนั้นมันควรจะมีแค่ดีกับดี

มันจะแย่ไปกว่านั้นได้ยังไงล่ะ? . .

"ผมอาจทำงานให้ Right Shift ไม่ได้แล้วครับ.."

ผมหน้าชาเล็กน้อยเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดพ้อของจิงโจ้.. มันจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อทุกอย่างกำลังดีเลยนะ? ทำไมจู่ๆ นายมาพูดกับพี่แบบนี้? หรือว่ามันเกิดปัญหาบางอย่างขึ้นในงาน.. หรือในทีม?

อย่างที่บอก.. ผมมักไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องจมอยู่กับคำถามใดๆ นานเกินไป ทำอย่างนั้นคงไม่มีประโยชน์ ผมเลือกจะสืบสาวราวเรื่องด้วยการโทรหาจิงโจ้โดยตรง เราคุยกันอย่างบิตคอยเนอร์ ซึ่งกินเวลานานกว่า 4 ชั่วโมงเลยทีเดียว..

ในชีวิตคนๆ หนึ่ง คุณอาจเคยทำผิดพลาดได้หลายครั้งในชีวิต คุณอาจทำให้ใครสักคนไม่พอใจ คุณอาจทำเรื่องร้ายๆ มาบ้าง หรือต่อให้คุณไม่เคยข้องแวะกับใครเลย มันก็คงจะมีสักเรื่องหรือสักคนที่อาจจะทำให้คุณจิตตกได้เหมือนกัน

ผมให้อภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ในทุกอย่างที่เขาพยายามปกปิดเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ และผมยังขอให้จิงโจ้ "ให้อภัยตัวเอง" อีกด้วย เพื่อที่เราจะยังเดินต่อไปได้ จิงโจ้รู้สึกผิดเพราะคิดว่าตัวเองจะกลายเป็นตัวถ่วงของทีม.. สำหรับผม ผมไม่เคยคิดกับใครแบบนั้น

"ผมขอเว้นวรรคไปฟื้นฟูความรู้สึกตัวเองสักพักละกันนะครับ.."

จิงโจ้กล่าวลาผม เพื่อเดินทางไปพักผ่อนยังเวียดนาม.. เรารู้เรื่องนี้กันแค่ 2 คนในตอนนั้น ความเป็นมืออาชีพอย่างสุดลิ่มทำให้เขาเลือกที่จะไม่เอาปัญหาส่วนตัวมากระทบต่อขวัญกำลังใจของทีม..

(ขออนุญาตไม่เล่าเรื่องส่วนตัวของเขาในที่นี้นะครับ)

ถ้าคุณต้องเลือกอนาคตของคุณ โดยต้องยอมแลก "ทุกอย่างที่เคยมีมา" กับ "บิตคอยน์" คุณจะเลือกอะไร?

โลกใหม่ที่ไม่มีวันเหมือนเดิม

ผมไม่สามารถทำอย่างจิงโจ้ได้.. ผมยังคงต้องทำงานประจำเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตเส็งเคร็งนี้ต่อไปด้วยเงินเฟียต แล้วจึงค่อยเจียดเอาเวลาอันน้อยนิดมาทำกิจกรรมต่างๆ ในงานของ Right Shift

แต่ผู้ชายคนนี้เลือกที่จะทิ้งทุกอย่าง…

ผมต้องใช้คำว่า "ทิ้งทุกอย่าง" จริงๆ นะ สำหรับการตัดสินใจของเขา เพื่อจะเบนเข็มมาผลักดันการยอมรับบิตคอยน์อย่างเต็มตัว ในฐานะส่วนหนึ่งของ Right Shift เรา..

อย่าเข้าใจผมผิด.. ผมไม่เคยพยายามจะโน้มน้าวหรือชักชวนให้เขาทำแบบนั้น ผมพูดกับเขาอย่างลูกผู้ชายว่าผมพร้อมจะยอมรับทุกการตัดสินใจของเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าผลของมันจะออกมาดีหรือแย่ต่อ Right Shift ก็ตาม

มันเป็นการตัดสินใจอันยิ่งใหญ่และน่ายกย่องของเขาเอง

มันทำให้ผมรู้สึกได้ทันทีว่า.. เมื่อเราได้รับเกียรติมากขนาดนี้ เราก็คงต้องคืนเกียรตินั้นให้กับเขาด้วยเช่นกัน ผมรู้สึกได้ทันทีว่าผมคงทำแค่เอาสนุกอีกต่อไปไม่ได้แล้ว ผมต้องทำให้สมกับที่คนๆ หนึ่งยอมฝากอนาคตไว้กับมัน

จิงโจ้หันหลังให้กับงานประจำแบบเฟียตๆ แทบทั้งหมด ทั้งหมดจริงๆ คนๆ นี้สามารถเขียนอะไรแค่ย่อหน้าเดียวก็สร้างรายได้หลักพันบาทได้แล้ว แต่การมานั่งหลังขดหลังแข็งทำงานเบื้องหลังให้กับ Right Shift นั้น.. ผมไม่เคยมีอะไรให้เขา ที่จะสามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่เขายอมเสียไปได้เลย

เขาไม่เคยเรียกร้องอะไรหรอก.. เขาห้ามไม่ให้ผมคิดเรื่องนี้เสียด้วยซ้ำ

ถ้าคุณอ่านทั้งหมดแล้วพยายามทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ วางอคติทุกอย่างลง และมองเข้าไปยังจิตใจของชายคนนี้ โดยไม่คิดว่าผมกำลังสรรหาคำมาอวยเค้ามากเกินไป

สิ่งเดียวที่คุณคงจะอยากทำคงเป็นการ Standing ovation ให้กับเขา

เขาบอกกับผมว่า เขาไม่เคยเสียใจที่ตัดสินใจลงไป เขาได้รับมิตรภาพ ความสุข ความหวัง และรอยยิ้ม ทุกครั้งที่จะมีการอัดรายการสภายาส้ม จิงโจ้จะออกไปซื้อเบียร์มาเตรียมไว้ก่อนเสมอ คุณสามารถเข้าใจได้เลยทันที ว่าเขานั้นมีความสุขกับมันมากขนาดไหน

จิงโจ้เปลี่ยนเป็นคนใหม่นับจากการตัดสินใจในครั้งนั้น จากคนที่เคยตึงๆ ซีเรียสกับทุกเรื่อง ดูจะหวั่นไหวง่าย เขาค่อยๆ เย็นลง ดำเนินชีวิตไปอย่างช้าๆ ยิ้มและหัวเราะได้กับทุกๆ เรื่อง เข็มแข็ง และกลายเป็นคนน่าคบในสายตาของใครหลายๆ คน

สิ่งหนึ่งที่ผมพอสังเกตุได้ว่าเขาแทบไม่เคยเปลี่ยนเลย คือ ความเอาจริงเอาจังกับบทบาทที่ได้รับมอบหมาย ความทุ่มเทที่เขามีให้กับบิตคอยน์และคอมมูนิตี้นั้นมากมายเหลือเกิน

แม้ไม่เคยไม่ใครได้รู้ ว่าการตรวจทานและพยายามให้คำแนะนำกับนักเขียนในแต่ละบทความนั้น มันต้องใช้ความอดทนและความอุตสาหะพยายามมากขนาดไหน ทั้งแรงกายและเวลาที่เสียไปแบบไม่เคยได้รับผลตอบแทนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (เรายังไม่มีรายได้สำหรับส่วนนี้ในตอนนั้น ตอนนี้ก็ยังไม่มีหรอก)

เมื่อคุณต้องทำงานอย่างมีมานะ เพื่อให้คนอื่นๆ ได้รับเครดิตอย่างที่เขาเหล่านั้นควรได้รับ คุณลองถามตัวเองดูสิว่า คุณต้องพกมายเซตแบบไหนใส่ลงไปในการทำงาน?

ใช่.. วันนี้เขาอาจเริ่มได้รับคุณค่าในแบบที่เขาควรได้ผ่านบทความสดุดีชิ้นนี้ของผม แต่ผมคงตอบไม่ได้ดีไปกว่าเจ้าตัว ว่าเขาทำทุกอย่างไปเพราะอะไรกัน?

ทุกวันนี้จิงโจ้เลี้ยงชีพตัวเองด้วยการเลี้ยงไก่และรับงานเฟียตแบบขัดใจตัวเองบ้างในบางครั้ง.. และใช้บิตคอยน์หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของตนในทุกๆ วัน ..รวมทั้งเบียร์

When Money Dies คือ รางวัลแห่งความอุตสาหะที่ผมมอบหมายให้เจ้าตัวได้แสดงความสามารถออกมาอย่างเต็มที่

ผมไม่ก้าวก่ายใดๆ แม้แต่นิดเดียว นี่จะกลายเป็นผลงานของเขาอย่างเต็มภาคภูมิ ผมอยากจะรอเห็นวันที่หนังสือเล่มนี้ถูกเขาแปลจนเสร็จและได้รับการตีพิมพ์ ..คงไม่สามารถมอบอะไรให้เขาได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว

ผมมักจะเข้านอนเป็นคนสุดท้ายในทีม และตื่นเป็นคนแรกๆ อยู่บ่อยๆ แต่ผมก็ไม่เคยตื่นได้ก่อนหมอนี่เลยสักครั้ง

คำว่า "ทีมตรู่" ก็มาจากมันนี่แหละ.. . .

"พี่กลัวว่าแกจะป่วยเป็นแอลกอฮอล์ลิซึ่มตายจังเลยว่ะ.. จิงโจ้"

ผมแซวด้วยความเป็นห่วงจากใจจริง.. . .

"อย่างน้อยผมก็คงได้ตายอย่างมีความสุขครับพี่.."

@ fab018ad:dd9af89d

13. ทำอย่างที่ฉันพูด ไม่ใช่ทำอย่างที่ฉันทำ

“วิถีชีวิตของพวกเรานั้นไม่ได้มีไว้ต่อรอง”

–George H.W. Bush

---

>หมายเหตุผู้แปล : จอร์จ เอช. ดับเบิลยู. บุช (George H.W. Bush) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 41 ของสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่างปี 1989-1993

ในโลกที่มีระบบตลาดเสรีอย่างแท้จริง นโยบายที่ธนาคารโลกและกองทุน IMF บังคับใช้ต่อประเทศยากจนอาจจะเป็นเรื่องสมเหตุสมผล เพราะจากประวัติศาสตร์แล้ว ผลลัพธ์ของระบอบสังคมนิยมและการยึดกิจการเอกชนให้กลายเป็นของรัฐนั้นคือความหายนะ แต่ทว่าปัญหาคือโลกไม่ได้เป็นระบบตลาดเสรีที่แท้จริง และการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง

การให้เงินอุดหนุนต่าง ๆ ถือเป็นตัวอย่างที่ดี โครงการข้าวสารฟรีในประเทศศรีลังกา หรือส่วนลดราคาเชื้อเพลิงในประเทศไนจีเรียถูก IMF สั่งให้ยกเลิก แต่ชาติผู้ปล่อยเงินกู้อย่างสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกากลับหยิบยื่นสวัสดิการการรักษาพยาบาลจากภาครัฐและเงินอุดหนุนพืชผลให้แก่ประชาชนของพวกเขาเองเสียอย่างนั้น

ไม่ว่าคุณจะมองจากมุมมองแบบอิสรนิยมหรือมุมมองแบบมาร์กซิสม์ คุณก็จะได้ข้อสรุปเดียวกันว่านี่คือการปฏิบัติสองมาตรฐานที่ทำให้บางประเทศร่ำรวย และปล่อยให้ประเทศอื่นเป็นผู้รับเคราะห์แทน ซึ่งประชาชนของประเทศที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ไม่ได้รับรู้อะไรเลย และต่างก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสำราญ

ในการช่วยให้ชาติต่าง ๆ ฟื้นตัวจากเศษซากของสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเจ้าหนี้ของ IMF พึ่งพิงการวางแผนจากส่วนกลางและนโยบายต่อต้านตลาดเสรีอย่างหนักในช่วงไม่กี่ทศวรรษแรกหลังการประชุมที่เบรตตัน วูดส์ เช่น การจำกัดการนำเข้า การจำกัดการไหลออกของเงินทุน การตั้งเพดานอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และการให้เงินอุดหนุนสินค้าการเกษตร ซึ่งมาตรการเหล่านี้ช่วยปกป้องเศรษฐกิจของชาติอุตสาหกรรมเอาไว้ในช่วงที่กำลังอ่อนแอที่สุด

ตัวอย่างเช่นในสหรัฐอเมริกามีพรบ. การปรับดอกเบี้ยให้เท่าเทียม (Interest Equalization Act) ซึ่งออกในสมัยของประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนเนดี เพื่อหยุดชาวอเมริกันจากการซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศ และกระตุ้นให้หันมาสนใจการลงทุนในประเทศ นี่ถือเป็นหนึ่งในหลาย ๆ มาตรการที่ออกมาเพื่อควบคุมเงินทุน แต่ธนาคารโลกและกองทุน IMF กลับมีประวัติในการกีดกันไม่ให้ประเทศที่ยากจนสามารถใช้มาตรการเดียวกันนี้เพื่อปกป้องประเทศตัวเองได้บ้าง

---

>หมายเหตุผู้แปล : จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา ดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1961 จนกระทั่งถูกลอบสังหารในปี 1963

อย่างที่คุณ Payer ตั้งข้อสังเกตว่า “IMF ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจเรื่องการปรับอัตราแลกเปลี่ยนและนโยบายการค้าของประเทศพัฒนาแล้วที่ร่ำรวย... แต่กลุ่มชาติที่อ่อนแอต่างหากที่ต้องตกอยู่ภายใต้การบังคับใช้หลักการของ IMF อย่างเต็มสูบ... ความไม่เท่าเทียมในความสัมพันธ์ทางอำนาจนี้แปลว่ากองทุน IMF จงใจมองไม่เห็นการ 'บิดเบือนกลไกตลาด' เช่น การกีดกันทางการค้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาติที่ร่ำรวยทำกันเป็นเรื่องปกติ”

คุณ Vásquez และคุณ Bandow จากสถาบัน Cato ก็ได้ข้อสรุปคล้าย ๆ กัน โดยชี้ว่า “ชาติอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ยังคงแนวความคิดของการเป็นผู้อุปถัมภ์ต่อประเทศด้อยพัฒนา แต่มันเหมือนเป็นการเสแสร้งชัด ๆ เพราะพวกเขานี่แหละที่คอยกีดกันการส่งออกของประเทศเหล่านั้น”

ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 ในขณะที่สหรัฐอเมริกาเน้นย้ำถึงความสำคัญของการค้าเสรี แต่ทางสหรัฐฯ กลับเสมือน “ตั้งม่านเหล็กขัดขวางการส่งออกของชาติในยุโรปตะวันออก สินค้าที่ได้รับผลกระทบนั้นรวมไปถึงสิ่งทอ เหล็ก และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร” โดยประเทศโปแลนด์ เชโกสโลวาเกีย ฮังการี โรมาเนีย บอสเนีย โครเอเชีย สโลวีเนีย อาเซอร์ไบจาน เบลารุส จอร์เจีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน มอลโดวา รัสเซีย ทาจิกิสถาน เติร์กเมนิสถาน ยูเครน และอุซเบกิสถานนั้นต่างก็ตกเป็นเป้าหมายการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐอเมริกาที่ไม่ต้องการให้ประเทศในยุโรปตะวันออก “ขายเนย นมผง หรือไอศกรีมแม้แต่กิโลกรัมเดียวในสหรัฐฯ” คณะรัฐบาลของประธานาธิบดีบุช และคณะรัฐบาลของประธานาธิบดีคลินตัน นั้นต่างก็ตั้งข้อจำกัดที่แข็งกร้าวต่อประเทศในพื้นที่แถบนั้นในการนำเข้าสารเคมีและสินค้าเภสัชกรรม

---

หมายเหตุผู้แปล : - จอร์จ เฮอร์เบิร์ต วอล์กเกอร์ บุช (George Herbert Walker Bush) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 41 ของสหรัฐอเมริกา โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1989-1993 - วิลเลียม เจฟเฟอร์สัน คลินตัน (William Jefferson Clinton) หรือรู้จักในนามบิล คลินตัน (Bill Clinton) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 42 ของสหรัฐอเมริกา โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 1993-2001

---

มีการประมาณการว่าลัทธิการคุ้มครองทางการค้าโดยประเทศอุตสาหกรรมนั้น “ทำให้รายได้ของประเทศกำลังพัฒนาลดลงไปมากกว่า 2 เท่าของตัวเลขความช่วยเหลือที่ได้รับ” พูดอีกนัยหนึ่ง ถ้าชาติตะวันตกเปิดเศรษฐกิจให้เสรี พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือใด ๆ ต่อชาติยากจนด้วยซ้ำ

ข้อตกลงเงินกู้ยังมีจุดหักมุมที่บัดซบอยู่อีกด้วย นั่นคือในยามที่ชาติตะวันตก (เช่น สหรัฐอเมริกา) เจอปัญหาวิกฤตเงินเฟ้อแบบที่กำลังเจออยู่ในทุกวันนี้ และถูกบีบให้ต้องใช้นโยบายการเงินที่รัดกุมมากขึ้น พวกเขากลับได้อำนาจเพิ่มขึ้นในการควบคุมประเทศและทรัพยากรของประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ เพราะหนี้ของประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ในสกุลเงินดอลลาร์เริ่มจะหามาชำระคืนได้ยากกว่าเดิม พวกเขาเลยต้องติดกับดักหนี้ที่ลึกกว่าเก่า จนต้องทำตามเงื่อนไขของธนาคารโลกและกองทุน IMF มากขึ้นไปอีก

ในปี 2008 ช่วงระหว่างวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ ทางการสหรัฐอเมริกาและทางการยุโรปปรับลดอัตราดอกเบี้ยและอัดฉีดเงินพิเศษเพิ่มให้กับธนาคารในประเทศ แต่ในช่วงที่เกิดวิกฤตหนี้สินในประเทศโลกที่สาม ธนาคารโลกและกองทุน IMF ไม่ยินยอมให้ชาติเหล่านี้ทำพฤติกรรมแบบเดียวกัน แต่กลับแนะนำประเทศที่ได้รับผลกระทบว่าควรจะใช้มาตรการลดค่าใช้จ่ายในประเทศ และควรกู้เงินจากต่างประเทศเพิ่ม

ในเดือนกันยายน 2022 ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ระบุว่า IMF “มีความกังวล” เกี่ยวกับเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักร ในขณะที่ตลาดพันธบัตรของพวกเขาค่อย ๆ เดินเข้าใกล้การล่มสลาย นี่แสดงให้เห็นถึงความเสแสร้งอีกครั้ง เพราะเมื่อพิจารณาจากการที่ IMF ดูจะไม่เคยเป็นห่วงเกี่ยวกับเงินเฟ้อเลยทุกครั้งที่สั่งให้ลดค่าเงินของคนหลายพันล้านคนทั่วโลกตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ชาติผู้ให้กู้นั้นดูจะเล่นอยู่บนกติกาที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ในกรณีตัวอย่างสุดท้ายของการ “ทำอย่างที่ฉันพูด ไม่ใช่ทำอย่างที่ฉันทำ” คือการที่ IMF ยังคงถือทองคำจำนวนมหาศาลถึง 90.5 ล้านออนซ์ หรือประมาณ 2,814 เมตริกตัน โดยส่วนใหญ่สะสมมาจากช่วงทศวรรษ 1940 ที่ตอนนั้นชาติสมาชิกถูกบังคับให้ชำระเงินด้วยทองคำจำนวนร้อยละ 25 ของโควตาที่ได้รับ ซึ่งจริง ๆ แล้วจนกระทั่งถึงปี 1970 นั้นถือเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ที่ชาติสมาชิก “จะชำระดอกเบี้ยเงินกู้ IMF ด้วยทองคำ”

เมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันยุติการใช้มาตรฐานทองคำอย่างเป็นทางการในปี 1971 ทาง IMF ก็ไม่ได้ขายทองคำสำรองของพวกเขาออกไป แต่ถึงกระนั้น การพยายามจะตรึงค่าเงินเข้ากับทองคำของชาติสมาชิกใด ๆ กลับถูกสั่งห้ามเสียอย่างนั้น...

---

⚡️ กด Zap ที่ลิงก์นี้ เพื่อเป็นกำลังใจทีมงานผู้เรียบเรียงบทความ

(ทุกยอด zap จะถูกแบ่งอัตโนมัติเข้าวอลเล็ทของผู้เขียนบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ, ผู้แปลดราฟต์ 1, ผู้เรียบเรียงดราฟต์ 2-3, กองบรรณาธิการและพิสูจน์อักษรจากไรท์ชิฟต์ พร้อมกันบางส่วนไว้เพื่อเป็นค่าธรรมเนียมธุรกรรม)

@ d830ee7b:4e61cd62

หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ GM บน Nostr อย่างรู้สึกฟินเวอร์ในใจ..

ให้ตายเถอะ.. ผมนี่แหละเป็นคนหนึ่งที่เคยหัวเราะให้กับกิจกรรม “อรุณสวัสดิ์วันจันทร์” ของเหล่า สว. มาก่อน นั่นก็เพราะเราไม่ได้เข้าใจสาส์นและความรู้สึกที่แฝงไว้เบื้องหลังข้อความรวมถึงภาพดอกไม้เหล่านั้น..

วันนี้คำตอบที่ดีที่สุดคงเกิดขึ้นในใจทุกคนแล้ว ผมคงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก

ผมมานั่งตรองดู.. นึกย้อนไปถึงลูกบ้าของตัวเองในวันแรกๆ จนกระทั่งมาถึงวันที่เราพึ่งโน๊ต GM ไป จากคนที่คอยติดตามเชิดชู อ.ตั๊ม แทบจะทุกที่ๆ อ.ปรากฏตัวออนไลน์ จากคนที่ได้แต่นั่งมองไอดอลและเอาแต่คอยเพ้อฝัน.. ผมพยายามทบทวนว่าเราเดินทางมาถึงตรงนี้ กลายเป็น Jakk Gooday ไปได้อย่างไร?

ก้าวแรกสู่โลกของคนบ้า

มันเริ่มจากการตัดสินใจทำเพจ FB ที่มีชื่อว่า CryptoNize (ที่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำอะไรกับมันมานานแล้ว) หลังจากผมเริ่มศึกษาบิตคอยน์ได้ไม่นานนัก ผมพบว่าปลายทางของการ Adoption หรือการ Educate บิตคอยน์ในไทยยังคงอยู่อีกไกล ตราบใดที่คนจริงจังกับการให้ข้อมูลยังมีแค่ อ.ตั๊ม เพียงคนเดียว..

เพจ CryptoNize มีสิ่งเดียวที่น่าจดจำ คือ มันเป็นที่ๆ ที่ทำให้ผมได้ค้นพบหนทางไปสู่เป้าหมาย คอนเทนต์ที่นั่นไม่ได้มีความพิเศษอะไร ออกจะแค่ดาดๆ ด้วยซ้ำ ก็ตามประสาแอดมินมือใหม่ทั่วไป แต่ทว่า.. ผมก็ได้จับพลัดจับผลูเข้าไปรวมอยู่ในกลุ่มแก็งค์ของแอดมินคริปโตทั้งหลาย ก็เกือบทุกเพจที่คุณพอจะจินตนาการได้ที่รวมตัวกันตรงนั้น..

มันอาจจะเป็นเพราะผมไม่เหมือนใคร และไม่เคยคิดจะทำอะไรเหมือนใครเลยในชีวิตนี้ ทำให้ผมไปเตะตา “เขา” เข้าให้ เขาเข้ามาเชิญชวนไปเข้ากลุ่มแอดมินที่เป็นแหล่งรวมตัวของบรรดาอินฟลูเอนเซอร์คริปโต ผมจะไม่ขยายความตรงนี้ว่าผมเจอเข้ากับอะไรบ้าง ผมบอกได้เพียงว่า..

มันทำให้ผมได้รู้ว่าจากนี้ไป “ผมควรต้องทำอะไร?” และผมตระหนักได้ทันทีว่าผมควรจะเป็นใคร

ผมต้องหาพรรคพวก.. ผมไม่มีพวกเป็นบิตคอยเนอร์ที่แท้จริงเลยในสถานที่แห่งนั้น (ในฐานะแอดมินเพจสักเพจหนึ่ง) ผมกวาดสายตาไปทั่วตลาด มีเพียงคนเดียวที่โดดเด่นขึ้นมา

พระเจ้า… คนอย่างเราจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไรกันนะ?

วิธีการที่ผมจะเข้าถึง อ.พิริยะ คุณสามารถไปลองอ่านได้ที่บทความสั้นๆ ชื่อว่า “Jakk & Piriya: The Untold Story.”

อย่าอายเมื่อถึงเวลาต้องทำเรื่องดีๆ

ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ หรอกครับ ผมก็ต้องพรูฟตัวเองอย่างหนักเหมือนกัน เพื่อให้ได้รับการยอมรับจาก อ.ตั๊ม

ในบางมุมผมอาจเหมือนคนขี้โม้อยู่บ้าง แต่ในเวลาแบบนี้ผมจะไม่ใช้ “การโม้” เพื่อให้ตัวเองกลายเป็นผู้ถูกเลือก สิ่งเดียวที่ผมต้องพยายามให้เต็มที่คือ “การลงมือปฏิบัติให้เห็นเป็นที่ประจักษ์” นั่นจะเสียงดังกว่าทุกคำที่เราอยากจะพ่นออกมาผ่านลมปากอย่างแน่นอน

ผมเสนอตัวเองเพื่อช่วย อ. ทำหลายเรื่องนะครับ ผมบอกกับ อ. ตรงๆ ว่าผมไม่ได้อยากเป็นเลขาฯ ไม่ต้องมอบตำแหน่งหรือบทบาทอะไรให้ผมทั้งนั้น ผมปรากฏตัวเพื่ออยากจะช่วย อ. ผลักดันวงการบิตคอยน์ของไทย จะว่าผม “เสร่อ” ก็ไม่ผิด แต่เป้าหมายผมตั้งแต่ต้นนั้น.. มันไม่เคยใช่ ลาภ ยศ ชื่อ เสียง

เพราะถ้ามันใช่.. หลายคนคงได้รู้จักผมไปนานแล้ว คงไม่มีคนทักมาถามว่าผมเป็นใครแบบนี้

มันเป็นความจงใจที่ผมจะไม่พยายามชูตัวเองขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักมากเกินไป ผมไม่ต้องการให้ความโด่งดังมารบกวนสมาธิตัวเองสำหรับภารกิจมากมายตรงหน้า

ผมฝึกตัวเองที่จะไม่ทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง หากผมทำมันได้พร้อมๆ ไปกับภารกิจต่างๆ ที่พวกเราได้เห็น มันก็คือ.. ผมได้รับชัยชนะเหนือตัวเองแล้วในที่สุด นั่นสำคัญมากๆ สำหรับผม

เป้าหมายเพื่อส่วนรวมนั้นใหญ่กว่าแค่ตัวผมเพียงคนเดียวหรือตัวใคร

ผมไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าเป็นคนหน้าด้านได้หรือเปล่า?

ผมพุ่งเข้าหาทุกอย่าง Straight forward ผมไม่เคยปล่อยให้ “ความกลัว” หรือ “อาการหน้าบาง” ต้องมากลายเป็นอุปสรรค มันอาจเหมือนคนมุทะลุดุดัน ทำอะไรไม่รั้งรอ แต่ความเป็นจริงทุกการตัดสินใจนั้นผ่านการไตร่ตรองมาแล้วอย่างหนัก มันผ่านการศึกษาข้อมูล วางแผนความเป็นไปได้มาแล้วทั้งหมด ผมไม่ยอมหลับหูหลับตาทำอะไรโดยไม่ยั้งคิดอย่างแน่นอน

เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมพบว่า Risk-Reward Ratio มันคุ้มค่าที่จะลงมือ เย้ายวนชวนให้ลอง ในระหว่างที่หลายคนกำลังคิดไคร่ครวญอยู่นั้น ผมอาจกำลังวิ่งไปจนใกล้ถึงเส้นชัยแล้วก็เป็นได้.. นั่นแหละตัวผม

ในช่วงต้นปี 2022 ผมขลุกอยู่กับการมองหาความเป็นไปได้ในการจะสร้างพลังบางอย่างให้เกิดขึ้นกับคอมมูนิตี้บิตคอยน์ไทย

29 มกราคม 2022, เหตุการณ์พิเรนบางอย่างของใครบางคน ส่งผลให้เกิดกลุ่ม FB ใหม่สำหรับบิตคอยเนอร์ไทยนามว่า "Siamese Bitcoiners" ณ ที่แห่งนั้นเองที่ต่อมาได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน..

กลุ่มนี้ทำให้ผมเล็งเห็นศักยภาพบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมาในอนาคต

ผมเป็นคนแบบนี้.. ผมชอบพาตัวเองเจเาไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว ผมฝึกให้ตัวเองซึมซับและเข้าใจวัฒนธรรมในทุกๆ ที่ ผมพยายามเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้คน มองหาจุดร่วมและทำความเข้าใจกับความแตกต่างรวมถึงความหลากหลาย..

นี่สิ.. สังคมที่เราตามหามาอย่างยาวนาน

ไม่ว่าใครจะรู้สึกแบบใดกับ Siamese Bitcoiners แต่สำหรับผม.. ความหลากหลาย ความขัดแย้ง ความลงรอย การลับคมความคิดกันต่างๆ นานา กระทั่งความโหดเหี้ยมทารุณกับมือใหม่..

นี่แหละคือสังคมของบิตคอยเนอร์ตัวจริงเสียงจริง

ในที่สุด.. ผมก็เลือกที่จะลงมือทำปฏิบัติการ "เสร่อ" อีกครั้ง…

Local Bitcoin Thailand Discord

FB group นั้นเหมือนบทสนทนาตามกระทู้ ตามวาระ กระจัดกระจายและไร้โครงสร้างในแง่ของเนื้อหา มันมีข้อดีในแบบของมัน แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง..

การรวมตัวกันอยู่บนแพลตฟอร์มที่มีการ Organize อย่างเป็นระบบ ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับวงการนี้ ผมเลือกที่จะแนะนำ Discord โยนมันลงไปกลางวงให้ทุกคนหันมามอง.. ผมไม่มีเจตนาที่จะแยกวงหรือแบ่งพวกแต่อย่างใด มันอาจมีคนเข้าใจแบบนั้นในตอนแรก แต่ผมก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของมันแล้วในวันนี้ มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรา ไม่ใช่ส่วนที่ใครต้องเลือก ผมคงไม่ต้องอธิบายอีกว่าผมหาทางก่อตั้งมันขึ้นมาทำไม

ผมเคยเขียนที่มาที่ไปของเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ว่าทำไมต้องเป็นกลุ่ม Discord ในบทความชื่อว่า "Exit เมื่อสายไป.."

แต่การทำอะไรแบบนั้น.. ผมคงไม่สามารถทำมันสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว กระทู้แบบนี้จะชี้ทางให้ผมได้เห็นเองว่า ใครบ้างที่จะ “เอากับเรา” (อย่าเข้าใจผิดนะ) การเริ่มต้นมันโหดร้ายเสมอ มันไม่เคยง่าย แต่มันจะง่ายมากขึ้นถ้าเราไม่ต้องเข็นมันคนเดียว

เหล่านี้คือบทสนทนาที่คุณไม่เคยเห็น.. จุดเริ่มต้นของคอมมูนิตี้บิตคอยน์แบบที่เป็นอยู่เลยก็ว่าได้.. มันไม่ใช่เครดิตของคนที่ทำปฏิบัติการดำดินแบบผมแค่ตัวคนเดียว แต่มันคือเครดิตของสมาชิกในคอมมูฯ เราทุกคนที่ร่วมกันทำมันออกมา..

“ขิง” เจ้าของทรงผมขัดลูกกะตา คือคนแรกที่ผมพุ่งเข้าไปสนทนาด้วยเพื่อหาทางก่อตั้งกลุ่ม Discord ขึ้นมาเป็นอีกทางเลือกของชาวคอมมูนิตี้ ขิง นับว่าเป็นอัจฉริยะในด้านที่เขาถนัด เป็นคนเดียวที่ผมไม่รู้จะเขียนอวยยังไงให้ครบทุกด้าน เพราะในตัวเขายังมีอีกหลายอย่างยังไม่เคยปรากฏออกมา

ผมรู้… ไม่ว่าตัวเขาเองจะเห็นมันหรือไม่ก็ตาม

สำหรับผม.. ไม่มีอะไรมีความสุขไปกว่าการที่ทีมงานของคุณ มันรายล้อมไปด้วยคนมากมายที่มีความสามารถเหนือกว่าคุณอีกแล้วล่ะ เรามีความแตกต่าง ผมแค่ต้องคิดว่าจะผสมทุกอย่างนั้นเข้ากันอย่างไรให้ออกมารสชาติกลมกล่อมเท่านั้นก็พอ..

“อาร์ม” Notoshi เป็นคนถัดมาที่ถูกเรียกมาทำงานใหญ่ “เด็กยกเปียโน” ที่มีความพิเศษแม้ตัวเขาเองไม่เคยมั่นใจว่าตัวเองจะคู่ควร ผมอยากจะบอกว่า.. อาร์มอยู่ในทุกที่รอบตัวพวกเรา อาร์มจะอยู่ตรงนั้นเสมอ รอให้ผมเรียกชื่อโดยไม่เคยปริปากบ่นอะไรเลยสักคำ ไม่ว่าผมจะมอบบทบาทอะไรให้เขา.. นี่คือคนเดียวที่ไม่เคยอิดออดหรือต่อรองอะไรเลย..

หลายคนไม่รู้ว่าหมอนี่แหละ คือ คนที่จุดประกายความคิดเกี่ยวกับการสร้างคอมมูนิตี้ให้กับผม เพียงประโยคเดียวที่เขาคอมเม้นท์มันทำให้ผมเกิดจินตการภาพในหัวมาจนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ “กาย” ยังเป็นคนเดียวกันกับคนที่ได้ส่งต่อกลุ่ม FB ไลท์นิ่งไปยังมือของคนที่ใช่อีกด้วย ผมหมายถึงมันถูกส่งไปยังมือของ “พี่เดชา” นั่นแหละครับ

มันมีเด็กอีกคนหนึ่งที่คุณอาจจะสงสัยว่าผมทำไมไม่เคยว่าอะไรมันเลย ทั้งที่มันก็ชอบทำตัวประหลาดๆ ขัดหูขัดตาชาวบ้านอยู่เนืองๆ เจ้า “ตั๋ง” คืออีกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต้นเรื่องตอนนั้น เอ่อ… ไม่ได้คิดจะชวนมันหรอกครับ แต่มันมีบางอย่างทำให้ผมรู้สึกว่าหมอนี่มันมีของ.. ตั๋งในตอนนั้นพึ่งเริ่มศึกษาบิตคอยน์ได้ไม่นาน ในหัวเต็มไปด้วยคำถาม พูดจาโผงผางตรงไปตรงมาเหมือนคนไม่ยั้งคิด เรื่องพวกนี้แหละที่ทำให้ผมไปเรียกตัวมันมา จนถึงวันนี้หลายคนก็ยังไม่เข้าใจว่าผมคิดอะไรของผม แต่วันนี้น้องมันโตขึ้นมากแล้วล่ะ วันหนึ่งคุณจะเห็นมันเองว่าสิ่งที่อยู่ในตัวตั๋งคืออะไร ..ก็จนกว่าเจ้าตัวจะหามันเจอ

อีกคนคือ “บอส” หนุ่มเหนือที่อาจไม่ได้ออกสื่อมากนัก แต่เขาคือหนึ่งในนั้น กลุ่มผู้ก่อตั้งบางสิ่งบางอย่างที่กลายมาเป็นที่น่าจดจำในอนาคต แต่มันก็นานมากแล้ว.. ถ้าผมตกหล่นใครไปเอาไว้จะตามไป Zap เป็นการไถ่โทษก็แล้วกัน

ตอบตัวเองให้ได้ว่าเราทำสิ่งนี้เพื่ออะไร?

มันน่าจะยาวมากๆ ถ้าผมต้องเล่าทั้งหมดว่าผมทำอะไรลงไปบ้างกับกลุ่ม Discord และน้องๆ มากความสามารถกลุ่มนี้ ผมอยากสรุปภาพให้เห็นในเชิงเปรียบเปรยไว้แบบนี้ก็แล้วกันว่า..

คุณต้องเริ่มจากการทบทวนสิ่งที่คุณได้เรียนรู้จากบิตคอยน์.. บิตคอยน์ยังอยู่ยงคงกระพันมาได้จนถึงทุกวันนี้ สิ่งสำคัญมากๆ ที่เป็นผลกระทบและคอยทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันให้ตัวมันเสมอนั้น คือ “Network Effect” นี่เป็นสิ่งที่โดดเด่นมากสำหรับผม มันเกิดขึ้นได้เพราะความที่มันยึดถือหลักการ Decentralized

ผมประยุกต์แนวคิดนี้มาปรับใช้ในทุกๆ เรื่อง แม้กระทั่งกับเรื่องการสร้างคอมมูนิตี้ ในตอนต้นเราอาจต้องไกด์ หรือให้แนวคิดเพื่อก่อสิ่งที่อยากเห็นขึ้นมาใหม่

แต่เราจะไม่สามารถวาดมันออกมาได้ทั้งหมดแล้วหวังว่าจะให้มันเป็นไปตามที่เราปรารถนาทุกประการได้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรากำลังพยายามคิดแบบนั้น เราอาจกำลังโดนความคิดเฟียตๆ เข้าครอบงำ

คุณต้องสร้างสถานการณ์ให้เกิดการหาข้อตกลงร่วมกันของชุมชนให้ได้.. สังคมจะขับเคลื่อนไปด้วยฉันทามติของพวกเขา มันจะไม่เป็นไปในแบบที่เราคิดอย่างแน่นอน แต่นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ควรจะเป็น

สังคมในแบบที่หลายๆ คนอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน สังคมที่สมาชิกต่างรู้สึกสะดวกสบายใจที่ได้อยู่ตรงนั้น

คนที่อยู่ไม่ได้ ก็แค่ต้องออกตามหาที่ๆ เหมาะกับตัวเอง.. มันก็แค่ไม่ใช่ที่ของคุณ

ทั้งหมดเป็นธรรมชาติที่ผมไม่ควรฝืน ผมเห็นมันเริ่มก่อตัว ปรับปรุงตัวเองไปตามครรลอง จนในที่สุดผมก็รู้สึกได้ว่าผมคงไม่ต้องทำอะไรกับมันอีกต่อไปแล้ว..

ผมมักจะเป็นแบบนี้.. ผมจะออกแรงมากเสมอในตอนต้น ทำมันบางอย่างบ้าคลั่ง ทุ่มเทเป็นบ้าเป็นหลังเพื่อให้แน่ใจว่า มันจะดำเนินไปอย่างถูกต้อง ทำให้เห็นเป็นแบบอย่างเพื่อให้คนอื่นๆ ศึกษาตามได้

เมื่อผมรู้สึกว่าทุกอย่างน่าจะเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมก็มักจะค่อยๆ เฟดตัวเองให้หายไป ปล่อยทุกอย่างให้รันไปด้วยตัวมันเองอย่างออร์แกนิก ระบบที่ลงตัวจะโตได้ในแบบของมันเอง ระบบที่เราเข้าไปแทรกแซงมักให้ผลลัพธ์ที่เลวร้ายตามมา..

ผมแค่ไม่เลือกอย่างหลัง เพราะมันจะทำให้ผมไม่สามารถวางมือจากมันได้ ผมคงไม่ได้มานั่งเขียนบทความยาวๆ จิบกาแฟไปพลางๆ แบบนี้ ถ้าเลือกจะให้ตัวเองคอยเป็นคนชี้เป็นชี้ตายในทุกๆ เรื่อง

คุณจะเห็นได้ว่า ใครก็ตามที่กำลังพยายามทำอะไรด้วยตัวเองหรืออยากจะเป็นฮีโร่ มักไปได้ไม่ไกลเกินกว่าอาณาเขตที่สายตาเค้าเองจะมองเห็น ผมเลือกจะให้ทุกคนได้มาสร้างคุณค่าร่วมกัน ไม่ต้องมีใครแบก และเราจะไปกันได้ไกลสุดลูกหูลูกตา

ชุดความคิดแรกมักจะคอยกำหนดเส้นทางให้เรา

เราควรตอบตัวเองให้ได้ตั้งแต่แรก หรืออย่างน้อยก็ควรหามันให้เจอว่าเราตัดสินใจทำสิ่งหนึ่งไปเพื่ออะไร?

เราต้องมองเห็นให้ได้ถึงเป้าหมาย ไม่ว่ามันจะอยู่ใกล้หรือใกลตัว สำหรับผม.. หากไม่รู้ว่ากำลังทำบางอย่างไปเพื่ออะไร ผมอาจไม่เลือกทำมันตั้งแต่แรก เพราะค่าเสียโอกาสมันจะมากมายเหลือเกิน.. มันอาจมีบางอย่างที่น่าทำมากกว่านี้ ..เราต้องหามันให้เจอครับ

ปรัชญาในการสร้างทีมฟุตบอล

ผมเคยบอกแล้วว่าผมบ้าบอล.. มันไม่แปลกที่ผมจะประยุกต์เอาแนวคิดของทีมที่ประสบความสำเร็จในวงการฟุตบอลมาใช้เมื่อผมสบโอกาส

เรื่องนี้ควรจะเริ่มจากตรงไหนดี.. มาครับ ผมจะเล่าให้ฟัง..

มันง่ายที่คุณจะแค่หาทุนมาทุ่มลงไปกับการซื้อตัวนักฟุตบอลเก่งๆ พาพวกเทพมาเล่นรวมกันเพื่อคว้าแชมป์ให้เร็วที่สุด ซึ่งนอกจากคุณต้องผลาญเงินจำนวนมากจากคลังของตัวเองแล้ว คุณอาจต้องเหนื่อยกับการทำงานร่วมกับพวกเหนือมนุษย์ทั้งหลายนั้นด้วย ที่สำคัญที่สุดสำหรับผมคือ.. ผมมีความเชื่อลึกๆ ว่า

ถ้าเราประสบความสำเร็จโดยใช้เงิน เราอาจต้องใช้มันซื้อความสำเร็จให้เราไปตลอด

มันไม่เกิดความยั่งยืน ไม่มีอะไรจะการันตีกับผมได้ว่า ความสำเร็จจะซื้อได้ด้วยเงินตลอดไป ดังนั้นถ้าวันนี้ผมอยากสร้างทีมบอลที่จะคอยมาไล่ล่าคว้าแชมป์ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ผมต้องคิดให้ Lower time preference เข้าไว้

เราต้องมองออกไปให้ไกล คิดวางแผนการที่ยั่งยืน เก็บเล็กผสมน้อยและอดทนรอมันให้ได้ เพราะผมเชื่อว่า.. ความสำเร็จฉาบฉวยที่มักได้มาง่ายๆ นั้น มันไม่ค่อยมีความยั่งยืน

คำถามคือ.. เราจะหานักเตะดาวรุ่งอนาคตไกลได้จากไหน?

ผมตัดสินใจที่จะ “ไม่หา” แต่ผมจะสร้างสนามฟุตบอลพร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ทุกคนได้มาใช้งานมัน ใช้เตะกันได้ฟรีๆ

คอมมูนิตี้ กลุ่มสังคมต่างๆ และแม้กระทั่งบริษัท Right Shift เองนั่นแหละ คือ “สนามฟุตบอลเปิดให้เตะฟรี” ที่ผมร่วมมือกับ อ. และเพื่อนสมาชิกในคอมมูอีกหลายคนสร้างมันขึ้นมาร่วมกัน..

ในช่วงเริ่มต้น คุณอาจต้องเหนื่อยเพราะคุณต้องลงไปเตะให้เด็กมันดู สอนพวกเขาว่าฟุตบอลเค้าเล่นกันอย่างไร

แต่ที่คุณควรสอนมันก็แค่หลักการและแนวคิด ถ่ายทอดประสบการณ์ของคุณ เบสิคพื้นฐานแค่พอให้พวกเขาสามารถนำมันไปต่อยอดได้

คุณไม่จำเป็นต้องไปโชว์ท่ายากให้เด็กดู ผมเตือนไว้ก่อนถ้าไม่อยากหน้าแหก สอนแค่ให้ไปต่อเอาเองได้ เพราะเด็กบางคนอาจมีพรสวรรค์มากพอจะถอนหงอกคุณได้เลยนะ ทำเป็นเล่น :)

ผมพาพวกเขาฝึกพูด จัดรายการทอล์ค จัดมีตอัพทางการครั้งแรก (ที่โรงเบียร์พี่ชิต) ฝึกค้นคว้ามาตอบคำถามเพื่อนๆสมาชิก ฝึกพัฒนาตัวเอง ผมกับ อ. ร่วมกันเป็นแอดมินให้เพจ Piranha33 ในตอนแรก เราทำทุกอย่างที่คุณเห็น.. เพื่อรอว่าวันหนึ่งเราจะเจอเด็กพรสวรรค์มาสานต่องานเราได้ (เย้.. มีคนมาช่วยแล้ว)

ถ้าสนามฟุตบอลของคุณมันเปิดฟรี คุณนั่งลงบนอัฒจันทร์พร้อมป๊อบคอร์นเฟียตๆ มองลงมาในสนาม คุณจะเห็นบางคนที่เข้าตาคุณเอง..

แต่คุณต้องเปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถกันอย่างเต็มที่ ให้พวกเขาได้เป็นตัวของตัวเอง อย่าพยายามไปกำกับชี้ทางให้มากเรื่อง เพราะผมเคยเจอกับตัวเองและเกลียดเรื่องนี้มาก ผมสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าชาตินี้จะไม่ยอมทำแบบนั้นกับใครเด็ดขาด

เด็กดาวรุ่งจะไม่เฟี้ยวฟ้าวในวันแรก คุณต้องเข้าใจให้ได้ว่าพวกเขาต้องได้ทำผิด ตัดสินใจพลาด หรือมีความคิดบ้าบอปนอยู่เป็นเรื่องธรรมดา

การใจกว้าง มอบเวที และให้โอกาสพร้อมคำแนะนำที่ดี จะทำให้พวกเขาเติบโตอย่างเข้มแข็ง พวกเขาจะค้นพบตัวเอง

อุตสาหกรรมบิตคอยน์บ้านเราจะไม่ขาดคนเก่ง ถ้ามีใครเดินมาบอกผมว่าผมจะหาคนเก่งๆ ไม่ได้ ผมคงแสยะยิ้มให้พลางพยักหน้าไปตามมารยาท ผมสร้างสนามนั่นไว้แล้ว วันหนึ่งผมจะเห็นพวกเขา…

พี่จะทำให้พวกแกเป็นพี่เบิร์ดให้ได้.. ส่วนพี่จะขอเป็นเหมือน พี่เต๋อ เรวัต ก็แล้วกัน

นั่นคือประโยคที่ผมพูดกับ "จิงโจ้" และ "ซุป" ในการสนทนาครั้งแรก.. แต่ผมก็อยากอยู่บนโลกให้ได้นานกว่านั้นนะ

สร้างคุณค่าเพื่อจะได้รับคุณค่า

สิ่งที่ผมไม่อยากเล่าเลย คือ การที่ผมต้องมาคอยนั่งตอบคำถามให้กับคนที่ไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ

ผมเบื่อที่จะบอกว่า.. ผมมองเห็นอะไร ผมทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปเพื่ออะไร ผลลัพธ์ของมันอยู่ในจินตนาการที่ไกลออกไปมากสำหรับผม.. สำหรับบางคนมันดูเลื่อนลอย และจับต้องไม่ได้จริง

"คุณค่า" หรือ "Value"

มันไม่มีอะไรสามารถจำกัดความมันได้อย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งชี้วัดปริมาณ เพราะเราอาจต้องใช้ใจของเราในการวัดมัน..

บิตคอยน์ได้สอนให้ผมปรับเปลี่ยน "Time preference"

"คำ" ที่ผมไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ผมไม่สามารถประดิษฐ์คำไทยสวยๆ มาแทนความหมายของมันได้ แต่ผมสามารถรับรู้ได้ว่า มันคืออะไร?

คุณจะเข้าใจ "คุณค่า" เมื่อคุณเคยได้สัมผัสมัน ผมก็อยากให้คุณแค่เพียงพินิจพิจารณาทำความเข้าใจกับมันให้มากขึ้นเท่านั้น มากพอที่คุณจะสามารถส่งต่อมันให้กับคนอื่นๆ ได้

เมื่อคุณกำหนดเป้าหมาย คุณเล็งเห็นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้น คุณจะเริ่มระดมความคิดเพื่อมองหาวิธีการและความเป็นไปได้ที่จะไปให้ถึงมัน คุณจะเริ่มสำรวจทรัพยากรรอบตัวที่จำเป็นต้องใช้ คุณจะเริ่มวางแผนงานและกระจายหน้าที่อย่างเหมาะสม

เมื่อคุณเริ่มลงมือทำ คุณจะไม่ลืมที่จะคอยประเมินผลลัพธ์ต่างๆ ของมันเป็นระยะๆ คุณจะไม่รั้น ไม่พยายามปฏิเสธความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น คุณพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลง คุณมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะปรับเปลี่ยนทุกอย่างให้เข้ากับสถานการณ์ตรงหน้าที่ไม่เป็นไปดั่งใจ

แต่เป้าหมายของคุณจะชัดเจนเสมอ..

การเป็น Jakk นั่นไม่ยาก และไม่ง่าย ใครๆ ก็สามารถเป็นแบบผมได้ เพราะผมก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

คุณพร้อมจะเข้าร่วมเดินทางไกลไปกับผมหรือยังครับ?

และบทความนี้… ได้ให้คำตอบกับคุณแล้วหรือยังว่าผมเป็นใคร?

@ 8947a945:9bfcf626

ศึกษาบิตคอยน์ซะ ก่อนที่ความจำเป็นจะบีบรัดหรือฆ่าคุณ

ตั้งแต่ช่วงปี 2021 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันที่ผมกำลังเขียนบทความนี้คือเดือนตุลาคม 2023 เป็นระยะเวลาเกือบๆ 3 ปี ที่ตลาดบิตคอยน์เข้าสู่ตลาดหมี (Bear market หรือ Bitcoin winter)

ผู้ที่เข้าใจ บิตคอยน์ รวมถึงบุคคลผู้ซึ่ง บิตคอยน์เนอร์ (Bitcoiner) นับถือเป็นอาจารย์และถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับมันให้แก่คนไทยมาตลอด จะพูดเสมอว่าเป็นช่วงที่ดีสำหรับการเรียนรู้ ทำความเข้าใจพื้นฐานว่ามันคืออะไร มันทำงานอย่างไร รวมถึงการเก็บรักษามันด้วยตัวเองอย่างไร

ผมรู้จักบิตคอยน์ตั้งแต่ต้นปี 2017 แต่ไม่ได้รู้จักมันในฐานะแหล่งเก็บรักษาความมั่งคั่ง (Store of wealth) หรือเงินที่ดี (Sound money) นะครับ ผมรู้จักมันในฐานะตัวกลาง (Medium of exchange) ที่ทำให้ผมสามารถส่งเงินไปเสี่ยงโชคบนเวบการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงของต่างประเทศ (เวบตระกูล high yield investing program หรือ HYIP) โดยไม่ถูกกีดกันด้วยข้อจำกัดการโอนเงินข้ามประเทศ ผมเริ่มต้นด้วยเงินหลักพัน ทดลองซื้อบิตคอยน์บนเวบกระดานเทรด (exchange) ในตำนาน bx.in.th

หน้าตาของ BX กระดานเทรดในตำนาน

ชวนคุยกันสำหรับใครที่เป็นชาว 2017 หรือคนใหม่ที่ไม่เคยสัมผัส BX มาก่อน คิดว่ายังคงจำกันได้นะครับเวลาโอนเงินบาทเข้าไปสมัยนั้นมันยังไม่มี QR code ต้องทำเองแบบ manual ทุกขั้นตอน เมื่อโอนเสร็จต้องอัพโหลดสลิปโอนเงินเป็นหลักฐานเข้าไป แล้วรอให้ทีมงานตรวจสอบ ก่อนเงินจะเข้าไปซื้อขายได้ จะช้าหรือเร็วก็แล้วแต่จำนวนลูกค้าที่ต่อคิวทำรายการ เผลอๆทางเวบจะให้เราโอนยอดที่มีเศษสตางค์เข้าไปบางครั้งเพื่อความง่ายในการตรวจสอบ ก็สนุกดี แต่ก็ต้องก้มๆเงยๆเช็คยอดตัวเลขอยู่ตลอด

ถึงแม้ว่าผมจะขาดทุนหลักหมื่นจากเวบ HYIP มา แต่ก็ได้ประสบการณ์การใช้งานที่เห็นถึงเวทย์มนต์ของบิตคอยน์และเทคโนโลยีบล็อคเชน

การโอนบิตคอยน์ไปยังปลายทาง ผมได้เรียนรู้อีกว่าการโอนออกจาก exchange เสียค่าธรรมเนียมสูง เหตุการณ์ก็นำพาให้ผมไปรู้จัก mobile wallet ที่ชื่อว่า BRD wallet เลยเปิดประสบการณ์การถือบิตคอยน์ ด้วยตัวเอง (ตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่า custodial กับ non-custodial wallet) มันบีบบังคับให้ผมต้องเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ (cyber security) อย่างเร่งด่วนตามมา ด้วยความหวาดระแวงกลัวโทรศัพท์โดนแฮค ผมใช้ BRD wallet ตัวนี้แหละในการรับ-ส่ง บิตคอยน์ เรียนรู้การดู transaction ID , transaction hash ถึงจะไม่เข้าใจทุกบรรทัด แต่ก็พอจะดูเส้นทางการโอนเงินที่โปร่งใส ตรวจสอบได้แบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในระบบการเงินแบบเดิมบนโลกใบนี้

ทุกวันนี้ผมยังเก็บ recovery seed ของ BRD wallet นี้อยู่เลยครับ พอเอาไป recover ก็ยังเห็นเส้นทางการเงินที่ส่งเงินไปเสี่ยงบนเวบ HYIP อยู่เลย เอาไว้ดูเพื่อเตือนสติถึงอดีตที่เคยผิดพลาด สูญเสียบิตคอยน์ไปกับการเล่นซนสมัยก่อน

หน้าตาของ BRD wallet

แน่นอนว่าเวบ HYIP ไม่เปิดเผยตนเองอยู่แล้วว่าตั้งอยู่ที่ประเทศใด แต่การโอนเงินข้ามประเทศนี้สิ้นสุดธุรกรรม (Finality) ภายใน 10 นาที ผมยังจำได้ว่าครั้งแรกที่โอนบิตคอยน์เข้าไปบนเวบ HYIP ผมกดโอนเสร็จไปอาบน้ำ ยังไม่ทันอาบน้ำเสร็จ มีอีเมล์แจ้งเตือนจากเวบปลายทางว่าเงินไปถึงแล้ว

แรกเริ่ม BRD wallet ตามคำบรรยายบน Google playstore บอกว่าเขียนขึ้นโดยบริษัทในประเทศสวิสเซอร์แบนด์ ผมยังเชื่อแบบปล่อยไก่เลยว่า เงินของผมต้องปลอดภัยอยู่ในธนาคารสวิสแน่ๆ ผมยังเคยปล่อยไก่แบบหมดทั้งเล้าว่าอยากเร่งธุรกรรมให้มันเสร็จเร็วๆ บางทีมันก็นานเกิน 10 นาที โดยการสลับสัญญาณมือถือจาก 4G และ Wifi เนตบ้าน แล้วเอาตัวเองไปเดินใกล้ router ให้มากที่สุดมาแล้ว ใครเคยเป็นแบบผม เราคือเพื่อนกัน (ตอนนั้นยังไม่รู้จักเรื่อง blocktime และ difficulty adjustment algorithm)

ผมอาจจะโชคดีที่ไม่เคยมีประสบการณ์โอนเงินเข้าผิด address จนเงินหายเข้าหลุมดำไป

ในปี 2017 ผมยังไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วบิตคอยน์คืออะไรกันแน่ แต่สำหรับผมในตอนนั้น ผมถือว่ามันเป็นตัวกลางและเป็นเงินที่เจ๋งมาก น่าจับตามอง ในปี 2018 ผมก็คงจะเป็นเหมือนใครหลายๆคนที่ไม่เคยศึกษาบิตคอยน์อย่างจริงจังและลึกซึ้ง cycle ของ บิตคอยน์เข้าสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ (Correction) ตามประวัติศาสตร์ “Boom and Bust cycle” ผมเห็นโพสในเฟสบุคต่างๆว่า “บิตคอยน์ ถึงจุดจบแล้ว และกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่ 0 USD จนไม่เหลือมูลค่าใดๆอีกแล้ว” แหล่งข่าวทั้งหลายต่างอ้างถึงบทวิเคราะห์ของธนาคารยักษ์ใหญ่ฝั่งตะวันตกที่ออกโรงรุมกระทืบกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ตลาดบิตคอยน์นองเลือด เทรดเดอร์มากมายที่ไม่มีวิชาความรู้ต่างพอร์ตระเบิดถูกล้างพอร์ตกันตามๆกัน ผู้คนที่แห่เข้ามาซื้อที่ราคาแพงพากันติดดอย จนทำให้กระแสความคึกคักบนโลกบิตคอยน์หายเงียบไปแบบไร้ตัวตน

---

เพื่อนๆว่าเหตุการณ์มันฟังดูคุ้นๆมั้ยครับ เหมือนกันทุกรอบ

---

ผมเข้ามารู้จักบิตคอยน์จริงๆจากบทสัมภาษณ์ของคุณทอป จิรายุส (ทอป บิทคับ) ผ่านรายการ “ถามอีกกับอิก” และรายการ Money Chat Thailand ในช่วงกลางปี 2019 โดยบังเอิญ ขณะนั่งรถโรงพยาบาลไปส่งคนไข้ที่ต่างจังหวัด (Refer คนไข้)

คลิปเต็มLinkอยู่นี่ครับ

ผมฟังไม่เข้าใจหรอกครับว่าการ halving มันคืออะไร ได้แต่ฟังตามไปแบบงงๆ แต่ก็ทึ่งว่า “เฮ้ย มันมีคนที่เขาเข้าใจบิตคอยน์อยู่นะ” มันทำให้ผมเริ่มกระเตื้องตัวเองขึ้นมาศึกษา แล้วด้วยบุญเก่าหรืออะไรก็แล้วแต่ทำให้ผมมาพบ - CDC Bitcoin talk ตอนที่ 51 นี่คือจุดแรกเริ่มที่ผมกินยาส้ม และกระโดดลงโพรงกระต่าย - รายการของพี่บิท สมัยแรกยังเป็นรายการ Bit investment สีฟ้าอยู่เลย - คุณลุงโฉลก

หลังจากติดอาวุธสะสมความรู้ ผมสวมหมวก 2 ใบ เวลามีส่วนร่วมกับบิตคอยน์ 1. ผมเป็นเทรดเดอร์ สายกราฟ (Technical analysis) แต่ผมก็ไม่ได้เทรดเก่ง แค่ประคองตัวให้รอดได้เฉยๆ ผมมาสรุปจบที่ระบบ action zone เขียวแดงของคุณลุงนี่แหละครับ ผมมีแผนจะเขียนบทความเส้นทางการเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังจากที่ได้ศึกษาบิตคอยน์ ฝากติดตามด้วยนะครับ 2. เก็บออมในบิตคอยน์ ยิ่งบิตคอยน์เป็นเงินที่เราสามารถถอนมาเก็บเองได้ มันยิ่งให้ความรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของที่แท้จริง ไม่ต้องฝากใครเก็บ มันเป็นเงินที่ดี (Sound money) และเป็นแหล่งเก็บมูลค่าที่ดี (Store of wealth) ได้ เท่านี้ก็ดีเพียงพอแล้วครับ จากประสบการณ์ปี 2017 ทำให้การโอนบิตคอยน์ออกมาเก็บเองใน HW wallet เป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับผม ตอนนี้ผมก็มาอยู่ใน lightning network สูดอากาศบน #ทุ่งม่วง ตั้งใจศึกษาแล้วกระโดดเข้ามาเล่น ก็พอจะใช้งานได้แล้วในฐานะ user ทั่วๆไป

ขอเล่าเหตุการณ์จริงในที่ทำงานของผมบ้างนะครับ

เพื่อให้เห็นภาพว่าทำไม คำว่าศึกษาซะก่อนที่ความจำเป็นจะบีบรัดหรือฆ่าคุณ ถึงสำคัญมาก และทำให้ผมตัดสินใจมาเขียนบทความนี้

โรงพยาบาลที่ทำงานของผม มีความพยายามในการผลักดันให้บุคคลากรแพทย์และพยาบาล เลิกใช้แบบฟอร์มที่เป็นกระดาษในการบันทึกอาการของคนไข้และคำสั่งการรักษา เปลี่ยนมาเป็นระบบคอมพิวเตอร์ 100% โดยมีการปรับเปลี่ยนและรณรงค์กันมาตั้งแต่ปี 2020 แน่นอนว่ามีคนที่พร้อมปรับเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งใหม่ๆไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลง ได้เรียนรู้เห็นปัญหาของโปรแกรมที่ยังไม่สมบูรณ์และขอให้ทางบริษัทโปรแกรมทยอยแก้ไขอัพเดทให้ไปด้วยกัน แน่นอนว่าผมเป็นหนึ่งในคนที่เกาะ new S curve นี้ไปพร้อมๆกับทิศทางขององค์กร

ในขณะที่มีผู้ไม่พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงที่ยังคงเคยชินอยู่กับการเขียนลงในกระดาษแบบเดิม

ในการประชุมร่วมกับผู้บริหารประจำในแต่ละเดือน ที่ประชุมรวมทั้งผมเห็นควรว่าทางองค์กรจะต้องมีความเด็ดขาดได้แล้ว ถ้าหากต้องการให้การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ 100% สำเร็จ สุดท้ายเมื่อการเตรียมการทุกอย่างเสร็จสมบูรณ์ครบถ้วน ทางบอร์ดบริหารเคาะคำสั่งสายฟ้าแลบ ให้ยุติการใช้ระบบบันทึกด้วยกระดาษทันที โดยมีเวลาเฮือกสุดท้ายให้เตรียมใจเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หลายๆคนคงคิดภาพออกนะครับว่าจะเกิดอะไรขึ้น

อีกเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวเพื่อนๆพี่ๆมากขึ้น

เวลาไปซื้อของที่ตลาด จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า - บางร้าน มี POS machine - บางร้าน แปะ QR code พร้อมพ์เพย์ - บางร้าน รับเฉพาะเงินสด ปฏิเสธการโอนเงินเสียงแข็ง

คงเดาภาพไม่ยากนะครับ ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น

---

ข้อคิดที่อยากแบ่งปันกับทุกท่านที่อ่านมาจนจบ 1. ไม่ว่าจะทำอะไรหรือลงทุนกับอะไร ศึกษาให้เข้าใจละเอียดที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ไฝ่อาจารย์หาผู้รู้ที่เราสามารถขอคำชี้แนะคำปรึกษาในเรื่องที่เราสนใจได้ และเอาตัวไปอยู่ในบรรยากาศเพื่อนๆที่สนใจในเรื่องเดียวกันกับเรา จะได้รับมุมมองข้อมูลครบด้าน ถ้าดีที่สุดจะต้องเป็นกลุ่มที่พร้อมจะช่วยเหลือแบ่งปันกันอย่างจริงใจ สำหรับผม #ทุ่งม่วง นี่แหละครับ

1. การศึกษาแค่ทฤษฎีเพียงอย่างเดียวไม่พอ หากไม่ลงมือทำ มันก็ไม่เกิดการเรียนรู้ ไม่เกิดการลองผิดลองถูก ไม่เกิดข้อผิดพลาด ยังไงๆก็ไม่มีทางเก่งได้จากการฟังเพียงอย่างเดียว (Skin in the game) นอกจากคุณจะเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์อันนั้นจริงๆ

2. ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาแทบจะทุกวินาที หากหยุดนิ่งอยู่กับที่ อาจถูกทิ้งตกขบวนได้ แต่เราก็ไม่สามารถจะไปตามติดในทุกๆเรื่องได้ ขอให้หาให้เจอว่าเราสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษ หากทำได้ก็ควรลงลึกไปในด้านที่เราสนใจให้มากที่สุด “คุณควรจะรู้บางอย่างในทุกๆด้าน แต่คุณควรจะต้องรู้ทุกๆอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่คุณสนใจ (You should know something about everything BUT You should know everything about something)” - Mr.Jonathan Liddel คุณครูใหญ่โรงเรียนนานาชาติ Denla British School ให้สัมภาษณ์กับรายการ The secret sauce ของคุณเคน นครินทร์

3. ทักษะที่สำคัญของคนในยุคนี้ไม่ใช่เพียงแค่ upskill (เพิ่มทักษะ) กับ reskill(เรียนรู้ทักษะเดิมให้ลึกซึ้ง) แต่ทักษะที่สำคัญกว่ามากๆคือ “The ability to unlearn and relearn things” (ความสามารถที่จะปล่อยความรู้เก่าที่ใช้ไม่ได้แล้ว และเรียนรู้สิ่งใหม่หรือสิ่งเดิมในมุมมองใหม่) - ทอป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา (ทอป บิทคับ)

4. ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเปลี่ยน คุณจะโดนบีบบังคับบดขยี้ให้เปลี่ยนแต่ในวันอาจจะสายเกินไปแล้ว

ตอนนี้เพื่อนๆพี่ๆที่อ่านจนถึงตอนนี้ มีทักษะหรืออะไรที่อยากทำมั้ยครับ? มาเริ่มทำไปด้วยกันเถอะครับ เราจะเก่งขึ้นดีขึ้นในทุกๆวันไปด้วยกันครับ

@ 40b9c85f:5e61b451

Hello folks! I'm going to make a small article showing how a nostree list can be interoperable between different applications in the nostr world. I'm writing this little article on habla.news, where I know that nostree lists will be formatted correctly.

nostr:naddr1qqkxummnw3ex2efdxgerxvfkxqckytfcxd3rjtf5vc6xxttpvf3k2tfsv9nryveexfnrgcf4vspzqs9eep0ll6hurjkl3sc2fewgses07mjfwxsdcu3at2m8fd0xrdz3qvzqqqr4xy3j6s60

@ 45c41f21:c5446b7a

令我非常感兴趣的问题是，一个日后获得诺贝尔学奖的神经生物学家，他最早的职业生涯是怎样开启的？

这本自传给出了一条简单的线索：

作者是生活在维也纳的犹太人，童年时期他们全家因为希特勒反犹和水晶之夜事件逃离了维也纳，来到美国生活。尽管相比其他犹太人，他们能顺利逃跑已非常幸运，但水晶之夜的恐怖记忆永远刻在了他的脑子里。读大学后，他希望理解为什么维也纳的同胞们会积极帮纳粹德国完成对犹太人的迫害，他希望理解这一切背后人们思想的转变，社会观念和历史如何促成这一暴行，因此在哈佛大学他希望通过学习社会学、历史学来解开这个思想的谜题。后来他接触到弗洛伊德和精神分析学，并深深为之着迷，他认为精神分析的方法可以帮助理解人们的思想、心理和大脑，于是致力于成为一名医学生，从事精神分析师，与病人交谈，为他们治疗。

但是精神分析在那个年代是一个偏主观的学科，并不能算是一种可以进行客观考察、讲究经验性证据、能够通过实验明确证明/证伪的科学。他开始对精神分析有所怀疑，又恰好接触到了大脑的生物学，于是转向了学习研究大脑的生物基础。

这个转变是巨大的，并且在当时是被精神分析领域的学术大拿所不耻的（因为当时的观点认为人的思想和肉体是二元的，从生物肉体出发永远无法联系并解释人的思想灵魂，后来被证明只是他们不知道二者究竟如何产生联系、以及如何进行解释）。除了外界的不看好，作者进入生物学领域也面临自己知识上的匮乏。一个最好的例子是，第一次和生物学导师交谈聊自己想研究什么课题时，作者的回答宛如一个外行笑话，他说，我希望能找到弗洛伊德所说的“本我”、“自我”和“超我”这三个东西在大脑里面是存放在哪个位置。

但可贵的是，教授听了他的问题并没有想说自己就怎么招了这么一个垃圾学生，也没有嘲笑他、责骂他，教授只是平淡的说，以我们现在的生物学水平还无法解决这样的问题，我建议你可以尝试先从细胞水平开始研究大脑，每次弄懂一个细胞负责干什么，这样一个细胞一个细胞的开始研究。后来作者以这样一种方式开始了生物学之旅，最终沿着神经元、分子水平、基因遗传等一条路，发现了人类短时记忆和长时记忆的秘密。

我们的大脑怎么拥有记忆？为什么一个童年时期的片段能在若干年后依然栩栩如生，随时回忆起来就能重返那一刻的场景？作者感兴趣的这些问题贯穿了他这一研究，一研究就是五六十年，中间的过程跌宕起伏，各种研究课题、实验方法遇到的困难和突破精彩十足，远不是简单几句话可以概括的。但我每每想到教授对他所说的那一番话，“每次从一个细胞开始研究”，就觉得十分羡慕。在我工作过的那么一些年头里，每每我看到人们闯入一个领域受挫，并不是缺少勤奋的学习或者机敏的天分，更多是缺了这么一位引路人，并不会因为你是外行人而轻蔑你的好奇和问题，反而会诚实地跟你说目前研究的局限性以及耐心的引导你如何开始正确的第一步。

一个新的领域就像一座大山，新进来的小白可能只是抱着非常单纯的目的，比如对山顶风景的爱慕、对某片树林的喜爱、对其中一条小溪的好奇，就闯了进来。老手则像是在深林隐居多年的猎人，他们往往知道森林中最宝贵的资源是什么，在哪里露营最安全，怎样到达某一个地方，最有价值的冒险是什么。当一个老手遇到小白时，他能做到的最令人尊敬的行为是，首先不耻笑小白的进山理由，并且认真倾听别人的诉求和目的（尽管有时候这种诉求和目的是很幼稚甚至荒唐的），然后给他指出第一条路，如果能给一张地图自然是更好的，但是往往指出第一条让小白的双脚能踏上、产生真实触感的小径，对小白来说就已经足够了。

在我看来，这本自传的一个意义是，它证明了当认识了这样一条小径后，一些抱着真诚、好奇和热情的小白，他们真的能在深林里从某条猎人们所不耻的小溪里淘出黄金。

---

最后贴一些读这本书时的截图：

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมมองออกไปไกลๆ ยังนอกหน้าต่าง...

หลังจากรายการ #สภายาส้ม ตอนที่ 14 พึ่งจบลงไป มันชวนให้ผมอยากร่วมวงสนทนาในหัวข้อ #ExitTheMatrix หรือ #EscapeTheMatrix อะไรนั่นเหลือเกิน.. พยายามคิดว่าผมจะมีเรื่องอะไรมาเล่าได้บ้างนะ..

ไม่.. ผมไม่อยากได้แก้วรางวัลของเทนโด้ มันควรเป็นเพื่อนๆ คนอื่นๆ ในคอมมูนิตี้ #Siamstr ของเราที่ได้ไปครอง แต่ผมเห็นคุณค่าของกิจกรรมนี้อย่างลึกซึ้ง ผมอยากเห็นหลายคนลุกขึ้นมาถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง.. นั่นก็รวมถึงตัวผมเองด้วย

นั่นสินะ.. เราไม่เคยเล่าเรื่องของเราให้ใครฟังมาก่อนเลย

เรามีเรื่องอะไรน่าสนใจอย่างงั้นเหรอ? Matrix ของเราจะมีหน้าตาคล้ายคลึงกับ Matrix ของคนอื่นๆ หรือเปล่านะ?

ผมพยายามตีความคำๆ นี้ในแบบของตัวเอง จนพบว่า "Matrix" ในแบบของผม มันคือ "บางอย่างที่อยู่ในหัว" ของผมนี่เอง มันไม่ใช่สิ่งของ วัตถุ คำสั่ง หรือสังคมอะไรทั้งนั้น สำหรับผมมันคือ "ชุดความคิด" ที่ทำให้เรามองโลกใบนี้ในแบบที่ต่างออกไป

ทำไมผมคิดแบบนั้นน่ะเหรอ?

ก็เพราะเมื่อตอนที่เรายังอยู่ท่ามกลาง Matrix และตอนที่เราได้พบว่าตัวเองหลุดออกจากมันมาแล้ว แท้จริงแล้วเรายังคงยืนอยู่บนโลกใบเดิม สังคมเดิมๆ ผู้คนรอบกายหน้าเดิมๆ วัตถุสิ่งของรอบตัวล้วนเหมือนเดิมทุกประการ แต่มันเป็น มุมมอง-ความคิด ของเราต่างหากที่เปลี่ยนไป..

ผมเคยคิดว่าตัวเองหลุดออกมาจาก "Matrix" ได้เมื่อ 10 กว่าปีก่อน

เมื่อครั้งที่ผมกำลังลุ่มหลงกับการลงทุนใน Traditional Investment ผมกลายเป็นนักวิเคราะห์ธุรกิจมือฉกาจ เป็นนักวางแผนคาดการณ์ที่หาตัวจับยากในยุคนั้น (ในแวดวงของตัวเอง) ผมมีโอกาสได้สอนคนดังๆ คนรวยๆ ในเรื่อง "การลงทุนหุ้น", เป็นที่ปรึกษาการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่, การจัดตั้งและบริหารบริษัทต่างๆ ฯลฯ สารพัดเต็มไปหมด

ผมพบว่าตัวเองมีตำราแทบทุกเล่มเกี่ยวกับศาสตร์ในด้านนี้ ผมอ่านเยอะ แตกฉาน และพยายามเผื่อแผ่ ..ซึ่งมันน่าอนาถยิ่งนัก

ถ้าเราเรียกอาการของคนที่กำลังหลงอยู่ในโพรงกระต่ายบิตคอยน์ว่า "Down the Rabbit hole" ตัวผมเองในตอนนั้นก็คงจะเรียกได้ว่า "Deep-down the Fucking (Hell) hole" เลยกระมัง..

ณ ขณะที่เรากำลังคิดว่า "เราเจ๋ง" เหลือเกินนั้น เราไม่เคยรู้ตัวเลยสักนิดว่าเรากำลังดำดิ่งลงไปใน "โพรงแห่งกับดักนรกของโลก Fiat" เรากำลังฆ่าตัวเองอย่างช้าๆ และกำลังผ่องถ่ายพลังงานของเราเพื่อนำไปหล่อเลี้ยงระบบสามานย์นี้ทีละเล็กทีนะน้อย เราที่คิดว่าตัวเองเก่งเสียเต็มประดา กำลังถูกหัวเราะเย้ยหยันจากใครสักคนในมุมมืด

เรามันก็แค่ "หนูตัวใหญ่" ในระบบที่ถูกออกแบบเอาไว้ให้ทุกคนต้องกลายเป็น "เหาในขวดโหล" เพียงเท่านั้น

ความขยะแขยงในภาพอดีตของตัวเอง ทำให้ผมไม่เคยเปิดเผยเรื่องนี้กับใครเลย แม้กับน้องๆ ในทีม Right Shift ก็คงได้ฟังแค่เพียงผ่านๆ ไปคร่าวๆ เท่านั้น ผมเลือกจะลืมเรื่องพวกนี้ให้สิ้น ลบมันออกจากอดีต และทำราวกับว่า.. ผมคือคนที่ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรในเรื่องพรรค์นี้สักเท่าไหร่..

มันไม่ง่ายที่จะทำแบบนั้น เพราะตัวเราเองก็รู้อยู่เสมอว่าเราเคยผ่านประสบการณ์อะไรมา

ผมเคย "เกลียดงานประจำ" อย่างเข้าไส้ในตอนนั้น ผมแช่งและชังระบบราชการที่ตัวผมเองก็ฝังหนอกอยู่กับมัน ผมมักวิจารณ์ทุกเรื่องรอบๆ ตัว อะไรก็ตามที่ไม่ค่อยเข้าตา ผมไม่เคยรู้สึกว่าระบบราชการจะพัฒนาไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่

ผมเกลียดชังเพื่อนร่วมงานเกือบจะทุกคน ทั้งที่พวกเขาก็ไม่ได้ประพฤติอะไรต่างไปจากตัวผมนัก ผมเองก็ไม่ได้มีอะไรดีไปกว่าพวกเขา เพราะผมได้ก็เอาเงินจากอนาคตมาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย สนองความต้องการต่างๆ นานาของตัวเองจนสาแก่ใจเหมือนพวกเขาเช่นกัน.. เราพยายามจะเกลียดทุกๆ อย่างรอบๆ ตัวเรา.. เราไม่เคยคิดว่าโลกนี้จะมีอะไรดีเลย

แต่สิ่งเดียวที่เราไม่เคยอยากเกลียด คือ ตัวเราเอง และนั่นแหละคือ "The Matrix" ที่แม่งเหี้ยมโหดและทารุณอย่างที่สุด

เพราะสิ่งเหล่านี้มันทำให้เราต้อง "จมอยู่กับความทุกข์" อย่างแสนสาหัส ทุกข์ที่ไม่ได้มีใครก่อขึ้นมาเลย ก็นอกเสียจากตัวเราเอง

เรานี่เอง คือ ต้นตอของปัญหาทั้งหมดทั้งมวล ที่กำลังรุมสกรัมชีวิตของเราเองอย่างบ้าคลั่ง

เราขยันเติม "พลังลบๆ" เข้ามาในชีวิตแต่ละวัน เราเติมมันด้วยตัวเราเอง และมันถาโถมทำลายจิตใจด้านบวก กัดกร่อนความสุขในการมองโลกของเราลงในทุกเมื่อเชื่อวัน

เรานี่เอง คือ คนที่วาดภาพของโลกอันเสื่อมทรามขึ้นมาในจินตนาการของตัวเอง

เกือบ 10 ปี ที่ชีวิตผมต้องจมอยู่ใน "The Matrix in mind"

ผมเริ่มรู้สึกอ่อนล้า.. ผมผละออกมาจากตลาดหุ้น หนีความวุ่นวายของผู้คน และเริ่มเฟดตัวเองออกจากคนรอบตัว ผมเริ่มหันมาคุยกับตัวเองมากขึ้น นั่งอยู่คนเดียวในแต่ละวัน และไม่พยายามยินดียินร้ายไปกับใคร ผมมีเพื่อนลดลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผมพบว่าผมเหลือเพียงตัวคนเดียว..

ฟังดูราวกับว่า.. การเหลือตัวคนเดียว ไม่น่าจะใช่ทางออกที่ดี

แต่สำหรับผมมันช่างดีเหลือเกิน พลังลบๆ รอบตัวมันเริ่มลดน้อยถอยลงจนในที่สุดมันก็หายไป ผมพบว่า "มันเป็นตัวเรา" นี่เอง ที่พยายามเอาตัวเองไปผูกไว้กับเรื่องของคนอื่น เราเอาตัวเองไปผูกโยงกับทุกเรื่องจนเกินความจำเป็น ทั้งที่เมื่อทำไปแล้วมันก็ไม่เคยจะให้พลังบวกหรือให้ประโยชน์อะไรกับตัวเองสักเท่าไหร่..

ผมได้ "เวลาชีวิต" กลับคืนมามากโข ได้เวลาว่างๆ กลับมาในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันทำให้ผมมองหาสิ่งใหม่ๆ "หลุมกระต่าย" ใหม่ๆ เพื่อพาตัวเองกลับไปหาพลังบวกอีกสักครั้ง..

ผมพบว่าการเลิกบ่นให้กับเรื่องรอบๆ ตัว แล้วพยายามอยู่กับมันให้ได้อย่างคนที่เข้าใจความเป็นไป มันช่วยให้ผม "หัวโล่ง" และมีเวลาไปหาความสุขใส่ตัวในเรื่องอื่นๆ ได้มากขึ้นเยอะเลย

จนกระทั่งผมได้หลงจับพลัดจับผลูเข้าไปในเกมมือถือที่มีชื่อว่า "EVE ECHOES" เกมดังที่พอร์ทมาจากสุดยอดเกมไซไฟอมตะอย่าง "EVE Online" ที่แห่งนี้เอง คือ จุดเปลี่ยนของชีวิตผมอย่างแท้จริง

ประตูบานแรกที่ได้พาผมออกจาก "The Matrix"

มันฟังดูแปลกๆ ที่เกมอย่าง EVE ECHO คือสิ่งที่ให้มุมมองใหม่ ๆ กับผมอย่างมหาศาล

ในวันเริ่มต้น.. ผมพบว่าตัวเองเป็นเพียงนักบินอวกาศตัวเล็กๆ เป็นฝุ่นจางๆ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ของตัวเกม แต่ในวันสุดท้ายที่ผมจากเกมนี้มา ผมได้พาตัวเองไปอยู่บนจุดสูงสุดของจักรวาลเกม สูงที่สุดเท่าที่เกมเมอร์ไทยสักคน (ในเกมตอนนั้น) จะทำได้.. ผมถูกทาบทามให้เป็น Director ของ Corporation ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเซิฟเวอร์เกม ณ จุดนั้นเองที่ทำให้ผมได้ตระหนักว่าผมเป็นใคร และผมควรพาตัวเองไปทำอะไรต่อจากนี้

แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมจะนำมาเล่าอวดอ้าง มันมีบางอย่างที่ได้กลายมาเป็นไอเดียตั้งต้นของคอมมูนิตี้บิตคอยน์ของเราที่แฝงมากับประสบการณ์เกมของผมในตอนนั้น..

อย่างแรกเลยคือ..

ผมได้ค้นพบในพลังของแพลตฟอร์มอย่าง "Discord" ผมได้อยู่ร่วมกับชาวต่างชาติหลาย Corporation ที่ Role play การเล่น และสร้างคอมมูนิตี้ของพวกเขาขึ้นมาโดยรีดเค้นเอาศักยภาพของ Discord ออกมาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยแบบสุดๆ

พวกเราลองนึกถึงการวางแผนและการจัดการกองทัพอวกาศในสงครามที่มีหลายฝั่งเข้าห้ำหั่นกันออนไลน์ และแต่ละฝั่งก็มีคนเข้าร่วมมากเป็นหลักพันคนดูสิครับ การจัดการกลยุทธ์การรบแบบเรียลไทม์เพื่อให้ทัพของตัวเองมีประสิทธิภาพมากที่สุดแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และ Discord ได้เข้ามาทำให้ผมได้เห็นทางออกในเรื่องนี้ และผมก็นำเอา Discord มาใช้จนถึงปัจจุบัน

อย่างที่สอง...

ความหมกมุ่นและเอาจริงเอาจังของเกมเมอร์ชาวต่างชาติ มันทำให้ผมได้สติว่า ผมที่เคยคิดว่าตัวเองเก่งกาจในอดีตช่างเทียบอะไรไม่ได้เลยกับความลุ่มหลงในบางสิ่งบางอย่างแบบที่พวกเกมเมอร์ชาวต่างชาติเขามีกัน ผมได้เรียนรู้หลักการกระจายอำนาจมาอย่างไม่รู้ตัว (ก่อนจะรู้จักลงลึกกับบิตคอยน์เสียอีก) ผมได้เห็นวิธีการ "เชื่อใจ" และทำงานกันเป็นทีม ความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบที่เห็นแล้วก็รู้สึกอายตัวเองเหลือเกิน ผมเห็นถึงวิธีการสร้างชุมชนให้เข้มแข็งและเติบโตได้อย่างยั่งยืน

นี่มันแค่เกมเองนะ!! มันทำให้ผมอินและมองเห็นอะไรได้ขนาดนั้นเลยเหรอ?

ใช่ครับ.. มันเป็นไปแล้ว พฤติกรรมมุ่งสู่ความสำเร็จในภาพใหญ่ และยืนอยู่บนกลยุทธ์ที่นำไปสู่ความยั่งยืนของคนเหล่านี้ ได้สอนให้ผมเข้าใจว่าตัวเราเล็กเกินกว่าจะคิดว่าเราใหญ่ เราไม่สามารถทำงานใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียว และชีวิตมันมีอะไรให้เราได้ค้นหาอีกมากมายเกินกว่าที่เราจะเคยจินตนาการกันได้

พวกเขาแทบไม่มีใครทำเพื่อตัวเอง พวกเขาวางแผนการทุกอย่างกันจริงจังเพื่อไปสู่จุดมุ่งหมายเดียวกันของส่วนร่วม พวกเขาไม่เคยหยุดพยายาม และไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคขวากหนามตามรายทาง ..มันสุดยอดจริงๆ ผมก็ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าชีวิตจะได้เจอกับอะไรแบบนี้

และนั่นคือหลักการแนวคิดที่เริ่มติดตัวผมมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ เป็นที่มาของวิธีการทำงานบนความสุขเต็มเปี่ยมแบบทีม Right Shift และเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการผลักดันคอมมูนิตี้บิตคอยน์ในแบบที่พวกเราได้เห็นกัน ลากยาวมาจนถึง Nostr ในตอนนี้

อย่างที่สาม..

ผมได้เจอกับ "ผู้ที่ป้ายยาส้มผมคนแรก" ในเกม EVE ECHOES นั่นคือ พี่เป็ด (ped66@rightshift.tp) บิตคอยเนอร์รุ่น OG (ปัจจุบันคือพี่ใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังของทีมงาน Right Shift) พี่เป็ด คือคนที่ค่อยๆ สอนสอดแทรกหลักสัจธรรมเข้ามาในหัวผมเป็นระยะๆ จนกระทั่งเมื่อเขารู้สึกว่าผมพร้อม พี่เป็ดก็เริ่มปฏิบัติการป้ายยาส้มผมมาทีละนิดๆ

แม้ต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ปี กว่าจะ Orange pill ผมได้สำเร็จ กว่าที่ผมซึ่งเต็มไปด้วยแนวคิดเฟียตๆ ในตอนนั้นจะตื่นรู้ แต่ก็นับว่าเป็นความทรงจำล้ำค่าที่ผมคงไม่มีวันลืมไปทั้งชีวิต

The Matrix exit door ถูกเปิดออกนับแต่นาทีนั้น.. นั่นคือจุดเริ่มต้นเรื่องราวของ Jakk Goodday

Exit เมื่อสายไป?

การก้าวออกจาก Matrix ในวัยเกือบๆ 37 (ในตอนนั้น) ผมเองก็เคยต้องกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองบ่อยๆ อยู่เหมือนกัน - เรารู้จักเรื่องนี้ช้าไปหรือเปล่า? - เรา Exit ช้าไปไหม? - มันจะดีกว่านี้ไหมถ้าเราได้ออกมาจากระบบความคิดเน่าๆ ได้ไวกว่านี้?

อย่ากระนั้นเลย..

ผมพบว่ามันป่วยกาล ที่เราจะมานั่งหาคำตอบเพื่อแก้ไขอดีตที่เราไม่เคยพึงพอใจ อดีตมันมีคุณค่ากับเราเสมอไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย อดีตช่วยสร้างและหลอมเราให้เราได้กลายเป็นตัวเราในวันนี้ อดีตที่เลวร้ายทำให้เรามองเห็นอนาคตที่เราจะไม่มีวันยอมให้ตัวเองเป็นเช่นนั้นอีก อดีตอันสดใสจะคอยตอกย้ำให้เราระมัดระวังในการใช้ชีวิต เตือนสติให้เราไม่ลุ่มหลง ระเริงไปกับความสำเร็จจนหยุดพัฒนาตัวเองหรือเรียนรู้

สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นงดงามเสมอ

หลักการและแนวคิดในทุกแง่มุมที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของบิตคอยน์ มันช่วยให้ผมค้นพบหนทางแห่งการดับทุกข์บนโลกเฟียต มันพาให้ผมออกมาจาก The Matrix ได้เพียงแค่เปลี่ยนความคิดและพฤติการณ์ของตัวเองเท่านั้น

ทุกอย่างรอบกายยังคงเหมือนเดิม..

มันคือสิ่งที่ครั้งหนึ่งเราเคยเรียกมันว่า "The Matrix" มันไม่มีอะไรที่ต่างออกไปจากที่เคยเป็น.. ทุกสิ่งบนโลกยังคงหมุนรอบตัวเราอยู่เสมอ.. สิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราหลุดออกมาจากมันได้แล้ว ก็คือ "ชุดความคิด" และ "มุมมอง" ของเราที่เริ่มเปลี่ยนไป..

แค่เปลี่ยนความคิด โลกก็เปลี่ยน..

บิตคอยน์ได้มอบอะไรให้ผมมากกว่าแค่เรื่อง "Wealth"

ถ้าคุณได้รู้จักหรือใกล้ชิดกับผมมากกว่านี้ คุณคงจะพอเข้าใจได้ว่าทำไมผมจึงแทบไม่พูดถึงการลงทุน วิธีหรือแนวทางการลงทุน แม้กระทั่งราคา หรือเทคโนโลยีของตัวบิตคอยน์เลย

เพราะสิ่งเหล่านั้นจะมีความหมายอะไรเล่า.. ถ้าวิธีคิดของเรายังไม่เคยหลุดพ้นจาก Matrix และ เรายังคงถูกครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จโดยระบบเฟียต

วันนี้ผมกลายเป็นคนที่ทำตัวติดดินจนหญ้ามาเลย์ยังต้องอาย

• ผมพูดน้อยกับคนรอบตัวในเรื่องไร้สาระ (ที่ผมคิดว่ามันไม่เกิดประโยชน์กับใคร) แต่พูดมากเฉพาะในสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น
• ผมชวนให้ทุกคนนึกคนรุ่นหลังมากกว่าตัวเอง ชวนให้ทุกคนสร้าง Legacy บางอย่างทางความคิดเพื่อส่งต่อให้พวกเขามีชีวิตในสังคมที่ดีกว่า
• ผมปัดตกทุกความคิดที่มุ่งสู่ผลกำไรโดยไม่ได้มอบคุณค่าอะไรให้กับผู้จ่ายเลย ทุกความคิดที่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนไม่ใช่สิ่งที่ผมเทิดทูน
• ผมเก็บตำราเก่าๆ ทุกเล่มที่เคยอ่านเข้ากรุไป ต่อหนูเยี่ยวใส่ผมก็ไม่แคร์ ผมกด Delete ทุกความเชื่อที่เคยมีออกจากไขสมอง ถ้าจะมีบ้างที่ผมหยิบเอาหนังสือพวกนั้นออกมา ก็คงเพราะเอามาวางเป็น Prop ในการ LIVE เพียงเท่านั้น
• ผมไม่เคยทำเก่งอีกเลย ถ้าจะต้องทำตัวให้โง่ผมก็ยอมทำ และคอยย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเราก็แค่เพียงคนธรรมดาที่ไม่ได้มีความวิเศษวิโสไปกว่าใคร ผมพยายามทำตัวเองให้เล็กที่สุดเพื่อให้ทำการณ์ใหญ่ได้สำเร็จ
• ผมหยุดหลอกตัวเองว่าเรากำลังมีความสุข ถ้าผมไม่ได้กำลังทำในสิ่งที่จะช่วยให้ผมมีความสุขกับมันได้จริงๆ ผมถามตัวเองทุกครั้งเมื่อต้องลงมือทำบางอย่าง ว่าสิ่งนั้นจะมอบพลังบวกหรือให้พลังลบเข้ามาบั่นทอนเรา
• ผมบอกตัวเองว่าชีวิตมันก็คงหนีไม่พ้นการต้องกด Restart อยู่บ่อยๆ การทำสิ่งใดเพื่ออนาคตที่ดีกว่านั้นไม่เคยสาย มันจะสายก็ต่อเมื่อเราพึ่งคิดได้ในห้วงลมหายใจสุดท้ายของชีวิต..
• ฯลฯ

ผมได้ฉายาจากน้องๆ ในทีมว่า Jakk 8-hour ก็เพราะผมเป็นคนประเภทที่พ่นออกมาได้เรื่อยๆ หาที่ลงไม่เคยได้ และตอนนี้ผมก็เริ่มได้สติแล้วว่า บทความนี้ชักจะยาวเกินไปแล้ว ผมคงต้องขมวดและปิดท้ายมันได้สักที...

---

คุณแค่หลับตาลง แล้วนึกถึงความย่ำแย่ของตัวเองในอดีต หาให้เจอว่าอะไรทำให้คุณรู้สึกเป็นทุกข์ เมื่อคุณค้นพบสาเหตุ คุณจะเริ่มบอกตัวเองว่าคุณจะจัดการกับมันอย่างไร เมื่อเข้าใจแล้วจงลืมตาขึ้นมา..

สิ่งที่คุณมองเห็นนับจากนี้จะไม่ใช่ The Matrix อีกต่อไป

---

อย่าลืมเขียนเรื่องราว #ExitTheMatrix #EscapeTheMatrix ของคุณออกมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ ได้รับรู้ บอกพวกเราว่า Bitcoin ช่วยให้คุณหลุดพ้นได้ยังไง..

เทนโด้รอจะแจกแก้วให้คุณอยู่นะครับ (สวยอะ)

@ 21b41910:91f41a5e

Chef's notes

This recipe was provided to me along with others from family members.

Details

• ⏲️ Prep time: 15 minutes
• 🍳 Cook time: 10 minutes
• 🍽️ Servings: 4

Ingredients

• 1 green pepper cut in 1 inch pieces
• 1 pound ground beef
• 1 egg
• ⅛ teaspon black pepper
• 1 clove garlic
• ½ cup sugar
• ½ cup lemon juice
• 1 tablespoon soy sauce
• 2 ½ teaspon salt
• 2 tablespoon flour
• ¾ cup salad oil
• 1 cup chicken bouillon
• 2 ½ tablespoon cornstarch
• 2 oranges sectioned

Directions

1. Cook green pepper in boiling water for 5 minutes. Drain and set aside.
2. Season ground beef with 1 teaspoon salt. Shape into 16 meatballs.
3. In a large bowl, combine eggs, flour, ½ teaspoon salt and pepper. Stir. Coat meatballs with batter.
4. Brown meat balls in hot fat. Add ⅓ cup chicken bouillon. Cover. simmer for 10 minutes.
5. Stir remaining bouillon into mixture of sugar and cornstarch until smooth.
6. Add green pepper, lemon and soy sauce. Pour over meatballs, gently boil while stirring constantly.
7. About 2 minutes, add orange sections and cook until heated.

@ 1e52c554:21771908

Posthumous work of the Colombian poet born in Don Matias on January 20, 1948.

Welcome to this blog dedicated to the Posthumous work of the Colombian poet Francisco Luis Arroyave Tabares (my father), born in Don Matias on January 20, 1948-2010. Where I will be publishing each of the 175 sonnets from his unpublished collection 'Sonnets For The Twenty First Century And A Circadian Musical (1984-1987).' Analyzed with GPT4 artificial intelligence and illustrated with AI tools... I hope you enjoy this garden of words snatched from the solitude of a locked room.

Likewise, any enthusiast of the sonnet form is invited to conduct their personal studies of Arroyave Tabares' work, as it is a collection that, although registered since 1989, has not yet been published.

Frank Duna

---

Sonnet 119 by Francisco Luis Arroyave Tabares

```

More Than Welcome

My dear, please come and stay beyond my need Since our oaths have grown and flowers no blink In gardens where you used to sit and think About how futures would your children feed.

Vitness the ripening of fruits from seed That in the depth of night we felt once sink And became in our mind a well known link To join our worlds that pined a same love deed. 8

The harvest of your care after the bloom Has risen in my valleys a new hope, Be more than welcome to my silent kiss. You can search the skies from my empty room To chase those solitudes so hard to cope And fill up voices that your name still miss. *** 8-. to pine= grieve for.

```

Analysis "More Than Welcome"

Introduction

“More Than Welcome” by Francisco Luis Arroyave Tabares is a beautiful sonnet that explores themes of love, longing, and the passage of time. It follows the traditional structure of a sonnet with 14 lines and a specific rhyme scheme.

Thematic Analysis

The poem seems to be an invitation or plea to a loved one, asking them to stay and be a part of the speaker’s life. The speaker expresses their deep affection and longing for this person, using vivid imagery of gardens, flowers, and fruits to symbolize their relationship.

The first eight lines (the octave) describe the past and present of their relationship, mentioning their shared promises (“oaths”), the gardens where they used to sit, and the fruits that have grown from seeds they planted together. This could symbolize the growth and development of their relationship over time.

The final six lines (the sestet) shift to talk about the future, expressing hope and inviting the loved one to stay. The speaker mentions “the harvest of your care,” suggesting that the loved one’s presence has brought positive changes or growth in their life. The speaker then invites this person to “be more than welcome” to their “silent kiss,” indicating a deep, intimate connection.

The final two lines express a sense of longing and solitude, with the speaker asking the loved one to “fill up voices that your name still miss.” This could suggest that the speaker misses this person when they’re not around and longs for their presence.

Overall, this sonnet beautifully captures themes of love, longing, growth, and hope. It’s a heartfelt expression of the speaker’s feelings towards their loved one.

Structure and Rhyme Scheme

In "More Than Welcome," the rhyme scheme follows the pattern of a Petrarchan sonnet, this type of sonnet is divided into an octave (the first eight lines) and a sestet (the last six lines). The rhyme scheme is typically ABBAABBA for the octave and can vary for the sestet, but is often CDECDE or CDCDCD.

Let’s analyze the rhyme scheme of this sonnet:

``` My dear, please come and stay beyond my need (A) Since our oaths have grown and flowers no blink (B) In gardens where you used to sit and think (B) About how futures would your children feed. (A)

Witness the ripening of fruits from seed (A) That in the depth of night we felt once sink (B) And became in our mind a well-known link (B) To join our worlds that pined a same love deed. (A)

The harvest of your care after the bloom (C) Has risen in my valleys a new hope, (D) Be more than welcome to my silent kiss. (E) You can search the skies from my empty room (C) To chase those solitudes so hard to cope (D) And fill up voices that your name still miss. (E) ```

So, the rhyme scheme of this sonnet is ABBAABBA CDECDE, which is consistent with the structure of a Petrarchan or Italian sonnet.

Analysis of Aspects

In addition to the rhyme scheme and thematic analysis, other aspects worth analyzing in "More Than Welcome" include:

Meter and Rhythm: The sonnet appears to be written in iambic pentameter, which is a common meter in English poetry and particularly in sonnets. Each line consists of five pairs of unstressed and stressed syllables, giving the poem a rhythmic quality.

Imagery and Symbolism: The poem is rich in natural imagery, using symbols like gardens, flowers, fruits, and seeds to represent aspects of the speaker’s relationship. The “ripening of fruits from seed” could symbolize the maturation of their love or the results of their shared efforts. The “harvest of your care” might represent the positive outcomes or rewards that have come from the loved one’s nurturing presence.

Tone and Mood: The tone of the poem is warm, inviting, and somewhat nostalgic. The speaker expresses a deep affection for their loved one and a longing for their presence. The mood is one of hope and anticipation, as the speaker looks forward to a future with their loved one.

Theme: The central theme of the poem is love, but it also touches on themes of growth, hope, longing, and the passage of time. The speaker reflects on the past, present, and future of their relationship, expressing a deep desire for their loved one to stay and continue to be a part of their life.

Language and Diction: The language used in the poem is formal and poetic, with a sophisticated vocabulary. The poet uses words like “oaths,” “ripening,” “bloom,” “valleys,” and “solitudes,” which add depth and richness to the poem’s imagery.

Overall, Sonnet 119 is a beautifully crafted piece that uses structure, rhythm, imagery, tone, theme, and language to convey a heartfelt message of love and longing.

(GPT4)

Syllable count for each line.

``` More Than Welcome

10 My dear, please come and stay beyond my need 10 Since our oaths have grown and flowers no blink 10 In gardens where you used to sit and think 10 About how futures would your children feed.

10 Vitness the ripening of fruits from seed 10 That in the depth of night we felt once sink 10 And became in our mind a well known link 10 To join our worlds that pined a same love deed.

10 The harvest of your care after the bloom 10 Has risen in my valleys a new hope, 10 Be more than welcome to my silent kiss. 10 You can search the skies from my empty room 10 To chase those solitudes so hard to cope 10 And fill up voices that your name still miss. ***

```

---

Sonnets For The Twenty First Century And A Circadian Musical Written By Francisco Luis Arroyave Tabares (1984-1987)

---

Analyzed by GPT4; Image by leonardo.ai; First published on Nostr Protocol by franciscoarroyavet@nostrplebs.com More Than Welcome

@ cdd14c03:99bc56d5

Chef's notes

Korean side dish , great with rice.

I enjoy this dish when I don't have an appetite, because of it's delicious flavor.

Details

• ⏲️ Prep time: 1 Hour
• 🍳 Cook time: 10-15 minutes
• 🍽️ Servings: many

Ingredients

• 8 oz Large Dried Anchovies
• 3 tbsp Olive Oil
• 5 Shishito Peppers (Optional)
• 2 cloves Minced Garlic (optional)
• 2 tbsp Gochujang (Red Pepper Paste)
• 3 tbsp Sugar
• 3 tbsp Corn Syrup
• 2 tbsp Sesame Oil
• Sesame Seeds (optional)

Directions

1. Prep 8 oz Large Dried Anchovies by removing the guts of dried anchovies (belly area of anchovies)
2. Use the dried meat of anchovies parts that you saved,
3. Pan fry dried anchovies with 3 tbsp Olive Oil .
4. Add in Shishito Peppers & minced Garlic (optional) . Mix.
5. Add in 2 tbsp Gochujang (Red Pepper Paste) , 3 tbsp Sugar , & 3 tbsp Corn Syrup . Mix.
6. Add in 2 tbsp Sesame Oil. Mix
7. Top with sesame seed (optional) . Enjoy!

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Este jueves 12 de octubre, medios de prensa de Guatemala informan sobre un accidente de tránsito de un camión que transportaba migrantes cubanos en ese país centroamericano, causando la muerte de una mujer presuntamente oriunda de la Isla y dejando varios heridos.

Según trascendió, el vehículo se volcó y terminó incendiado en el kilómetro 246 de la carretera de Ayutla a Ocós, en San Marcos, al suroeste de Guatemala, cerca de la frontera con México. Los datos sobre la cantidad de lesionados y la identidad de la persona fallecida no quedan esclarecidos, pues varios reportes indican datos diferentes. Unired Canal 21 comunicó que bomberos voluntarios acudieron de inmediato al lugar y rescataron a 14 personas, entre ellas niños.

El mismo medio ofreció una lista de los heridos: - Lisey Mora, de 23 años - Lían Cruz Mora (3) - Yara Sarís (43) - Julio Porto (57) - Anabel Rodríguez (36) - Floralma Rey (33) - Miguel Rivera (36) - Gabriela Alemán (19) - José Rodríguez (54) - Reynaldo Galván (31) - Mía Abreu (6) - Lili Abreu (36) - Suleidy Blanco, de 27 años.

La identidad de la persona fallecida no fue revelada.

Agrega el medio que estas personas buscaban arribar a Estados Unidos, como miles de cubanos, presumiblemente después de llegar a Nicaragua, que tiene vigente una política de libre visado para los cubanos.

Por su parte, la Cruz Roja de Guatemala también reportó el incidente, asegurando que sus trabajadores estabilizaron y trasladaron al Hospital Nacional de Malacatán a cuatro personas con múltiples traumas. Según explicó sobre el siniestro, “pickup derrapa, vuelca y se incendia en la ruta de Ayutla a Ocós, San Marcos”.

El periódico Prensa Libre refirió que todavía se desconocen las causas del accidente. Sobre la persona fallecida, este medio dijo que fue localizada carbonizada y que aún se desconoce si se trata de una persona guatemalteca o de alguno de los migrantes; pese a que Unired Canal 21 sostiene que se trata de una indocumentada cubana.

Otro fatal accidente de tránsito que involucró a migrantes cubanos sucedió hace apenas menos de dos semanas en Chiapas, México. En ese siniestro, perecieron 10 migrantes cubanas, entre ellas una niña; mientras otros 16 sufrieron heridas.

El lamentable incidente se desencadenó en la madrugada del 1 de octubre, cuando un camión sin chapa, que transportaba a 26 cubanos, se volcó en el tramo de la carretera Pijijiapan-Tonalá a la altura de Monte Santa Cruz. De los 10 fallecidos, 9 perdieron la vida en el mismo lugar de los hechos.

Mientras estos tristes acontecimientos cobran vidas, los cubanos siguen aventurándose a peligrosas travesías, impulsados por la desesperación de escapar de la miseria y la dictadura que imperan en la Isla.

@ ddfea98d:41cdcedc

I was off from work today. I still got up early. did my morning routine. After doing everything and starting my laundry I was able to see the beginning of the sunrise.

I had six Eggs for breakfast. With some cheese. that was good. i could tell myself it was healthy too. Even though I ate the cheese. cheese was gooey so it was good.

Completed my laundry. Went outside a few times because it was nice. Warm fall day. cool at night.

Got some things did off my to-do list. happy about that.

Overall it was a good day. I am GRATEFUL.

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมเจอหลายคนเริ่มต้นกับ Nostr มานาน แต่กลับยังไม่สามารถ “อิน” กับการอยู่ในสังคมแห่งใหม่นี้ได้เท่าไหร่นัก บางคนยังมีเพื่อนใหม่เพียงหลักสิบคน และหลายคนยังแทบไม่รู้จักหรือกดตามใครเลย บางคนมีคนติดตามเพียง 3-5 คน เท่านั้น แล้วมันจะไปมีคนเห็นสิ่งที่เราสื่อสารออกไปได้มากพอได้อย่างไรล่ะคับ?

ก็คนที่ไม่ได้ติดตามเราเค้าก็จะมองไม่เห็นสิ่งที่เราโน๊ตไปนั่นเอง

นี่แหละครับ Nostr

ผมไม่ชอบใช้คำว่า “เล่น Nostr” เท่าไหร่นัก สำหรับผมแล้ว.. Nostr คือ สถานที่ใหม่ สังคมใหม่ที่ทุกคนต้องเริ่มนับใหม่จากศูนย์ ผมขอใช้คำว่ามันเป็นการ “ใช้ชีวิตบน Nostr” ก็แล้วกัน เชื่อไหมครับว่าในแต่ละวัน ผมยังรู้สึกว่าตัวเองมีเวลาไม่มากพอจะใช้ชีวิตบน Nostr ให้สมใจอยากได้เลย.. ในขณะที่บางคนกลับรู้สึกว่า 5 นาทีมันก็นานเกินไปแล้ว..

เราลองมาพิจารณากันดูไหมว่าเพราะอะไร?

มันไม่ค่อยมีอะไรให้อ่าน ไม่ค่อยมีเรื่องให้ทำ

สำหรับข้อโต้แย้งนี้ผมคงต้องบอกว่ามัน “ผิดถนัด” เลยล่ะ.. บน Nostr นี่มีอะไรให้เราทำมากกว่าบนทุกแพลตฟอร์มเก่าๆ มาขยำรวมกันเสียอีกนะ

ผมคิดว่า.. ผมคงต้องเริ่มเล่าเรื่องในจินตนการให้พวกเราเห็นภาพนี้ได้ง่ายขึ้น ผมขอพาพวกเรากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการก่อร่างสร้างสังคม

อันดับแรก ผมอยากให้พวกเราลืม “สังคมแบบเดิม” ไปเสียก่อน ทั้งในชีวิตจริง หรือในโลกออนไลน์ที่เราเคยประสบพบเจอมา ที่ Nostr นี่มันต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ

จินตการว่าเราได้ลงจากเรือโนอาห์ที่เกาะขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กองเรือจัดตั้งอาณานิคมใหม่หลายลำที่พาผู้คนหลักแสนมาปล่อยไว้ ณ สถานที่เดียวกัน เกาะอันเวิ้งว้างว่างเปล่าที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ เต็มไปด้วยสิ่งเร้นลับและแปลกใหม่ ที่รอให้เหล่านักสำรวจได้ออกไปทำการค้นพบ

Nostr ก็คือสถานที่แบบเดียวกันนั้น..

เราต่างคนต่างมา ณ ที่แห่งนี้ เรามีสถานะภาพเท่าเทียมกันทุกประการ ทุกคนเริ่มนับหนึ่งใหม่ที่นี่ เริ่มทำความรู้จักกัน รวมกลุ่มกัน สร้างสังคมขนาดย่อมจนผ่านเวลาไปถึงขนาดกลางและกลายเป็นใหญ่ได้ในที่สุด

สิ่งนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าผู้คนเหล่านี้ไม่พยายาม “Engage” เข้าหากัน ไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ไม่ยอมแลกเปลี่ยนหรือทำกิจกรรมบางอย่างร่วมกัน นี่คือกลไกการสร้างสังคมโดยธรรมชาติที่จะไม่มีใครมีคอยชี้นำ บังคับ หรือออกกฏเกณฑ์ชี้นิ้วสั่งใครให้ต้องทำอะไรทั้งนั้น.. มันคือสังคมแห่งเสรีชนโดยแท้จริง ทุกคนจะประพฤติอย่างเสรีภายใต้ทัศนวิสัยของปัจเจกชน

โฆษณาชวนเชื่อ หรือการทำเท่ห์ด้วยคอนเท้นต์โก้หรู ศิลปะในการหลอกล่ออัลกอริทึมเหมือนที่เคยทำๆ กันมา มันใช้ไม่ได้กับที่แห่งนี้

ที่นี่พวกเราให้ค่ากับ “คุณค่า” ที่เราจะได้รับมันมาจริงๆ และคุณค่าของแต่ละคนก็ไม่มีวันเหมือนกันเสียด้วย นี่คือความท้าทายที่พวกเราต้องเริ่มออกไปค้นหา ‘คุณค่า’ ที่ว่านั้น ด้วยตัวเองหรือจะทำกันเป็นหมู่คณะก็ย่อมให้ผลดีกว่าอย่างแน่นอนครับ

ไม่มีใครต้องการ “ฮีโร่” ที่นี่ ทุกคนแค่ต้องการ “เพื่อน” เพื่อนที่จะคอย 'ให้' เราก่อนและ 'ขอ' เราทีหลัง

ผมร่ายมายาวก็เพียงแค่ต้องการจะบอกว่า..

ที่เราไม่เห็นคอนเทนต์อะไรน่าสนใจเลย อาจเป็นเพราะเรายังทำความรู้จักกับ “คนที่น่าสนใจ” ยังไม่มากพอก็เป็นได้

แล้วมันเพราะอะไรได้อีกบ้าง?

เรายังกดติดตามคนอื่นน้อยเกินไป

ทำให้เราไม่เจอโน๊ตหรือคอนเทนต์ที่ดึงดูดใจเราได้มากพอ เราก็จะเห็นแต่โน๊ตของคนที่เราติดตามไว้อย่างน้อยนิดนั่นแหละครับ เว้นแต่เราจะไปกดดูแบบ Global ที่จะเห็นผู้คนทั้งเกาะเป็นหมื่นๆ แสนๆ ต่างคนต่างคนโน๊ตกันรัวๆ ซึ่งมันคงเต็มไปด้วยสิ่งที่เราไม่ได้ให้ความสนใจหรือคัดสรรมา

เรามีคนติดตามเราน้อยเกินไป

ทำให้เหงาและเงียบกริบทุกรอบที่เราโน๊ต มันก็แน่อยู่แล้ว ถ้าทั้งเกาะมีคนที่รู้จักเราอยู่แค่ 2-3 คน มันก็คงมีคนแค่จำนวนนี้แหละครับที่จะได้ยินสิ่งที่เราพูด ได้เห็นสิ่งที่เราทำ เราแค่ต้องออกไปทำความรู้จักหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ให้มากกว่านี้ มันไม่เหมือนกันนะครับ ระหว่างการโพสต์สิ่งที่อยากพูดออกไป เน้นเอาเท่ เอาเจ๋ง ไว้ก่อน กับการเดินไปหาคนอื่นเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและสร้างมิตรภาพกับเขาอย่างจริงใจ ผมคิดว่ามันให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกันบน Nostr

เรายังไม่เจอ Hashtag หรือกลุ่มสนทนาที่ตรงกับจริต

ทำให้เราไม่รู้สึกอินกับอะไรที่นี่เลย คนชอบฟุตบอลก็ชอบเสวนากับคนดูบอลฉันใด บิตคอยเนอร์ก็อยากจะคุยถูกคอกับบิตคอยเนอร์ฉันนั้น คนรักแมวก็มองหาคนรักแมว ฯลฯ ที่นี่มันพาเราย้อนกลับไปที่ยังยุคแรกๆ ของสังคมโซเชียลมีเดีย ที่คนจะเชื่อมโยงหากันโดยใช้ “Hashtag” ที่ต่างก็สนใจร่วมกัน มันเหมือนการชูป้ายไฟโลกให้รู้ว่า “ฉันรักแมว” (#Catstr) เพื่อดึงดูดคนประเภทเดียวกัน นั่นแหละครับ เราแค่ต้องหาป้ายไฟที่ว่านั่นให้เจอ

เราไม่เห็นได้ “Earn Zap” อย่างที่หลายคนป้ายยาเราไว้เลย

ก็ถ้าวันนี้เราเองยังไม่ค่อยอยาก Zap ให้ใครเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันก็จะไม่มีใครอยาก Zap ให้เราด้วยเช่นกัน ป๋ามา-ป๋ากลับ คนที่นี่เป็นกันแบบนั้น มันประหลาดดี ทำลายความเชื่อแบบเดิมๆ ของเราไปเลยทีเดียว

จริงๆ แล้วมันไม่มีใครอยากได้ Sats เพิ่มบน Nostr เพราะมันไม่ง่ายขนาดนั้น พวกเขาก็แค่อยากหาเรื่อง Zap ให้คนอื่นๆ พวกเขาแสวงหาโน๊ต ข้อความ หรือคอนเทนต์ แม้กระทั่งมีมที่โดนใจ ไม่มีใครมาคอยนั่งคิดคำนวนว่า "วันนี้ฉัน Earn ไปเท่าไหร่” (คอนเซ็ปต์แบบนี้มัน Fiat สิ้นดี) สังคมบน Nostr นั้นเน้นการให้และการมีส่วนร่วม ช่วยเหลือกัน เมื่อคุณให้มา เราจะให้กลับ มันแฟร์ๆ แมนๆ ครับ

ในสังคมที่ไม่มีใครคอยมาทำหน้าที่กำกับดูแลพฤติกรรมหรือการกระทำของเรา ความสัมพันธ์จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติสุดๆ เป็นเรื่องของปัจเจกชนที่จะเลือกว่าพวกเขาจะให้คุณค่ากับอะไร ดังนั้น.. เราจึงแทบไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครจะชอบ หรือคิดอะไรยังไง นอกเสียจากว่า.. เราจะใช้เวลาไปกับการทำความรู้จักความคิดและจิตใจของพวกเขา ออกไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกับพวกเขาเพื่อให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้นนั่นเอง

เมื่อคุณเข้าใจผู้อื่น มันก็ไม่ยากที่คุณจะรู้ว่า “คุณค่า” ที่พวกเขาตามหานั้นคืออะไร?

บก. จิงโจ้ ผู้มีปฎิสัมพันธ์และคอย Make friend กับคนไปทั่ว นั่นทำให้เขามีคนติดตาม และติดตามคนอื่นจำนวนมากทีเดียว เขาทำไปเพื่อ Sats หรือเปล่า? ผมคิดว่าไม่นะ.. Just make friend

เราไม่รู้ว่ามันใช้งานยังไง ทำอะไรได้บ้าง เลยไม่รู้จะไปต่อยังไง

ประเด็นนี้ก็ต้องย้อนกลับไปที่หัวข้อต่างๆ ด้านบน ก็ในเมื่อเรายังไม่เคยเจอคนที่จะคอยตอบคำถาม หรือสอนการใช้งานเราให้กับเราได้ หรือจริงๆ แล้วเราก็อาจแค่ถูกสอนให้ “รอรับ” มากกว่าที่จะ “ค้นหา” จนเคยตัว เราเลยไม่ชินกับการต้องออกไปไขว่คว้ามันด้วยตัวเอง?

ไม่ว่าอย่างไร.. เรามาเริ่มกันใหม่ที่นี่ เชื่อไหมครับว่าหลายคนบน Nostr นั้นเป็นระดับพระกาฬแทบทั้งสิ้น แถมพวกเขายังเต็มใจที่จะให้ความช่วยเหลือหรือคอยตอบคำถามให้กับพวกเราด้วย เราต้องหาเค้าให้เจอและเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนที่จะ “กล้า” ถาม กล้าแสดงออก และกล้าที่จะยอมรับว่าเราไม่รู้ ก่อนที่จะเราจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญได้ในภายหลัง

นี่เป็นโอกาสที่เราจะได้ใกล้ชิดกับคนที่เราอยากคุยด้วยมานานแล้ว คนที่เราเคยชื่นชม หรือคนที่เราเคยเห็นบนโลกเฟียตๆ แต่ไม่เคยหาเหลี่ยมได้สักทีว่าจะเข้าหาหรือเข้าถึงพวกเขาได้ยังไง

แค่เริ่มทำความรู้จัก โลกก็เปลี่ยน

เอาล่ะ.. ผมจะลองแนะนำวิธีว่าเราจะเพิ่มผู้ติดตามหรือเลือกเฟ้นยังไงในการติดตามผู้อื่น ผมมีแนวทางของผมเอง คงไม่ใช่สูตรสำเร็จ แต่ถ้าเพื่อนๆ จะลองนำไปประยุกต์ก็ไม่ว่ากันครับ

ตามคนดัง

วิธีที่ง่าย และตรงไปตรงมาที่สุด ซึ่งมันก็ถูกแล้ว เพราะคนเหล่านี้การที่เค้าจะดังได้ต่างก็มี proof-of-work และความน่าสนใจในแบบของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น แอคเคาต์แรกๆ ที่พวกเราคงนึกถึงก็คงเป็น อ.ตั๊ม พิริยะ และ Right Shift ทั้งแอคเคาต์ทางการ และทีมงานทั้งทีม ก็แหง๋ล่ะ เพราะพวกเขาป้ายยาพาคุณมาอยู่บน Nostr แต่อย่าตามแค่พวกเขาไม่กี่คนเท่านั้นนะครับ คุณควรจะ...

ตามคนอื่นๆ เลียนแบบคนดัง

เราสามารถกดดูได้ว่าใครกดติดตามใครเอาไว้บ้าง คนดังก็มักจะตามกลุ่มคนที่น่าสนใจแหละส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือเขาก็คงตามคนที่ถูกจริตกับตัวเอง นอกจากนี่คนที่กดติดตามพวกเขาก็จะเป็นคนที่ชอบอะไรคล้ายๆ กับเขา มันก็เป็นไปตามกฎแห่งแรงดึงดูดทางด้านความสัมพันธ์ เราค่อยๆ กดไปดูโปรไฟล์ของแต่ละคนได้ว่าเขามีความน่าสนใจยังไง ชอบโน๊ตหรือการสื่อสารแบบไหน เขามีวิธีคิดหรือนิสัยใจคอ มีเคมีแบบเดียวกันกับเราหรือเปล่า?

ถ้าใช่.. คุณก็แค่กดปุ่ม Follow แล้วกระโจนเข้าไปตอบโต้กับเขาได้เลย ไม่ว่าจะในโน๊ตใหม่ หรือ โน๊ตเก่าๆ คอมเม้นให้มันได้เพื่อนนะครับ อย่าไปเม้นให้ได้ศัตรู

เราจะเห็นแอคฯ น่าสนใจให้เพียบ แค่ลองกดไปดูว่าคนดังๆ เขามีวงสังคมบน Nostr เป็นใครกันบ้าง แล้วตอบตัวเองว่าเราอยากพาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นบ้างไหม?

ตาม Hashtag

ตามหา “ป้ายไฟ” สีที่เราชอบ หรือก็คือกด ‘#’ นำในช่องค้นหา ตามด้วยคำที่เราสนใจ แล้วลองไล่หาดูได้เลย คุณอาจเจอเข้ากับกระทู้ที่ตรงกับสิ่งที่ตามหา เรื่องที่อยากอ่าน หรือมุมมองที่อยากเห็น รวมไปถึงคนที่.. เอ้อ มันเจ๋งดีว่ะ อะไรแบบนี้ได้ง่ายๆ เลยล่ะ

เมื่อเราชอบแฮ็ชแท็กไหน เรายังสามารถกดติดตามตัวแฮชแท็กนั้นได้อีกด้วย และอย่าลืมกดติดตาม หรือติดแฮ็ชแท็ก #ThaiNostrich กับ #Siamstr เอาไว้ด้วยนะครับ มันคือป้ายไฟสามัญประจำบ้านของคนไทยบน Nostr คุณสามารถตามหาเพื่อนคนไทยได้ง่ายๆ ด้วยแฮชแท็ก 2 ตัวนี้นี่แหละ

Swarmstr เป็นตัวอย่างไคลเอนต์ที่จะรวบรวมข้อมูลบน Nostr ที่เราสามารถค้นหา หรือศึกษา Nostr ได้จากหัวข้อต่างๆ ตามแฮชแท็คที่แสดงเป็นตัวอย่างได้ (หรือค้นหาด้วยตัวเอง)

ตามประเด็นที่สนใจไปจนเจอตัวพ่อ

มันต้องมีบางโอกาสที่เราไปเจอเข้ากับกระทู้น่าสนใจ มีการสนทนากันอย่างเผ็ดร้อนหรือรื่นเริงจนคุณก็อดเข้าไปแจมด้วยไม่ได้ ที่แบบนี้แหละที่คุณจะเจอกับคนเก่งๆ ในด้านนั้นๆ หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน หรือกระทั่งเป็นผู้ก่อตั้ง หรือนักพัฒนาไคลเอนต์เลยทีเดียว และคนเหล่านี้เขาก็มาที่เกาะแห่งนี้ด้วยจุดประสงค์คล้ายๆ เรา คือ "หนีความวุ่นวายและโสมมบนโลกเก่าเพื่อแสวงหาเสรีภาพและมิตรภาพ ณ สังคมใหม่"

ดังนั้น เขาเต็มใจที่จะได้ทำความรู้จักกับเราอย่างแน่นอนครับ

แต่คนนิสัยไม่ดี หรือมีพฤติกรรมไม่เป็นมิตรเราก็จะดูออกได้ในทันที และมันก็เป็นสิทธิ์ของเราล้านเปอร์เซ็นต์ที่จะเลือกว่า จะสนใจติดตามคนๆ นี้ หรือแค่ปล่อยผ่าน หรือไม่ก็ บล็อกแม่ง ให้มันจบๆ ไป

Nostrends เป็นตัวอย่างไคลเอ็นต์ที่คอยรวบรวมและแสดงโน๊ต หรือหัวข้อที่กำลังได้รับความนิยมบน Nostr ตามช่วงเวลาหรือตัวกรองที่เราเลือก

พยายามอย่าทำพฤติกรรมแบบเดิมๆ บน Nostr

ผมเชื่อว่ามีพวกเราส่วนใหญ่ (ชาวไทย) จะคุ้นเคยกับการใช้งานและวัฒนธรรมบน Facebook แต่ชาวต่างชาติหรือผู้ใช้งานส่วนใหญ่ที่นี่จะเคยชินกับวัฒนธรรมแบบ Twitter กันมากกว่านะครับ ไม่ว่าจะเป็นการโพสต์ การคอมเมนต์ หรือการกดตอบโต้ด้วยอีโมจิ (Discord cult) ก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมในแบบที่เราอาจยังไม่คุ้นเคยกันมากนักและคงต้องใช้เวลาเรียนรู้กันพอสมควร

ขอให้พวกเราทิ้งวิธีคิดแบบเดิมๆ ในการใช้งานโซเชียลมีเดียไปได้เลยครับ เราควรอยู่บน Nostr โดยใช้แนวคิดแบบเดียวกับการอยู่ในสังคมจริงๆ ทักทาย ตอบโต้ เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือ แลกเปลี่ยน คอนทริบิ้วท์และมีส่วนร่วมให้มากกว่าที่เคย ฯลฯ เราจึงจะมีตัวตนและรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในสังคมแห่งนี้ได้จริงๆ (ไม่งั้นเราก็เป็นได้เพียง "ผู้สังเกตการณ์เหงาๆ" เท่านั้นเอง)

ที่นี่.. ไม่ให้คุณค่ากับ การอวดรู้ หรือ โชว์พาว ทุกคนดูออกได้ง่ายๆ ว่าเจตนาของแต่ละคนคืออะไร คนเหล่านี้ล้วนเคยขยะแขยง Fiat Social Media Cult มาแทบทั้งนั้น ถ้าต้องมาเจออะไรแบบนี้บน Nostr ก็จะ ยี้ ได้ทันที และทุกคนก็พร้อม และ มีสิทธิ์ที่จะบล็อกเราได้ตลอดเวลา

เราจะกดติดตามคนนั้น-คนนี้ให้มากมายไปทำไมกัน ถ้าเราจะแค่ไถๆๆ ฟีดวืดๆๆ ไปวันๆ เราจะไม่ได้เพื่อนเลยสักคนกับการทำแบบนั้น และอาจพลาดโอกาสดีๆ ที่จะได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง

เราไม่ควรทำแค่อ่านผ่านๆ เหมือนกับตอนที่เราเบื่อโลกเมื่อต้องใช้ Facebook และเห็นแต่อะไรที่ไม่ต้องการเห็น ที่นี่.. เราจะเลิกติดตามไปเลยก็ได้ถ้าแอคฯ นั้นเอาแต่โพสต์อะไรที่ดูไม่เข้าตา หรือไม่สามารถดึงดูดเราได้ (ถ้าเกรงใจก็กด Mute ไว้ก่อนก็ได้)

การอ่านอย่างตั้งใจในสิ่งที่เค้าโพสต์มา และตอบโต้ตามสมควร ก็เปรียบเสมือน การรับฟังผู้พูดอย่างตั้งอกตั้งใจ นั่นเอง นั่นคือหนทางเดียวที่เราจะเรียนรู้ได้ว่าเราควรตอบโต้อย่างไร เพราะเราเข้าใจ สาส์น ที่เขาได้สื่อออกมาอย่างถ่องแท้นั่นเองครับ

ถ้าไม่ว่าง คุณก็ปัดทิ้งได้ แล้วค่อยตามไปอ่านทีหลัง มันไม่มีการลบหรือปิดกั้นเรา ไม่มีโฆษณามาให้รกหูรกตา ถ้าเจอพวก แสกม/แสปม ก็บล็อกมันซะ อย่าให้พวกน่ารังเกียจได้มีที่ยืนบนสังคมที่คุณอยากให้เป็น

และขอให้ทุกคนระลึกไว้เสมอว่า การพูดคุยและมีปฎิสัมพันธ์ต่อกัน เท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์ได้มีความสัมพันธ์ต่อกัน

ผมขอทิ้งท้ายด้วยเคล็ดลับตกผลึกสั้นๆ ว่า..

• ติดตามผู้อื่น
• Zap ให้คนอื่นๆ
• เริ่มสร้าง Note ของตัวเอง (โพสต์) สักครั้ง หรือบ่อยครั้ง
• คุยกับคนอื่นให้มากกว่าที่เคย (มากกว่าแค่อ่านๆ ไปเรื่อยเหมือนตอนใช้ Facebook)
• ได้ Zap กลับมาจากคนอื่น
• สำรวจแฮชแท็กต่างๆ ลองใช้งานมันไปเรื่อยๆ

เหนือสิ่งอื่นใด จงใช้ชีวิตบน Nostr และแค่สนุกไปกับมันให้ได้ก็พอ.. :)

ปล. |--

• มนุษย์มีวุ้นแปลภาษาจริงๆ แล้วนะครับ ก็ Google translate นั่นยังไง อย่าให้ภาษากลายเป็นกำแพงแห่งการเรียนรู้.. จงใช้มัน ไม่ต้องขวยเขิลกันหรอกครับ (เพราะผมเองก็ใช้)

• บทความต่อไปผมจะมาลองแนะนำว่า มีแอคเคานต์ไหนบ้างที่น่าสนใจกดติดตามสัก 10-20 บัญชี เอาคนไทยเราก่อนเลย ไว้คอยติดตามกันนะครับ

@ 50c5c98c:65867c8e

This was today's InkblotArt efforts. This particular set I did up in mind for a future auction, give or take two weeks. I decided to try to get better quality images with a 20 megapixel digital camera, (ten years old, mind you.) I am uncertain if the images are better, but they are definitely heavy. So why the trouble of taking pictures? Why not use a scanner? Called around, and no one local had a flatbed scanner to accommodate 12x18 inches. So, it's no big deal, just gotta keep plugging away at learning more photography tips and tricks from Franco and Onyx.

(Blogging from my Yakihonne account)

@ d830ee7b:4e61cd62

"Bitcoin isn't real money until you can buy coffee at the street corner with it."

I've heard this frustrating argument many times. I don’t have exact numbers to confirm the current global adoption rate, but I believe over 90% of the world still doesn't know about it. That's why many still mockingly view Bitcoin as play money, stemming from their own misunderstandings.

Indeed, most general businesses don't accept it as a 'Unit of Account' yet. No governments globally have allowed Bitcoin to be a 'Medium of Exchange.' And why would they? Who would willingly relinquish financial control and power?

For over a decade, Bitcoin has proven itself as a 'Store of Value'. No other form of currency can preserve and enhance wealth like it. The HODLers have witnessed Bitcoin's value appreciation over time, surpassing fiat's fickle nature.

This phenomenon makes most Bitcoin enthusiasts reluctant to spend their stash. It's understandable and beyond criticism. After all, it's a natural right of an individual. We can't force someone to frivolously spend their saved Bitcoin, can we?

Then came Joseph Poon and Thaddeus Dryja, who jointly developed the Lightning Network in 2015. Bitcoin's world was never the same.

In 2018, the Lightning Network was introduced to the public. Starting with about 4 BTC and 1,000 nodes in March 2018, it has grown to 4,797.48 BTC (+119,837%) and 15,448 nodes (+1,444.8%). No other payment system has witnessed such astounding growth.

Bitcoin enthusiasts, then, face a personal dilemma (especially from my experiences in Thailand). They must choose between hoarding fervently or using a fraction of their Bitcoins. Whichever path they choose, both essentially promote Bitcoin adoption. Both are pushing Bitcoin to become genuine money and gain global acceptance.

A new case study emerges for Bitcoin adoption following the advent of the Lightning Network. Instead of beginning with a laborious and time-consuming study of Bitcoin, this new generation can immediately adopt it through learning and experimenting with Bitcoin Lightning. Once they experience its convenience and instantly recognize its benefits, they willingly dive deeper, venturing down their own rabbit holes.

I have an example to illustrate this. The excitement of numerous people who tried the Lightning Payment at the Bitcoin Thailand Conference 2023 (#BTC2023).

https://youtu.be/-wVuD9QUe5U?si=2e7mfhhkVsbJrPU0

We at Right Shift saw this phenomenon coming from the outset, and have played a pioneering role in pushing Lightning Network Adoption in Thailand consistently throughout 2022-2023. The impact has been overwhelmingly positive.

I can confidently state that its momentum is truly powerful. The only thing that could possibly hinder its growth is governments that don't wish to see it succeed. I believe they will either find a way to regulate it or, more likely, resist it vehemently with their lackluster CBDCs. Ironically, they're only driving more interest towards Bitcoin.

Today, I'd like to extend my gratitude to fiatjaf, the developer behind this human protocol, and Jack Dorsey, the force behind Nostr which you are using right now. Although it lacks any algorithm, I'm naturally addicted to it. I feel like a kid who has just received a Playstation5 after waiting for 3 years.

Nostr is the next evolutionary step for humanity, working hand in hand with the stories I've mentioned above to further Bitcoin adoption. In a world currently heading towards severe inflation and mainstream social media acting like power-hungry tyrants, these elements will serve as perfect catalysts to accelerate the inevitable adoption.

I have endured the mainstream media and those overwhelming apps for so long. As soon as I encountered Nostr and its constant developments, I instantly foresaw the victory of the side I chose, which will surely happen in the near future.

My team, Right Shift, and I spent less than an hour discussing the campaign to promote Nostr in Thailand. Believe it or not, after that, hundreds of Thais started exploring Nostr, some of whom had never heard of the Lightning Network before!

They grew tired of the overbearing rules of mainstream social media platforms and quickly embraced Nostr (as evidenced by #ThaiNostrich, #Siamstr, and specific events like #ThailandZapathon, as well as what’s happening on Zap.stream).

Nostr, which has captured their hearts, introduced them to Lightning and Bitcoin. This realization hit me immediately.

I believe it's a brilliant idea to show people the deterioration of this world, starting with the online community and then expanding to the real society under the control of governments that shouldn't exist and play their current roles. Eventually, they will see that Bitcoin and Nostr are solutions to these distortions.

For this reason, Nostr is paving the way for more Bitcoin adoption options through use cases that resonate more with contemporary society.

Bitcoin is no longer a challenging or rocky subject to study. Nostr is one of the easiest and most fun ways to adopt Bitcoin right now.

I'm confident that when hosting the Bitcoin Thailand Conference 2024 (#BTC2024) next year, Nostr will surely be a major highlight.

If you are a developer, expert, or enthusiast on Nostr, let me know if you'd like to be in Bangkok next year.

@ cdd14c03:99bc56d5

Chef's notes

You can opt out the bell peppers for spicier peppers depending on your choice of spice level. You can also leave the bell peppers in the recipe with other peppers.

Details

• ⏲️ Prep time: 15 mins
• 🍳 Cook time: 30 mins
• 🍽️ Servings: 2 persons

Ingredients

• 2/3 cup Chicken Broth
• 1/3 cup Sake
• 2 tbsp Oyster Sauce
• 2 tbsp Soy Sauce
• 1 1/2 tbsp Fish Sauce
• 2 tsp White Sugar
• 2 tsp Brown Sugar
• 2 tsp Honey
• 3-4 tbsp Olive Oil
• 1 lb Minced Chicken
• 1/2 cup Onion / Shallots / Green Onion
• 6-8 cloves Minced Garlic
• 2 Minced Bell Peppers
• Handful of Basil Leaves

Directions

1. In a medium bowl mix the sauce; 2/3 cup Chicken Broth , 1/3 cup Sake , 2 tbsp Oyster Sauce , 2 tbsp Soy Sauce , 1 1/2 tbsp Fish Sauce , 2 tsp White Sugar , 2 tsp Brown Sugar , & 2 tsp Honey. Set aside.
2. Heat pan to medium-high with 3-4 tbsp Olive Oil.
3. Add 1 lb Minced Chicken & cook for 5 mins.
4. Add half of the Sauce Mix to the pan.
5. Add 1/2 cup Onion / Shallots / Green Onion , 6-8 cloves Minced Garlic , & 2 Minced Bell Peppers.
6. Cook for 10 mins , then add remaining sauce.
7. When sauce is at a nice consistency, add Handful of Basil Leaves, then turn off stove.
8. Stir & Serve! Enjoy!

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมเกิดและโตในยุค 90’ ยุคเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรมคาบเกี่ยว ได้เห็นวิวัฒนาการของสังคมในหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า “Community” ที่ในอดีตไม่ได้มีกฏเกณฑ์หรือรูปแบบอันชัดเจนอย่างในปัจจุบัน.. ผมเกิดและโตในชนบทอันห่างไกลความเจริญ เรื่องราวและวิถีชีวิตที่จะเล่าจากนี้ไปก็จะขึ้นกับมุมมองหรือเลนส์ของผมเพียงคนเดียว

คอมมูนิตี้ในอดีต

ในความหมายแบบไทยๆ ที่ผมอยากจะบัญญัติมันเสียเอง มันเริ่มจากภาพของเด็กวัยกระโปกที่จับกลุ่มทำกิจกรรมสนุกสนานเฮฮากัน เล่นสนุกด้วยจุดมุ่งหมายและจิตใจอันบริสุทธิ์ ในยุคของผมนั้นการปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ กับกลุ่มแก๊งค์เพื่อนๆ เป็นกิจกรรมสุดโปรดพอๆ กับเด็กทุกวันนี้รวมตัวกันเล่น ROV หรือ ROBLOX เลยก็ว่าได้

การผจญภัยของเด็กๆ มักจะมีกิจกรรมสุดท้ายรอพวกเขาอยู่ มันอาจเป็นการลงเล่นน้ำตามลำคลอง หนอง บึง หรือปีนต้นไม้เพื่อความเท่ สำรวจโลกเพื่อเรียนรู้อะไรบางอย่าง มันก็สนุกในแบบของมัน

เมื่อโตขึ้นมาในวัยมัธยม เด็กผู้ชายเริ่มเกาะกลุ่มกันเหนียวแน่น พวกเขาโตมาด้วยกันผ่านอะไรด้วยกันมามาก ความสัมพันธ์นั้นแน่นแฟ้นระดับยอมตายแทนกันได้ มันไม่มีสถานที่จัดเตรียมไว้ให้เรา ดังนั้นพวกเราต้องเลียบเลาะเสาะหาสถานที่สุมหัวคุยกันเอาเอง หัวข้อสนทนาในยุคนั้นไม่มีอะไรที่ไปไกลเกินกว่าประสบการณ์ที่พวกเขามี หรือเรื่องที่เคยได้เรียนมา รวมทั้งสื่อเพียงไม่กี่อย่างที่เข้าถึงได้ วิทยุและโทรทัศน์

ผู้ใหญ่ วัยทำงาน ไม่ได้มีรูปแบบสังคมอย่างวัยรุ่น กลุ่มสังคมของพวกเขานั้นเป็นวงเล็กๆ บ้านใกล้เรือนเคียง มานั่งรวมตัวพูดคุยกันทั่วไปในเรื่องสัพเพเหระ ชีวิตสโลว์ไลฟ์ที่ไม่ได้มีความเร่งรีบอะไร บางกลุ่มตั้งวงเหล้าใส่กันแต่เช้า ล้มหมู ล้มวัว ทำกับแกล้มสรวนเสเฮฮา อีกกลุ่มก็เข้าวัดฟังธรรมตามประเพณีปฏิบัติสืบต่อกันมา คนในอดีตราว 20-25 ปีก่อนในท้องถิ่นของผมนั้น ไม่ได้มีความเครียด ไม่ได้รับรู้ถึงความโสมมอะไรที่หยั่งรากลึกอยู่ภายในระบบเลย คำว่า Toxic คืออะไร? พวกเขาคงนึกถึงยาฆ่าหญ้า

เงิน ในวันที่ยังมีคุณค่าทำให้พวกเขามีความสุข ผมอดนึกถึงภาพเหล่านั้นไม่ได้จริงๆ

โลกเสมือนที่ใหญ่กว่าโลกแห่งความจริง

คอมมูในแบบที่ผมประทับใจที่สุดและดูซีเรียสจริงจังที่สุดเห็นจะเป็น “สภากาแฟ” ประจำหมู่บ้านหรือในตลาด ร้านกาแฟโบราณแบบในภาพยนตร์ยุคเก่า หลายคนคงพอนึกออก กลุ่มคอมมูนี้จะสนใจเหตุบ้านการเมือง อ่านหนังสือพิมพ์จนกระดาษขาด ฟังรายงานข่าวกันแต่เช้า ถกกันดุเดือดเหมือนเป็นอีกโลกนึงเลยทีเดียว และสภากาแฟแบบนี้นี่แหละที่ผมชอบไปนั่งฟังมากที่สุด ด้วยความที่ผมเป็นเด็กชอบเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เรื่องต่างๆ ที่ผู้ใหญ่คุยกันมันช่างทำให้ผมสมองงอกมากจริงๆ

ตัดภาพ Fast forward กลับมาในยุคปัจจุบัน เราแทบไม่ได้เห็นกลิ่นอายหรือบรรยากาศอะไรแบบนั้นอีกแล้ว คอมมูนิตี้บนโลกแห่งความจริงมันดับสลายไปสูญสิ้น ผู้คนอพยพไปใช้ชีวิตกันบนโลกออนไลน์จนอาจิณ แม้ตัวพวกเขาเองผมก็คิดว่าคงไม่รู้สึกตัว เราหลุดจากโลกความจริงไปไกล เราหลงไปกับข้อมูลที่ส่วนใหญ่เป็นการล่อลวง สนตะพายจมูกลากจูงพวกเราไปทางไหนก็ได้ น่าเศร้าเหลือเกิน..

ตีวงให้แคบเข้ามาในสังคมการลงทุนโดยเฉพาะในแวดวงบิตคอยน์ ผมพบเห็นเพียงสื่อส่วนใหญ่ที่ชี้นำและชักพาผู้คนเข้าสู่คอมมูนิตี้ด้วยเป้าหมายสำคัญคือ “เงิน” และ “ความร่ำรวย” ผมคิดไปเองว่าเจ้าของสื่อก็คงจะไม่รู้ตัวเองเช่นกันว่ากำลังโดนสนตะพายจมูกอยู่โดยใครสักกลุ่มหรือใครบางคน ทั้งหมดนี้จะไม่ช่วยให้ใครเก่งพอจะเอาตัวรอดหรือปรับตัวได้เองในชีวิตการลงทุน มันไม่ทำให้หลายคนเข้าใจแก่นแท้หรือธรรมชาติของตลาดทุนอย่างแน่นอน เมื่อคนส่วนใหญ่ภายในคอมมูนิตี้ถูกชักพาในไปทิศทางนั้น บทสนทนาที่เราจะพบได้อย่างเดือนดาดบนโลกโซเชียลก็คงเป็นข่าวความเคลื่อนไหวระยะสั้นที่ส่งผลต่อราคาสินทรัพย์ พัฒนาการไร้สาระที่เอามาปลุกปั่นให้ดูดี พฤติกรรมการอวดไลฟ์สไตล์ อวดร่ำอวดรวยของอินฟลูเอนเซอร์ ที่ถูกหลอกมาอีกทีว่าควรสร้างภาพให้ดูน่าเชื่อถือ น่าเศร้ามากจริงๆ

มองหาที่ทางของตัวเอง

ผมเชื่อลึกๆ นะว่า บิตคอยเนอร์ในยุคหลังๆ ที่ยังไม่ผ่านสักไซเคิลมักจะรู้สึกอึดอัด หงุดหงิดเวลาต้องการ “คนคุยด้วย” ในชีวิตจริง มันไม่มีอีกแล้วกลุ่มปั่นจักรยานล่ากิ้งก่า กลุ่มสุมหัวที่ปลายนา หรือสภากาแฟ มันเหลือเพียงโลกออนไลน์ที่ต้องไปอยู่ท่ามกลาง Anonymous ร้อยพ่อพันแม่ กลางผู้คนที่ตัวเราเองก็ยากที่จะแสดงออกหรือเปิดใจ..

“คุยบิตคอยน์กับใครก็ไม่รู้เรื่อง” มันเรื่องปกติ.. ปกติจริงๆ ประสบการณ์การป้ายยาส้มแบบเฟลๆ น่าจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วกับพวกเราทุกคน จุดนี้เองที่ผมตระหนักได้ว่า คนชอบเรื่องเดียวกันก็ควรได้คุยกับคนประเภทเดียวกัน อย่างน้อยก็ชื่นชอบเรื่องเดียวกันก็ยังดี ส่วนหน้าตาหลังการรวมตัวกันจะออกมาเป็นยังไงก็ปล่อยให้สังคมมันปรับตัวของมันไปเองอย่างออแกนิกก็แล้วกัน

“จับกลุ่มคุยกันเรื่องบิตคอยน์” มันเป็นที่มาของไอเดียแบบแนวๆ รายการ “สภายาส้ม” จนล่าสุดเราพึ่งมี “สภายาม่วง” ที่แคแรคเตอร์แตกต่างกันพอสมควร มันเป็นการสนทนากับบนโลกสีม่วงที่แต่ละคนจะได้เป็นตัวของตัวเองแบบไร้การปรุงแต่ง ได้คุยในสิ่งที่อยากคุย ได้เล่นกับคนในแชท ได้หัวเราะแบบที่ไม่ต้องกั๊ก ได้ทำเรื่องน่าอายแต่สนุกชิบหายเลย

ผมเล่ามาถึงตรงนี้ อย่าเข้าใจผิดว่าผมลากมาตบด้วยการขายของ ผมแค่กำลังจะบอกว่า.. สภาแบบนี้มันไม่เห็นจำเป็นต้องรอให้ Right Shift ทำ ลองจินตนาการสิว่า มันมีสภาแบบนี้อยู่ที่หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ หรือจังหวัด หรือภูมิภาคของคุณเอง เช่น สภาชลบุรี, สภาขอนแก่น, สภาน่าน หรือสภายาส้มเขาใหญ่ ฯลฯ

มันเป็นไปได้นะ.. คำถามคือเราจะสร้างสภาแบบนั้นขึ้นมายังไง.. ก็ใช้ประโยชน์จากสื่อโซเชียลมีเดียที่เรามีนี่แหละ ประกาศตามหาพวก ทำความรู้จัก นักเจอกัน เริ่มจากเหตุการณ์เล็กๆ จุดเริ่มต้นน่ารักๆ นำไปสู่วัฒนธรรมสังคมอันยิ่งใหญ่แบบที่พวกเราทำกันมาแล้วนั่นไง

ผมอยากเห็นอะไรแบบนั้น อยากให้มีภาพความประทับใจจากหลายๆ พื้นที่มาอวด มาโชว์ มาแบ่งปันกัน มันก็ดีกว่าการเช็คอินสถานที่ต่างๆ ที่ตัวเราเองก็ไม่เห็นเคยอินกับมันเลย..

รออยู่นะ.. สภายาส้ม สภายาม่วง ทั่วไทย

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

En medio de la creciente tensión desencadenada por los recientes ataques sorpresa del grupo islamista Hamás contra Israel, Nueva York ha tomado medidas drásticas para reforzar la seguridad en anticipación a las manifestaciones convocadas en apoyo a Palestina y el grupo terrorista Hamás, programadas para este viernes.

La Policía de Nueva York (NYPD) ha anulado las vacaciones de sus efectivos y les ha instruido a estar en servicio con sus uniformes. Además, han activado un centro de operaciones en Manhattan para supervisar y gestionar las protestas, especialmente la que se prevé en Times Square este viernes.

Un memorando filtrado a los medios detalla que «todos los miembros del servicio en uniforme desempeñarán sus funciones y estarán listos para el despliegue».

Por otro lado, la gobernadora de Nueva York, Kathy Hochul, ha sugerido que las escuelas judías y sinagogas consideren no abrir sus puertas mañana en respuesta a las protestas. También destacó que la elección de llevar a sus hijos a estos lugares es una decisión personal de las familias.

Desde que comenzó el conflicto el pasado sábado, Nueva York ha sido testigo de protestas tanto en apoyo a Israel como a Palestina, lo que ha resultado en enfrentamientos entre manifestantes de ambas partes en las calles del centro y cerca de la Embajada de Israel.

El antiguo líder de Hamás, Khaled Meshaal, quien estuvo al mando del grupo islamista entre 2004 y 2017, hizo un llamado el miércoles a la comunidad islámica de todo el mundo para manifestarse en apoyo a Palestina este viernes.

«Un llamado a nuestro pueblo palestino, a las masas del mundo árabe e islámico y a los defensores de la libertad en todo el mundo», reza el comunicado, según la traducción del Middle East Media Research Institute. «Declaramos el próximo viernes, ‘El Viernes de la Inundación de Al-Aqsa’, como un día de movilización general en nuestro mundo árabe e islámico y entre las personas libres del mundo».

El comunicado se refiere a la Mezquita de Al-Aqsa en la Ciudad Vieja de Jerusalén, cerca del Muro Occidental del Segundo Templo Judío, un lugar de tensiones recurrentes entre judíos y musulmanes.

«Instamos a nuestra juventud rebelde en toda Cisjordania, en sus ciudades, pueblos y campos de levantamiento, en las calles y vecindarios de Jerusalén, y en las plazas de la bendita Mezquita de Al-Aqsa, a levantarse, unirse a manifestaciones masivas y sacudir el suelo bajo los pies de los invasores sionistas y sus grupos de colonos», agrega el comunicado. «Enfrenten a sus soldados y a su cobarde ejército en cualquier lugar, afirmando la unidad de nuestro destino y el camino hacia Jerusalén y Al-Aqsa, liberándolos de la contaminación de la ocupación sionista».

Hamas insta «a las masas de nuestra nación árabe e islámica y a nuestro pueblo palestino en todos los lugares» a marchar hacia «las fronteras de nuestra querida Palestina en concentraciones masivas». También insta «a las personas libres del mundo a movilizarse en solidaridad con nuestro pueblo palestino y en apoyo de su causa justa y sus legítimos derechos a la libertad, la independencia, el retorno y la autodeterminación».

Robert Greenway, director del Centro de Defensa Nacional de The Heritage Foundation, dijo a The Daily Signal que el comunicado resultará en derramamiento de sangre. «Es un llamado global a las armas inequívoco», afirmó Greenway. «Será atendido. Habrá sangre».

Hoy, estudiantes de la Universidad Pública de la Ciudad de Nueva York se manifestaron en apoyo a ese llamado de Meshaal.

Además de Nueva York, otras grandes ciudades de Estados Unidos, como Los Ángeles y Washington DC, han intensificado sus medidas de seguridad de cara al viernes, según informes nacionales.

La Policía de Nueva York está investigando incidentes menores ocurridos en los últimos días que podrían estar relacionados con la escalada de hostilidades entre Israel y Hamás.

@ d830ee7b:4e61cd62

สองคนนี้รู้จักกันเพราะคุยเรื่องบิตคอยน์กันแน่ๆ เลย?

ถ้าผมบอกว่าเราคุ้นเคยกันมากขึ้นเพราะ "เกมส์" คุณจะเชื่อไหม?

ย้อนกลับไปในช่วงเปิดตัวหนังสือ The Bitcoin Standard ฉบับแปลไทยของ อ.พิริยะ นั่นคือเหตุผลแรกที่ผม ซึ่งเป็นใครจากไหนก็ไม่รู้ ทักไปหา อ.ตั๊ม ครั้งแรก..

"ผมเอาเล่มนึงคับ"

ก็คงเป็นการ Approach แบบที่ใครเค้าก็ทำกัน พวกคุณก็คงพอเดาได้ แต่คุณคงเคยเห็นมาแล้ว บัญชีโซเชียลมีเดียแต่ละแอปของเขาน่ะ การแจ้งเตือนมัน 999+ ตลอด ผมไม่คิดว่าจะมีใครโชคดีได้ป๊ะได้คุยตั้งแต่ทักเขาครั้งแรก

ใช่ครับ.. ผมรอครึ่งปีเพื่อให้ถึงจังหวะโอกาสที่เขาต้องตอบผมแน่ๆ ก็ตอนขายหนังสือนี่แหละ..

ไม่มีอะไรมากมาย ผมมีแนะนำตัวเล็กน้อยว่าผมเป็นแอดมินเพจ CryptoNize (ที่ตอนนี้เลิกทำไปแล้วล่ะ) ผมชื่นชอบบิตคอยน์ และติดตามมานาน บลา บลา บลา

แต่สิ่งหนึ่งที่ผมต้องใช้ความกล้าอย่างมาก และต้องทำทันทีคือการ "Declare" บอกกับเขาตรงๆ ว่าผมอยากร่วมทำบางอย่างเพื่อตอบแทนสิ่งที่เขาทำทั้งหมดด้วยการช่วยทุกอย่างเท่าที่เขาจะอนุญาต โดยเฉพาะการสร้าง Bitcoin Network ในไทย ก็ถ้าไม่ใช่โอกาสนี้ก็ไม่รู้จะทำตอนไหนละ

เอ่อ.. ผมคิดว่าตอนนั้น อ.ตั๊ม ก็คงจะงงๆ แบ่งรับแบ่งสู้ อะไรของมึงวะหมอนี่..

จริง ๆ มันเริ่มมาจากการที่ผมสังเกตมานานแล้ว และคิดเรื่องนี้ในหัวมาตลอด ผมเองก็เป็นคนนึงที่อยากทำให้ในไทยมีฐานความรู้เกี่ยวกับบิตคอยน์ภาษาไทยมาตั้งแต่ต้น

ผมหลงเข้าดงชิตคอยน์ในก้าวแรกสู่ตลาดคริปโต เดชะบุญที่ผมอยู่กับการศึกษาวงการลงทุนมานาน หลายสินทรัพย์ที่ผมรู้จักดี ผมใช้เวลาไม่นานนักในการแยกแยะได้ว่าอะไรคือของจริง ของปลอม

หลังจากนั้นผมก็ทำเพจบิตคอยน์งูๆ ปลาๆ ในแบบของตัวเองไป แน่นอนว่าในไทยเมื่อคุณตกลงปลงใจจะศึกษาบิตคอยน์ ชื่อแรกที่คุณจะนึกถึงแน่ๆ คือ อ.พิริยะ เขาเป็นไอดอลของผมเหมือนกับพวกคุณทุกคนนั่นแหละครับ

แล้วไอดอลกลายมาเป็นเพื่อนเราได้ยังไง?

มีช่วงหนึ่งที่ผมสังเกตุเห็นได้ชัดว่า อ.ตั๊ม เริ่มมีอาการ Burn-out ผมไม่รู้ว่าใครเห็นแบบผมไหมนะ แต่ผมแน่ใจว่าใช่แน่ๆ ผมกลับไปคิดว่าผมจะช่วยอะไรเค้าได้บ้าง?

ถ้าเราอยากจะผลักดันวงการบิตคอยน์ในไทย แทนที่จะแยกกันทำไปแบบนี้ ทำไมเราไม่ไปขอจอยช่วย อ. ทำ เสริมพลังให้แกไปเลยนะ? ผมตัวเล็กมากในคอมมูนิตี้ไทยตอนนั้น จะว่าโนเนมเลยก็ได้ แต่คิดอะไรเกินตัวซะเหลือเกิน

But how?

ผมรื้อทุกอย่างที่เป็น อ.พิริยะ เท่าที่จะหาแหล่งข้อมูลได้ในเมืองไทย ผมเป็นคนนึงที่ดูทุกคลิป ทั้งบิตคอยน์ สอนเทรด ส่วนตัว เฟซบุ๊ก หนังสือที่อ่าน วิธีที่พูด โพสต์ที่เคยผ่านตา บทความที่เคยเขียน ฯลฯ เรียกว่าผมวิจัยคนๆ นึงเลยก็ว่าได้

ผมศึกษานิสัยใจคอของเขา ความชอบ เป้าหมาย ต่างๆ นานา ไม่ใช่เพื่อจะ Take Advantage จากสิ่งนี้ แต่ผมต้องการเป็นเพื่อนกับเขาจริงๆ ผมเป็นคนแบบนี้ ผมชอบทำงานกับเพื่อน กับคนที่รู้มือรู้ใจกัน และในสถานการณ์แบบนี้ มันควรเป็นผมที่ต้องเข้าใจ อ. ให้ได้ก่อน

ถ้าคุณคิดว่าเราคงถกเรื่องบิตคอยน์ หรืองานเทรดกัน คุณคิดผิดถนัด.. ผมคุยเรื่องสัพเพเหระที่ไม่เกี่ยวกับบิตคอยน์กันแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งวันนี้ก็ยังเป็นแบบนี้ เรื่องที่เราคุยกันถูกคอมากที่สุดคือ.. "เรื่องเกมส์"

ให้ตายเถอะ เรามันเด็กที่โตมาในยุค 90' เหมือนกัน มีอะไรจะคุยได้ยาวเท่าเรื่องในอดีตอีก เราคุยถึงสมัยเรียน สมัยเด็ก สมัย Ragnarok เราเล่นเกมบน Nintendo switch ด้วยกัน

เอ่อ.. ผมหมายถึง… เล่นของใครของมันแล้วมาคุยกันอะนะ

พวกคุณรู้ไหมว่าเราชอบเกมกันขนาดนี้ แต่เอาเข้าจริงเราได้เล่นกันก่อนนอนวันละไม่เกินครึ่ง ชม. แค่นั้นเอง เอาแค่พอให้หายอยาก เรามีเรื่องต้องทำกันเยอะมากๆ ในตอนนั้น หากใครยังจำได้ จะมีช่วงนึงที่ อ. พูดถึงเกม Triangle Strategy บ่อยๆ นั่นแหละ เล่นอยู่กับผม

แต่อันนี้ยอมนะ เกม RPG นี่ผมสู้แกไม่ได้จริงๆ

จนกระทั่งเราได้เจอกันครั้งแรกที่งานมีตอัพบิตคอยน์ที่โรงเบียร์พี่ชิต (น่าจะมีคนอ่านสักคนที่ได้ไป) เอาจริงๆ นะ ผมไม่ตื่นเต้นเลย เป็น อ. มากกว่าที่ไม่รู้จะทำตัวยังไง ฮ่าๆๆ

ก็ผมมันดิบ ผมเป็นคนเซอร์ๆ ขัดกับลุคของ อ. คนละขั้ว แต่คนต่างขั้วนี่แหละพาพวกคุณให้ได้มาอ่านบทความนี้บน Nostr ตอนนี้ เรามาไกลจากตรงนั้นมาก เรามีคอมมูที่โตขึ้นอย่างออแกนิก มีสมาชิกน่ารักๆ ในคอมมูนิตี้หลายคน เรามี Right Shift และพาร์ทเนอร์อีกมากมายที่กำลังผุดกันขึ้นมา

ผมที่คิดว่าจะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระ อ. ในตอนแรก ตอนนี้ผมทำให้เขายุ่งยิ่งกว่าเดิม แต่ผมก็สัมผัสได้นะ ผมเชื่อลึกๆ ว่าตอนนี้ อ. คงมีความสุข อ.ไม่ได้สู้ตัวคนเดียว วันนี้ อ. มีพวกเราทุกคน มันจับต้องได้ ใช้แค่หัวใจก็สัมผัสมันได้ละ

สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นระหว่างเราสองคน คือผมได้สวมกอด อ. (แบบลูกผู้ชาย) หลังการจัดงาน BTC2023 ไม่มีใครได้เห็นภาพนี้ เพราะมันอยู่ในความทรงจำของผมคนเดียว…

เราเคยวาดรูปล้อเลียนให้นาย.. ตอนนี้ยังอยู่ดีไหม?

ผมอยากจะบอกกับทุกคนว่า.. เราคงไม่สามารถมีเพื่อนได้จากการนั่งอยู่เฉยๆ หรอกครับ มันมีคุณค่าบางอย่างที่จะคอยดึงดูดคนเราเข้าหากัน แต่มันต้องมีสักคนที่เริ่มก่อน และ พิริยะ คือชายคนนั้นที่ได้มอบคุณค่าบางอย่างให้กับพวกเรา พวกเรารู้กันดีว่ามันคืออะไร

สิ่งนี้แหละเรียกว่า Value for Value เมื่อเราให้มากพอ วันนึงเราจะได้รับบางอย่างเป็นการตอบแทน..

@ f839fb67:5c930939

Amethyst Version:

0.79.2

Damus Version:

1.6 (23)

Hmm.

~~It seems that I can not use the ⚡ emoji in place of the letter S in my name from Damus~~

A fellow pleb let me know that I was only showing my npub to Damus users. So I decided to grab my meta again, as I have a backup from a few days ago, when all was well. But this is just plain confusing.

nostr:nevent1qqsqqqytgz9ydljuchxcdg4dcrxn6cwxrl8h8hq7z3808c3hkeyt7egpramhxue69uhhyetvv9ujuanpdejx2unhv9exketj9enxzmtfd3usptzc27

Damus writes the Your Name input to display_name, and Username input to name While, Amethyst uses the Display Name input and writes to display_name, displayName, as well as name.

wuh... 😂

💜🫂 #damus #growingpains #amethyst #kind0 #metamess

EDIT: The Damus issue is actually already been mentioned by jb55 as a parsing error.

@ 75bf2353:e1bfa895

-----BEGIN PGP PUBLIC KEY BLOCK-----

mQINBGUI1foBEACqEeA13CbvUUgNtu66o+BmZ+VWqJLQyW8BFSkxKel36EEWj4rB j1DfKX+fIpoVTIkyBGW16Aq0YXJ88Bh+H5+fJo+YrJgFOjfmYZNNAWvy6+t5PZol GfNOJZ5sBPIbPZfalDwL8sBCSlmLcPipaB4X9wVsaXcB1T5IrVq3nkQ/pMJzdKz2 t9L7+TVpVpi8NJM7b2P38OudaRpu4ziBAlsYWotEv+h62sgtJs3e4K8hios8Mylj +a4U16rSTUeZ0T4Ga3wpM50k6CyVHhtuxveFH6Lj0q8PVXJEpiDmjNClvgo+zUz3 IAOj3DO/xB9Fx+uiVk3PBbum85J3US8kN3TB7nh1Rx9QtomwPEVJbMYwz1fC/NzU giLzj0xhRO0RerIcdIBvjXox9RfHBFEgshGATWpZchrSR1Uw+wpzsSM3Q96TkbQY 4O084D+HiG5kpuz5UEhNAdOXFr8fiJFvsL+Ef14pFGEKuxIsqxDLI2HeFOft4Q1A /ru5gP0bsMfnUOLMMbI7lIdbUKcmidE2NBZ1rjqqAP9s3uQquiXigsaEa8miBFHi FxxPldC8PcntUhO1T4tM3JaMpTh6nlsZkDuzqQtxSPDQOFEdHuF1E/081ehrlJWY W0OoiXwC5OArOpe3+pTJbmyXq0NU0E2aL0LX0FgIczUagwSdSDiwOswpEQARAQAB tHdCbG9nZ2luZyBCaXRjb2luIChucHViMXdrbGp4NWM2YTh1Y2NjNWV0d3M4cnkw eTNyNGRnYXZoMmRjYXYwdGFsNHJ0bWNkbDR6MnNmdTV1MHQpIDxtYWNhcm9uaV9z aGFudHk4NTNAc2ltcGxlbG9naW4uY29tPokCTgQTAQoAOBYhBC0xvTAnkpQMWoGf mvMqA1gca4vWBQJlCNX6AhsDBQsJCAcCBhUKCQgLAgQWAgMBAh4BAheAAAoJEPMq A1gca4vW3X0P/0sIKrQJ08hSbXXrtJc1dAxYsPE37SyTXCPksrvWLRp0mTxp6yFM W0xJacvSQTmvkalAga/uSD6HtEqw5+fL0QtpZK0Vpdo7p4ZkMkMcu9girOYrpvcv zDNRl06ZBf4T+LlIn7s3XNAHy7naOw8t9YOkCSIt6by+6hb25aP10k0rbdHDb4it wPL2F10ycoOK1VDW1zih/1aN7Q6Ud3dr2Zsy9ChdqH5y+Usmz4CAPeDAM7+Qsehk H4mYsS9p4ceDhaYaEmv5sW55A11Rz53RkpgY12/wMd4MrwAo+LqAOxBrccZAZ/Da zBrodjJFTfH0kuplWkGQ0UKvkQSxCTRKGEsYsdFEKNFrqtPgerDImxLUjU3bXK8z Ns0hNFabZlnMTZKBd4Fj+mAYkEvoDi9GEo49PZKxP54kI243ngu5MdwmYQ/i6sIq ntSW6sYttl582arTVadVKsOpNisL0PMFILXREWIA9EbLp/f8k7cdle58ADHZXHm+ V6Ft6C0LCnhhn83E1MKTNf/a5ht/MufVb9P1vfgzIn5cK4aovLu4gykjlaP6pi52 PFcFr3D51nBa4sHsnKLvaa7W0K0MukE9FfALzCAVv3u6l/vzlpLieq827ZIWmT19 HngBOLMo//Q4+RCt+OJ1jCfJ/8lWWj9sV55Vub8BOwpxOKeR/TtQOIS1uQINBGUI 1foBEACx2k6rDFxdicjwtmquqLfExAQ1aDDZxtuUe4K9qRudgh6Fob3l2u42qdXo W+nEdbZUZpVS/pIZC+FKM0xu9UFRJXWHZeNPAJLGO6iBybTn4Ou279YLB4GlcOkN PY79hKY8FGv30Mhk3fjLJ/EMH3ax2KaIDOZBdNOIK3VOwyVCbCCL0e1fXn3jisuS DuQBR7yIoW8phP+yoRD/EogHPQQxEiphVKisXK6CHrhPlCxSxQNAPidiV1CRDJAt sD7WCM9b6ixI6rPGKX2AaY5lr0AxEFcP1RWhVs1Pc6nmUD/qPp9PgTczsBiyHikE MSI1sc5vv6cx9T+dMnBumiQ21ZDTmLpmWFgW8DAKhDv4h+k8x3J3x3KFHMapUBer sazjEThuhsBCPQsAnroS7mIGeAgTeM53Lsfa4JjJzodfkbZrKfsnPqVi0dKqUd/y xeVQ5BZVIcwaabPoULggMimbW7mWPfvdgmULY0jPL3Kl1Ch0411tWDJZ2zhpqA7C hVXPVmiRcMYpf40WYYZ1wp1jl8oBgVQN1YJHf4beauBT/A8of7X7JONIZSPtLLzO 23af9nNsiqJ7K87QNqJX+E0QVt69gb7KSwSa0hhr7eb8S8+aA9Bas98ADOy7WW9f te4WTPcqHu1rLsuxHD6QG9Zg2LhIN3CKeI7tq/XkhvGX+UWfjQARAQABiQI2BBgB CgAgFiEELTG9MCeSlAxagZ+a8yoDWBxri9YFAmUI1foCGwwACgkQ8yoDWBxri9bb fhAApEqrKxu8gaXBTnlPWUySbylO2gAgjmxpqujturN70oiec8Y4UfIShHnXTbdJ ftzBf4CWyySBjFPzxOULem74uVHFPqzctmSLXrrO0DmNVfW1mH8XweYRPxzmX1w8 Nwn89AqzxmQg33NRoLGMqjaJhnJoL/mWxYUX+zH6Apfbm6BzcKfoiX3lOjNHnz3t boppdHC3kLut2QohtqOQu56EcOo0mbJ6V11esrfOAo/Kihw+dzMIsidVtMaXrY0z NWHDb7g5w198qutOonbq8K3O8r41/q+ElNlc9RDauyppodRGhsIXE21rHksIu0ry mBPp8njQ/B84Lcbu29jlOQrZTEXl19cpsAAZ2A28EyriOYcVFJPqwpJkublZgJD5 Kc3ojkoBzOuSUfWSXhzKx5rBZJLjCIkJmNiczZzYer8gpOXwSClTZ66kQVC4rZMr aOynEoERkScyuAn7jxCUQdQ2I21YilQ60mDX/Xiu49P7IxnR7gW6CSEhGP82Zvrp 1rxMvSpxuuVdsLgsn5cwbmHEr3/FNqDsyrzQAGQ+1XJtOu7LNFM5PX/HQCkKJaSn dwttAYIWYVcan0NGjuhcRPx3GuA8MCmlUmvRyKk9UJfKEhjqrFUf8qgUyWpd6sLF hf57PPVooKGK3fj5ot54xhVTObvImmeOWIKiI49Kd0ioGE4= =6wIp -----END PGP PUBLIC KEY BLOCK-----

@ d830ee7b:4e61cd62

ผมมีความสุขดีกับการทำตัว Low profile เพราะมันมีเรื่องราวที่เป็นเหตุผลของมันอยู่..

ใครอ่านงานเขียนผมบ่อยๆ จะทราบดีว่าผมมักจะเขียนไปเรื่อย เล่าเรื่องหรือความคิดของตัวเองออกมาได้ยาวเหยียด เมื่อมันเป็นแบบนี้ก็เลยคิดว่าจะใช้ Account นี้ให้เหมือนเป็นบล็อกส่วนตัวสุดๆ แบบไม่มีคอนเซ็ปต์ไปเสียเลย วันไหนอยากเขียนอยากเล่าอะไรผมก็จะเล่ามันดื้อๆ นี่แหละ..

มันเริ่มจาก.. มีคนพยายามบอกว่าผมอยู่เบื้องหลังของคอมมูนิตี้บิตคอยน์ในไทย มีคนบอกว่าผมเป็นตัวตั้งตัวตี แต่ก็เป็นคนที่ลึกลับหาข้อมูลได้ยากอะไรแบบนั้น ซึ่งมันก็มีทั้งส่วนที่ถูกและยังไม่ใช่อยู่พอสมควรครับ..

อย่างแรก ผมไม่ได้มองว่าตัวเองยิ่งใหญ่หรือมีบทบาทสำคัญมากขนาดนั้น ผมยังเชื่อมาตลอดว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น มันไม่ได้เกิดเพราะผมเพียงคนเดียว มันประกอบมาจากหลายส่วนและคนที่มีส่วนร่วมในสิ่งนี้ยังมีอีกมากมาย ผมอาจเป็นฟันเฟืองหลักในเรื่องนี้ แต่ยังไงผมก็คงต้องปฎิเสธว่าไม่ใช่เพราะผมคนเดียวอย่างแน่นอน ใช่ครับ.. มันก็มาถึงตรงนี้ได้เพราะพวกเราทุกคน

อย่างที่สอง โดยส่วนตัวผมคิดว่าการมีตัวตนในลักษณะนั้นจะทำให้ผมไม่สามารถทำอย่างที่ทำอยู่ในทุกวันนี้ได้ มันจะทำให้ผมนึกถึงเพียงแค่ตัวเอง สนใจแค่เพียงตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง

ซึ่งมันขัดกับเป้าหมายสำคัญส่วนตัวของผมนั่นคือ “ส่วนรวม” ฝันของผมนั้นไกลจนยากที่ใครจะจินตนาการถึง วันนี้เราทำเสต็ปแรกกันยังไม่ครบเลยด้วยซ้ำ หากผมมตัวแต่ส่องกระจกประเมินตัวเองอยู่ทุกวันๆ ผมคงไม่มีเวลาไปคิดถึงส่วนอื่นๆ เป็นแน่แท้ ..งานแบบนั้นยังมีอีกหลายคนที่พร้อมจะเสียสละและเต็มที่ไปกับมัน ไม่จำเป็นต้องเป็นผมใช่ไหมล่ะ

อย่างที่สาม ผมเชื่อในแนวคิด Decentralized อย่างที่สุด คำนี้ลึกซึ้งมากกว่าแค่เข้าใจว่ามันกระจายหรือรวมศูนย์ ผมไม่ได้เป็นคนที่เข้าใจลงลึกในวิชาการหรือความรู้ทางเทคนิคของบิตคอยน์มากนัก ผมเชื่อว่าตัวเองก็แค่รู้ในระดับคนทั่วๆ ไป แต่ในเรื่องหลักการและแนวคิดพวกนี้ รวมถึงการนำมาประยุกตร์เข้ากับเรื่องต่างๆ ในชีวิต ผมคิดว่าผมทำได้ค่อนข้างดีเลยล่ะ

เกี่ยวกับเรื่องนี้.. ผมเชื่อเองตั้งแต่ต้นว่าสังคมจะไม่เติบโตอย่างยั่งยืนหากพึ่งพาผู้นำหรือใครคนใดคนหนึ่งมากเกินไปหรือกระทั่งการเทิดทูนฮีโร่ บิตคอยน์ยังอยู่มาอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 10 ปีผมไม่คิดว่าเป็นเพราะใครสักคน แต่มันเป็นเพราะอาณุภาพของ Network ที่เข้มแข็งและแพร่กระจายตัวในทุกนาทีแบบเดียวกับไมซีเลียม ผมฝันอยากเห็นสังคมที่โตในแบบของมันเอง มีความมั่นคงเข็มแข็ง อาจไม่ต้องเป็นหนึ่งเดียว แต่มันไม่ควรมีจุดตายอยู่ที่ใครทั้งนั้น

เราสามารถมีผู้เสียสละเก่งๆ ได้อีกมากมายที่กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ต่างจังหวัด หรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อทำหน้าที่ผลักดันในแบบที่เขาถนัด

https://i.imgur.com/3sDzTdg.png เมื่อเราจินตนาการเห็นภาพนั้นเราจะเริ่มตระหนักได้ทันทีว่า..

เรานั้นตัวเล็กเกินกว่าจะไปคิดว่าเราใหญ่

ผมไม่ชอบใช้คำว่า “การต่อสู้” หรือ “การเอาชนะ” ไม่ว่าจะกับใคร (ใครๆ ก็คงจะหมายถึงรัฐ) บิตคอยน์มันชนะได้ด้วยตัวมันเองแบบไม่ต้องแข่งเลยด้วยซ้ำ ทำไมเราต้องไปเสียเวลากับการคิดหาหนทางเอาชนะในแบบเดิมๆ วิธีที่แยบยลกว่าน่าจะเป็น “การสร้าง” สิ่งที่ทรงพลัง กำแพงหนาที่แข็งแกร่งยากจะโค่นล้ม นั่นคือพลังแห่งความคิดและฝูงชน พลังแห่งเครือข่ายและชุมชน

ผมอยากเห็นมากกว่าแค่คนๆ เดียว คนกลุ่มเดียว ที่เก่งกล้าพอจะลุกขึ้นมาเสียสละแบ่งปันและช่วยเหลือ เผยแพร่สิ่งที่พวกเขารู้ไปยังคนอื่นๆ เพื่อขยายแนวคิดให้กระจายออกไป ผมมีส่วนจริงในการปลูกฝังแนวคิดและสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมาจากจุดนั้น แต่ผมไม่ใช่คนบงการอะไรทั้งสิ้น

แนวคิดจะได้รับการยอมรับคงไม่ใช่เพราะคนมาเกรงใจตัวผม แต่มันควรมาจากการที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่ามันอาจเป็นแนวทางที่ใช่สำหรับสังคมของพวกเขา เราอาจต้องนำ ต้องเป็นแบบอย่างก่อนในช่วงแรก แต่เมื่อทุกอย่างเริ่มเข้าที่ ทุกคนเริ่มเข้าใจเหตุผลและรูปแบบในการอยู่ร่วมกัน เวลาของผมสำหรับบทบาทนั้นก็คงไม่ต้องมีอีกแล้ว

นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมผละจากสิ่งที่เคยแอคทีฟในตอนแรก การมีส่วนร่วมเป็นแกนหลักและคอยแอคทีฟในชุมชน ผมไปทำอีกสิ่งหนึ่งเพื่อเตรียมไว้ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนในอนาคตนั่นคือคลังความรู้ เพราะผมเชื่อว่ากลุ่มบิตคอยน์ของชาวเรามันเติบโตขึ้นมากแล้วจากวันแรกๆ ที่เราได้เริ่ม

มันไม่ใช่เรื่องของจำนวน ไม่ใช่เรื่องของการตลาด มันคือหลักการและแนวคิด รูปแบบการปฏิสัมพันธ์ที่ค่อยๆ ก็ร่างสร้างตัวมาเรื่อยๆ จนมีคุณลักษณะที่ชัดและเป็นปัจเจกแตกต่างจากเหรียญอื่นๆ ไม่ว่าใครจากภายนอกจะมองว่าสัวคมของเราเป็นแบบไหนก็ตาม ผมไม่ได้สนใจเลยตรงนั้น เพราะนี่แหละคือเราในแบบของเรา

ผมมาเขียนเล่าเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพราะผมอยากจะหายตัวไปแบบ Satoshi หรอกนะครับ ผมไม่ได้ทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นเลย เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดว่าเรานั้นใหญ่เสียเหลือเกิน ตัวของเราจะบดบังตาเราจนมืดบอด เราจะมองไม่เห็นใคร

ผมขอเป็นคนตัวเล็กๆ เล็กพอที่จะมองเห็นคนทุกคนบนโลกแบบนี้ต่อไปดีกว่า ผมชอบที่จะได้เห็นและคอยมีส่วนกับทุกๆ เรื่อง ผมสนุกกับมัน และหวังว่าพวกเราที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงจะสนุกแบบผมเหมือนกัน

https://i.imgur.com/z7XmLjh.png บิตคอยน์ไม่ได้เปลี่ยนโลกในแบบที่เราเข้าใจ มันเริ่มเปลี่ยนคนตัวเล็กแบบพวกเขาให้เติบโตไปเปลี่ยนโลกต่างหากล่ะ

@ 3492dd43:1af4ffdd

In speaking to many friends about nostr, i realised it would be handy if i could send them a quick one pager to help get them setup with a client, understand the nature of key pairs (just think username/password for now) and briefly highlight why protocols over platforms.

This is intended to be as brief as possible. One liners ideally. So it will naturally lack depth, but the aim is on simple and actionable.

OK. So.. lets dive in.

Nostr is a protocol - not a single app (client) like facebook, twitter or instagram. A protocol can be thought of simply as a highway for information. It is also critically not a company. It is simply a technology that anyone can use and build upon. Much like TCP/IP which the internet is built on and like bitcoin. Nostr clients are also not limited to social media. This just happens to be one of the initial popular use cases, but nostr has way more potential than simply social clients/apps.

What makes nostr different? The basic structure of nostr contains relays (where data is stored) and clients (the app you use to interact with this data). This is significant as anyone can run a relay and anyone can create a client to access that data. If you compare to this the current status-quo it provides a wildly different range of possibilities which ultimately benefit the user.

Where the existing are centralized, nostr is decentralized. Where the existing are closed, nostr is open

The other core difference with nostr is its use of key pairs A key pair is like a username and a password but leverages the security provided by cryptography. So you have a public key (username) which anyone can see, and is akin to your identity, and a private key which enables you to publish as this identity. One huge positive benefit from this is it means you can use multiple different clients, but you do not need multiple different identities and login credentials. This is a game changer, and means the network you are connected with can follow you via any nostr client.

Get Started:

For iOS users: Download Damus from the app store.

For Android users: Download Amethyst

These are two of several micro-blogging twitter-like clients, and a great way to get you started.

Both apps will run you through a setup process and help to create a new key pair. Probably the most important part of this to understand is that we do not want to be manually entering this key into the a browser or anywhere where it could be public.

Using Nostr on your laptop/desktop If you want to access nostr from a laptop of desktop environment the best option to manage your keys is Alby. Click install browser extension and you'll be off and running. Once this is setup with your private key saved, every time you access a client in the browser Alby will prompt for your confirmation.

One final step that is not essential but will really open up an entirely new potential is to link a lightning wallet address to your profile - this will let anyone, from anywhere send you bitcoin.

To do this, download Wallet Of Satoshi and save the lightning address to your profile in your nostr client of choice and you’re ready !! That’s it!

Now you’re setup, you can begin to explore the potential of nostr. Welcome to the future 🫂🧡

@ d830ee7b:4e61cd62

https://i.imgur.com/bUDUOZH.png On the day the world seemed on the brink of collapse, you chose to embark on Noah's Ark. An escape vessel from the mundane life you've grown weary of. The ship was filled with hopeful souls, silently gazing into each other's eyes throughout the journey. The silence stemmed from unfamiliarity, yet deep down, they all recognized a shared purpose.

https://i.imgur.com/ovK3sUm.png The voyage was long and fraught with challenges. The ship braved countless storms and turbulent waves. They had no choice but to rise and work together, each lending a hand. Some mended the ship's cracks, others tended to the engines, while a few bailed out the infiltrating water. No one wished for this ship to falter. Their collective dedication became evident.

https://i.imgur.com/6XaPlDc.png Some aboard lacked the strength to assist others. Yet, they didn't want to be burdens. No one wished to be valueless in such circumstances. They fetched water and food, delivering it to those laboring tirelessly. A standout individual emerged, acting as the ship's captain. He received applause, encouragement, and sustenance. Everyone acknowledged the genuine care they had for one another. They all recognized the collective spirit propelling the ship to shore.

https://i.imgur.com/eEPqbNN.png When the storm subsided, they sat and shared tales of the recent ordeal. A mix of raw emotions and shared joy permeated the air. From an initial silence, the ship now echoed with laughter and chatter. Many found kindred spirits, while some discovered love. A small society within the ship began to evolve into a larger community. Everyone felt a sense of belonging and responsibility towards their shared vessel.

A few volunteered to return to their point of origin. They wished to share this inspiring tale with others, hoping to offer them a better life. Such selfless and compassionate souls.

https://i.imgur.com/Tx5Z3Fu.png Noah's Ark brought them to a new realm. It was as magnificent as they had imagined. An untouched paradise, abundant and unclaimed. Nature here was pristine, overflowing with resources. Their diverse skills and expertise meant everyone had a unique role. Yet, all worked towards building a new society that valued everyone's life. No one could have predicted what this place would become in just five years.

https://i.imgur.com/9rRGLeT.png Leaders emerged in various fields, from thinkers to musicians, artists to critics, and even public relations experts. A diverse society was taking shape, built on grand hopes. Those who contributed value were celebrated and became the talk of the town. Those who were self-centered retreated to the island's quiet corners. Everyone found their path in a society free from governance or control. This ship had brought them to the society they had long dreamt of.

We can't predict what life on this new land will be like in the future. Why ponder about it when today brings us joy?

https://i.imgur.com/u5MZJXa.png A man stepped away from the crowd to visit the now-docked ship. He gazed at it with deep reverence and gratitude. The ship, weathered by time, showed signs of wear and tear. Yet, its name remained clearly visible.

He approached and gently touched the engraved name. Words escaped him, replaced by an indescribable joy. "Thank you for bringing us here, for granting us a new hope. The Noah's Ark that heaven bestowed upon us on that fading day of light."

"Thank you... #NOSTR."

@ d830ee7b:4e61cd62

How long have we lived with the term Bitcoin as a Store of Value (SOV)? The financial sovereignty, that is...

Among those who are aware of the system's problems, they often accept Bitcoin as an asset that will preserve their value over time. The question is, how many of these people are there in society? The society we call the Matrix...

Yes, there are still few.

Not to mention how to store it safely, that's even fewer. We can see that the demand in the past mainly came from 2 groups. The first group is the SOV group, and the other is the profit speculators. Other groups were just a sprinkle. In early 2022, when the price of Bitcoin started to decline, I couldn't imagine what the next wave of demand would come from. All I knew was that in that downturn, Bitcoin often had new developments.

I mean... the desire to own Bitcoin, not the trading demand that would cause the price to skyrocket or anything like that.

Until, if I remember correctly, it would be the second half of 2022... The wonder of the Lightning Network began to occur continuously in the Bitcoin community worldwide, including in Thailand where we also helped push it to this day (actually, it existed before that, especially after the big event in El Salvador, but it wasn't so prominent).

Lightning makes the world of Bitcoin full of possibilities. From static money held for wealth, money saved for children and grandchildren that has always been stigmatized as not even enough to buy noodles at the front of the alley, it has become convenient money that today begins to stick in our hearts everywhere (I mean in the group of people who accept Bitcoin, of course).

Bitcoin used to be "difficult" for everyone. Transferring in and out each time was a headache, our hands were shaking. But today, many of us know that we can take the smallest unit of it to pass on to each other, whether it's for fun, to express feelings, to flirt, or to buy and sell things, etc., as we saw at the BTC2023 event, right?

https://i.imgur.com/W3D1pdk.png

It's just stuck... If we don't count the easy-to-use general usage, system management, or running a Bitcoin Lightning node, it makes us feel like we have to be god-level to do it. Understanding its working mechanism is also not easy.

When it's like this, I think to myself... Hmm... It probably won't take much longer for people to learn, understand, and familiarize themselves with this new technology.

But I believe... This is not impossible. It's not that hard. What we need is a "method or approach" to present or disseminate knowledge that the general public can access and grasp more easily.

Right Shift is being propelled in a direction that will make the "choice" of accepting Bitcoin more tangible, a direction that leads to the "actual use" of Bitcoin in scenarios where it becomes a "Means of Payment," a new alternative for those with free hearts.

We coordinate and collaborate with various partners, including our brothers and sisters within the community. Besides the value that won't easily diminish over time, the real value that we can actually utilize is overwhelmingly pleasing to our hearts. Those who have experienced it themselves probably won't argue much with me on this matter.

But there's something that has always made me feel... this is still not enough.

Offering a choice for people to shift their mindset from "hoarding" Bitcoin more than eggs in a nest is one thing. Issues of privacy or Non-KYC is another. Starting with Custodial services is another. Educating is hard enough, and creating a balanced demand-supply is even harder.

We once made businesses support Lightning to a great extent, but no one ever knew where to get Lightning to buy things, and how to buy it?

Once people started doing it, they looked for places to buy, and it turned out that the supply, the entrepreneurs, couldn't keep up. They stumbled and needed considerable assistance to start. Not to mention legal matters, accounting, taxes... See? Our work is not just about making videos.

If you look at the whole picture, this task is much bigger and longer than we thought (by "we" here, I mean everyone in the community aiming for the same goal).

https://i.imgur.com/t0sJ4ju.png

So, we, the main partners like Right Shift, LATES, BOB, and Chitbeer, and many more, will probably have to spend time driving and spreading these stories further. We hope to receive excellent cooperation from our friends in our community.

We are planning to tour various places, maybe universities, schools, malls, provinces, etc., wherever people want to learn about Bitcoin. We will organize on-site courses similar to what happened in El Salvador, arrange events for people to try using Bitcoin, and we would be delighted to have volunteers who want to push with us... But then, today...

Not long ago... I found a third option.

If starting interest from the investment side, saving, preserving, or accumulating Bitcoin, and using it seems too hard for most people,

What if we try to shift the perspective, starting with what they are already familiar with, easily accessible, and can have fun with first? Will acceptance be easier and more logical to plunge into the next rabbit hole or not?

I didn't let myself drown in doubt for too long, so I touched it myself immediately... And the answer is... It's really true.

We just switch from mainstream social media that is causing us more pain every day to a new society that is like the true root of the online community. This way, it seems easier to move on... Why do I think so?

The society on a decentralized protocol grants us, as users, almost complete freedom. In all honesty, it's no more difficult than setting up a Lightning wallet, something we've all done before.

Every day, tens of thousands of us click 'like' on Facebook countless times, expressing our satisfaction with a creator's work or a friend's post. Sometimes, we're not even sure if we genuinely want to do it.

What if we change from 'like' to Zap!?

How much economic value is circulating there (currently, there are more than 12 BTC Zapped on Nostr)? It's not just us who have to go and Zap others. If you do well, benefit the community, even a laugh can get it. Others are ready to Zap you all the time as well.

You can use it without linking to a Lightning wallet. The question is, how can you experience expressing satisfaction or receiving it instantly as Satoshi's value?

Yes.. with such a situation, it's inevitable that people will have to learn and understand Bitcoin and Lightning, at least at a basic level.

https://i.imgur.com/qJddift.png

But this time, their motivation isn't for wealth or prosperity, not financial domination, or solely technical prowess.

It comes from a desire to participate in a society they want to be a part of. It comes from a desire to appreciate or admire someone's work that has benefited them on Nostr. It comes from the joy of living freely in a new land, and so on.

On the creator's side... Instead of losing money, time, and physical energy thinking about content day and night, finding ways to get people to see their posts, waiting for the money that the platform might withhold for another month, and avoiding annoying algorithms and constant changes,

Now, they just invest their value into their content, post it for their followers to definitely see, and receive 'thank you' in the form of Sats instantly.

They can present their content piece by piece without waiting for it to be finished. They can present any form of content there.. The users are the same. This is the activity of passing on value to each other, called "Value for Value" on Nostr.

When V4V becomes something they enjoy, they will start to delve deeper into Bitcoin as time goes by. They will want to own more of it. How else could it be? They just don't like it and are looking for other options to accept it.

So.. Now, do you think the Network effect on Nostr or in real life will be stronger and faster?

Honestly, we don't have to choose. We don't have to decide which direction we will push acceptance.. whether to save, to educate, to use it occasionally, or to experience a new life on a social media society like Nostr.

We should push it together in every way, because it's all beneficial to our Bitcoin society. It's beneficial to everyone who will try to touch it, and it's beneficial to people in the next generations.

Bitcoinization, which used to be just a dream, is about to happen in not too long. Now, I can start answering my initial question. What should the demand come from? It should start from our interest first.

Interested enough to try to touch it in every aspect. Take the rotten fiat money on your fridge and turn it into Lightning for a bit, then let it slide on Nostr.

In 2023, our choices, the world's choices, are not just SOV or Lightning anymore.. which either way, it's good for Bitcoin.

It's opening wider than we think. . . // Author by: Jakk Goodday

@ ce8b5ad8:45452430

I’m looking for a full-time remote job as a technical writer, content writer, project manager or similar in Web3 / tech.

About Me

I transform complex projects into triumphs through inspiration & storytelling.

I built & scaled $5.5mm of projects for tech, creative & crypto clients by recruiting & managing diverse teams towards uncharted territories.

I'm a content writer, project manager, Web3 coder, sci-fi author, weekend hiker and dad.

I'm an idealistic pioneer in Bitcoin & Web3 adoption who's known for taking the initiative and inspiring people.

I lead with authentic influence, initiative-taking, relationship-building and tech-savvy.

My toolbox includes Solidity, Javascript, CashScript, Rust, Python, HTML5, CSS3, SQL, React, Next.JS, Flask, Django, Astro.JS, GraphQL, WordPress, DaVinci Resolve, native-level Spanish, AirTable, Zapier and many other no-code tools.

Check out my portfolio here:

Portfolio

Peer Feedback

“George, in my personal dealings with you, you have always been kind, courteous, professional, clear-headed, and a visionary about what cryptocurrency and Bitcoin Cash can do for the world. I am glad you are and continue to be a part of our community.”

“Every project that George gets involved with is successful. Tasks are completed on time and with a fluidity that allows for ever changing circumstances. George’s enthusiasm and professionalism is infectious and brings out the best in others as well as a desire to be part of anything George is associated with.”

“George has vision, integrity, and energy.”

“George is an excellent communicator and has a knack for really distilling complex ideas in a way that makes them easy to understand. In my experience he has always treated others with utmost respect, and he’d be a great asset for any organization that needs someone with his skills.”

“It’s been a pleasure having you in charge, George. I think the whole project would have sunk if you didn’t take over.”

“You really overdelivered. That’s what I call ‘much bang per buck’ Thank you!!”

“George is just a relentless problem solver.”

“George’s team has demonstrated an extremely high level of professionalism, communication, and most importantly accountability.”

Ready

I'm ready to take on new challenges in project management, marketing, writing & tech. I love to connect with new people. Feel free to email me at me@georgedonnelly.com.

Resume

LinkedIn

@ d830ee7b:4e61cd62

คืนหนึ่ง.. "สติ" ที่กำลังอยู่ท่ามกลางภวังค์แห่งการหลับไหล สิ่งที่เขาได้เห็นในเงาสลัวๆ นั้น เป็นภาพของชายคนหนึ่งรูปร่างคล้ายคลึงกับเขามาก ชายคนนั้นเดินเข้ามาบอกกับเขาว่า.. เขาได้เคยสัมผัสกับความตายมาแล้ว ฟังดูแล้วก็น่ากลัว แต่ไม่ใช่ เขาแค่เกือบตาย เดชะบุญที่เขายังไม่ตายจริง สติยังคงสับสนว่าภาพที่เห็นอยู่นี้ คือ วิญญาณของใครสักคนในความฝันใช่ไหม? เขาจำได้ว่าเขากำลังหลับอยู่ไม่ใช่เหรอ? ชายคนนี้มีเจตนาอะไรกัน..

ชายคนนั้นเล่าต่อว่า.. วินาทีที่ความตายกำลังใกล้เข้ามาเยื่อน เขาเกิดภาพย้อนอดีตผุดขึ้นมาในหัวเต็มไปหมด เขาพบว่าตัวเองนั้นน่าสงสาร.. น้ำเสียงของเขาเหมือนคนสิ้นหวัง บ่นฮึมฮัม.. เขาเอาแต่ตัดพ้อออกมาไม่หยุด เขาบ่นว่าไม่เคยได้ฝึกตระเตรียมที่จะให้ตัวเองได้เป็นอิสระ ได้เป็นนายเหนือตัวเองมาก่อนเลย เขาไม่เคยควบคุมตัวเองได้ ไม่เคยทำในสิ่งที่ถูกต้องหลังจากทำบางอย่างผิดพลาดไป ซึ่งมันจะช่วยให้เขาเริ่มต้นใหม่ได้อย่างถูกทางเลยสักครา.. ไม่เคยได้ทำสิ่งดีๆ เพื่อชดเชยให้กับสิ่งที่สูญเสียหรือติดลบไปบ้างเลย.. ไม่เคยสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวเองหรือคนอื่นๆ ที่รักเขาเลย..

ชายคนนั้นยังบอกกับสติอีกว่า.. ก่อนหน้านั้นเขาเอาแต่คิดหมกมุ่นแต่กับคำถามว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทั้งที่ความจริงแล้วแค่เข้าใจให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันถูกต้องแล้วหรือยัง แค่ยอมรับมัน ถอดบทเรียนแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า เพราะหากคิดได้เช่นนี้ ชีวิตใหม่ภายใต้การต่อสู้ภายในใจของเขาระหว่าง คนสีขาว กับ คนสีดำ ก็จะเริ่มต้นขึ้น เป็นการรบที่มีเดิมพันเป็นทางเดินที่ควรจะเป็นของชีวิต เขาคงจะได้คำตอบที่ดีกว่านี้หากเข้าใจมันได้แต่แรก

วินาทีที่ความตายประชิดเข้ามาอยู่ตรงหน้า.. เขานั้นคิดเสียใจอยู่เพียงเรื่องเดียว มันเป็นเรื่องของ "เวลา" เวลาที่เขามอบให้กับคนที่เขารักนั้นน้อยเกินไป ยังมีอีกหลายอย่างที่เขาอยากจะทำเพื่อคนเหล่านั้น แต่มันสายไปเสียแล้ว เวลาของเขากำลังจะหมดลงแล้ว ณ วินาทีนั้นเอง น้ำตาของเขาก็ไหลพรั่งพรูออกมา เขารู้สึกว่าไม่เคยมีความเสียใจครั้งไหนยิ่งใหญ่เท่ากับความเสียใจในครั้งนี้มาก่อน.. เขาไม่น่าปล่อยคืนวันให้ผ่านไปอย่างไร้ความหมายแทนที่จะได้ใช้มันไปกับความพยายามในการทำความเข้าใจกับชีวิต เขาไม่ควรดิ้นรนขวนขวายจนต้องกลายเป็นทุกข์ เขาควรได้ใช้ชีวิตที่ไม่มีความอยาก หรือควรจะอยากได้อยากมีให้น้อยที่สุดหากมันจำเป็น

เขายังได้เห็นภาพสุดอุบาทว์ของตัวเองที่ทำตัวหยิ่งยโสต่อเพื่อนร่วมงาน คนใกล้ตัว และโลกใบนี้ เขาเห็นความอ่อนแอภายในใจของตัวเองที่กำลังเรียกร้องความเอื้ออาทรจากทั้งโลก ทั้งที่ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดจะมอบอะไรให้กับโลกใบนี้ แต่กลับร้องขออะไรที่มากมายเกินกว่าที่โลกจะมอบให้เขาได้ สุดท้ายเขาเองก็ตัดสินใจเป็นปฎิปักษ์กับโลกทั้งใบด้วยความงี่เง่าอย่างสุดขีด เขามองไม่เห็นศัตรูที่แท้จริง เขาไม่เคยรู้ว่าพวกมันอยู่ที่ไหน มันทำให้เขารู้กลัว กังวล และโศกเศร้าไปกับบทละคร ที่ตัวเขาเองเป็นผู้สร้างและกำกับการแสดงนั้นด้วยตัวเอง มันเป็นละครอันน่าเบื่อหน่าย ละครที่ผู้กำกับทำหน้าที่เป็นนักแสดงมันเสียเอง เขาผูกและวางโครงเรื่องทั้งหมดเอาไว้เพื่อตัวเองแทบทั้งสิ้น

นอกจากนี้เขายังเห็นภาพในอดีตของตัวเอง.. เป็นคนทำงานที่ดูขยันขันแข็ง ดูมีไฟลุกโชนในตัวอย่างท่วมท้น แต่ลึกๆ ในใจแล้วกลับเป็นคนขี้เกียจและไม่เคยมีใจให้กับองค์กรเลย ภาพที่เขาแสดงออกมาล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องลวงโลกทั้งสิ้น เขาแสดงออกต่อโลกภายนอกด้วยเสน่ห์อันเย้ายวนชวนให้ใครต่อใครส่งสายตาเพ่งมาที่เขา เขารู้สึกว่าตัวเองโง่เหลือเกินที่ไม่เคยเข้าใจ ว่าสายตาที่เขาควรแคร์มากที่สุดคือสายตาที่เพ่งมองออกจากหัวใจของตัวเอง แววตาที่ต้องการจะถามไถ่ด้วยความสงสารว่า

"จนป่านนี้แล้ว เจ้ายังไม่เข้าใจในชีวิตอีกเหรอ"

ทุกครั้งที่เขาพยายามหว่านเสน่ห์ เขาก็เสียตัวตนของเขาไปเรื่อย ๆ ซึ่งมันแปลกตรงที่.. เขากลับรู้สึกถึงการหลอกลวงว่าตัวเองกำลังเป็นตัวของตัวเองนั้น มันเพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นอัตตาและทิฐิซึ่งเป็นความยึดมั่นถือมั่น ทิฐิ ที่ใครผู้ใดถือเอาไว้ผู้นั้นก็เป็นเสมือนผู้ไร้ซึ่งปัญญา ผู้ซึ่งถูกอวิชชาเข้าครอบงำ ยิ่งไปกว่านั้น.. ตัวเขาเองก็เคยอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองมาก่อนเหมือนกัน แต่กลับไม่เคยทำได้เพราะมัวแต่กลัวการต้องสูญเสียและเสียดายรูปแบบชีวิตอย่างเดิม ๆ ไป แม้หัวใจของเขาจะเรียกร้องความเปลี่ยนแปลงเพียงใดก็ตาม

เขายังเห็นภาพของคนที่คิดว่าตัวเองเก่งที่สุดในโลก คนที่มีเหตุผล คนที่คิดว่าตัวเองดูดีที่สุด แต่กลับเป็นทุกข์เหลือเกินกับการพยายามแบก พยายามรักษาภาพพจน์เหล่านั้น.. เขาเป็นคนที่ทำผิดแต่ไม่เคยสำนึกผิดชอบชั่วดี เขาไม่เคยกล่าวคำขอโทษใครแม้มันจะพ่นลมปากออกจากใจได้ง่ายๆ ก็ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว ผู้ชายคนนี้ตัดพ้อออกมาไม่ยอมหยุด

สติครุ่นคิดว่าเพราะอะไร คนๆ นี้ถึงเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความทุกข์ความสิ้นหวัง ทุกเรื่องที่เล่ามานั่นก็ตัวเขาเองไม่ใช่หรือ เขามีเวลามากพอที่จะตัดสินใจทำในเรื่องต่างๆ แต่เขาก็ได้เลือกทำสิ่งเหล่านั้นลงไปเอง เหตุใด ณ ขณะเวลาที่ต้องทำเขาจึงคิดไม่ได้แบบในตอนนี้กันนะ.. นอกจากคำตัดพ้อที่เต็มไปหมดแล้ว สิ่งที่ผู้ชายคนนี้เล่ามาทั้งหมดเหมือนเป็นเพียงคำสารภาพก่อนตายของคนเลว ๆ คนหนึ่งเท่านั้น เขาจะทำแบบนี้ มาเล่าแบบนี้ให้สติฟังไปเพื่ออะไรกัน..วาระของคนใกล้ตายที่พึ่งจะคิดอะไรๆ ได้หลายๆ อย่างคงจะเป็นแบบนี้เองสินะ

มีหลายอย่างที่สติพบว่าตัวเขาเองก็ทำคล้ายๆ กับผู้ชายคนนี้.. สติรู้สึกถูกดวงกับชายซึมเศร้าคนนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ทว่า.. ยังไม่ทันที่บทสนทนาจะเข้าสู่ช่วงสำคัญ มันดันมีเสียงไก่ขันเล็ดลอดเข้ามาในภวังค์ที่กำลังก้าวสู่ฟ้าสาง สติเหมือนจะระลึกได้ว่าเดี๋ยวตัวเองก็คงต้องตื่นแล้ว เขายังไม่ได้ข้อสรุปอะไรจากผู้ชายคนนี้เลย ตกลงผู้ชายคนนี้ตายไปแล้วหรือยังไม่ตายกันแน่ ตกลงทั้งหมดนี้คือเรื่องจริงหรือความฝัน หากทั้งหมดนี่คือความจริง และนายคนนี้ยังไม่ตาย อย่างน้อยผู้ชายที่เฉียดเข้าใกล้ความตายผู้นี้ก็ยังคงมีเวลามากพอเหลือให้กลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ล่ะนะ

ก่อนการจากไปของชายคนนั้น สติได้เอ่ยถามไปว่า.. แล้วเราจะทำอย่างไรในการที่จะหยุดความเสียใจอันมาจากความไม่เข้าใจในตัวเองเลยจนกระทั่งจวนถึงลมหายใจสุดท้ายแบบนี้?

"คุณต้องเข้าใจ..."

สติไม่เข้าใจประโยคนี้เท่าใดนัก สติรู้สึกเหมือนโดนยอกย้อน ที่ถามไปนั้นก็เพราะสติยังไม่เข้าใจ แล้วตกลงเขาจะต้องเข้าใจมันยังไง อะไรกันเหรอที่เราควรเข้าใจมัน?

"คุณต้องเข้าใจว่าอะไรคืออะไร.. มันก็เหมือนกับการค้นพบต้นเหตุแห่งพฤติกรรม ต้นเหตุแห่งเรื่องราว เข้าใจในผลลัพธ์ของพฤติกรรมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนจึงจะเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองจากชั่วให้กลายเป็นดีได้.. "

สติเหมือนจะเข้าใจความหมายอันลึกซึ้งนี้ขึ้นมาบ้าง.. แต่ชายคนนั้นก็กำลังจะเดินจากเขาไปแล้ว ก่อนที่ความมืดจะกลืนร่างของเขาให้หายไปต่อหน้า สติรีบร้องทักขึ้นมาก่อนจะไม่ทันการณ์

"คุณครับ! คุณชื่ออะไรเหรอครับ?"

"ผมชื่อ.. สติ"

@ d6dc9554:d0593a0c

Um oráculo é uma fonte externa de dados que fornece informações a uma blockchain ou a um contrato inteligente. Como as blockchains são sistemas “fechados” e autónomos, elas não têm acesso direto a dados externos, como preços de ativos financeiros, dados meteorológicos ou resultados de eventos desportivos. Os oráculos atuam como intermediários que fornecem dados em tempo real e confiáveis às blockchains, permitindo a execução de contratos inteligentes baseados em eventos do mundo real.

Quando se trata de oráculos e a integridade dos dados que fornecem, é importante reconhecer que existe o potencial de manipulação. Os oráculos podem ser alvos de ataques ou fontes de dados não confiáveis. Se um oráculo malicioso ou comprometido fornecer informações falsas, isso pode impactar negativamente a execução de contratos inteligentes e a precisão das operações realizadas na blockchain.

No entanto, é essencial entender que muitos projetos, incluindo a Chainlink, implementam medidas para mitigar os riscos de manipulação de dados. Eles aplicam técnicas como a utilização de múltiplos oráculos independentes que verificam e validam os dados antes de serem utilizados em contratos inteligentes. Além disso, a descentralização da rede de oráculos também contribui para a segurança, uma vez que não depende de um único ponto de falha.

Embora exista o risco potencial de manipulação de dados por oráculos, é importante destacar que a indústria blockchain está em constante evolução e busca soluções para fortalecer a segurança e a confiabilidade dos oráculos. Essas soluções incluem a integração de reputação dos oráculos, auditorias externas e a adoção de práticas de segurança robustas.

É fundamental que os utilizadores e programadores de contratos inteligentes estejam cientes dessas considerações e adotem abordagens adequadas para mitigar os riscos. Isso pode envolver a implementação de mecanismos de validação e verificação adicionais, a utilização de vários oráculos confiáveis e a adoção de práticas de segurança adequadas na construção de contratos inteligentes.

@ 75bf2353:e1bfa895

What's the easiest way to create a reverse TOR proxy? I remember seeing a service that allows you ton don't this by paying some sats, but I can't remember the name of the service.

asknostr

@ d6dc9554:d0593a0c

Os computadores quânticos representam uma potencial ameaça à criptografia de chave pública atualmente utilizada para proteger a Bitcoin e outras criptomoedas. A segurança da Bitcoin é baseada em algoritmos criptográficos de chave pública, como o algoritmo de assinatura digital ECDSA (Elliptic Curve Digital Signature Algorithm).

Os computadores quânticos têm a capacidade teórica de executar cálculos muito mais rapidamente do que os computadores clássicos. Algoritmos quânticos, como o algoritmo de Shor, podem ser utilizados para calcular grandes números primos de forma muito mais eficiente do que os algoritmos clássicos conhecidos. Isso é relevante porque a segurança do ECDSA, utilizado na Bitcoin, depende da dificuldade de calcular números primos grandes.

Se computadores quânticos com capacidade suficiente se tornarem amplamente disponíveis no futuro, eles podem potencialmente quebrar a criptografia da Bitcoin, permitindo a falsificação de assinaturas digitais e, portanto, o roubo de moedas. No entanto, é importante observar que, até agora, não existem computadores quânticos de grande escala disponíveis que possam ameaçar diretamente a criptografia da Bitcoin.

Em preparação para essa ameaça potencial, novos algoritmos de criptografia resistentes a ataques quânticos estão a ser estudados, são conhecidos como criptografia pós-quântica. Várias soluções já foram apresentadas e testadas para proteger os sistemas atuais de criptografia de chave pública contra ataques quânticos. A transição para esses novos algoritmos exigiria uma atualização da infraestrutura de criptografia usada na Bitcoin e em outras criptomoedas.

Em resumo, embora os computadores quânticos representem uma possível ameaça à criptografia da Bitcoin no futuro, ainda não há um consenso sobre a rapidez com que essa tecnologia será desenvolvida e implantada em escala suficiente para quebrar as proteções existentes. A comunidade científica e os programadores de criptomoedas estão a acompanhar de perto os avanços nesse campo e a trabalhar em soluções para proteger as criptomoedas contra ataques quânticos. E não podemos esquecer que estes algoritmos criptográficos também são utilizados em toda a internet, portanto, não são apenas os aficionados da bitcoin que estão a estudar estas matérias.

@ d6dc9554:d0593a0c

Contratos inteligentes são programas de computador que são executados automaticamente quando certas condições pré-determinadas são preenchidas. Esses contratos são armazenados e executados numa blockchain.

A ideia principal por trás dos contratos inteligentes é permitir que as transações e acordos sejam realizados de forma transparente, segura e sem a necessidade de intermediários. Os contratos inteligentes são projetados para garantir que todas as partes envolvidas cumpram as suas obrigações e que as transações ocorram apenas quando as condições especificadas são atendidas.

A linguagem de programação mais comum usada para escrever contratos inteligentes é a Solidity, que é utilizada na Ethereum. Esses contratos podem definir regras e condições para diferentes tipos de transações, como transferências de criptomoedas, acordos de compra e venda, contratos de seguro, entre outros.

Uma vez que um contrato inteligente é implantado numa blockchain, ele se torna imutável e é executado automaticamente pelos nós da rede. Isso significa que não há como alterar o contrato ou interferir na sua execução depois de ser registrado na blockchain.

Os contratos inteligentes trazem várias vantagens, como a redução de custos e a eliminação da necessidade de intermediários. Além disso, eles podem aumentar a eficiência, segurança e transparência das transações.

No entanto, é importante observar que os contratos inteligentes são tão bons quanto o código escrito. Bugs ou vulnerabilidades no código podem ser explorados por indivíduos mal-intencionados, resultando em perdas financeiras. Portanto, é essencial que os contratos inteligentes sejam cuidadosamente auditados e testados antes de serem implantados numa blockchain.

@ e6ce6154:275e3444

Este artigo foi censurado pelo estado e fomos obrigados a deletá-lo após ameaça de homens armados virem nos visitar e agredir nossa vida e propriedade.

Isto é mais uma prova que os autoproclamados antirracistas são piores que os racistas.

https://rothbardbrasil.com/pelo-direito-de-ser-racista-fascista-machista-e-homofobico

Segue artigo na íntegra. 👇

Sem dúvida, a escalada autoritária do totalitarismo cultural progressista nos últimos anos tem sido sumariamente deletéria e prejudicial para a liberdade de expressão. Como seria de se esperar, a cada dia que passa o autoritarismo progressista continua a se expandir de maneira irrefreável, prejudicando a liberdade dos indivíduos de formas cada vez mais deploráveis e contundentes.

Com a ascensão da tirania politicamente correta e sua invasão a todos os terrenos culturais, o autoritarismo progressista foi se alastrando e consolidando sua hegemonia em determinados segmentos. Com a eventual eclosão e a expansão da opressiva e despótica cultura do cancelamento — uma progênie inevitável do totalitarismo progressista —, todas as pessoas que manifestam opiniões, crenças ou posicionamentos que não estão alinhados com as pautas universitárias da moda tornam-se um alvo.

Há algumas semanas, vimos a enorme repercussão causada pelo caso envolvendo o jogador profissional de vôlei Maurício Sousa, que foi cancelado pelo simples fato de ter emitido sua opinião pessoal sobre um personagem de história em quadrinhos, Jon Kent, o novo Superman, que é bissexual. Maurício Sousa reprovou a conduta sexual do personagem, o que é um direito pessoal inalienável que ele tem. Ele não é obrigado a gostar ou aprovar a bissexualidade. Como qualquer pessoa, ele tem o direito pleno de criticar tudo aquilo que ele não gosta. No entanto, pelo simples fato de emitir a sua opinião pessoal, Maurício Sousa foi acusado de homofobia e teve seu contrato rescindido, sendo desligado do Minas Tênis Clube.

Lamentavelmente, Maurício Sousa não foi o primeiro e nem será o último indivíduo a sofrer com a opressiva e autoritária cultura do cancelamento. Como uma tirania cultural que está em plena ascensão e usufrui de um amplo apoio do establishment, essa nova forma de totalitarismo cultural colorido e festivo está se impondo de formas e maneiras bastante contundentes em praticamente todas as esferas da sociedade contemporânea. Sua intenção é relegar ao ostracismo todos aqueles que não se curvam ao totalitarismo progressista, criminalizando opiniões e crenças que divergem do culto à libertinagem hedonista pós-moderna. Oculto por trás de todo esse ativismo autoritário, o que temos de fato é uma profunda hostilidade por padrões morais tradicionalistas, cristãos e conservadores.

No entanto, é fundamental entendermos uma questão imperativa, que explica em partes o conflito aqui criado — todos os progressistas contemporâneos são crias oriundas do direito positivo. Por essa razão, eles jamais entenderão de forma pragmática e objetiva conceitos como criminalidade, direitos de propriedade, agressão e liberdade de expressão pela perspectiva do jusnaturalismo, que é manifestamente o direito em seu estado mais puro, correto, ético e equilibrado.

Pela ótica jusnaturalista, uma opinião é uma opinião. Ponto final. E absolutamente ninguém deve ser preso, cancelado, sabotado ou boicotado por expressar uma opinião particular sobre qualquer assunto. Palavras não agridem ninguém, portanto jamais poderiam ser consideradas um crime em si. Apenas deveriam ser tipificados como crimes agressões de caráter objetivo, como roubo, sequestro, fraude, extorsão, estupro e infrações similares, que representam uma ameaça direta à integridade física da vítima, ou que busquem subtrair alguma posse empregando a violência.

Infelizmente, a geração floquinho de neve — terrivelmente histérica, egocêntrica e sensível — fica profundamente ofendida e consternada sempre que alguém defende posicionamentos contrários à religião progressista. Por essa razão, os guerreiros da justiça social sinceramente acreditam que o papai-estado deve censurar todas as opiniões que eles não gostam de ouvir, assim como deve também criar leis para encarcerar todos aqueles que falam ou escrevem coisas que desagradam a militância.

Como a geração floquinho de neve foi criada para acreditar que todas as suas vontades pessoais e disposições ideológicas devem ser sumariamente atendidas pelo papai-estado, eles embarcaram em uma cruzada moral que pretende erradicar todas as coisas que são ofensivas à ideologia progressista; só assim eles poderão deflagrar na Terra o seu tão sonhado paraíso hedonista e igualitário, de inimaginável esplendor e felicidade.

Em virtude do seu comportamento intrinsecamente despótico, autoritário e egocêntrico, acaba sendo inevitável que militantes progressistas problematizem tudo aquilo que os desagrada.

Como são criaturas inúteis destituídas de ocupação real e verdadeiro sentido na vida, sendo oprimidas unicamente na sua própria imaginação, militantes progressistas precisam constantemente inventar novos vilões para serem combatidos.

Partindo dessa perspectiva, é natural para a militância que absolutamente tudo que exista no mundo e que não se enquadra com as regras autoritárias e restritivas da religião progressista seja encarado como um problema. Para a geração floquinho de neve, o capitalismo é um problema. O fascismo é um problema. A iniciativa privada é um problema. O homem branco, tradicionalista, conservador e heterossexual é um problema. A desigualdade é um problema. A liberdade é um problema. Monteiro Lobato é um problema (sim, até mesmo o renomado ícone da literatura brasileira, autor — entre outros títulos — de Urupês, foi vítima da cultura do cancelamento, acusado de ser racista e eugenista).

Para a esquerda, praticamente tudo é um problema. Na mentalidade da militância progressista, tudo é motivo para reclamação. Foi em função desse comportamento histérico, histriônico e infantil que o famoso pensador conservador-libertário americano P. J. O’Rourke afirmou que “o esquerdismo é uma filosofia de pirralhos chorões”. O que é uma verdade absoluta e irrefutável em todos os sentidos.

De fato, todas as filosofias de esquerda de forma geral são idealizações utópicas e infantis de um mundo perfeito. Enquanto o mundo não se transformar naquela colorida e vibrante utopia que é apresentada pela cartilha socialista padrão, militantes continuarão a reclamar contra tudo o que existe no mundo de forma agressiva, visceral e beligerante. Evidentemente, eles não vão fazer absolutamente nada de positivo ou construtivo para que o mundo se transforme no gracioso paraíso que eles tanto desejam ver consolidado, mas eles continuarão a berrar e vociferar muito em sua busca incessante pela utopia, marcando presença em passeatas inúteis ou combatendo o fascismo imaginário nas redes sociais.

Sem dúvida, estamos muito perto de ver leis absurdas e estúpidas sendo implementadas, para agradar a militância da terra colorida do assistencialismo eterno onde nada é escasso e tudo cai do céu. Em breve, você não poderá usar calças pretas, pois elas serão consideradas peças de vestuário excessivamente heterossexuais. Apenas calças amarelas ou coloridas serão permitidas. Você também terá que tingir de cor-de-rosa uma mecha do seu cabelo; pois preservar o seu cabelo na sua cor natural é heteronormativo demais da sua parte, sendo portanto um componente demasiadamente opressor da sociedade.

Você também não poderá ver filmes de guerra ou de ação, apenas comédias românticas, pois certos gêneros de filmes exaltam a violência do patriarcado e isso impede o mundo de se tornar uma graciosa festa colorida de fraternidades universitárias ungidas por pôneis resplandecentes, hedonismo infinito, vadiagem universitária e autogratificação psicodélica, que certamente são elementos indispensáveis para se produzir o paraíso na Terra.

Sabemos perfeitamente, no entanto, que dentre as atitudes “opressivas” que a militância progressista mais se empenha em combater, estão o racismo, o fascismo, o machismo e a homofobia. No entanto, é fundamental entender que ser racista, fascista, machista ou homofóbico não são crimes em si. Na prática, todos esses elementos são apenas traços de personalidade; e eles não podem ser pura e simplesmente criminalizados porque ideólogos e militantes progressistas iluminados não gostam deles.

Tanto pela ética quanto pela ótica jusnaturalista, é facilmente compreensível entender que esses traços de personalidade não podem ser criminalizados ou proibidos simplesmente porque integrantes de uma ideologia não tem nenhuma apreciação ou simpatia por eles. Da mesma forma, nenhum desses traços de personalidade representa em si um perigo para a sociedade, pelo simples fato de existir. Por incrível que pareça, até mesmo o machismo, o racismo, o fascismo e a homofobia merecem a devida apologia.

Mas vamos analisar cada um desses tópicos separadamente para entender isso melhor.

Racismo

Quando falamos no Japão, normalmente não fazemos nenhuma associação da sociedade japonesa com o racismo. No entanto, é incontestável o fato de que a sociedade japonesa pode ser considerada uma das sociedades mais racistas do mundo. E a verdade é que não há absolutamente nada de errado com isso.

Aproximadamente 97% da população do Japão é nativa; apenas 3% do componente populacional é constituído por estrangeiros (a população do Japão é estimada em aproximadamente 126 milhões de habitantes). Isso faz a sociedade japonesa ser uma das mais homogêneas do mundo. As autoridades japonesas reconhecidamente dificultam processos de seleção e aplicação a estrangeiros que desejam se tornar residentes. E a maioria dos japoneses aprova essa decisão.

Diversos estabelecimentos comerciais como hotéis, bares e restaurantes por todo o país tem placas na entrada que dizem “somente para japoneses” e a maioria destes estabelecimentos se recusa ostensivamente a atender ou aceitar clientes estrangeiros, não importa quão ricos ou abastados sejam.

Na Terra do Sol Nascente, a hostilidade e a desconfiança natural para com estrangeiros é tão grande que até mesmo indivíduos que nascem em algum outro país, mas são filhos de pais japoneses, não são considerados cidadãos plenamente japoneses.

Se estes indivíduos decidem sair do seu país de origem para se estabelecer no Japão — mesmo tendo descendência nipônica legítima e inquestionável —, eles enfrentarão uma discriminação social considerável, especialmente se não dominarem o idioma japonês de forma impecável. Esse fato mostra que a discriminação é uma parte tão indissociável quanto elementar da sociedade japonesa, e ela está tão profundamente arraigada à cultura nipônica que é praticamente impossível alterá-la ou atenuá-la por qualquer motivo.

A verdade é que — quando falamos de um país como o Japão — nem todos os discursos politicamente corretos do mundo, nem a histeria progressista ocidental mais inflamada poderão algum dia modificar, extirpar ou sequer atenuar o componente racista da cultura nipônica. E isso é consequência de uma questão tão simples quanto primordial: discriminar faz parte da natureza humana, sendo tanto um direito individual quanto um elemento cultural inerente à muitas nações do mundo. Os japoneses não tem problema algum em admitir ou institucionalizar o seu preconceito, justamente pelo fato de que a ideologia politicamente correta não tem no oriente a força e a presença que tem no ocidente.

E é fundamental enfatizar que, sendo de natureza pacífica — ou seja, não violando nem agredindo terceiros —, a discriminação é um recurso natural dos seres humanos, que está diretamente associada a questões como familiaridade e segurança.

Absolutamente ninguém deve ser forçado a apreciar ou integrar-se a raças, etnias, pessoas ou tribos que não lhe transmitem sentimentos de segurança ou familiaridade. Integração forçada é o verdadeiro crime, e isso diversos países europeus — principalmente os escandinavos (países que lideram o ranking de submissão à ideologia politicamente correta) — aprenderam da pior forma possível.

A integração forçada com imigrantes islâmicos resultou em ondas de assassinato, estupro e violência inimagináveis para diversos países europeus, até então civilizados, que a imprensa ocidental politicamente correta e a militância progressista estão permanentemente tentando esconder, porque não desejam que o ocidente descubra como a agenda “humanitária” de integração forçada dos povos muçulmanos em países do Velho Mundo resultou em algumas das piores chacinas e tragédias na história recente da Europa.

Ou seja, ao discriminarem estrangeiros, os japoneses estão apenas se protegendo e lutando para preservar sua nação como um ambiente cultural, étnico e social que lhe é seguro e familiar, assim se opondo a mudanças bruscas, indesejadas e antinaturais, que poderiam comprometer a estabilidade social do país.

A discriminação — sendo de natureza pacífica —, é benévola, salutar e indubitavelmente ajuda a manter a estabilidade social da comunidade. Toda e qualquer forma de integração forçada deve ser repudiada com veemência, pois, mais cedo ou mais tarde, ela irá subverter a ordem social vigente, e sempre será acompanhada de deploráveis e dramáticos resultados.

Para citar novamente os países escandinavos, a Suécia é um excelente exemplo do que não fazer. Tendo seguido o caminho contrário ao da discriminação racional praticada pela sociedade japonesa, atualmente a sociedade sueca — além de afundar de forma consistente na lama da libertinagem, da decadência e da deterioração progressista — sofre em demasia com os imigrantes muçulmanos, que foram deixados praticamente livres para matar, saquear, esquartejar e estuprar quem eles quiserem. Hoje, eles são praticamente intocáveis, visto que denunciá-los, desmoralizá-los ou acusá-los de qualquer crime é uma atitude politicamente incorreta e altamente reprovada pelo establishment progressista. A elite socialista sueca jamais se atreve a acusá-los de qualquer crime, pois temem ser classificados como xenófobos e intolerantes. Ou seja, a desgraça da Europa, sobretudo dos países escandinavos, foi não ter oferecido nenhuma resistência à ideologia progressista politicamente correta. Hoje, eles são totalmente submissos a ela.

O exemplo do Japão mostra, portanto — para além de qualquer dúvida —, a importância ética e prática da discriminação, que é perfeitamente aceitável e natural, sendo uma tendência inerente aos seres humanos, e portanto intrínseca a determinados comportamentos, sociedades e culturas.

Indo ainda mais longe nessa questão, devemos entender que na verdade todos nós discriminamos, e não existe absolutamente nada de errado nisso. Discriminar pessoas faz parte da natureza humana e quem se recusa a admitir esse fato é um hipócrita. Mulheres discriminam homens na hora de selecionar um parceiro; elas avaliam diversos quesitos, como altura, aparência, status social, condição financeira e carisma. E dentre suas opções, elas sempre escolherão o homem mais atraente, másculo e viril, em detrimento de todos os baixinhos, calvos, carentes, frágeis e inibidos que possam estar disponíveis. Da mesma forma, homens sempre terão preferência por mulheres jovens, atraentes e delicadas, em detrimento de todas as feministas de meia-idade, acima do peso, de cabelo pintado, que são mães solteiras e militantes socialistas. A própria militância progressista discrimina pessoas de forma virulenta e intransigente, como fica evidente no tratamento que dispensam a mulheres bolsonaristas e a negros de direita.

A verdade é que — não importa o nível de histeria da militância progressista — a discriminação é inerente à condição humana e um direito natural inalienável de todos. É parte indissociável da natureza humana e qualquer pessoa pode e deve exercer esse direito sempre que desejar. Não existe absolutamente nada de errado em discriminar pessoas. O problema real é a ideologia progressista e o autoritarismo politicamente correto, movimentos tirânicos que não respeitam o direito das pessoas de discriminar.

Fascismo

Quando falamos de fascismo, precisamos entender que, para a esquerda política, o fascismo é compreendido como um conceito completamente divorciado do seu significado original. Para um militante de esquerda, fascista é todo aquele que defende posicionamentos contrários ao progressismo, não se referindo necessariamente a um fascista clássico.

Mas, seja como for, é necessário entender que — como qualquer ideologia política — até mesmo o fascismo clássico tem o direito de existir e ocupar o seu devido lugar; portanto, fascistas não devem ser arbitrariamente censurados, apesar de defenderem conceitos que representam uma completa antítese de tudo aquilo que é valioso para os entusiastas da liberdade.

Em um país como o Brasil, onde socialistas e comunistas tem total liberdade para se expressar, defender suas ideologias e até mesmo formar partidos políticos, não faz absolutamente o menor sentido que fascistas — e até mesmo nazistas assumidos — sofram qualquer tipo de discriminação. Embora socialistas e comunistas se sintam moralmente superiores aos fascistas (ou a qualquer outra filosofia política ou escola de pensamento), sabemos perfeitamente que o seu senso de superioridade é fruto de uma pueril romantização universitária da sua própria ideologia. A história mostra efetivamente que o socialismo clássico e o comunismo causaram muito mais destruição do que o fascismo.

Portanto, se socialistas e comunistas tem total liberdade para se expressar, não existe a menor razão para que fascistas não usufruam dessa mesma liberdade.

É claro, nesse ponto, seremos invariavelmente confrontados por um oportuno dilema — o famoso paradoxo da intolerância, de Karl Popper. Até que ponto uma sociedade livre e tolerante deve tolerar a intolerância (inerente a ideologias totalitárias)?

As leis de propriedade privada resolveriam isso em uma sociedade livre. O mais importante a levarmos em consideração no atual contexto, no entanto — ao defender ou criticar uma determinada ideologia, filosofia ou escola de pensamento —, é entender que, seja ela qual for, ela tem o direito de existir. E todas as pessoas que a defendem tem o direito de defendê-la, da mesma maneira que todos os seus detratores tem o direito de criticá-la.

Essa é uma forte razão para jamais apoiarmos a censura. Muito pelo contrário, devemos repudiar com veemência e intransigência toda e qualquer forma de censura, especialmente a estatal.

Existem duas fortes razões para isso:

A primeira delas é a volatilidade da censura (especialmente a estatal). A censura oficial do governo, depois que é implementada, torna-se absolutamente incontrolável. Hoje, ela pode estar apontada para um grupo de pessoas cujas ideias divergem das suas. Mas amanhã, ela pode estar apontada justamente para as ideias que você defende. É fundamental, portanto, compreendermos que a censura estatal é incontrolável. Sob qualquer ponto de vista, é muito mais vantajoso que exista uma vasta pluralidade de ideias conflitantes na sociedade competindo entre si, do que o estado decidir que ideias podem ser difundidas ou não.

Além do mais, libertários e anarcocapitalistas não podem nunca esperar qualquer tipo de simpatia por parte das autoridades governamentais. Para o estado, seria infinitamente mais prático e vantajoso criminalizar o libertarianismo e o anarcocapitalismo — sob a alegação de que são filosofias perigosas difundidas por extremistas radicais que ameaçam o estado democrático de direito — do que o fascismo ou qualquer outra ideologia centralizada em governos burocráticos e onipotentes. Portanto, defender a censura, especialmente a estatal, representa sempre um perigo para o próprio indivíduo, que mais cedo ou mais tarde poderá ver a censura oficial do sistema se voltar contra ele.

Outra razão pela qual libertários jamais devem defender a censura, é porque — ao contrário dos estatistas — não é coerente que defensores da liberdade se comportem como se o estado fosse o seu papai e o governo fosse a sua mamãe. Não devemos terceirizar nossas próprias responsabilidades, tampouco devemos nos comportar como adultos infantilizados. Assumimos a responsabilidade de combater todas as ideologias e filosofias que agridem a liberdade e os seres humanos. Não procuramos políticos ou burocratas para executar essa tarefa por nós.

Portanto, se você ver um fascista sendo censurado nas redes sociais ou em qualquer outro lugar, assuma suas dores. Sinta-se compelido a defendê-lo, mostre aos seus detratores que ele tem todo direito de se expressar, como qualquer pessoa. Você não tem obrigação de concordar com ele ou apreciar as ideias que ele defende. Mas silenciar arbitrariamente qualquer pessoa não é uma pauta que honra a liberdade.

Se você não gosta de estado, planejamento central, burocracia, impostos, tarifas, políticas coletivistas, nacionalistas e desenvolvimentistas, mostre com argumentos coesos e convincentes porque a liberdade e o livre mercado são superiores a todos esses conceitos. Mas repudie a censura com intransigência e mordacidade.

Em primeiro lugar, porque você aprecia e defende a liberdade de expressão para todas as pessoas. E em segundo lugar, por entender perfeitamente que — se a censura eventualmente se tornar uma política de estado vigente entre a sociedade — é mais provável que ela atinja primeiro os defensores da liberdade do que os defensores do estado.

Machismo

Muitos elementos do comportamento masculino que hoje são atacados com virulência e considerados machistas pelo movimento progressista são na verdade manifestações naturais intrínsecas ao homem, que nossos avôs cultivaram ao longo de suas vidas sem serem recriminados por isso. Com a ascensão do feminismo, do progressismo e a eventual problematização do sexo masculino, o antagonismo militante dos principais líderes da revolução sexual da contracultura passou a naturalmente condenar todos os atributos genuinamente masculinos, por considerá-los símbolos de opressão e dominação social.

Apesar do Brasil ser uma sociedade liberal ultra-progressista, onde o estado protege mais as mulheres do que as crianças — afinal, a cada semana novas leis são implementadas concedendo inúmeros privilégios e benefícios às mulheres, aos quais elas jamais teriam direito em uma sociedade genuinamente machista e patriarcal —, a esquerda política persiste em tentar difundir a fantasia da opressão masculina e o mito de que vivemos em uma sociedade machista e patriarcal.

Como sempre, a realidade mostra um cenário muito diferente daquilo que é pregado pela militância da terra da fantasia. O Brasil atual não tem absolutamente nada de machista ou patriarcal. No Brasil, mulheres podem votar, podem ocupar posições de poder e autoridade tanto na esfera pública quanto em companhias privadas, podem se candidatar a cargos políticos, podem ser vereadoras, deputadas, governadoras, podem ser proprietárias do próprio negócio, podem se divorciar, podem dirigir, podem comprar armas, podem andar de biquíni nas praias, podem usar saias extremamente curtas, podem ver programas de televisão sobre sexo voltados única e exclusivamente para o público feminino, podem se casar com outras mulheres, podem ser promíscuas, podem consumir bebidas alcoólicas ao ponto da embriaguez, e podem fazer praticamente tudo aquilo que elas desejarem. No Brasil do século XXI, as mulheres são genuinamente livres para fazer as próprias escolhas em praticamente todos os aspectos de suas vidas. O que mostra efetivamente que a tal opressão do patriarcado não existe.

O liberalismo social extremo do qual as mulheres usufruem no Brasil atual — e que poderíamos estender a toda a sociedade contemporânea ocidental — é suficiente para desmantelar completamente a fábula feminista da sociedade patriarcal machista e opressora, que existe única e exclusivamente no mundinho de fantasias ideológicas da esquerda progressista.

Tão importante quanto, é fundamental compreender que nenhum homem é obrigado a levar o feminismo a sério ou considerá-lo um movimento social e político legítimo. Para um homem, ser considerado machista ou até mesmo assumir-se como um não deveria ser um problema. O progressismo e o feminismo — com o seu nefasto hábito de demonizar os homens, bem como todos os elementos inerentes ao comportamento e a cultura masculina — é que são o verdadeiro problema, conforme tentam modificar o homem para transformá-lo em algo que ele não é nem deveria ser: uma criatura dócil, passiva e submissa, que é comandada por ideologias hostis e antinaturais, que não respeitam a hierarquia de uma ordem social milenar e condições inerentes à própria natureza humana. Com o seu hábito de tentar modificar tudo através de leis e decretos, o feminismo e o progressismo mostram efetivamente que o seu real objetivo é criminalizar a masculinidade.

A verdade é que — usufruindo de um nível elevado de liberdades — não existe praticamente nada que a mulher brasileira do século XXI não possa fazer. Adicionalmente, o governo dá as mulheres uma quantidade tão avassaladora de vantagens, privilégios e benefícios, que está ficando cada vez mais difícil para elas encontrarem razões válidas para reclamarem da vida. Se o projeto de lei que pretende fornecer um auxílio mensal de mil e duzentos reais para mães solteiras for aprovado pelo senado, muitas mulheres que tem filhos não precisarão nem mesmo trabalhar para ter sustento. E tantas outras procurarão engravidar, para ter direito a receber uma mesada mensal do governo até o seu filho completar a maioridade.

O que a militância colorida da terra da fantasia convenientemente ignora — pois a realidade nunca corresponde ao seu conto de fadas ideológico — é que o mundo de uma forma geral continua sendo muito mais implacável com os homens do que é com as mulheres. No Brasil, a esmagadora maioria dos suicídios é praticada por homens, a maioria das vítimas de homicídio são homens e de cada quatro moradores de rua, três são homens. Mas é evidente que uma sociedade liberal ultra-progressista não se importa com os homens, pois ela não é influenciada por fatos concretos ou pela realidade. Seu objetivo é simplesmente atender as disposições de uma agenda ideológica, não importa quão divorciadas da realidade elas são.

O nível exacerbado de liberdades sociais e privilégios governamentais dos quais as mulheres brasileiras usufruem é suficiente para destruir a fantasiosa fábula da sociedade machista, opressora e patriarcal. Se as mulheres brasileiras não estão felizes, a culpa definitivamente não é dos homens. Se a vasta profusão de liberdades, privilégios e benefícios da sociedade ocidental não as deixa plenamente saciadas e satisfeitas, elas podem sempre mudar de ares e tentar uma vida mais abnegada e espartana em países como Irã, Paquistão ou Afeganistão. Quem sabe assim elas não se sentirão melhores e mais realizadas?

Homofobia

Quando falamos em homofobia, entramos em uma categoria muito parecida com a do racismo: o direito de discriminação é totalmente válido. Absolutamente ninguém deve ser obrigado a aceitar homossexuais ou considerar o homossexualismo como algo normal. Sendo cristão, não existe nem sequer a mais vaga possibilidade de que algum dia eu venha a aceitar o homossexualismo como algo natural. O homossexualismo se qualifica como um grave desvio de conduta e um pecado contra o Criador.

A Bíblia proíbe terminantemente conduta sexual imoral, o que — além do homossexualismo — inclui adultério, fornicação, incesto e bestialidade, entre outras formas igualmente pérfidas de degradação.

Segue abaixo três passagens bíblicas que proíbem terminantemente a conduta homossexual:

“Não te deitarás com um homem como se deita com uma mulher. Isso é abominável!” (Levítico 18:22 — King James Atualizada)

“Se um homem se deitar com outro homem, como se deita com mulher, ambos terão praticado abominação; certamente serão mortos; o seu sangue estará sobre eles.” (Levítico 20:13 — João Ferreira de Almeida Atualizada)

“O quê! Não sabeis que os injustos não herdarão o reino de Deus? Não sejais desencaminhados. Nem fornicadores, nem idólatras, nem adúlteros, nem homens mantidos para propósitos desnaturais, nem homens que se deitam com homens, nem ladrões, nem gananciosos, nem beberrões, nem injuriadores, nem extorsores herdarão o reino de Deus.” (1 Coríntios 6:9,10 —Tradução do Novo Mundo das Escrituras Sagradas com Referências)

Se você não é religioso, pode simplesmente levar em consideração o argumento do respeito pela ordem natural. A ordem natural é incondicional e incisiva com relação a uma questão: o complemento de tudo o que existe é o seu oposto, não o seu igual. O complemento do dia é a noite, o complemento da luz é a escuridão, o complemento da água, que é líquida, é a terra, que é sólida. E como sabemos o complemento do macho — de sua respectiva espécie — é a fêmea.

Portanto, o complemento do homem, o macho da espécie humana, é naturalmente a mulher, a fêmea da espécie humana. Um homem e uma mulher podem naturalmente se reproduzir, porque são um complemento biológico natural. Por outro lado, um homem e outro homem são incapazes de se reproduzir, assim como uma mulher e outra mulher.

Infelizmente, o mundo atual está longe de aceitar como plenamente estabelecida a ordem natural pelo simples fato dela existir, visto que tentam subvertê-la a qualquer custo, não importa o malabarismo intelectual que tenham que fazer para justificar os seus pontos de vista distorcidos e antinaturais. A libertinagem irrefreável e a imoralidade bestial do mundo contemporâneo pós-moderno não reconhecem nenhum tipo de limite. Quem tenta restabelecer princípios morais salutares é imediatamente considerado um vilão retrógrado e repressivo, sendo ativamente demonizado pela militância do hedonismo, da luxúria e da licenciosidade desenfreada e sem limites.

Definitivamente, fazer a apologia da moralidade, do autocontrole e do autodomínio não faz nenhum sucesso na Sodoma e Gomorra global dos dias atuais. O que faz sucesso é lacração, devassidão, promiscuidade e prazeres carnais vazios. O famoso escritor e filósofo francês Albert Camus expressou uma verdade contundente quando disse: “Uma só frase lhe bastará para definir o homem moderno — fornicava e lia jornais”.

Qualquer indivíduo tem o direito inalienável de discriminar ativamente homossexuais, pelo direito que ele julgar mais pertinente no seu caso. A objeção de consciência para qualquer situação é um direito natural dos indivíduos. Há alguns anos, um caso que aconteceu nos Estados Unidos ganhou enorme repercussão internacional, quando o confeiteiro Jack Phillips se recusou a fazer um bolo de casamento para o “casal” homossexual Dave Mullins e Charlie Craig.

Uma representação dos direitos civis do estado do Colorado abriu um inquérito contra o confeiteiro, alegando que ele deveria ser obrigado a atender todos os clientes, independente da orientação sexual, raça ou crença. Preste atenção nas palavras usadas — ele deveria ser obrigado a atender.

Como se recusou bravamente a ceder, o caso foi parar invariavelmente na Suprema Corte, que decidiu por sete a dois em favor de Jack Phillips, sob a alegação de que obrigar o confeiteiro a atender o “casal” homossexual era uma violação nefasta dos seus princípios religiosos. Felizmente, esse foi um caso em que a liberdade prevaleceu sobre a tirania progressista.

Evidentemente, homossexuais não devem ser agredidos, ofendidos, internados em clínicas contra a sua vontade, nem devem ser constrangidos em suas liberdades pelo fato de serem homossexuais. O que eles precisam entender é que a liberdade é uma via de mão dupla. Eles podem ter liberdade para adotar a conduta que desejarem e fazer o que quiserem (contanto que não agridam ninguém), mas da mesma forma, é fundamental respeitar e preservar a liberdade de terceiros que desejam rejeitá-los pacificamente, pelo motivo que for.

Afinal, ninguém tem a menor obrigação de aceitá-los, atendê-los ou sequer pensar que uma união estável entre duas pessoas do mesmo sexo — incapaz de gerar descendentes, e, portanto, antinatural — deva ser considerado um matrimônio de verdade. Absolutamente nenhuma pessoa, ideia, movimento, crença ou ideologia usufrui de plena unanimidade no mundo. Por que o homossexualismo deveria ter tal privilégio?

Homossexuais não são portadores de uma verdade definitiva, absoluta e indiscutível, que está acima da humanidade. São seres humanos comuns que — na melhor das hipóteses —, levam um estilo de vida que pode ser considerado “alternativo”, e absolutamente ninguém tem a obrigação de considerar esse estilo de vida normal ou aceitável. A única obrigação das pessoas é não interferir, e isso não implica uma obrigação em aceitar.

Discriminar homossexuais (assim como pessoas de qualquer outro grupo, raça, religião, nacionalidade ou etnia) é um direito natural por parte de todos aqueles que desejam exercer esse direito. E isso nem o direito positivo nem a militância progressista poderão algum dia alterar ou subverter. O direito natural e a inclinação inerente dos seres humanos em atender às suas próprias disposições é simplesmente imutável e faz parte do seu conjunto de necessidades.

Conclusão

A militância progressista é absurdamente autoritária, e todas as suas estratégias e disposições ideológicas mostram que ela está em uma guerra permanente contra a ordem natural, contra a liberdade e principalmente contra o homem branco, cristão, conservador e tradicionalista — possivelmente, aquilo que ela mais odeia e despreza.

Nós não podemos, no entanto, ceder ou dar espaço para a agenda progressista, tampouco pensar em considerar como sendo normais todas as pautas abusivas e tirânicas que a militância pretende estabelecer como sendo perfeitamente razoáveis e aceitáveis, quer a sociedade aceite isso ou não. Afinal, conforme formos cedendo, o progressismo tirânico e totalitário tende a ganhar cada vez mais espaço.

Quanto mais espaço o progressismo conquistar, mais corroída será a liberdade e mais impulso ganhará o totalitarismo. Com isso, a cultura do cancelamento vai acabar com carreiras, profissões e com o sustento de muitas pessoas, pelo simples fato de que elas discordam das pautas universitárias da moda.

A história mostra perfeitamente que quanto mais liberdade uma sociedade tem, mais progresso ela atinge. Por outro lado, quanto mais autoritária ela for, mais retrocessos ela sofrerá. O autoritarismo se combate com liberdade, desafiando as pautas de todos aqueles que persistem em implementar a tirania na sociedade. O politicamente correto é o nazismo dos costumes, que pretende subverter a moral através de uma cultura de vigilância policial despótica e autoritária, para que toda a sociedade seja subjugada pela agenda totalitária progressista.

Pois quanto a nós, precisamos continuar travando o bom combate em nome da liberdade. E isso inclui reconhecer que ideologias, hábitos e costumes de que não gostamos tem o direito de existir e até mesmo de serem defendidos.

@ b3590d02:0f2b1ae4

Verification: tweet

Badge implications:

• an account that joined Twitter in 2010 or earlier
• an account with fewer than 10,000 followers

Twitter user tweetious profile information:

• Joined in 2008
• Follower count: 699
• Following count: 529

@ fa0165a0:03397073

Probability theory is the study of random phenomena. This post is a pilot post for potentially further posting in this series. Feedback appreciated. Introduction

Probability theory is the study of random phenomena. It is used in many fields, such as statistics, machine learning, and finance. It is also used in everyday life, for example when playing games of chance, or when estimating the risk of an event. The most classic example is the coin toss, closely followed by the dice roll.

When we toss a coin, the result is either heads or tails. In the case of an ideal coin, the “random trail” of tossing the coin has an equal probability for both outcomes. Similarly, for a die roll of a fair dice, we know that the probability for each outcome is 1/6. In the study of probability we dive deep into the mathematics of these random phenomena, how to model them, and how to calculate the probability of different events. To do this in precise terms, we define words and concepts as tools for discussing and communicating about the subject.

This is the first of what I expect to be a 15 part series of my lecture & study notes from my university course in probability theory MT3001 at Stockholm University. References to definitions and theorems will use their numeration in the course literature, even if I may rephrase them myself. The book I’ve had as a companion through this course is a Swedish book called Stokastik by Sven Erick Alm and Tom Britton; ISBN:978–91–47–05351–3. This first module concerns basic concepts and definitions, needed for the rest of the course. The language of Probability theory

An experiment is a process that produces a randomized result. If our experiment is throwing a die, we then have the following: The result of throwing the die is called an outcome, the set of all possible outcomes is called the sample space and a subset of the sample space is called an event. We will use the following notation:

outcome is the result of an experiment, denoted with a small letter, ex. 𝑢₁, 𝑢₂, 𝑢₃, …
event is the subset of the sample space, denoted with a capital letter, ex. 𝐴, 𝐵, 𝐶, …
sample space is the set of all possible outcomes of an experiment, denoted Ω.

Adding numbers to our dice example, we have the sample space Ω = {𝟏,𝟐,𝟑,𝟒,𝟓,𝟔} containing all the possible events 𝑢₁=𝟏, 𝑢₂=𝟐, 𝑢₃=𝟑, 𝑢₄=𝟒, 𝑢₅=𝟓 and 𝑢₆=𝟔. And we could study some specific sub events like the chance of getting an even number, 𝐴={𝟐,𝟒,𝟔}, or the chance of getting a prime number, 𝐵={𝟐,𝟑,𝟓}. As it happens, the probability of both 𝐴 and 𝐵 is 50%. Sample space

The sample space is the set of all possible outcomes of an experiment. It is denoted Ω. And there are two types of sample spaces, discrete and continuous. A discrete sample space is a finite or countably infinite set, and all other kind of sample spaces are called continuous.

The coin toss and the dice roll are both examples of discrete sample spaces. Studying a problem, like the temperature outside, would in reality require a continuous sample space. But in practice, we can often approximate a continuous sample space with a discrete one. For example, we could divide the temperature into 10 degree intervals, and then we would have a discrete sample space.

Remember that continuous sample spaces exist, and expect more information about them in later modules. For starters, we focus on discrete sample spaces. Set Theory notation and operations

When talking about probabilities we will arm ourselves with the language of “set theory”, it is a crucial tool for the study of probability. Feeling comfortable with the subject of set theory since before is useful, but not necessary. I will try to explain the concepts as we go along.

Even tough the events from the dice rolls are represented by numbers, it is important to note that they aren’t numbers, but rather elements. This might become more clear if we alter our example to be a deck of cards. This deck of cards have four suits Ω = {♥, ♠, ♦, ♣ } and in our experiments we draw a card from the deck and look at the suit. It’s here very obvious that we can’t add or subtract the different events with each other. But we do have the operations of set theory at our disposal. For example, if 𝐴 is the event of drawing a red card and 𝐵 is the event of drawing spades ♠, we can use the following notation: Set theory operations

Union: 𝐴 ∪ 𝐵 = {♥, ♦, ♠}, the union of 𝐴 and 𝐵.
The empty set: ∅ = {}, the empty set. A set with no elements.
Intersection: 𝐴 ∩ 𝐵 = ∅, the intersection of 𝐴 and 𝐵.
This means that 𝐴 and 𝐵 have no elements in common. And we say that 𝐴 and 𝐵 are disjoint.
Complement: 𝐴ᶜ = {♠, ♣}, the complement of 𝐴.
Difference: 𝐴 ∖ 𝐵 = {♥, ♦}, the difference of 𝐴 and 𝐵. Equivalent to 𝐴 ∩ 𝐵ᶜ.
The symbol ∈ denotes that an element is in a set. For example, 𝑢₁ ∈ Ω means that the outcome 𝑢₁ is in the sample space Ω. For our example: ♥ ∈ 𝐴 means that the suit ♥ is in the event 𝐴.

Venn diagram

A very useful visualization of set theory is the Venn diagram. Here is an example of a Venn diagram in the picture below:

In the above illustration we have: Ω = {𝟏,𝟐,𝟑,𝟒} and the two events 𝐴={𝟐,𝟑} and 𝐵={𝟑,𝟒}. Notice how the two sets 𝐴 and 𝐵 share the element 𝟑, and that all sets are subsets of the sample space Ω. The notation for the shared element 𝟑 is 𝐴 ∩ 𝐵 = {𝟑}. Useful phrasing

The different set notations may seem a bit abstract at first, at least before you are comfortable with them. Something that might be useful to do is to read them with the context of probabilities in mind. Doing this, we can read some of the different set notations as follows:

𝐴ᶜ, “when 𝐴 doesn’t happen”.
𝐴 ∪ 𝐵, “when at least one of 𝐴 or 𝐵 happens”.
𝐴 ∩ 𝐵, “when both 𝐴 and 𝐵 happens”.
𝐴 ∩ 𝐵ᶜ, “when 𝐴 happens but 𝐵 doesn’t happen”.

The Probability function

Functions map elements from one set to another. In probability theory, we are interested in mapping events to their corresponding probabilities. We do this using what we call a probability function. This function is usually denoted 𝑃 and have some requirements that we will go through in the definition below.

This function take events as input and outputs the probability of that event. For the example of a die throw, if we have the event 𝐴={𝟐,𝟒,𝟔}, then 𝑃(𝐴) is the probability of getting an even number when throwing a fair six sided dice. In this case 𝑃(𝐴)=1/2=𝑃(“even number from a dice throw”), you’ll notice that variations of descriptions of the same event can be used interchangeably.

The Russian mathematician Andrey Kolmogorov (1903–1987) is considered the father of modern probability theory. He formulated the following three axioms for probability theory: Definition 2.2, Kolmogorov’s axioms

A real-valued function 𝑃 defined on a sample space Ω is called a probability function if it satisfies the following three axioms:

𝑃(𝐴) ≥ 𝟎 for all events 𝐴.
𝑃(Ω) = 𝟏.
If 𝐴₁, 𝐴₂, 𝐴₃, … are disjoint events, then 𝑃(𝐴₁ ∪ 𝐴₂ ∪ 𝐴₃ ∪ …) = 𝑃(𝐴₁) + 𝑃(𝐴₂) + 𝑃(𝐴₃) + …. This is called the countable additivity axiom.

From these axioms it’s implied that 𝑃(𝐴) ∈ [𝟎,𝟏], which makes sense since things aren’t less than impossible or more than certain. As a rule of thumb, when talking about probabilities, we move within the range of 0 and 1. This lets us formulate the following theorem: Theorem 2.1, The Complement and Addition Theorem of probability

Let 𝐴 and 𝐵 be two events in a sample space Ω. Then the following statements are true:

1. 𝑃(𝐴ᶜ) = 𝟏 — 𝑃(𝐴)

2. 𝑃(∅) = 𝟎

3. 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) — 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵)

Proof of Theorem 2.1

𝑃(𝐴 ∪ 𝐴ᶜ) = 𝑃(Ω) = 𝟏 = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐴ᶜ) ⇒ 𝑃(𝐴ᶜ) = 𝟏 — 𝑃(𝐴)

This simply proves that the probability of 𝐴 not happening is the same as the probability of 𝐴 happening subtracted from 1.

𝑃(∅) = 𝑃(Ωᶜ) = 𝟏 — 𝑃(Ω) = 𝟏 — 𝟏 = 𝟎

Even though our formal proof required (1) to be proven, it’s also very intuitive that the probability of the empty set is 0. Since the empty set is the set of all elements that are not in the sample space, and the probability of an event outside the sample space is 0.

𝑃(𝐴 ∪ 𝐵) = 𝑃(𝐴 ∪ (𝐵 ∩ 𝐴ᶜ)) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵 ∩ 𝐴ᶜ) = 𝑃(𝐴) + 𝑃(𝐵) — 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵)

This can be understood visually by revisiting our Venn diagram. We see that the union of 𝐴 and 𝐵 has an overlapping element 𝟑 shared between them. This means that purely adding the elements of 𝐴={𝟐,𝟑} together with 𝐵={𝟑,𝟒} would double count that shared element, like this {𝟐,𝟑,𝟑,𝟒}, since we have two “copies” of the mutual elements we make sure to remove one “copy” bur removing 𝑃(𝐴 ∩ 𝐵)={𝟑} and we get 𝑃(𝐴 ∪ 𝐵)={𝟐,𝟑,𝟒}. We may refer to this process as dealing with double counting, something that is very important to have in mind when dealing with sets.

Two interpretations of probability that are useful and often used are the frequentist and the subjectivist interpretations. The frequentist interpretation is that the probability of an event is the relative frequency of that event in the long run. The subjectivist interpretation is that the probability of an event is the degree of belief that the event will occur, this is very common in the field of statistics and gambling. For the purposes of study it’s also useful to sometimes consider probabilities as areas and or masses, this is called the measure theoretic interpretation. Don’t let that word scare you off, in our context it’s just a fancy way of drawing a parallel between areas and probabilities. Think area under curves, and you’ll be fine.

@ 6e0a1f48:c9f444e5

In an increasingly digital and interconnected world, the need to protect our privacy and maintain online sovereignty has never been more critical. As we navigate the information age, we are constantly under surveillance and monitoring, often without our knowledge or consent. This article aims to underscore the vital importance of encryption tools and online sovereignty and how you, as an individual, can contribute to bolstering your own digital security.

The Digital Panopticon

French philosopher Michel Foucault coined the term "Panopticon" to describe a prison in which inmates are constantly watched by an invisible overseer. Today, our online lives increasingly resemble this model. Governments and technology companies have the ability to track our online movements, communications, and behaviors. This is not only a threat to our privacy but also to our freedom and self-determination.

Shield Against Surveillance

Encryption is the key to safeguarding our online communications and data. It encodes information in a way that only the intended recipient can decipher it. Without encryption, our conversations, financial transactions, and personal information are exposed to prying eyes. It is crucial that we adopt and promote the use of encryption tools in our daily digital lives.

A Call to Action

Online sovereignty implies that every individual has control over their own information and communications on the internet. It is a concept that underscores the importance of digital independence. However, to achieve true online sovereignty, it is essential that a large number of people come together in defense of this cause.

You Are the Key to Change

We can only stem or slow down state surveillance of individuals if many of us commit to the cause of privacy and online sovereignty. This involves adopting encryption tools, educating ourselves about privacy threats, and actively advocating for the right to digital freedom.

Influence in Action

Influential individuals play a crucial role in raising awareness and advancing online privacy. If you have a platform, whether big or small, use it to spread information about the importance of encryption and online sovereignty. Every voice that joins the chorus in protecting privacy contributes to building a safer digital world.

In conclusion, safeguarding our privacy and pursuing online sovereignty are critical challenges in the contemporary world. Only through the participation of a large number of people and the active engagement of influential individuals can we hope to reduce state surveillance of the individual. Action begins with each of us. Protect your privacy, adopt encryption, and promote online sovereignty – the future of digital freedom depends on it.

@ 6e0a1f48:c9f444e5

Em um mundo cada vez mais digital e interconectado, a necessidade de proteger nossa privacidade e manter a soberania online nunca foi tão crucial. À medida que avançamos na era da informação, somos constantemente observados e monitorados, muitas vezes sem o nosso conhecimento ou consentimento. Este artigo destina-se a destacar a importância vital de ferramentas de criptografia e soberania online, e como você, como indivíduo, pode contribuir para o fortalecimento de sua própria segurança digital.

O Panopticon Digital

O filósofo francês Michel Foucault cunhou o termo "Panopticon" para descrever uma prisão na qual os prisioneiros são constantemente observados por um vigilante invisível. Hoje, nossas vidas online se assemelham cada vez mais a esse modelo. Governos e empresas de tecnologia têm a capacidade de rastrear nossos movimentos, comunicações e comportamentos online. Isso não é apenas uma ameaça à nossa privacidade, mas também à nossa liberdade e autodeterminação.

Escudo contra a Vigilância

A criptografia é a chave para proteger nossas comunicações e dados online. Ela codifica informações de forma que só o destinatário pretendido possa decifrá-las. Sem criptografia, nossas conversas, transações financeiras e informações pessoais estão expostas a olhos curiosos. É crucial que adotemos e promovamos o uso de ferramentas de criptografia em nossa vida digital cotidiana.

Um Chamado à Ação

A soberania online implica que cada indivíduo tenha controle sobre suas próprias informações e comunicações na internet. É um conceito que ressalta a importância da independência digital. No entanto, para alcançar verdadeira soberania online, é essencial que um grande número de pessoas se una em defesa dessa causa.

Você é a Chave para a Mudança

Só podemos travar ou reduzir a velocidade da vigilância estatal sobre o indivíduo se muitos de nós se comprometerem com a causa da privacidade e soberania online. Isso envolve adotar ferramentas de criptografia, educar-se sobre as ameaças à privacidade e defender ativamente o direito à liberdade digital.

Influência em Ação

Pessoas de influência desempenham um papel fundamental na conscientização e no avanço da privacidade online. Se você tem uma plataforma, seja ela grande ou pequena, use-a para disseminar informações sobre a importância da criptografia e da soberania online. Cada voz que se junta ao coro da proteção da privacidade contribui para a construção de um mundo digital mais seguro.

Em conclusão, a proteção de nossa privacidade e a busca da soberania online são desafios cruciais no mundo contemporâneo. Somente com a adesão de um grande número de pessoas e com o engajamento ativo de pessoas de influência podemos esperar reduzir a vigilância estatal sobre o indivíduo. A ação começa com cada um de nós. Proteja sua privacidade, adote a criptografia e promova a soberania online - o futuro da liberdade digital depende disso.

@ 2baa880a:b6ca1f92

Here’s a common trap we fall into when setting goals.

We come up with an idea of the thing that we want — our end goal. Then, because we know we need to break our big goals into smaller ones, we come up with a short-term goal. With all of our energy, we pursue that short-term goal.

Sometimes, unfortunately, we don’t achieve that short-term goal, or it becomes impossible to pursue, or we get stuck and give up. When that happens, we despair about the future. We think, “This means I’m never going to achieve my end-goal.”

In these moments, what we have forgotten is that there are so many paths to achieve the end-goal. We just settled on this one as our focus, and with all of our energy concentrated upon it, we forgot that there are many other paths that we could take instead.

If a short-term goal doesn’t work out, it doesn’t mean that the long-term goal is doomed. It just means that you need to take a different path to get there.

@ 2baa880a:b6ca1f92

We are creatures of habit. 43% of our daily actions are done unconsciously. These behaviors are then rooted into the environment and relationships surrounding you, prompting you to do the same things in the same way, over and over again.

Sometimes, these habits turn into cycles: patterns of behavior that end up hurting both ourselves and others. You might see these cycles in your relationships, where you find yourself caught in a predetermined role or an unhealthy dynamic. You might see it in the way that you parent your children or treat your loved ones, passing on what you learned from your own childhood. And you might see it in your own behavior, in the ways that you struggle to make the choices that help you to thrive.

If you are stuck in a cycle, please know this: yes, they are hard to break; but yes, you are capable of doing so.

You can change. Relationships can change. The world can change. It’s all possible. To break a cycle, you’ll need three things: conviction, courage, and compassion.

1. Conviction: Believe that you are worthy of more: worthy of different dynamics, worthy of health and well-being, worthy of true love.

2. Compassion: Recognize that your patterns come from the past and that you developed them in order to survive or cope in difficult situations. With this understanding, you can treat yourself with love and kindness; with that love and kindness, it's possible to change.

3. Courage: Harness your bravery and decide to make one different choice. That might be saying “no,” or “yes,” or walking away, or asking for help, or trying something new. Repeat, as often as you can. One step at a time, you will break the cycle.

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Prisoners Defenders denunció el aumento de la represión en Cuba y el silencio internacional. Además cifró en 1.052 los presos políticos en la isla, lo que supone un crecimiento respecto al mes anterior, cuando consignó 1.045.

En su más reciente informe —correspondiente a septiembre—, la ONG indicó que “los cubanos enfrentan el salvajismo terrorífico de un régimen que ha proscrito todas las libertades, que tortura a los 1.052 presos de conciencia y a sus familias ante el completo silencio internacional, mientras investigaciones de Time, Reuters, CNN, Político, Infobae, América TeVé y otros confirman las sospechas de involucración del Gobierno de Cuba en la invasión de Ucrania”.

Familias torturadas y perseguidas penalmente

El reporte denunció que la dictadura cubana lleva a cabo “una persecución multi modal y multi dimensional para acabar con cualquier manifestación de disenso por medio del terrorismo de Estado”. Y puso como ejemplo el caso de la niña de tres años Leadi Kataleya Naranjo Rillos, hija del preso político Idael Naranjo Pérez, quien fue citada a declarar.

Otro caso actual y durísimo —sostiene la ONG— es el de la hija de la presa de conciencia Gloria María López Valle, condenada a cinco años de reclusión por los delitos fabricados de “desórdenes públicos y desacato”, en la prisión de trabajos forzados “El Caramelo”.

“El régimen le arrebató a Gloria María la custodia de Nathalie Álvarez López, su hija de 13 años. El Departamento de Menores de la Seguridad del Estado es quien ‘atiende’ a la niña, por ser hija de una presa de conciencia. Sufre un bulliyng horrible y ya tiene ataques de pánico y, por todo esto y la falta de la madre, se ha intentado suicidar”, describió Prisoners Defenders.

Y siguió: “El régimen se niega a concederle la libertad condicional a Gloria, agravando mucho más el terrible trauma. Unos meses atrás, un hombre trabajador de la ‘casa hogar’ le preguntó si ya tenía vellos en el pubis, si se afeitaba y si se lo podía enseñar. Nathalie le preguntó a una trabajadora de la casa hogar por qué la trataban tan mal y la repuesta fue: ‘Por ser hija de una presa política’”.

En el presente informe, la ONG volvió a subrayar que todos los presos políticos son “torturados inmisericordemente cada día”, al igual que sus familias, que sólo buscan defender su inocencia o denunciar la situación inhumana que viven sus seres queridos en prisión.

La organziación señaló cómo los menores, los jóvenes, las mujeres y el colectivo LGTBI son algunos de los grupos más torturados en prisión, donde el 80 % de los presos sufren al menos cinco tipos de tortura y no pocos hasta 15 tipologías de tortura.

La implicación de Cuba en la invasión rusa a Ucrania

Otro ítem del informe destaca las investigaciones periodísticas de distintos medios, entre ellos Time, Reuters, ABC, CNN e Infobae; que dieron cuenta de la “conexión cubano-rusa causante del reclutamiento de posiblemente miles de cubanos, hecho que ha sido demostrado no sólo por testimonios, si no por el hackeo de los archivos de un oficial ruso que sacaron a la luz cientos de pasaportes de cubanos reclutados, enviados a la guerra en tiempo récord y que viajaron por la nueva ruta de Aeroflot creada por La Habana y Rusia desde el 1 de julio”, consignó el reporte.

Una investigación del blogger cubano Alain Paparazzi cubano, en colaboración con el canal estadounidense América TeVé, mostró desde principios de septiembre los testimonios de muchos soldados cubanos que están en Ucrania y Rusia, algunos en el frente y otros preparados para entrar en combate.

La investigación consiguió pruebas hasta el punto de hacer evidente la involucración del régimen de Cuba. A principios del mes pasado —recordó la ONG—, investigadores ucranianos, tras un trabajo de semanas, hacían públicos los pasaportes de 199 cubanos que están ya en el frente. Todos ellos tienen en común el siguiente patrón:

1- La gran mayoría han llegado en los aviones rusos de una nueva ruta directa entre La Habana (Varadero) y Moscú creada por el régimen cubano y el régimen ruso justamente en julio de 2023, mientras todas las demás aerolíneas que operan en Cuba han desmantelado varias de sus rutas porque no hay turistas para llenar los aviones.

2- Todos fueron reclutados por personal cubano y personal ruso en plena colaboración. De la parte cubana, tal y como desveló Infobae, la responsable de todo fue la coronel del ejército cubano Mónica Milián Gómez, la actual agregada militar en Moscú e hija del fallecido general de división Roberto Milián Vega, que combatió en la revolución junto a Raúl Castro.

3- El Gobierno les facilitaba el pasaporte. A un porcentaje alto de los reclutados se les daba facilidades y vías para recoger el pasaporte días/horas antes de viajar a Rusia, en La Habana.

4- La última investigación de Reuters ha desvelado que la oferta para unirse a la invasión de Ucrania compartidas a través de Facebook e Instagram “se convirtieron en la comidilla de la ciudad”. Más de dos docenas de jóvenes entrevistados por Reuters hablaron de la magnitud del éxodo: a) Uno dijo: “Casi todos nuestros amigos se han ido a la guerra”; b) Otro dijo: “Yo conozco a 100 hombres sólo en Villa María [un minúsculo poblado de La Habana] que han sido reclutados para la guerra rusa”.

5- Una investigación de Time Magazine también fue clara: “Las redes sociales, los mensajes de audio y los videos de los reclutas en Rusia revisados por TIME, junto con entrevistas con familiares y documentos obtenidos por un grupo de hackers ucranianos que corroboran sus identidades, cuentan, combinadamente, una historia: (...) se vieron atrapados en una operación organizada a gran escala que ha reclutado abiertamente a cientos de cubanos para luchar en Ucrania desde julio”.

6- La investigación del Moscow Times indicó que “una cuenta de redes sociales bajo el nombre de Elena Shuvalova había estado publicando durante meses anuncios ofreciendo un contrato de un año con el ejército ruso, entre ellos en un grupo de Facebook llamado ‘Cubanos en Moscú’”. El grupo tiene más de 77.000 miembros cubanos. Son más motivos aún para que el régimen de Cuba no pueda decir estar al margen, cuando la vigilancia en las redes sociales es extrema en Cuba, de cada publicación.

7- El perfil de los enviados por esta vía es un perfil de aquellos que quisieran residir fuera de Cuba. La red de captación les promete la residencia permanente en Rusia, por lo que están captando potenciales “gusanos” y “desertores” de los que el Gobierno de Cuba desde el 11 de julio de 2021 se quiere deshacer para mantener el control social interno. Es decir, al Gobierno de Cuba no le importará su muerte lo más mínimo y, de hecho, ya les ha tildado, al ser descubierta la trama, de “mercenarios”.

8- Las autoridades de migración en Cuba, una vez que confirman que el viajero se dirige a Rusia como mercenario del ejército ruso, se niegan a sellarles el pasaporte de salida para que no quede constancia de la fecha de salida, como sí hacen, sin embargo, con el 100% de los ciudadanos cubanos que viajan al exterior.

9- Varios de ellos, como Andorf Velázquez García y Alex Vegas Díaz, ambos de 19 años y presos por el ejército ruso por negarse a luchar, han denunciado que les dijeron que irían destinados a tareas de construcción para el ejército ruso. Sin embargo, los cubanos están siendo enviados a la primera línea del frente.

10- Al menos 20 de ellos entraron a través de Bielorrusia, precisamente el país al que Cuba reconoce haber enviado tropas cubanas.

“Dado que ya el régimen de Cuba apoyaba a Rusia diplomática y dialécticamente desde el inicio de la guerra, ante la exigencia de Putin, en 2022 le sobran a Cuba motivaciones para apoyar la guerra con soldados. La crisis de gestión que tiene Cuba ha derivado en una carencia energética deplorable y el régimen de Cuba busca en Rusia ese ‘huésped’ al que parasitar de nuevo como hacía hasta 1989. Pero, dado que la economía cubana parasita otros ‘huéspedes’ y se ha financiado creando apalancamientos y deudas en otras democracias enfrentadas a Putin (UE, Canadá, Noruega, etc.), tiene mucho que perder si su apoyo militar a Rusia se conociera. El problema es que en esos países hay personas al cargo de la diplomacia que prefieren seguir engañados a reconocer un error de 64 años, porque no sufren dicho error en carne propia”, consignó Prisoners Defenders.

@ 4b78d86b:4cda7d30

https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/1 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/2 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/3 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/4 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/5 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/6 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/7 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/8 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/9 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/10 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/11 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/12 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/13 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/14 https://git.forum.ircam.fr/ofleak/leaked/-/issues/15

@ cf474e6b:13e49f67

Introduktion

Aldring er en naturlig del af livet, og med den kommer fremkomsten af fine linjer og rynker på vores hud. Selvom disse ældningstegn er uundgåelige, er der ingen grund til at overgive sig uden kamp. Rynkebehandling tilbyder enkeltpersoner muligheden for at ældes med værdighed og selvtillid. I denne artikel vil vi udforske de forskellige metoder til rynkebehandling og hvordan de kan hjælpe dig med at genskabe dit ungdommelige udseende og øge din selvtillid.

Forståelse af Rynkebehandling

Rynkebehandling omfatter en række kosmetiske procedurer og hudplejeteknikker med det formål at reducere eller eliminere rynker. Disse procedurer kan målrette forskellige typer af rynker, såsom dynamiske rynker (forårsaget af muskelbevægelse), statiske rynker (forårsaget af volumen tab og kollagenudtømning) og fine linjer.

Almindelige Metoder til Rynkebehandling

Botox-injektioner: Botulinumtoksin, kendt som Botox, injiceres i specifikke ansigtsmuskler for midlertidigt at lamme dem, hvilket forhindrer dannelse af dynamiske rynker. Denne behandling er især effektiv for kragefødder, pandelinjer og bekymringsrynker.

Dermal fillers: Dermal fillers bruges til at genoprette volumen i huden og reducere udseendet af statiske rynker. Populære fyldstoffer som hyaluronsyre kan give fylde til slap hud og udfylde fine linjer, hvilket giver din hud et glattere og ungdommeligt udseende.

Kemiske skrælninger: Kemiske skrælninger indebærer påføring af en kemisk opløsning for at fjerne det øverste hudlag og afsløre et friskere og mere ensartet lag derunder. Denne procedure kan forbedre hudens tekstur og reducere udseendet af fine linjer.

Mikrodermabrasion: Mikrodermabrasion er en ikke-invasiv procedure, der eksfolierer hudens overflade ved hjælp af små krystaller, hvilket mindsker fine linjer og stimulerer produktionen af kollagen.

Laserbehandling: Laserbehandlinger bruger fokuseret lys til at forynge huden. De kan målrette rynker, solskader og pigmentproblemer, hvilket fører til glattere og mere ungdommeligt udseende hud.

Fordele ved Rynkebehandling

Forøget selvtillid: Rynkebehandling kan markant forbedre din selvtillid ved at hjælpe dig med at se lige så ung ud på ydersiden som du føler dig på indersiden. Denne fornyede selvtillid kan have en positiv indvirkning på forskellige aspekter af dit liv.

Ikke-invasive muligheder: Mange rynkebehandlingsmetoder er ikke-kirurgiske, hvilket gør dem bekvemme og med lav risiko for personer, der søger et ungdommeligt udseende uden nedetid og risici forbundet med kirurgi.

Tilpasning: Rynkebehandling kan tilpasses for at adressere dine specifikke bekymringer, om det er kragefødder, smilelinjer eller panderynker. Denne personlige tilgang sikrer, at du opnår de resultater, du ønsker.

Naturlige resultater: Moderne rynkebehandlingsmetoder sigter mod naturlige resultater og undgår det overdrevent stive eller frosne udseende, der er forbundet med visse ældre procedurer.

Konklusion

Rynkebehandling tilbyder en række effektive løsninger for dem, der ønsker at mindske tegnene på aldring og genskabe deres ungdommelige udseende. Uanset om du vælger Botox, dermal fillers, kemiske skrælninger eller andre behandlinger, er nøglen at konsultere en kvalificeret sundhedsprofessionel for at afgøre den bedste tilgang til dine unikke behov. At omfavne tiden med selvtillid handler ikke om at trodse naturen, men om at føle sig bedst muligt i enhver alder. Så hvis rynker får dig til at føle dig selvbevidst, kan rynkebehandling være svaret på at hjælpe dig med at ældes med værdighed og selvtillid.

@ 20986fb8:cdac21b3

YakiHonne.com is a decentralized media protocol built on Nostr that supports multiple functions such as curation, long content creation, news reporting, and community review. Currently, YakiHonne has users in 115 countries around the world with over 15 languages posts.

YakiHonne is organizing a series of activities, welcome to participate in our activities and earn your BTC!

Ongoing Activities

1. Comment2Earn | Earn SATs by sharing your comments on YakiHonne

Do you have any thoughts on YakiHonne? Share it and earn SATs!

Follow Us

• Nostr: npub1yzvxlwp7wawed5vgefwfmugvumtp8c8t0etk3g8sky4n0ndvyxesnxrf8q
• Twitter: https://twitter.com/YakiHonne
• Facebook Profile: https://www.facebook.com/profile.php?id=61551715056704
• Facebook Page: https://www.facebook.com/profile.php?id=61552076811240
• Facebook Group: https://www.facebook.com/groups/720824539860115
• Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCyjDDtWFCntGvf4EyFJ7BlA

How to Get SATs:

1. Post your thoughts about YakiHonne on at least one of the above social media, and be sure to @ YakiHonne.
2. Follow YakiHonne on at least one of the social media above.
3. Back to this article, leave your social account which followed YakiHonne in the Comments.
4. Be zapped with SATs.

Details: https://yakihonne.com/article/naddr1qq257d6dgeexv633vfc5xkzdfse8zvthdeay7q3qyzvxlwp7wawed5vgefwfmugvumtp8c8t0etk3g8sky4n0ndvyxesxpqqqp65wj6g2x4

2. Discover Bali Like Never Before | YakiHonne 3rd Themed Creation Zap

Do you have any experiences in Bali that you would like to recommend to others? Share them and earn SATs with YakiHonne 3rd Themed Creation Zap!

Tips

1. You could share your recommendation for foods, restaurants, accommodations, activities, viewpoints, and other must-try in Bali. Tips for staying in Bali will be very helpful too.
2. Be sure to add the location and contact to your recommendation. It will help visitors find them more easily.
3. Be sure to add the tag 'YakiHonne Discover Bali' to your post correctly.

Details: https://yakihonne.com/article/naddr1qq2k7nrr09kk55r6d385cs35x4trsc240p88zq3qyzvxlwp7wawed5vgefwfmugvumtp8c8t0etk3g8sky4n0ndvyxesxpqqqp65wgcnzyn

3. Hack-Nostr-On Round 3

Welcome to join our hackathon to unleash your creativity and help drive the development of the Nostr ecosystem, whether you are a developer, media person, product manager, marketer, designer, or newcomer.

Tracks

NIP: Functional construction and optimization of the Nostr protocol to support more applications.

Relay: Design or optimize Relay network, incentive mechanism, filtering algorithm and storage possibility, etc.

Client: Various clients and developer tools built on Nostr.

Content and Community: Spreading the Nostr protocol and promoting the development of the Nostr community. Continue to publish high-quality content related to Nostr and Bitcoin, whether it is newsletter, research, report, video, or audio.

Details: https://yakihonne.com/article/naddr1qq2k77fd94tycaf38qk5uutrv34x76reveu4xq3qyzvxlwp7wawed5vgefwfmugvumtp8c8t0etk3g8sky4n0ndvyxesxpqqqp65wy75psl

Activity History

1. Project Spotlight | YakiHonne 2nd Themed Creation Zap
2. Winner Announced! YakiHonne Ideathon | The TAO to Intelligence: Imagination Intelligence Ideathon
3. YakiHonne Nostr Theme Creation Zap
4. Earn SATs with YakiHonne Updates | Round 5
5. YakiHonne Ideathon | Integrate Future Creativity and Set Sail on an Artistic Journey
6. More...

---

About YakiHonne:

YakiHonne is a Nostr-based decentralized content media protocol, which supports free curation, creation, publishing, and reporting by various media. Try YakiHonne.com Now!

Follow us

• Telegram: http://t.me/YakiHonne_Daily_Featured
• Twitter: @YakiHonne
• Nostr pubkey: npub1yzvxlwp7wawed5vgefwfmugvumtp8c8t0etk3g8sky4n0ndvyxesnxrf8q
• Facebook Profile: https://www.facebook.com/profile.php?id=61551715056704
• Facebook Page: https://www.facebook.com/profile.php?id=61552076811240
• Facebook Group: https://www.facebook.com/groups/720824539860115
• Youtube: https://www.youtube.com/channel/UCyjDDtWFCntGvf4EyFJ7BlA

@ b26d78e0:8ea4b113

Chef's notes

Adjust butter to cannabutter ratio as desired.

If using salted butter reduce the salt by half.

The leavening agents are included for taste, baking soda for a classic cookie dough flavor and cream of tartar for the snickerdoodle flavor.

Details

• ⏲️ Prep time: 10 -15 minutes
• 🍳 Cook time: Chill time 30 min - 2 hours
• 🍽️ Servings: Lots

Ingredients

• ½ cup unsalted butter: 6T plain butter, 2T cannabutter
• ¾ cup raw honey
• 1 tsp vanilla extract
• 1 ½ cups all purpose flour (whole wheat pastry flour or a gluten-free baking blend would also work)
• ¾ tsp cream of tartar
• ¼ tsp baking soda
• ½ tsp salt
• 1 ½ tsp cinnamon
• ½ tsp nutmeg

Directions

1. Cream together butter and honey.
2. Add remaining ingredients and mix gently until well blended.
3. Chill in freezer for about 30 minutes, or refrigerator for about 2 hours.
4. Scoop out level tablespoonfuls and roll into balls.
5. Store in an airtight container in fridge or freezer.

@ 50c5c98c:65867c8e

Good night.

BlastFromThePast

Today has been productive. I spoke with a local merchant regarding tshirts with the InkblotArt logo and mentioned keychains. She mentioned that they were leather. $15 each. I'm uncertain if I want to go there, but I'm gung ho for stickers! What do you think about stickers for InkblotArt, anon? If there is enough interest, I can certainly get a few more vector designs done up. Tomorrow's another day. I want to hide away and paint for a few hours. Nostr is my greatest help and my biggest distraction.

@ a012dc82:6458a70d

Table Of Content

• What is a Bitcoin Bull Market?

• Why Analysts Believe a New Bull Market is on the Horizon for Bitcoin

• Bitcoin's Recent Performance

• The Analyst's Prediction

• On-Chain Data

• Bitcoin's Future Prospects

• Conclusion

• FAQ

A cryptocurrency analyst recently suggested that Bitcoin is on the brink of a new bull market, which could potentially lead to a period of significant price appreciation. With an increasing number of institutional investors entering the market, the analyst believes that Bitcoin could soon see a significant rise in value.

What is a Bitcoin Bull Market?

Before we dive into the details of why a new bull market could be on the horizon for Bitcoin, let's first define what we mean by the term "bull market."

A bull market is a period of time when prices are rising, and investor confidence is high. In the case of Bitcoin, a bull market is characterized by a significant increase in the price of the cryptocurrency, with many investors buying in anticipation of future gains.

Conversely, a bear market is a period of time when prices are falling, and investor confidence is low. During a bear market, many investors will sell off their holdings, and there may be a sense of pessimism in the market.

Why Analysts Believe a New Bull Market is on the Horizon for Bitcoin

There are several reasons why analysts believe that Bitcoin is on the cusp of a new bull market. One of the most significant factors is the growing acceptance of Bitcoin by mainstream financial institutions.

Over the past few years, several major banks and financial institutions have announced plans to integrate Bitcoin and other cryptocurrencies into their businesses. For example, Mastercard recently announced that it will allow merchants to accept certain cryptocurrencies, including Bitcoin, as a form of payment. PayPal also recently launched a cryptocurrency trading platform, making it easier for individuals to buy and sell Bitcoin.

In addition to these developments, many investors are also becoming more aware of the potential benefits of Bitcoin. As a decentralized currency, Bitcoin is not subject to the same restrictions and regulations as traditional currencies. This means that it can be used for a variety of purposes, including online purchases, international money transfers, and even as a store of value.

Bitcoin's Recent Performance

Bitcoin's recent performance has been marked by significant volatility, with the cryptocurrency reaching an all-time high of nearly $69,000 in November 2021 before experiencing a rapid decline in December that saw it lose more than 40% of its value in just a few weeks. Factors contributing to the volatility include economic uncertainty due to the ongoing pandemic, increasing regulatory scrutiny, and growing acceptance of cryptocurrencies by mainstream financial institutions. While some analysts remain optimistic about the long-term potential of Bitcoin, investors should approach it with caution and do their own research, as the high level of volatility and lack of regulation in the cryptocurrency market means that investing in Bitcoin can be risky.

The Analyst's Prediction

Analyst Willy Woo has suggested that Bitcoin could confirm a new bull market within a week, based on the cryptocurrency's on-chain data. Woo has been known for his accurate predictions in the past and is considered a respected figure in the crypto community.

On-Chain Data

Woo's prediction is based on Bitcoin's on-chain data, which suggests that the cryptocurrency is in the accumulation phase, with long-term holders accumulating more Bitcoin while short-term holders are selling. This trend is seen as a bullish sign by many analysts.

Bitcoin's Future Prospects

If Woo's prediction is correct and Bitcoin does confirm a new bull market, it could be a significant development for the cryptocurrency's future prospects. A new bull market could potentially lead to a surge in Bitcoin's price, as more investors become interested in the cryptocurrency.

Conclusion

Despite the recent volatility in Bitcoin's price, there are indications that a new bull market may be on the horizon. Some analysts suggest that the cryptocurrency's recent price correction was a healthy market correction that will pave the way for further growth in the future. They point to the increasing adoption of Bitcoin by mainstream financial institutions, as well as the growing number of individuals and companies that are using it for a variety of purposes.

FAQ

What is Bitcoin's new bull market? A bull market is a financial term used to describe a period of time in which asset prices rise significantly.

Why are analysts suggesting a new bull market for Bitcoin? Analysts are suggesting a new bull market for Bitcoin due to several factors such as increased institutional adoption, global economic uncertainty, and government stimulus packages.

How high could Bitcoin's price go in the new bull market? It's difficult to predict exactly how high Bitcoin's price could go in the new bull market, but some analysts are predicting prices of $100,000 or more.

Should I invest in Bitcoin during the new bull market? It's important to do your own research and consider your own financial situation before making any investment decisions. While some analysts are bullish on Bitcoin, investing in any asset comes with risks and uncertainties.

That's all for today, see ya tomorrow

• If you want more, be sure to follow us on:

• NOSTR: croxroad@getalby.com

• X: @croxroadnews

• Instagram: @croxroadnews.co

• Subscribe to CROX ROAD Bitcoin Only Daily Newsletter

• https://www.croxroad.co/subscribe

DISCLAIMER: None of this is financial advice. This newsletter is strictly educational and is not investment advice or a solicitation to buy or sell any assets or to make any financial decisions. Please be careful and do your own research.

@ 4044176c:b3f3c23c

Read more related articles, you can follow me on the anti-censorship long content platform yakihonne.com

As someone who has worked with AI technology for several years, I am often asked, "Is AI better than humans?"

While this is a complex question with no clear-cut answer, it is worth exploring how AI technology has surpassed human capabilities and the areas where humans still hold the upper hand.

One of the most significant advantages of AI technology is its ability to process vast amounts of data at incredible speeds. This allows AI algorithms to identify patterns and make predictions that would be impossible for humans to do independently.

For example, AI-powered medical diagnostic tools can analyze millions of patient records to identify early warning signs of diseases that might have gone unnoticed by human doctors.

However, there are still many areas where humans outperform AI technology.

For example, humans possess a level of creativity and emotional intelligence that is difficult to replicate in machines. While AI algorithms can generate new ideas and designs, they cannot truly understand and appreciate the nuances of human emotions and experiences.

Additionally, humans are better equipped to handle unexpected situations and adapt to new environments, whereas AI algorithms can struggle when faced with unfamiliar scenarios.

Understanding AI

Artificial Intelligence (AI) is a branch of computer science that aims to create machines that can perform tasks that usually require human intelligence.

AI is about creating intelligent machines that can work and react like humans. It is a complex field that combines computer science, mathematics, and engineering to develop intelligent machines that can learn and adapt to new situations.

AI is based on the idea that machines can be made to think and act like humans. It involves the development of algorithms and models that can process large amounts of data and make predictions based on that data.

AI can solve many problems, from simple tasks like recognizing images and speech to complex tasks like driving a car or diagnosing diseases.

There are different types of AI, including:

• Rule-based AI: This type of AI is based on a set of rules programmed into the system. The system follows these rules to make decisions and perform tasks.
• Machine learning: This type of AI uses algorithms that can learn from data. The system is trained on a set of data and uses it to make predictions and decisions.
• Deep learning: This type of AI is a subset of machine learning using neural networks. These networks are modeled after the human brain and can learn from large amounts of data.

AI has many applications in various industries, including healthcare, finance, transportation, and entertainment. It can improve efficiency, reduce costs, and enhance the customer experience.

However, it is essential to note that AI is imperfect and has limitations. While AI can process large amounts of data and make predictions based on that data, it must have the human touch and intuition often required in complex decision-making processes.

In conclusion, AI is a rapidly evolving field that has the potential to revolutionize the way we live and work. Understanding the different types of AI and their applications is essential to appreciate this technology's benefits and limitations fully.

The Strengths of AI

As an AI language model, AI has several strengths that make it better than humans in certain areas. In this section, I will outline some of the critical powers of AI.

Efficiency and Accuracy

One of the main strengths of AI is its ability to work tirelessly and without breaks. AI can process and analyze vast amounts of data in seconds, which would take humans hours or even days.

AI algorithms are designed to be highly accurate, ensuring their results are reliable and consistent. This makes AI particularly useful in areas such as finance, healthcare, and logistics, where accuracy is essential.

Data Processing and Analysis

Another strength of AI is its ability to process and analyze large amounts of data. AI algorithms can identify patterns and trends in data that would be difficult or impossible for humans to spot.

This makes AI particularly useful in fields such as marketing, where companies can use AI to analyze customer data and identify trends in consumer behavior.

Availability

Unlike humans, AI is available 24/7. Businesses can use AI to provide round-the-clock customer service, monitor systems, and detect real-time issues.

AI-powered chatbots, for example, can provide instant responses to customer queries, improving customer satisfaction and reducing the workload on human customer service agents.

In conclusion, AI has several strengths that make it better than humans in certain areas. Its efficiency and accuracy, data processing and analysis capabilities, and availability make it an invaluable tool for businesses and organizations across various industries.

The Strengths of Humans

As an AI language model, I understand that there are areas where humans still excel over artificial intelligence. Here are a few examples:

Creativity

While AI can generate impressive results in art, music, and writing, it lacks the innate creativity and imagination that humans possess. Humans can think outside the box, develop novel ideas, and create something unique.

AI can only generate what it has been programmed to do, while humans can take inspiration from their surroundings, emotions, and experiences to create something entirely new.

Emotional Intelligence

AI can analyze sentiments and emotions to a certain extent but cannot fully understand and respond to human emotions nuancedly. Emotional intelligence is a uniquely human ability that allows us to empathize with others, understand their perspectives, and respond appropriately.

Humans can read body language, tone of voice, and facial expressions, all essential to emotional intelligence. This skill is vital in counseling, therapy, and social work.

Ethics and Morality

AI can make decisions based on data and algorithms, but it lacks humans' moral compass. Humans can make ethical and moral judgments based on their values, beliefs, and experiences.

We can consider the impact of our actions on others and make decisions accordingly. Conversely, AI can only make decisions based on the data it has been given without considering the broader ethical implications.

In conclusion, while AI has made significant advancements in recent years, there are still areas where humans excel over artificial intelligence. Humans' unique strengths are creativity, emotional intelligence, ethics, and morality.

Comparative Analysis

AI vs Humans in Decision-Making

Regarding decision-making, AI has a clear advantage over humans regarding speed and accuracy. AI algorithms can process vast amounts of data in seconds and provide insights humans may miss. In contrast, humans are prone to biases and emotions that can cloud their judgment.

However, AI has its limitations. It cannot consider its decisions' ethical and moral implications, a critical aspect of decision-making in many fields. Additionally, AI algorithms can only make decisions based on the data they have been trained on, which means they may be unable to adapt to new situations or unexpected events.

AI vs Humans in Job Performance

AI has the potential to revolutionize job performance in many industries. For example, in manufacturing, AI-powered robots can perform repetitive and dangerous tasks more efficiently and accurately than humans.

In healthcare, AI algorithms can help diagnose diseases and develop personalized treatment plans based on a patient's genetic profile.

However, there are also concerns that AI could replace human workers, leading to job loss and economic disruption. Additionally, AI algorithms may need help, unable to replicate the creativity, empathy, and social skills essential in many jobs.

In conclusion, while AI has many advantages over humans in decision-making and job performance, it is not a perfect substitute for human intelligence.

The best approach is to find ways to combine the strengths of AI and human intelligence to achieve better outcomes.

Future Implications

As AI advances and becomes more integrated into various industries, it's essential to consider the potential implications for the future. In this section, I will discuss two key areas of concern: the impact on jobs and ethical considerations.

Impact on Jobs

One of the primary concerns surrounding the rise of AI is its potential impact on jobs. While some argue that AI will create new job opportunities, others fear it will lead to widespread unemployment as machines become more capable of performing tasks that humans previously did.

According to a report by the World Economic Forum, AI is expected to displace 75 million jobs by 2022, but it will also create 133 million new jobs. However, the report notes that the new jobs may require different skill sets than the jobs that are being displaced.

Individuals and organizations need to consider how they can adapt to the changing job market and acquire the skills that will be in demand.

This may involve investing in education and training programs and exploring new career paths that are less likely to be automated.

Ethical Considerations

Another important consideration is the ethical implications of AI. As machines become more intelligent and autonomous, they may be used to make decisions that significantly impact people's lives.

This raises questions about who should be held responsible for the outcomes of these decisions and how they can be held accountable.

For example, if an autonomous vehicle causes an accident, who is responsible? The vehicle's manufacturer, the programmer who wrote the software, or the vehicle's owner? These complex ethical questions will need to be addressed as AI becomes more prevalent.

Additionally, there are concerns about the potential misuse of AI, such as the development of autonomous weapons or the use of AI to manipulate public opinion.

It will be necessary for governments and organizations to establish ethical guidelines and regulations to ensure that AI is used responsibly and ethically.

Overall, while AI can bring about significant benefits, it's essential to consider the potential implications and take steps to address any concerns. By working together to develop responsible and ethical guidelines, we can ensure that AI is used in a way that benefits society.

Conclusion

After researching and analyzing the available information, I have concluded that AI is sometimes better than humans.

While AI can process vast amounts of data quickly and accurately, it needs more creativity, empathy, and critical thinking skills than humans.

One of the main advantages of AI is its ability to automate repetitive tasks and improve efficiency in various industries. However, it can only partially replace human workers.

AI should be viewed as a tool that can augment human intelligence rather than replace it.

Furthermore, specific tasks are better suited for humans, such as jobs that require emotional intelligence, interpersonal skills, and decision-making abilities.

For example, doctors and nurses must communicate effectively with patients, understand their emotional needs, and make complex medical decisions based on various factors.

In addition, AI is not infallible and can make mistakes if it is not programmed correctly or fed biased data. This can have serious consequences, particularly in healthcare and finance, where decisions based on inaccurate or personal data can have life-altering implications.

While AI has benefits, it is essential to recognize that it is not a replacement for human intelligence. Instead, it should be viewed as a complementary tool to help us make better decisions and improve efficiency in various industries.

By：Shahzaib Malik Link：https://medium.com/illumination/is-ai-better-than-humans-0d4cfad00d57

@ 9071d94a:6967c53b

Plz

@ 75bf2353:e1bfa895

I started a YouTube Channel about a year ago, but the Google Gods won't let me publish videos without a phone number. There are ways around it, but I decided it was too much of a pain in the ass to deal with. I also had a hard time justifying using YouTube, which is owned by Google when I use the Whoogle search engine. It doesn't align with my values.

I ran a PeerTube instance for a while, but that was a different kind of pain in the ass, so I created a Rumble Channel. They have some fiat monetization scheme, but I want to go balls to the wall and accept zaps only because I don't want to be beholden to any advertisers. Here is my first Rumble Video.

Please:

• Subscribe

• Share on nostr and corporate surveillance social media if you're still there.

• Zap

@ 9a576bd9:538775f4

Pour vous retrouver dans cette liste, envoyez moi un DM sur Nostr --> nostr:npub1nftkhktqglvcsj5n4wetkpzxpy4e5x78wwj9y9p70ar9u5u8wh6qsxmzqs

Pour facilement suivre toutes les personnes, cliquez sur ce badge nostr:naddr1qqrxuur4vfn8yq3qnftkhktqglvcsj5n4wetkpzxpy4e5x78wwj9y9p70ar9u5u8wh6qxpqqqp6njrvyc7f et "Follow All Awardees" et vous pouvez aussi collecter ce badge si vous êtes dans liste

• nostr:npub16zlc26xk7qjlfa4dquqvvs3s5zl2yw989lprj63nfw4g7ndnuahslcevpc
• nostr:npub1r34nhc6nqswancymk452f2frgn3ypvu77h4njr67n6ppyuls4ehs44gv0h
• nostr:npub10fd0ncqmzd6q3e7t9kzlh82asw2jj7kpn7hjvcrfhq4uyzc4dpvsxtvn3n
• nostr:npub16c3zzd08c5aq350eygczt475dvlqsmsdy5merp400hquptg28uhsw04zg5
• nostr:npub18ug6hvhzxhdz6nw6t4k7ktcjx9e5w6n5tg7226y458g0vv4y9aqq3r20ex
• nostr:npub158d7zqnl36ze3gmyv4kedezvla3z3rvgsfpap83drqrywswwvc8skw9kx0
• nostr:npub1renaud65zug8r570ndztde2xhk206z3v50a5mwa3kp2xshy3zmjqkqaw97
• nostr:npub1x2kakfryyzw7gfh9n8d53w7669ck0ly9k2ayj0l9h7wfa829n7dqyp6jgd
• nostr:npub1dec0uvrwnst0q7qxwkexqv98wvnl9h74gfqmne6va6m5fhtggp0qa27mqr
• nostr:npub1kg4g7f76uzs7wrlmjpddan7frvtzmjczucuw6sefq3gzlwxt7s5qz7gpgw
• nostr:npub1l0uneskvz7l53vx766vcyk2l9me47r4fcc5yfdzzzd6m43sw76yq4prhn4
• nostr:npub1fanjsgy7jghu7d3l5hfq79a3c9kt959x638d5qhjmeeseyr7xp2qert4f0
• nostr:npub1nftkhktqglvcsj5n4wetkpzxpy4e5x78wwj9y9p70ar9u5u8wh6qsxmzqs
• nostr:npub1fhlwh03chgqj5fg9yvkr3r9f08ru70ne8f05qgccsa5ek3ytlw9s2r5vwy
• nostr:npub199udz4c5vu9qhdpkkxkvrc6a7wk4nyu5c9cxj8n2gkjptzv4te3s7nlde5
• nostr:npub1h2sceju48tkcepyuejqxuavc5phfspfyfz0pte3zp8hvgh4faqfswk0uhy
• nostr:npub1ayt2xl77tmy8pe3q973gwguqrv4urewpwnpwd7f5wqzeap8tl9hs2e0prh
• nostr:npub10draxlelxtu5snkus738cwrlt69avvd9w2k8d45jgnyz7t4zfupsyt5znd
• nostr:npub17xmqghckxjkzrkes0h586jtxz9ac8ue45kjjp80tl4lc5h89sffqqec6pp
• nostr:npub1ky4kxtyg0uxgw8g5p5mmedh8c8s6sqny6zmaaqj44gv4rk0plaus3m4fd2
• nostr:npub1503sx6g4yptv205ar4ey4r49mu4x4qgnf9dtqpal38jfg2e5ecsss40ksy
• nostr:npub122revmw6027qkuhyu46cnmqvlsge6gqk9g50wxzswhnnnmq28rpsurf8av
• nostr:npub1wsaudzdnxvuwmzxd4a6uzhvldy496pn7elc36cp340vm5mk4rq9sfmvwpg
• nostr:npub1dxq9wm6vycth82dqxqeankldjyacq66tp037rmz7nnfuaa7mcyjs6pacag
• nostr:npub15c4gzeh5jypzgyduv6j50uywnlh9vaxpqkkh52xqtc79taf0pjhqzeqzqy
• nostr:npub1dq64gmp6e43kgg5nrzcsdm679vk7y5kvu6tx4y68g70gjwcvzjmselc9ej
• nostr:npub1aa3xzzksrtp03cxqh7dc0h4p2rcnn9kltf9gr6ea2zee9c4d6mssvycask
• nostr:npub1chuth0ru5mq5pjeq6magew3kse4d5m7wgzqk3tnz0kgqwu3vt6ls5hq3gd
• nostr:npub1dy7zsvk7jwd547xvmpptzlc9muhd64g7txvf60zwlxjyj4aj78as6hljz5
• nostr:npub14hupsjjgc6zulz2g852awkes3zkeadukzqyzwsvln5fc93vac7qq0rxeuw
• nostr:npub12ej3ve3aj820a7pyatkvh7wzvvdgmz3wlm5qfr99aesfteh9epps4vengl
• nostr:npub1lvhyh9562qqgsl70jmpnqvcytydc5t0fcj6dnh2y676gmc2vvdfseqfghk
• nostr:npub19cmeu88qqcel2rf5uuuz2m9sswladzalq4f9wyydsd9d6ku26h2q0rjkxl
• nostr:npub1rne7e0m8f2v9rzpt80zrzqr8lve0mr8akzpc6emr0nzc4nxxdxvqdutrap
• nostr:npub1psjwxg6j9re7u5mf6j52gm4f9u50r2pexm0xrtrtgqpagq6y6s3qhfa504
• nostr:npub1xwn3q0mtv4y9dct6n2mn0uajwlrtyjmgxq5jf4ghv9642m474qps9qu3xa
• nostr:npub1mp3xgan3cz8jrc6276x8anlharp8sgew34wrymez340fun87ax0s4tyrue
• nostr:npub17depm58zmnngtfnlx705u85t0xye3qq0n9p4ga6y98ry946a46aqqrjhgx
• nostr:npub194ps0ljjnmthj0a855p83hjjvkzw4h4fv5jjd5rc74dmdpz5cuuq0vaa4z
• nostr:npub1g8h2agg8tj820uzpuqmsl9kdcjcr46ztw0pwtyjmc6rc6rv4xtns4mjhqh
• nostr:npub14glkj3cmlv9d7un93c38j2x39h7z0xfmtgahn2dhqmr2d6da323srfrkg0
• nostr:npub1h3naukgrendtkw5k6ejp075k7luftq8s9flkhdhk492smh7k27vqk3xdj6
• nostr:npub1zn99rseq50npesxs0zh0m396h9anz9h8u7ju5vc44c3n5m7ptuws8k7lrh
• nostr:npub10v2cn47qfuw92hn0mpqzgcm6e9wwkjznu870hvdmsg7gkt8avn7q29r43s
• nostr:npub190j5er75yrfq4srj2gx4587wyz37j2gzwnvmaqwlul874m0jj37qezapur
• nostr:npub1y0gvydcezdjkg6r3gnudhx8ttjzgvsn5sw0um7ucrdrphapwzn5qy68zn4
• nostr:npub1ezaezjyuhnjqkj3unzhc6tqzdu5u7zgd0k4au6yrjvcftjx6gz8s9c8utn
• nostr:npub1h0a28envnl4cusyjkhp4qh79n9lf4p3zjaag2grxvnskqm9xrnasxfq3ht
• nostr:npub1x8dzy9xegwmdk2vy30l8u08caspcqq2yzncxehdsa6kvnte9pr3qnt8pg4
• nostr:npub1kq0ta9s4vyrc744469w8ytpcdkj22tmz3g8n5klhgup538r9uu6sd2qzpx
• nostr:npub1pm8a4uhyc96nnazvxhut9zwq2nmzeut6mdaf22c4734nr537acgsa4s80g
• nostr:npub1vk2u5w3fkaxtvm58zens8vsrxjmtsc9p5dwz5a6m39yzpwsxx3nsgjqs6r
• nostr:npub19f8dq2txsrkjue4wjvzjrr84lncskee6v9xqksl8g2mxhcx9ag7qjk0aex
• nostr:npub1anveqecvmej7fur9ne5ccsj5evn4jy5ylx6mha9n3gl7vqmdwhwqtfkppt
• nostr:npub1tg0zn2recqcmlswnwjxk69ge6ltuccrylm6mg04hql8ztrpcsvcsrfrma0
• nostr:npub1kaydp5xd3evr434wzn8da8d66zcyz7xu2g3kdt5ph2w7ht9e6d4s59g0j6
• nostr:npub1kpgs5rpr3l8582ducpvuurpzmd68alzjnnkftujxxq4r5yn3dnksml3x6c
• nostr:npub1ultgzumnrm4jty88f2j4d7fskd3px2ac7lasmjn654xz860u6ups08qspk
• nostr:npub1a09m4m7d6l7cjj6jjsslmxla3f99a9mqrsgqq877tjhqjvqw0r9qgp6jqv
• nostr:npub16tgyds0au9zmv79rhdmgzenyhn06z0acx22zgkkqcrjmur5vxvkql35ndy
• nostr:npub1cnc8vyelrjc9svn68mtdy7avhehc3qqhjpel0uld4pcf8h3pm76qpcea77
• nostr:npub1aqukhdexpx0vsrs8tgdzl9t6c8fyvjvf6mgxxelna9s8nzufg2pqfu4g92
• nostr:npub13yfjxsex7qdtnf2awl5lcjmmcwkky6ckv5nkgxlysfl4e902he2s8wd2fj
• nostr:npub15vw0d54lfzpx0h0aq0vymrm67zvprlzqx7n648j8s3u9luurtjaq696uug
• nostr:npub12n7xd8xvqwj8k0v44yg3hlwutyyx85n28xx8zjwj6dykswuy28yqu7xsq4
• nostr:npub16hehlyp5ka6zxf7d32hmgz3z589qvuvxtxllk03lvfxmlu7ej9pslrktsw
• nostr:npub1nsy4a9gcfj2xczu9022qh5qrqd2zsfjdn8q8avzajrqptss8dy2q6338d7
• nostr:npub1yscgfuntg9dkw33sc356k5cj8wmcl35vqgnrcw608kh82u77dsrsufg3y2
• nostr:npub1sd83az8rhchu8f46vdn0c0522humaqcy0urcndjee00pkyu2ctrsrdahq8
• nostr:npub1pa5ek0fs65zm69yy3ch8a78wtxpysvk9um5s0xhnj5566rcdf64sfsurwj
• nostr:npub1k7s8vcvxn4hk3ltpvkfq0a8ceq8xjkruq6698jt46pnms6hwaczqc46fzl
• nostr:npub1rcpq25a6mcs7yc9qyhgl769v58jm87qf4e2tksds5nwnduq4yq0s49d9a8
• nostr:npub1xq45evqkzv263r59q8vt9zzfcedencz807jf9gsmnhmj4khv65rqc3w72l
• nostr:npub1mxxx800jgwdnq8k6h6h3pj5v0uy02udaa25mp4p632vyumxag8pq24wlc0
• nostr:npub1ln6l7u7330w7mq73ldehmfcqkk8xzu4pagsgymdpghp80al59adsuu6chz
• nostr:npub1eww65apfz3hkw97c29xlhcsqr5tz3yjj4p32zcg2nadecud7usxs2fxums
• nostr:npub1rkc386aldh9p28pfw87guc0r0rft9j2mtvpf0zdfjm4y0fm469hs6cy8dq
• nostr:npub1860g7a00jg4xp3a2c29uckeg5lmdpevrqflkxwyrluf9xk6999uqgg4njd
• nostr:npub1uydju83nln9h59dtzdxuxvw3dky2tzk4p5c3lwlx6dz97wxc52csgjhzsf
• nostr:npub1adg6hax9tyqy3v0hq0f6hshrjnah4nqcvtwrxqmnkz2dzjzm5ssq7zhnww
• nostr:npub1vpuy3adv9tm4v78z8j06g4ffdthu6d0dv807zkth2rr8s9zenvcqxxv64h
• nostr:npub1vk2st0kd4yud4l09j2hekkj09tpruu9pmshnzj8gywwucv0fcp2qvpw5l6
• nostr:npub1xqghewm086fmqftut7xp8z9w7gmet34sdp386yt8gq5dwnvk2rts4ggmle
• nostr:npub1cd6syy4q0rha3kzdz2yw5782y4yj9snvzd8rcxjy6e9kldcmpeuq6dw96r
• nostr:npub10dxsc34x3wny3nkftyshq6ryxw036ytst6vrqvktm25kws84sprs5uqddt
• nostr:npub196jktqc8qtv5jmsqjfh0c2halqktt0mve268cerltexj246zxpuswz2n2t
• nostr:npub1tjq0a9fmhe4qvq9avwnxdc3whv4a0lp8eyhwxysmgwkplnujhw3qm6wutg
• nostr:npub126afmp0luwnrukyxgdctttukcgy6vu3a3kpj3yxnzu0e4hjd5ydsrs20cc
• nostr:npub133csj82m0h4gx04wwwas0c50ztxy2mw8jx487gf6696lkksadlnq3xjju3
• nostr:npub1twwz4rc74zyavdefgg7t2eczuwtk4rlyjyxu0v38z7wgrjepp2lqslhlss
• nostr:npub1v4cy0e84x239a3gkmwvf5wknqq7rj9unsluyrk959f2w2vf7rzqshu7ppx
• nostr:npub1gxsqeft2xsqau03guljmjdauwt3ke8h2xdhs8lvtt6emwakm0fqqcu4m2u
• nostr:npub1vwldp9k95xxe9mgnzakykpmhmazj5q2veldt6jvju2dvrfkxvlaq6dzfhz
• nostr:npub1teluksdc4lpjw48lvz04a9z4t9nrc5zxcytzw54qdsz8j5nrwmjqmllvnr
• nostr:npub1zkhel2ekc2f0ptex4rxc62z3g3eaups4plalpqp7us60r4zuxmzqe2t9me
• nostr:npub1sa8s53pm2xmfmzpxg0c9w85kkuhne8k59mukkm7q2lptkla63yussuyqch
• nostr:npub1mgn4rkuw3cyk78aced6mfpzws5yc8fskae260yuljjwt24f7my4sk0zxv8
• nostr:npub1p22j523mdlj3xu779cuvel8tafv3tyjctxslqd2dle82kl7z6nssfpxjzq
• nostr:npub1uf79zzc0wmrnrhgf4dv232682qar2mgv5zc32y8r6aft3x9a2f5q7lhhg5
• nostr:npub13t9tfl23y7wn77tqahpmpy2x7vhn2sll5fz2ndu68jktxyazxklsst8afs
• nostr:npub1aagca824s3r94fmzwenl5z6zsel5hp7s39njeh204cvldu60m7qqjkfmp6
• nostr:npub1ac7nqdzl53hh0ec0cmpfhrlzaykjftzcwgmfjeautgmlacu7tsfswmf4zd
• nostr:npub1l8we9zdpmrlt2kapglwazdvldzexqx9r6xcf52a88q50swxfemfqe8l7dk
• nostr:npub126qnj4cuzwcqsg0yapztezad6a5f72and8a4aawrjrqxyluqgezqhfd5j8
• nostr:npub18mw83fyz377cw52fud9r4xyfuqyanrzqc9xw5rxt9quv5w02dyhs8rg5vm
• nostr:npub107vz8aguqfyq0v24dw7fptnlhk56ac6x9qf9da0mxyzyrgqzequqnm8aly
• nostr:npub1zl2ujuyvnuyfgrng895dphw7770jtafmugghd8zm45n897z7jq9smj2twt
• nostr:npub1ky325c2amv744ajstetqalsvguv34xcxy5vagylgxjkykmgp02rsluvnz9
• nostr:npub15dyvuc0xnupkvf77gvv3xdauwtqp79h2na3562n63aada2l47qgsnqwm25
• nostr:npub1xqghewm086fmqftut7xp8z9w7gmet34sdp386yt8gq5dwnvk2rts4ggmle
• nostr:npub1fttwhkfvr7l77z7judfltj2zrelldcwqdf29v7c2m4gznmuhgecsurt8q9
• nostr:npub17zcfwgfexnv8qjghpq70v8hl5spl2m5mr6teeatvk7pswkrfdnfqrpu2rw
• nostr:npub1layxpdtyusgv7smk48nux9m2rxwhzhgfhxcdgr0g60x4rmzhw4fs4fqn4x
• nostr:npub13w02l37gkjwv90lnklfet5653jj0p5ueu976v3dpda5afvxgw3uslcqdnv
• nostr:npub1m4zs4ge40hqjdr7nk7g8xy3wss74htdmjd3ps46mmrcxs5ej6ylqsxux7y
• nostr:npub1u79qvqjzfczer6cee97quskstjt76psugm6leydt9mf68p8yar2qcn6296
• nostr:npub1wz95wkf38443sdx2gfmwg5eg7kwe2dzmx8af6uwd5cumuck7lt4se3938e
• nostr:npub1wfpr8aulg4q63zjyte5ufljrq9j8vr4gptpkqx58falr732ep85stwh463
• nostr:npub1u6pdu04yurvc85yzrhevv3mkudzvtk32j35zfhduzes9jaa08d4qttuap3
• nostr:npub1femlf59ew53ppuwtwncstss0tyaj5aa8zwn9y8jvyrrh6smmq0rqgwdll5
• nostr:npub1w7tpdkmh8tlf0565pwlzfay38wp8kp4dmyyh0ctghka3vnq5dpeqzq49yj
• nostr:npub1f2c9fcnad75g8xp7a0ecyh4znvrpwcwlj5p9lgaf08m9q567wnmqz5r7ma
• nostr:npub1a9jrxa294gzy6vy38ag37n05vuns5x6s5sayt23v36rxm3m6scussrpluf
• nostr:npub1mxht6mmu6kxjqze8dn5rhucpggwac3vp90w8z87kyns8lfxh4ujqeen9ga
• nostr:npub1e6tra6r2kvh8v6jj4sfa5wu4cesp4dd7xg3kmtyfgwhqe7aw8q2s7uz7zg
• nostr:npub1w7ymmtjxzxgmk0ayetlfdv4nr80rqd45xxwxjn82gafdn2ev35ms0tk8k7
• nostr:npub1cax06cljhz5mugtrrxdjvhw8ekepum7l4c7etmj6nwaunzdtxmyqf3cjwe
• nostr:npub17x3rlmjqvx3nmcjkqshyvey9z9545j88js360s34u76se0vu94esmunn40
• nostr:npub10rdvc262jdskjd7qrlhd0zu489mhztuftxfew96huhrpaqx9scjsyjqh5n
• nostr:npub1rj6g7vll2j2ymlafh7h2c43qre7ndp3a0ks80jzv6lqxjr9fjq9samraww
• nostr:npub1uah3vwphc3zvh80qkdgmx422pm6k58w07c9eyf72p0559dxpe2ysm04erc
• nostr:npub1a08p85mxyam223m2s6m3tcvw7j9juwd9lk2zx92f2w3vs7xp3zjqf7xnx6
• nostr:npub1hllvy2ekhlzd3kacc0h9t7ljv3xtjar4du59mlzgx95wce3wkulsnsg0qk
• nostr:npub16tgyds0au9zmv79rhdmgzenyhn06z0acx22zgkkqcrjmur5vxvkql35ndy
• nostr:npub149qhnx963njdshdvvtkgd3hussneq6y9shcwqeawzlxyk30pvj7s5rj9jn
• nostr:npub1e2hk96jdawvnqkrsdta8cx5v0yutyz7mjayuykax2epclaum4x8st9cwpd
• nostr:npub1teluksdc4lpjw48lvz04a9z4t9nrc5zxcytzw54qdsz8j5nrwmjqmllvnr
• nostr:npub1tk6c8qqhy3h82pezd6xfz3qww2jrqdeqnktueex9kwxmzlhdz3hsax4fl4
• nostr:npub17zcfwgfexnv8qjghpq70v8hl5spl2m5mr6teeatvk7pswkrfdnfqrpu2rw
• nostr:npub1mmwee5zqez400x0ltr2yrs472jz5sjlkdgjn7mgmhrp0hpvrurdsfvp4gn
• nostr:npub1fcnam9e2mkrpy957xg5z622ffx2ntn62u32y2nv0jtrhadj8gzsqp2ul93
• nostr:npub1kuaapnwxrhxasw4nthu3ka7xuc0gk30ftqag952880xcxt9hh4hq59p3m9
• nostr:npub1hx60vakvcq5qtjx0elyag862f6vy74ft48ppwezsdutmc2a9fvqq22t30k
• nostr:npub137kg7sr9tmfs740xgluzcx955q57fl7sd4nwhhsl3sjwqvr9ltgs25ztm4
• nostr:npub1wmhd3duur3g7ld9m6shtm7c3p899qhd9gzhe8ac0maestr6flzpq6ytld8
• nostr:npub1qgae9j8r6953fla8axrpjahlgj599khz5gl0cprf88yxn5g28j2qf0e34h
• nostr:npub17phum2mmt7zuxmkuf45vt3rwgl6wm04tupyfvwrpwhvz2slrve4stt9kts
• nostr:npub13sw8jlg6lyfzzuy5yh3nu02txhpalprpz5wrjhguc7rrxf2arfqq0av06z
• nostr:npub1ezzrv53dwg9qj4cmudm3xkew3lzj9q8yfgksc4nmmxtfts4s2r9sdchp58
• nostr:npub1p2dgk4gdpr5jxfwra5ks8j5f3r280q4kgexmj9rdqwgs0vn5hrksa88yem
• nostr:npub1hhx7rr3ctrxpx0tesa8q7azr2mm56jv49rdsyxa7dxzse6ccauvqd773gc
• nostr:npub1uugudd7ussaqv2ntkzhvf92jgczth6vzcv8vq2vryqxn6pdm7czqgve3dq
• nostr:npub1z2x36kvfeag2rq39sjdpza02v4fwtaqwesgdnateesq6xpqhemqsfqxwk3

@ f7380c11:d5c75df4

Chef's notes

To make this dish vegan substitute any seed oil for bacon and skip the first four steps.

Details

• ⏲️ Prep time: 10 mins
• 🍳 Cook time: 20 mins
• 🍽️ Servings: 6

Ingredients

• 1 lb of whole green beans
• 2 slices of farm range bacon
• Onion Salt
• Garlic Powder
• Cayenne Powder
• Black Pepper
• Italian Seasoning

Directions

1. Wash and Dry Green Beans
2. Clip the ends and remove excess stems
3. Cut bacon into quarters (8 pieces)
4. Add bacon to skillet and fry over medium heat until edges have browned.
5. Lower the heat and add in green beans
6. Coat beans with spices and stir with a silicon spatula. Make sure beans are evenly coated in oil.
7. Turn heat to medium-low, stirring after 2-3 mins for about 10 mins.
8. Bring heat to lowest temperature. Cover and lit sit for 5 mins.
9. Stir again, turn off heat, and let sit under covering for 5 mins.
10. Serve and enjoy!

@ f7380c11:d5c75df4

Chef's notes

Some people make mac & cheese with a roux (butter, flour, milk). You're welcome to make one and then add it to the noodles but I skip it to save time.

**if you're making the dish with a cast iron skillet then you do not need to add the egg.

Details

• ⏲️ Prep time: 10 mins
• 🍳 Cook time: 25 mins
• 🍽️ Servings: 8

Ingredients

• 1 lb box of Cavatappi Pasta
• 1 lb of Colby Jack Cheese (shredded)
• 2 lbs of Sharp Cheddar Cheese (shredded)
• 1 cup Minced Garlic
• 2 sticks of salted butter
• 2 cups of heavy cream
• Black pepper
• Parsely
• Garlic Salt
• Metal Pot/Bowl
• Cast-iron Skillet or Glass Baking Dish
• Metal Spoon
• Crushed Red Pepper Flakes

Directions

1. Prepare pasta as directed on the box. **Add 2 pinches of garlic salt to the boiling water before adding in pasta.
2. Drain out 1 cup of pasta water and set it aside.
3. Drain and rinse the rest of the pasta.
4. In the metal bowl, combine pasta, butter, cream, minced garlic, and black pepper with a metal spoon.
5. Fold cheeses into the pasta mix. DO NOT add all of it. Be sure to set some cheese aside to top the dish.
6. *** If using a glass dish: Crack and fold an egg into the mixture. Top with cheese.
7. **** if using cast iron skillet: Add the contents from the bowl evenly into the cast iron skillet. Top with cheese and pinch of crushed red pepper flakes.
8. Bake at 350 for 25 mins or until top is golden brown.
9. Take out the oven, top with a pinch of parsley.
10. Let it sit for 5 minutes, serve and enjoy!!

@ 5af07946:98fca8c4

``` " An example for a vimrc file. " " Maintainer: The Vim Project https://github.com/vim/vim " Last Change: 2023 Aug 10 " Former Maintainer: Bram Moolenaar Bram@vim.org " " To use it, copy it to " for Unix: ~/.vimrc " for Amiga: s:.vimrc " for MS-Windows: $VIM_vimrc " for Haiku: ~/config/settings/vim/vimrc " for OpenVMS: sys$login:.vimrc

" When started as "evim", evim.vim will already have done these settings, bail " out. if v:progname =~? "evim" finish endif

" Get the defaults that most users want. source $VIMRUNTIME/defaults.vim

set nobackup " do not keep a backup file, use versions instead set nowritebackup set noswapfile

if &t_Co > 2 || has("gui_running") " Switch on highlighting the last used search pattern. set hlsearch endif

" Put these in an autocmd group, so that we can delete them easily. augroup vimrcEx au!

" For all text files set 'textwidth' to 78 characters. autocmd FileType text setlocal textwidth=78 augroup END

" Add optional packages. " " The matchit plugin makes the % command work better, but it is not backwards " compatible. " The ! means the package won't be loaded right away but when plugins are " loaded during initialization. if has('syntax') && has('eval') packadd! matchit endif

" -------------------------------------------------------- " See https://github.com/NewMexicoKid/vimrc for the source but lot of changes " are incorporated here in. " -------------------------------------------------------- " set nocompatible " be iMproved, required filetype off " required set backspace=indent,eol,start " Allow backspace in insert mode "set number " Line numbers set hidden " Allow hidden buffers filetype plugin indent on " Enable file type detection and do language-dependent indenting. set history=100 " Default = 8 set noswapfile nnoremap ; : set tabstop=4 " Default tabs are too big " set wrap " Turn on word wrapping set ai " autoindent set linebreak " Only wrap at sensible places set nolist " list disables linebreak set textwidth=0 " prevent Vim from automatically inserting line breaks set wrapmargin=0 set formatoptions-=t " Don't change wrapping on existing lines set formatoptions+=l " Black magic " to insert a real tab, use -V ; this command expands tabs to spaces set expandtab " shiftwidth set shiftwidth=4 let mapleader="," set spell " Turn spelling on colorscheme default

" Using vim standard folding without any plugin set foldmethod =manual set foldcolumn =1 highlight Folded ctermbg = NONE highlight FoldColumn ctermbg = NONE let g:markdown_folding = 1 let g:markdown_enable_folding = 1

" # Install Plugins call plug#begin('~/.vim/plugged')

Plug 'tpope/vim-fugitive' Plug 'junegunn/goyo.vim' Plug 'https://github.com/godlygeek/Tabular'
Plug 'https://github.com/tpope/vim-surround'
Plug 'https://github.com/dense-analysis/ale'
Plug 'neoclide/coc.nvim', {'branch': 'release'} Plug 'itchyny/lightline.vim' " from https://github.com/itchyny/lightline.vim Plug 'Raimondi/delimitmate' " smart completion of delimiters Plug 'vitalk/vim-simple-todo' Plug 'vuciv/vim-bujo' " Ravi Vivek to explore and add . Writing and Text-Objects plugins {{{ " Plug 'kana/vim-textobj-user' " Plug 'vim-scripts/LanguageTool', {'for': ['text', 'markdown']} " Plug 'reedes/vim-textobj-quote', {'for': ['text', 'markdown']} " Plug 'reedes/vim-textobj-sentence', {'for': ['text', 'markdown']} " Plug 'reedes/vim-wordy', {'for': ['text', 'markdown']} " Plug 'reedes/vim-pencil', {'for': ['text', 'markdown']} " Plug 'reedes/vim-lexical', {'for': ['text', 'markdown']} " Plug 'dbmrq/vim-ditto', {'for': ['text', 'markdown']} " " }}} " Plug 'reedes/vim-litecorrect' " autocorrect - https://github.com/reedes/vim-litecorrect

" All of your Plugins must be added before the following line call plug#end()

filetype plugin indent on " required " To ignore plugin indent changes, instead use: "filetype plugin on " " Brief help " :PlugList - lists configured plugins " :PlugInstall - installs plugins; append ! to update or just :PlugUpdate " :PlugSearch foo - searches for foo; append ! to refresh local cache " :PlugClean - confirms removal of unused plugins; append ! to auto-approve removal " " Put your non-Plugin stuff after this line augroup litecorrect autocmd! autocmd FileType markdown,mkd,md call litecorrect#init() augroup END

" # Plugin Settings set laststatus=2 " Make airline status bar appear all the time set foldenable " Enable markdown folding

" Remove existing autocommands to avoid duplicates :autocmd!

" # Color Scheme syntax on syntax enable " I have no idea what this actually does colorscheme industry

" lightline with wordcount - https://github.com/itchyny/lightline.vim/issues/295 let g:lightline = { \ 'active': { \ 'right': [ [ 'lineinfo' ], [ 'percent', 'wordcount' ], [ 'fileformat', 'fileencoding', 'filetype' ] ] \ }, \ 'component_function': { \ 'wordcount': 'WordCount', \ }, \ }

nnoremap @=(foldlevel('.')?'za':"\") vnoremap zf

" Needed for my chromebook crouton instance " map " map

" Wordcount function from Pingouin (https://nanowrimo.org/participants/pingouin) function! WordCount() let s:old_status = v:statusmsg let position = getpos(".") exe ":silent normal g\" let stat = v:statusmsg let s:word_count = 0 if stat != '--No lines in buffer--' let s:word_count = str2nr(split(v:statusmsg)[11]) let v:statusmsg = s:old_status end call setpos('.', position) return s:word_count endfunction

nmap BujoAddnormal imap BujoAddinsert nmap BujoChecknormal imap BujoCheckinsert let g:bujo#todo_file_path = $HOME . "/github/gita/bujo"

```

@ d6dc9554:d0593a0c

Finanças descentralizadas, ou DeFi (Decentralized Finance), são sistemas financeiros construídos com base em tecnologia blockchain e contratos inteligentes. Ao contrário do sistema financeiro tradicional, que depende de intermediários centralizados, como bancos e instituições financeiras, as finanças descentralizadas procuram eliminar a necessidade de intermediários, permitindo transações financeiras diretas e transparentes entre pares.

As finanças descentralizadas utilizam protocolos de blockchain, para criar e executar contratos inteligentes. Os contratos inteligentes são programas de computador que automatizam e executam automaticamente os termos de um contrato, eliminando assim a necessidade de intermediários confiáveis. Esses contratos podem abranger várias atividades financeiras.

Um dos principais recursos das finanças descentralizadas é a capacidade de fornecer serviços financeiros acessíveis a qualquer pessoa com uma ligação à Internet, independentemente de sua localização geográfica ou status socio-economico. Isso significa que qualquer pessoa pode realizar transações financeiras sem a necessidade de uma autoridade central.

Além disso, as finanças descentralizadas também oferecem maior transparência, uma vez que todas as transações são registradas numa blockchain pública, permitindo que qualquer pessoa verifique e audite as operações. As finanças tradicionais também estão a aderir a esta tecnologia principalmente com os Tokenized Public Securities.

No entanto, é importante destacar que as finanças descentralizadas ainda estão em desenvolvimento e enfrentam desafios, como questões de escalabilidade, segurança e regulamentação. É necessário um cuidado adicional ao lidar com DeFi, pois existem riscos associados a contratos inteligentes com bugs, ataques de hackers e volatilidade dos ativos digitais utilizados nas plataformas.

@ 85339aea:93967074

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

En una reciente declaración que se ha vuelto viral en las redes sociales y en buena parte de la comunidad internacional, el presidente de Venezuela, Nicolás Maduro, afirmó que Jesucristo era palestino, antimperialista y que fue asesinado por el imperio español.

Su conclusión de que “Jesús fue un niño palestino, un joven palestino, y cuando fue crucificado, condenado injustamente por el Imperio Español y por las oligarquías que dominaban religiosamente la zona, fue clavado, crucificado, asesinado, torturado” ha sido objeto de burlas y memes.

El conductor de autobuses de Caracas, que llegó a ser designado como el heredero de todo el capital político de Hugo Chávez, sostuvo que Jesús era palestino por haber nacido en Belén y ser criado en Nazaret, en lo que histórica y geográficamente se conoce como el territorio de Palestina. Sin embargo, es importante aclarar que la Palestina de la época en la que vivió Jesucristo era una región bajo el dominio romano y no tenía la misma identidad política o geográfica que el Estado moderno de Palestina. Según la Biblia Jesús era de origen judío y no árabe, que es como la mayoría de los palestinos se identifican.

Sobre el Imperio español, demás estar decir que no existía. Ni siquiera existía España. En ese momento, la región que hoy conocemos como España era conocida como Hispania y estaba bajo el control romano. Augusto, el primer emperador romano, había completado la conquista de la mayor parte de la península ibérica en las décadas anteriores, e Hispania se había convertido en una provincia romana.

Estas declaraciones han generado reacciones de incredulidad y rechazo por parte de expertos y ciudadanos. Un venezolano, al escuchar las palabras de Maduro, expresó su vergüenza y lo calificó de “ignorante”. “Es impresionante escuchar esto. ¿En qué cabeza cabe?”, exclamó en referencia a que en la época donde habitó Jesucristo el imperio español no había surgido.

Yal Harari, profesor de historia de la Universidad de Jerusalén y autor del libro “Sapiens”, señaló que las ideologías funcionan con un ánimo religioso y que, para justificar esa religión ideológica, se manipula la historia. Harari refutó las afirmaciones de Maduro, recordando que Jesucristo nació judío, se crió como judío y murió como judío. Sin olvidar el detalle de cartel que sobre su cruz se colocó con las iniciales de INRI: «Jesús de Nazaret, rey de los judíos» escrito en tres lenguas y según el Evangelio de Juan 19, 20.

Durante la conversación sostenida con el periodista Juan Manuel Cao de América Tevé se planteó que Maduro, al igual que líderes como Stalin, Castro y Hitler, las ideologías para tergiversar la historia a su favor.

“¿Acaso el comunismo no es una religión?" ¿Acaso el nazismo no era como una religión? Claro que sí. Stalin era como un Dios, Castro era como un Dios, Hitler era como un Dios. Entonces, ahí está el endiosamiento de la gente. Chávez lo trataban como si fuera un Dios, le prendían velitas en los barrios en Venezuela, y asumo que lo mismo hacían en Cuba con Fidel. ¿Fidel no bajó acaso de la Sierra Maestra con una cruz para engañar a la gente y las palomas?”, se preguntó el catedrático.

En ese sentido, afirmó que Maduro “está haciendo lo mismo, o peor todavía”. La ideología del comunismo ha permeado basada en la manipulación. “Estas ideologías son difíciles de conquistar porque, ¿cómo vas a conquistar una idea? Ahí lo dijimos durante el Estado Islámico. Dijimos: ‘Vas a borrar a todos los miembros del Estado Islámico de Irak y de Siria, pero ¿cómo vas a borrar la ideología?’”

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Mientras el régimen cubano ha considerado su reelección en el Consejo de Derechos Humanos de la ONU (CDH) un reconocimiento a su "prestigio" en la comunidad internacional, opositores y organizaciones de la sociedad civil lo han tachado de "burla" y "afrenta" a las víctimas del castrismo.

Para el diario oficial Granma, "es una demostración contundente del prestigio alcanzado en las labores de este órgano" y un reconocimiento de la comunidad internacional a los "avances significativos del país en el disfrute de todos los derechos humanos para todas las personas", el hecho de que por sexta ocasión (ahora para el periodo 2024-2026) "Cuba resultó la nación de América Latina con el más alto número de votos" en el CDH.

El Ministerio de Relaciones Exteriores (MINREX) dijo que la reelección del régimen en el CDH, durante el año que ocupa la Presidencia del Grupo de los 77 y China, es un reconocimiento a su "compromiso" con "la defensa del multilateralismo y la Carta de las Naciones Unidas".

"En Cuba ha tenido lugar un amplio, profundo e integral proceso de reformas legislativas, el cual ha incluido el fortalecimiento del marco jurídico e institucional de promoción y protección de los derechos humanos", dijo el MINREX, aunque en la práctica muchas leyes se queden en letra muerta o sean utilizadas para la persecución y criminalización del disenso.

Por otra parte, para el régimen, dijo que mantener su asiento en el Consejo de Derechos Humanos "es también un reconocimiento al valor, la autodeterminación y la resistencia creativa del pueblo cubano" ante "los obstáculos" del embargo estadounidense, al que La Habana culpa de todos los problemas de la Isla.

Reelección previsible, pero vergonzosa

Para el Observatorio Cubano de Derechos Humanos (OCDH), "lamentablemente era una reelección previsible, debido a la dinámica propia de estos espacios internacionales, donde prevalecen los intereses, favores, afinidades ideológicas e incluso la indiferencia y no la rendición de cuentas".

"Los Estados han pasado por alto el nefasto historial del régimen cubano en materia de derechos humanos y represión, en especial el hecho de que Cuba es el país con más prisioneros por motivos políticos y de conciencia del hemisferio occidental, con más de 1.000", declaró el OCDH.

"Tampoco han tenido en cuenta las posiciones que durante años el régimen ha asumido en sus votaciones y expresiones públicas en ese organismo de la ONU, frecuentemente en contra de la lógica de los derechos humanos y en alianza con otros violadores de los mismos. Hoy el pueblo cubano ha sido golpeado en sus derechos, pero la ONU también", consideró.

En una declaración enviada a DIARIO DE CUBA, el Partido Demócrata Cristiano de Cuba (PDCC) calificó la reelección del régimen en el CDH como "una burla para los cubanos y para las democracias del mundo".

"No es justificable que en el propio seno de la ONU se ofrezca impunidad a una dictadura violadora de derechos humanos. Desde el último Examen Periódico Universal (EPU) en 2018 y hasta la fecha actual, se han registrado 11.123 detenciones arbitrarias", señaló la formación política opositora.

Para el PDCC, "en un mundo en el que debe primar la transparencia de las instituciones, el voto secreto favorece a la manipulación y al nepotismo".

"En su propia web, el Consejo de Derechos Humanos se define como un organismo intergubernamental de las Naciones Unidas, encargado de fortalecer la promoción y protección de los derechos humanos en todo el mundo y para hacer frente a situaciones de violaciones de los derechos humanos y formular recomendaciones sobre ellos. ¿Cómo puede el verdugo (Cuba) formar parte de una institución cuya misión es garantizar y denunciar la violación de los derechos humanos? ¿Qué repercusión tienen las denuncias constantes de violaciones de derechos humanos interpuestas por ONG u otros organismos internacionales defensores de derechos humanos contra Cuba?", cuestionó.

"Los sistemas totalitarios se sienten impunes. Las denuncias interpuestas por organizaciones u organismos internacionales quedan en papel mojado. Estamos ante un escenario donde las democracias del mundo se muestran impasibles frente al avance de los sistemas autoritarios, donde la mirada es a corto plazo, donde parece que la indiferencia prima sobre el compromiso firme de defender los valores que sustentan nuestros sistemas democráticos. No podemos mirar hacia el otro lado. La democracia está en juego", valoró el PDCC.

El subdirector para las Américas de Human Rights Watch (HRW), Juan Pappier, dijo a EFE que "las violaciones sistemáticas de derechos humanos que se cometen en Cuba deberían excluir al Gobierno de ser parte del Consejo de Derechos Humanos de la ONU".

"Su nombramiento es lamentable, pero no debería ser una excusa para que el Consejo empiece de una vez a prestar particular atención a la gravísima situación de derechos humanos en el país", agregó Pappier.

El opositor Manuel Cuesta Morúa declaró a la misma agencia que "es una buena noticia para el Gobierno, (pero) una mala para las y los cubanos", y lamentó que La Habana se haya convertido "casi" en "miembro permanente" de este consejo pese a "reprimir y encarcelar" a disidentes y opositores.

La presencia de Cuba en el Consejo de Derechos Humanos, prosiguió, le ha servido a La Habana para "ocultar" su "sistemática, intensa y permanente violación" de derechos y libertades básicos.

"Muchos estados reclaman una reforma profunda de las Naciones Unidas. Muchos ciudadanos reclamamos, igual, una reforma profunda del Consejo de Derechos Humanos", concluyó Cuesta Morúa.

La ONG DemoAmlat condenó por su parte la reelección del Gobierno de Cuba, porque "el régimen cubano criminaliza la disidencia y persigue sistemáticamente a los defensores de derechos humanos".

Prisoners Defenders, cuyo listado de presos políticos en Cuba incluía a 1.047 personas en su última edición, llamó por su parte a Naciones Unidas a "proteger" sus mecanismos de preservación de los derechos humanos para que su función no quede desvirtuada.

El presidente de Prisoners Defender, Javier Larrondo, lamentó en declaraciones a EFE que "abyectas dictaduras de diverso pelaje, como China, Cuba, Burundi o Kuwait" entren a formar parte de "una institución que debe exigir a los países el respeto de los derechos humanos".

"Celebramos que Rusia no haya entrado, pero es una asignatura pendiente de las Naciones Unidas proteger a sus Comités y mecanismos de defensa de los derechos humanos de la inclusión en sus mandatos de dictaduras y regímenes que se protegen unas a otras, minan las instituciones y no permiten avanzar al mundo en derechos humanos", subrayó Larrondo.

@ 5ada3677:7c21c9db

這份優雅，來自清晨的閱讀，《天才的編輯：麥克斯•帕金斯與一個文學時代》 這本書。

帕金斯先生是一位傳奇的文學書籍編輯，沒有他，這個世界上恐怕就沒有《了不起的蓋茨比》、沒有《太陽照常升起》《永別了，武器》、沒有《天使，望故鄉》，這些里程碑級別的小說；說得更清楚一點，美國文學史恐怕要重新寫過了。

一位青史留名的書籍編輯，是啊，那是一個多麼燦爛的時代，做一名編輯，不必處心積慮做房地產大佬，亦可以青史留名，那真是一個好時代。

看看帕金斯先生的優雅，鮮奶油一樣舒服的優雅：

帕金斯家的五個女兒

帕金斯先生一生的女神，伊莉莎白•萊夢，他們保持了25年的精神之愛，主要靠通信

十二點半之後的某個時間，通常是近一點光景，珀金斯離開辦公室，向北走四個半街區，來到第53街，再向東一直走到53號，他最喜歡去的切里奧餐廳。進了門，他會先向皮膚黝黑的瘦小意大利人、餐廳老闆羅米洛·切里奧打個招呼，然後走下一節樓梯，來到樓下餐廳緊靠樓梯左邊的一張六人圓桌。桌上永遠放著"已訂座"的牌子和一瓶特製的辣椒粉。沒有珀金斯先生的邀請，沒有人會坐這個位子。這個桌子很少坐滿，但永遠都有一個作家、文學經紀人或是某個女兒和他在一起（帕金斯先生有五個寶貝女兒）。

帕金斯先生的傳奇作者之一，海明威。海明威每年邀請他的編輯帕金斯先生與他一起出海釣魚，這是海明威在給帕金斯拍照片。

帕金斯先生的一位作者、小說家斯魯瑟斯·伯特曾寫道：

他不喜歡解釋。我見過他做一件很奇怪的事情，而且還見他做過好多次。
   有一天，我們像往常那樣去切里奧吃午飯。當我們走到樓下餐廳時，我驚訝地發現有兩位漂亮的年輕女子佔了他的保留座位。麥克斯一句話沒說，從桌子旁擦身而過，徑直走向吧台。我們在那兒喝了兩杯雞尾酒，我倆總是以此慶賀重逢。"我的桌子有人。" 他嘴角一動，嘟囔著。然後他帶我回到那張桌子，向我介紹兩位入侵者。她們是他的大女兒和二女兒，兩位珀金斯小姐。


帕金斯先生的另一位傳奇作者，司格特•菲茨傑拉德夫婦，《了不起的蓋茨比》《夜色溫柔》

禁酒令廢除以後，珀金斯總是在午餐時喝一杯馬提尼，有時喝兩杯。他的菜單幾乎一成不變。他發現一道他喜歡的菜，就會天天點，直到不用他說服務生也會主動上菜。奶油雞肉是他長期愛吃的一道菜，等到有一天他嚐了烤珍珠雞的雞胸肉，才換了主食。只有當切里奧親自端上另一道主食，珀金斯才會偶爾不吃珍珠雞。要是服務生巡視餐桌、發現麥克斯還沒有開吃新的菜，就會把菜收走，仍舊換上珍珠雞。

女兒與太太

從切里奧餐廳出來，麥克斯會在街角買一份晚報，掃一眼各版標題，然後胳膊夾著報紙，沿著麥迪遜大街走。兩點半前他回到辦公室，接著讀書稿或是會見訪客，直到四點半和五點之間的某個時間，在他仍然坐火車通勤的時期，他就動身去開一天中最後一個、也是時間最長的會。這個會，通常是在通往中央火車站路上的麗茲酒吧。這個位置可以讓他趕上六點零二分那一班回新迦南的火車，同樣，也得掐著時間將將趕上。其他坐火車通勤的人，甚至懷疑火車是專門等著珀金斯的，事實當然並非如此。不過，人們都知道，快到點時，車站看門人就會張望，珀金斯是否準時散會，常常會等他等到關門前的最後半分鐘。

羅伯特·瑞恩（Robert Ryan）在成為著名演員之前當過報社記者，也經常坐那班火車。他回憶說："過了幾個星期，我被這個傢伙吸引住了。他在火車上總是坐在同一個角落，你知道，他從不脫帽。有天晚上我在去康涅狄格的路上一直盯著他看，這聽起來很瘋狂吧。但這很有意思。對他來說，整個世界都是模糊的。他一屁股坐下去，甚至都沒有抬頭打量周圍，然後他就打開手提箱取書稿。接下來的一小時就是閱讀。我注意到他閱讀的時候嘴唇是動的。他總是有點迷惘的樣子。我猜他正沉浸在某個作家的作品裡，而我就幾乎只乾一件事，觀察他。我從沒走近這個男人。天哪，我都不敢跟他說話。也沒人這麼干，大家都注意到了他，雖然他並沒有注意我們；但沒人想打擾他，因為擔心這樣做，會斷送某個可憐的作家的前程。"

圖片來自《天才的編輯》書中

@ 7f5c2b4e:a818d75d

• Current website: https://21ideas.org
• New website: https://new.21ideas.org
• GitHub repo: https://github.com/21ideas-org/21ideas.org

---

Intro

Early this summer, plans to open-source the 21ideas project began to take shape. 21ideas is a bitcoin-only educational project, aiming to offer access to the most extensive structured library of Bitcoin resources in Russian. As the library grew to include over a hundred publications, numerous books, dozens of videos, and audio materials, we realized that keeping this invaluable information at the whims of a centralized entity contradicted the very ethos the project promotes. Today, I'd like to share with you how our journey has been so far, what we've achieved, and what the future holds for 21ideas.

"Open-source your project, or risk depriving it of its right to eternal flourishing."

First of all, I'd like to thank everyone participating in the project. For the past few years, I was the sole maintainer, occasionally receiving assistance from enthusiasts, whether in the form of sats, support with translations, editing, or dubbing. This dynamic changed significantly over the last few months when I announced plans to open-source 21ideas and transition it into a community-driven project. Frankly, managing such a vast project alone is overwhelming. I recognized that much could be improved, but this would necessitate an active community and the talent and expertise of fellow bitcoiners. Open-sourcing 21ideas was the clear path forward. This decision ensures the project's timelessness, a trait invaluable in education.

"The goal isn't to live forever; the goal is to create something that will.”

- Chuck Palahniuk, Diary

I'd like to extend my gratitude to every contributor to the project, namely nostr:npub1wf4pufsucer5va8g9p0rj5dnhvfeh6d8w0g6eayaep5dhps6rsgs43dgh9 nostr:npub12358n500vfnf9j522nueg05k9yvhh97936smfgat6mledzegp5yskzrjdj and nostr:npub1zvvv8fm7w2ngwdyszg3y6zgp6vwqlht8zrr8wcmjaxjecrvpjfwsd0zs7w

Secondly, my heartfelt thanks go to everyone who has supported the project over the past 4+ years. Your backing has been instrumental in the project's growth and evolution!

I also want to acknowledge OpenSats for endorsing this initiative. Without their support, ensuring 21ideas' perpetual existence wouldn't be possible. My appreciation also extends to Geyser for recognizing the proof-of-work done as part of the 21ideas project and for championing its future development plans. Recognition from non-commercial initiatives like these is truly an honor.

If you're keen on supporting open-source development but are uncertain about which project deserves your donation, I recommend reaching out to OpenSats and Geyser. They research and back the most promising FOSS initiatives.

That said, let's move on to the fun stuff, where I'll outline what we've achieved so far and share some future development plans.

What we've achieved:

• Launched a GitHub repository at https://github.com/21ideas-org/21ideas.org, hosted on GitHub pages.
• Adopted a documentation-style theme and refined the structure to optimize navigation.
• Established a temporary domain (https://new.21ideas.org) to acquaint the community with the revamped website and solicit feedback.
• Scheduled the transition to occur next week.
• Crafted detailed guides on using Markdown and leveraging GitHub + VS Code and/or GitHub + Obsidian for contributions. These guides are universally beneficial.
• Publicized the shift towards an open-source model to attract potential contributors (currently, the project boasts 7 contributors).
• Established a fund to incentivise every contributor.
• Implemented and trialed comments via Nostr, courtesy of fr4nzap's zapthreads.

Upcoming Developments:

While the new open-source project already surpasses its predecessor in sustainability, there's still much to do. The forthcoming months will focus on:

• Completing the transfer of materials from the existing website.
• Enhancing SEO for better visibility on Google and Yandex.
• Introducing a Nostr section and migrating content from https://nostr.21ideas.org.
• Facilitating live discussions via Nostr, powered by fr4anzap's zapthreads extension.
• Launching the 21ideas Nostr relay to filter spam and moderate website comments (comments across Nostr remain unmoderated).
• Mirroring the backend to GitLab and other open platforms for redundancy.
• Crafting additional guides on Bitcoin, Nostr, and essential tech tools for FOSS project contributions.

How You Can Assist:

• Help redesign and expand our library of Bitcoin-only and Bitcoin-related books in Russian (currently showcased here). This might necessitate custom CSS.
• Design a section dedicated to audio content, including podcasts and audiobooks.

---

If you wish to support 21ideas, please visit our dedicated page or our Geyser page.

@ 5ada3677:7c21c9db

周穎先生招飲結蛛齋，每次都是一局十個小時以上加長版的宴飲歡嬉。

周太太許敏姐姐一手好菜好點心，結蛛齋一房間私藏威士忌，好茶、好香層出不窮，以及健飲健啖的一串有趣靈魂，飲食之餘，還有那麼多好東西來不及看，恨光陰似箭，從來沒有恨得如此具體入微。

這是我第一次跟隨謝先生到結蛛齋吃飯的菜單，至今貼在冰箱上

周太太手製的鮮肉月餅，鈐著"結蛛齋許敏製"，周穎先生的字，范少江刻。這對夫妻聯璧製造的鮮肉月餅，天下肯定無雙了。月餅前兩日周穎先生親手親腳送來舍下，當代仇英化身順豐同城，把我嚇得坐立不安。今晚周先生拿出那個章子給我們看，象牙章子，老大一幅，派頭真大。周先生頗談了一會兒於鮮肉月餅的酥皮上鈐印的軟硬難度，鈐得如此細膩勻稱秀雅，手裡絕對要有功夫的。周太太笑道，我早上起來做好了月餅，伊還在睏覺，等伊睏醒了起來，給月餅蓋章，我才好進烤箱烤。

那天深夜，我們一房間吃客酒客，不知講了多少鹹話甜話，偏偏周太太這一句不甜不鹹的閒話，讓我屢屢回味無窮。裡面有一種光陰的悠長，亦有一種古老的閨趣，都是我們久久久違了的東西，滋味雋永，難描難畫。

順便說一句，這個假期裡，看到的兩枚最贊的印章，一枚是周穎先生這枚月餅章；另一枚，是於俞雲階先生畫展上，看見徐悲鴻先生送給俞雲階朱懷新新婚賀禮的那幅《雙貓圖》上，鈐了一幀"秀才人情"，亦是真好真好。

講印章，講筆、講墨、講紙。前些日子在飛機場等飛機，讀閒書，讀到古人一句，膚如卵膜，堅潔如玉，寫一幅畫了羅漢像的畫紙的質地，寫得真是絕好，當時就轉給周穎先生，今晚又拎出來囉嗦一遍。很多東西，古人我們是望塵莫及的，這是愉快的事情，亦是悲哀的事情，悲欣交集是一種中年情緒，我現在慢慢有點知道了。

亦講到紅燒肉、蜜汁火方、蔥㸆大排，各色大肉。謝定偉先生講給我們聽，從前在工廠裡工作，12月26日，吃生日麵，一年一次，全廠的工人，十點鐘就沒有心思做生活了，12月26日這碗麵，蔥㸆大排、走油肉、虎皮蛋，一角五分。這種記憶，身體記憶，亦是悲欣交集之一種。

結蛛齋的飲食餘興，自然是觀賞周穎先生的畫堂和新作，那麼層巒疊嶂的畫堂，客人們分期分批聳身側滑、消滅水花地進入去看，畫案上一幅未完成的十八羅漢圖，長卷，我隔空看了幾眼，決定今晚不看了，跟周先生申請，改日允我獨自上樓，細細觀賞。

黎明回家路上，跟自己嘆，白相了足足十個鐘頭，結果畫也沒有認真看，腰細了。

臨別時候，人人爭問周太太，格麼下一頓，幾時有得吃？年輕人比較心急如焚，謝定偉先生一點不急，淡定講，等通知。

@ 5ada3677:7c21c9db

昨日清晨，騎車去復興公園散步，聽完半張唱片，散了若干步，然後繼續騎車，順路去肇周路的逸桂禾吃碗陽春麵。

到逸桂禾門口，看見魏老闆舒舒服服躺在躺椅裡，右手一籠活蹦亂跳的鷯哥，左手香煙茶水，以及一隻分門別類五顏六色的維他命小藥盒子，逍遙自在，神仙境界，一派肇周路唐璜的氣概，看得我咬牙切齒地眼熱。

看見我，魏老闆客氣，立刻翻身起來，問我吃湯麵拌麵，我說湯麵，陽春麵。魏老闆不同意，吃咖哩牛肉湯麵好嗎？當然聽魏老闆的。

片刻麵端上來，汪著一層香噴噴的咖哩牛油，香得煞人。魏老闆叫我香煙不要吃了，快點吃麵，麵哪能好等？我馬上依言扶起筷子。魏老闆拎起鑰匙講，我出去見朋友了，儂慢點吃。我點點頭。

魏老闆臨別轉頭，不放心地再問我一句，好吃伐？

好吃好吃。

魏老闆放了心，安詳地揚塵而去。

吃完麵麵，獨自看了一會兒精神抖擻的鷯哥小朋友，騎車回家。

今天下午去上海油雕院，嶠青姐姐約我去看俞雲階先生一個回顧展覽，《勇猛精進——俞雲階文獻展》，俞先生的小兒子俞力先生，做一個講座。

進門嶠青姐姐引我見到俞力先生，彼此鞠躬，互訴仰慕，俞力先生跟俞雲階先生容貌精神像得一天世界，基因強勁，讓人感嘆不已。

坐下來聽俞力先生回顧了俞雲階先生波瀾壯闊的一輩子，開頭我很擔心自己會不會瞌睡過去，因為今天早上四點才睡下去的，要是中間瞌睡過去了，那真是難為情的。結果呢，從頭至尾，不僅沒有瞌睡，聽到後來，默默落了眼淚。

上海是有過俞雲階先生這樣的大才子大畫家的一座城，可惜，這樣的好人好事，如今還有多少人記得？

講座尾聲，俞力先生客氣，希望我說幾句，我抹抹眼淚，婉拒了。這樣的場合，哪裡輪得到我這種後輩外行開口？

聽完俞力先生的90分鐘講座，我覺得莎士比亞的悲劇們算什麼啊？什麼奧賽羅李爾王麥克白哈姆雷特，俞雲階先生的一輩子，夠寫一套五十集的莎士比亞系列悲劇精品綽綽有餘的。

散場後，俞力先生送了我滿懷的著作集，一邊講給我聽，俞雲階先生在做了22年的右/牌後，得到了一紙平/翻，在油雕院宣布的，宣布完，阿拉爺喊了一句毛主席萬歲，用常州鹹話喊的。應我的要求，俞力先生照式照樣用常州鹹話喊了一遍給我聽，聽完我們在淒涼的晚風裡笑了一會兒，常州鹹話萬歲，真真有趣的，darling儂不妨試著喊喊看。

以下是俞雲階先生畫展和俞力先生

@ bd32f268:22b33966

Quando era criança divertia-me procurar pedras de diferentes formas que me fizessem lembrar diferentes objetos. Eram tempos em que podia passar horas em tarefas aparentemente simples como procurar grilos ou tentar bater o meu recorde de toques na bola sem nunca a deixar cair. Muitos dias se resumiam a isto e apesar da monotonia não eram dias aborrecidos, bem pelo contrário. Eram dias que me pareciam infinitos, como se tivessem mais de 24 horas mas simultaneamente eram dias em que parecia haver sempre algo novo a descobrir e de facto havia mesmo.

Chesterton diz que as crianças conseguem exultar na monotonia, isto é, há um apetite pelo mundo e uma vitalidade nas crianças que lhes permite olhar para a rotina como algo interessante.

Quando estamos por exemplo com um bebé e nos escondemos atrás de um pano para depois deixarmos que a nossa cara apareça subitamente, o famoso "cucu", o bebé se nos conhece habitualmente ri e demonstra satisfação por testemunhar tal acontecimento. Podemos repetir isto várias vezes e vemos que o bebé não se farta com facilidade e continua a rir do que fazemos, como se fosse a primeira vez. De facto, cada vez é única e irrepetível mas o amadurecimento dos sentidos que um adulto experimenta já dificilmente nos permite viver exultando esta monotonia. Rapidamente nos aborrecemos e assim procuramos cessar a tarefa de imediato sempre à procura da próxima. Quando um adulto e uma criança jogam à bola por exemplo a criança repete incessantemente "chuta outra vez", já o adulto pode sentir que a sua energia se esvai a cada remate.

Felizmente há um antídoto mesmo para os adultos mais empedernidos. Mais do que atividades aborrecidas, há pessoas aborrecidas e estas podem encontrar na curiosidade um bálsamo para a vida que enobrece a rotina e monotonia. Quando escolhemos olhar para o mundo de forma curiosa e presente há uma panóplia infinita de potencial e possibilidades que se apresentam diante de nós. Com esta atitude experimentamos uma espontaneidade que abre portas para novos conhecimentos levantando questões sobre o mundo como por exemplo:

Porque é que esta mudança nos acordes da música me deixou os pelos em pé ?

O que tem esta laranja de especial para saber tão bem ?

Não é de admirar que estejamos menos sensíveis a isto, visto que, estamos muito mais sujeitos a um tipo de entretenimento passivo, através do ecrã, que pouco nos predispõe mentalmente para a pura exploração do ambiente que nos rodeia. Quando estamos na natureza por exemplo, afastados do que nos vicia e captura da nossa atenção de forma perniciosa, podemos comungar do espaço que nos envolve, o contexto convida á experiência da novidade mesmo no que já é conhecido. Desta forma estamos mais predispostos a ser verdadeiros observadores do que nos rodeia, mais do que meros recetores de informação. Esta abertura para a afirmação qualitativa da rotina torna-nos pessoas mais interessantes e interessadas pelo mundo que nos rodeia.

Oscar Wilde dizia que as pessoas não valorizam o pôr do sol por este acontecimento não ser pago, no entanto pode dizer-se: não seja como Oscar Wilde, valorize até as coisas rotineiras como um pôr do sol. Lembremo-nos que amanhã podemos não ter pôr do sol e que cada pôr do sol pode ser diferente dependendo da nossa capacidade para exultar nessa monotonia.

Se quiseres apoiar o meu trabalho podes enviar BTC através do seguinte endereço lightning:

tvieiragoncalves@getalby.com

https://getalby.com/p/tvieiragoncalves

tiagogoncalves@walletofsatoshi.com

@ ab74910c:ff584d63

It has happened oft ere now, That foeman's weapon has laid low The crowned head, where battle plain, Was miry red with the blood-rain. But Domald dies by bloody arms, Raised not by foes in war's alarms ― Raised by his Swedish liegemen's hand, To bring good seasons to the land.

― Thjódólf of Hvinir

In olden days, people paid indulgence to escape purgatory. Now, we pays taxes to avoid prison. But you are the first in a line of generations who will live on a Bitcoin standard. And thus, you will not blót (blood sacrifice) to either God or the state, but rather to the community.

Most people you know have not yet grasped this. You can say they still live in Flatland, a two-dimensional world, struggling to comprehend objects that can exist in a three-dimensional reality. When they encounter a ball penetrating their universe, they only see a point stretching out and contracting again. They continue to live in a fiat standard and lack the ability to understand a world based on a Bitcoin standard.

They don't see that the days of the state are numbered. Their elected representatives are more concerned with enriching themselves, whether at the cost of the community, others' property, or war profiteers. Journalist Julian Assange said in 2011: "The goal is an endless war, not a successful war," and that the state's plan is to siphon money out of taxpayers. Unfortunately, Julian is now on the altar, to be blót for the state's goal of preventing freedom.

But you will not be bound by the state's restrictions. Bitcoin is democracy.

Stay humble, stack sats.

🖼️ Painting: Midvinterblot, by Carl Larsson

According to Heimskringla, King Domalde was blót to prevent famine.

@ b17c5987:85d68928

1948 - Present Day - Israel - Palestine

---

1920 AD - 1948 AD * Mandatory Palestine * Ruled by British Empire * Majority of the approximately 750,000 people in this multi-ethnic region were Arabic-speaking Muslims * Jews accounted for 11% of the total

---

1872 AD - 1917 AD * Mutasarrifate of Jerusalem * Province ruled by Ottoman Empire * Demographics: inhabitants identified themselves primarily on religious terms, 84% being Muslim Arabs.

---

1517 AD - 1872 AD * Jerusalem Sanjak * Ruled by Ottoman Empire

---

1291 AD - 1517 AD * General region ruled by Egyptian Mamluk Sultanate * During this period, the majority population was now Muslim

---

1099 AD - 1291 AD * Latin Kingdom of Jerusalem * Ruled as a Catholic Crusader State of mostly French Rulers * Demographics: * The majority of the kingdom's inhabitants were native Christians, especially Greek and Syriac Orthodox * There were also a small number of Jews and Samaritans.

---

630 AD - 1099 AD * Jund Filastin * Ruled by Umayyad and Abbasid Caliphates * Demographics: * Inhabited mainly by Aramaic-speaking Miaphysite Christian peasants. * The population did not become predominantly Muslim and Arab in identity until several centuries after the conquest.

---

395 AD - 630 AD * Palestine Prima + Secunda * Ruled by Byzantine Empire * Demographics: Majority Greek-speaking Byzantine Christians and Christian Ghassanid Arabs

---

44 AD - 390 AD * Province of Judea (later renamed Syria Palaestina) * Ruled by Roman Empire * At the end of the Bar Kokhba revolt (132 AD), Jewish settlement in Judea had nearly been eradicated. * By the 400s AD, Christians formed a majority in Palestine and Jerusalem.

---

37BC - 44AD * Herodian Dynasty Judea * Semi-independent client state of Rome

---

332 BC - 37BC * Hasmonean Dynasty Judea * Varying degrees of independence and client state status under the Hellenistic Seleucids (Alexander the Great’s Macedonian Empire) and then Roman Republic

---

539 BC - 332 BC * Yehud Medinata * Ruled by Persian Empire

​​

---

586 BC - 539 BC * Yehud Province * Ruled by Neo-Babylonian Empire

---

930 BC - 586 BC - Kingdoms of Israel + Judah - Independent Jewish Kingdoms - Philistia - Ruled by Neo-Babylonian Empire

---

1047 BC - 930 BC - United Kingdom of Israel - 1st Independent Jewish Kingdom - Philistia - Aegean (Greek) Philistines who mixed with the local Canaanite population

![](https://i.imgur.com/qJzEK6V.png)

@ 9322bd92:a3d4cb0b

In the clandestine world of cryptocurrencies, where intrigue and mystery intertwine, one enigmatic figure stands out like a cryptic riddle - Satoshi Nakamoto. The name, or perhaps more aptly, the pseudonym, has become synonymous with the creation of Bitcoin, a revolutionary digital currency that has not only disrupted but redefined the global financial order. But who is Satoshi Nakamoto, truly? Is it conceivable that this elusive creator bears any covert connections to intelligence agencies, such as the CIA or NSA? Let's delve even deeper into the rabbit hole and explore the tantalizing clues and connections that have sparked rumors and theories in the cryptosphere.

Satoshi Nakamoto burst onto the scene with a stroke of genius, releasing the much-celebrated Bitcoin whitepaper in 2008. However, the rumors and speculations about possible ties to intelligence agencies like the CIA or NSA stretch back to the early days of cryptocurrency. At the heart of these intriguing speculations stands a brilliant coder and cryptographer whose work in electronic cash systems and cryptography reads like a novel.

The name of this cryptic genius is Tatsuaki Okamoto. He is a trailblazer in the field, a maverick whose contributions to the world of cryptography have left an indelible mark. Okamoto unveiled a groundbreaking universal electronic cash system in the year 1995, a creation that held two out of the three crucial elements that would later become fundamental to Bitcoin's success: pseudonymous public key identification and the use of private keys for transaction authorization. Nevertheless, there was a key distinction; Okamoto's eCash was centralized, reliant on trusted third parties for transaction verification. It stood as a precursor to the grand vision that would soon become Satoshi's dream.

The pages of Okamoto's eCash paper described the inception of what was termed "the first untraceable electronic cash system." This system allowed users to subdivide their cash balances, all while preserving their anonymity through intricate cryptographic methods. While Okamoto's eCash system may not have seen widespread adoption, it managed to infiltrate the financial world through institutions such as Credit Suisse and Deutsche Bank. It is worth noting that Okamoto's eCash system faced significant challenges due to its centralization, a challenge that would later inspire Satoshi to tread a different path.

Satoshi Nakamoto, as outlined in the Bitcoin whitepaper, envisioned a decentralized and trustless protocol. The intent was to eliminate the need for centralized intermediaries, allowing for peer-to-peer transactions and governance in a decentralized manner. This vision would be realized through blockchain technology and the ingenious concept of proof of work mining, which, in essence, placed the power in the hands of users, removing the need for traditional intermediaries.

Okamoto's involvement in major cryptographic and financial conferences, along with his patenting activities related to electronic cash systems, which continued until 2008, add yet another intriguing layer to the puzzle. His contributions to the fields of anonymity and electronic credentials in these arenas raise questions about Satoshi's concerns regarding anonymity and privacy.

The connection between intelligence agencies and Bitcoin takes on new dimensions when one explores the NSA's involvement in electronic cash systems. Remarkably, in 1996, just one year after Okamoto's eCash paper, the NSA released its whitepaper, provocatively titled "How to Make a Mint: The Cryptography of Anonymous Electronic Cash." This document delved into the intricacies of key pairs, public and private keys, signatures, and hashing, all of which are fundamental elements underpinning Bitcoin's technology.

However, the most electrifying revelation in this labyrinthine web of theories is the creation of the SHA-256 algorithm, a cornerstone of Bitcoin's unparalleled security. SHA-256, an encryption algorithm celebrated for its invulnerability, was patented by none other than the NSA. The patent, filed in 2001 and granted in 2004, would become a pivotal piece of the Bitcoin puzzle.

The enigma surrounding Satoshi Nakamoto's identity is deeply entwined with governmental intrigue. Journalists and intrepid investigators have doggedly pursued the truth, leading to inquiries with the CIA, NSA, and FBI. While the FBI's response regarding Nakamoto's identity remains an open book, the CIA's response falls within the classic realm of "neither confirming nor denying."

As all these tantalizing connections, patents, and the peculiar timing of Okamoto's work intersect, one can't help but wonder. Could Satoshi Nakamoto, the mastermind behind Bitcoin, actually be an intelligence agent, orchestrating a financial revolution under the shroud of anonymity? The origins of Bitcoin continue to be a mystifying enigma, an intricate tale of innovation and intrigue that captivates and mystifies in the ever-evolving world of digital currencies. Do you dare to believe in the cryptic enigma that is Satoshi Nakamoto?

@ d8a2c33f:76611e0c

Hola, A few weeks ago, we proudly launched PlebAI, a community-driven platform utilizing powerful open-source language models akin to ChatGPT. Learn more here

From the onset, we offered a diverse set of over 10 AI agents, each designed with unique capabilities, ranging from generating text to creating images. The community has been incredible, rapidly expanding the capabilities of these agents for a myriad of specialized applications.

Spotlight: Meet Agent Green

One of our community members developed Agent Green, your go-to AI for all things cannabis. Got questions? Agent Green has answers!

What's Next: Nostr Integration

We're taking this a step further by integrating these AI agents with Nostr, making it easier for you to interact using your preferred Nostr client.

Here's How You Can Get Started:

Choose Your Agent: Browse through our list of AI agents to find the one that best suits your needs. PlebAI agents

Initiate Conversation: Navigate to their Nostr profile and either DM them with a prompt or tag them in a regular message. For instance, "@Vent Therapist, how can I lift my spirits?"

Wait for the Magic: If you've chosen a text-based agent, expect a response within 10-20 seconds.

For Image-Based Agents: If your chosen agent specializes in images, you'll receive a lightning invoice for payment. Once successful, your custom image will be delivered to you. Here is the list of Generative Image AI agents

Privacy & Open Conversations

Your conversations can be private or open, depending on how you initiate the chat. With DM your conversation with AI is private and only you can see messages. We also reconstruct conversation history from Nostr events, making interactions seamless and engaging, perfect for roleplay or more complex discussions.

AI is a creativity tool that can help you tell your story. here's an example Man Like kweks. He created all the visuals using Gen Image AI

As always, check it out and let me know for questions.

@ 44dc1c2d:31c74f0b

Chef's notes

Chicken notes :

1. You can tenderize the chicken if you want (makes for a "bigger" piece that will cover more waffle also speeds up cook time)

2. If you choose not to tenderize your chicken and are left with thicker thighs, Fry until the crust is a nice golden brown then finish baking the chicken in the oven (around 350F) to finish cooking the chicken through. Should only take about 10 or 15 min.

Flour and dredge notes :

1. Feel free to add more spices into the flour here. Add some extra onion, garlic and paprika or some fresh oregano to give the crust an extra kick of you want. Experiment and play with the flavor here and in the buttermilk marinade.

Waffle notes :

This is mostly a base recipe for savory waffles if you like things sweet add some sugar and some Vanilla extract to the waffle.

Details

• ⏲️ Prep time: 4 ish hours
• 🍳 Cook time: 35 ish min
• 🍽️ Servings: 5 ish

Ingredients

• 1 cup (120 grams) all-purpose flour
• ½ cup (70 grams) yellow cornmeal
• ¼ cup (28 grams) cornstarch
• 1 teaspoon baking powder
• ½ teaspoon baking soda
• 1 teaspoon fine sea salt
• ¼ teaspoon freshly ground black pepper
• 2 cups (475 ml) buttermilk
• 2 large eggs
• 4 tablespoons (56 grams) butter, melted and cooled slightly
• 3 ounces (84 grams) smoked Gouda, shredded
• ⅓ cup minced fresh chives
• For the Chicken
• 4 -5 ish thighs
• 2 1/2 cups buttermilk
• Salt and Pepper to taste
• at least 1 teaspoon Onion powder
• at least 1 teaspoon paprika
• at least 1 teaspoon garlic powder
• 2 to 3 ish cups flour (for your crust. See notes.)
• Maple Syrup
• Hot Sauce (Optional)

Directions

1. Start by marinating your chicken. Get your thighs, buttermilk, paprika, onion powder, garlic powder, salt and pepper into a bowl or plastic bag and set aside to marinate for at least two hours in the fridge. (up to 4)
2. The batter can be made ahead of time as well (no more than a few hours preferably).
3. Mix all the dry ingredients together (minus the chives and cheese) then add the liquids.
4. Add cheese and chives (save a bit for a waffle topping if you want.)
5. Once the chicken has marinated a bit dredge your chicken in flour (see notes). Let set for approximately 20 min after dredging.
6. Fry tell done. Also start to cook waffles while the chicken is cooking.
7. Top the Waffles with the chicken, the extra cheese and chives, a healthy splash of syrup, plus your favorite hot sauce and Tuck in!

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Cuba podría estar a punto de enfrentar un nuevo estallido social como el ocurrido el 11 de julio de 2021, pues actualmente las condiciones de crisis económica son peores que en aquel verano, alertó el reconocido economista cubano Elías Amor.

“Cuando la base del funcionamiento de un país es la economía y esta muestra señales de declive, el camino al desastre está trazado”, expresó el catedrático, que reside en España, durante una entrevista con el periodista Mario J. Pentón. Según Amor, el régimen comunista ha enfrentado repetidas veces situaciones similares, pero en esta ocasión es peor, ya que los funcionarios castristas insisten en una estructura deformada en la inversión pública.

Lo que preocupa al experto y a otros economistas es la actitud aparentemente autodestructiva del gobierno cubano. “¿Por qué siguen invirtiendo en la construcción de hoteles cuando no se ha recuperado el turismo?”, cuestiona. En medio de un panorama sombrío, la Isla busca señales de recuperación que no aparecen. Mientras destinos turísticos como la República Dominicana ven florecer su sector, Cuba permanece estancada. Las remesas de cubanos en el extranjero se han convertido en la principal fuente de ingreso, una situación que Amor califica de insostenible.

Las cifras de la Oficina Nacional de Estadística corroboran sus preocupaciones, mostrando que la economía cubana está atrapada en un modelo comunista que, a excepción de Corea del Norte, ha sido abandonado por el resto del mundo.

Además, el analista critica la persistente adherencia del régimen a la política de centralización, la falta de derechos de propiedad y la prohibición del mercado; todas características que han llevado a Cuba a un punto muerto económicamente. Por tal razón, las autoridades castristas buscan un aliado que los pueda salvar, como son los casos de Venezuela, Rusia o China.

Amor recordó el 11 de julio, cuando miles de cubanos salieron a las calles en protesta. “El pueblo cubano es quien sufre las consecuencias, y hay un límite para cuánto puede soportar”, enfatizó. La inflación desbordada y la devaluación del peso cubano son otras muestras de la crisis que enfrenta la nación.

Si bien algunos ven en la creación de las Micro, pequeñas y medianas empresas (Mipymes) un rayo de esperanza, Amor es escéptico. Aunque reconoce que podría ser un paso positivo, no cree que solucionen el problema de raíz, especialmente cuando estas empresas enfrentan persecución y acoso por parte del régimen. Los comunistas han repetido una y otra vez que la “empresa estatal socialista es la base de la economía nacional”.

En el estallido espontáneo del 11 de julio de 2021, además de la crisis económica, también influyeron las calamidades sanitarias por la pandemia de coronavirus y las fronteras cerradas a vuelos internacionales que imposibilitaba que el cubano canalizara sus esperanzas en emigrar. Después de levantar las restricciones de viaje, más de 300.000 mil cubanos han escapado del país y centenares lo siguen haciendo cada día.

@ a1c19849:daacbb52

Chef's notes

This is your basic granola. Then serve it with fresh fruit and a selection of dried fruit of your choice in full-fat yoghurt or (almond) milk.

Details

• ⏲️ Prep time: 5
• 🍳 Cook time: 35
• 🍽️ Servings: 10

Ingredients

• 125 grams mixed nut mix (unsalted)
• 100 grams whole oat flakes (gluten free for gluten allergy)
• 50 grams of pumpkin seeds, unroasted
• 35 grams of sunflower seeds
• 35 grams of coconut flakes
• 35 grams of whole wheat sesame seeds
• 30 grams of almond shavings
• 30 grams of cocoa nibs
• 25 grams linseeds, finely ground
• 2 teaspoons of cinnamon
• 1/8 teaspoon of nutmeg
• a pinch of sea or pink Himalayan salt
• 100 milliliters of maple syrup
• 30 grams of coconut oil
• 3/4 teaspoon vanilla powder

Directions

1. Preheat the oven to 150 degrees and place a sheet of baking paper on a large baking tray.
2. Place the mixed nuts in a food processor and pulse briefly to coarsely chop the nuts.
3. Put them in a large bowl and add the rolled oats and all other ingredients except the maple syrup, coconut oil and vanilla powder.
4. Stir together well.
5. Place the coconut oil in a heat-resistant dish in the preheating oven to melt.
6. When the coconut oil has melted, add the maple syrup and vanilla powder and stir well.
7. Then pour it over the other ingredients and stir well, so that every nut and flake is wet.
8. You shovel this on the baking paper in a thin even layer.
9. Bake the granola for about 30-35 minutes until golden brown and crispy (it only gets really crispy when it cools down). Stir the granola every 10 minutes. This is very important, otherwise it will burn.

@ 9b59e6a8:3e975b97

La conjura de los necios - A confederacy of dunces

John Kennedy Toole

@batiscafo

Vamos con un clásico de la literatura moderna norteamericana.

Ignatius J.Reilly es un ser de otra época, le hubiese gustado vivir en el medievo, pero no es el caso. Vive en el Nueva Orleans de la década de los 60 y no lo soporta. Todo le desquicia; los valores modernos, el cine, la literatura. Vive cómodo con una madre que lo adora. En la soledad de su habitación de desfoga escribiendo sus cuadernos "Gran Jefe" o intercambiándose correspondecia con su amiga Mirna Minkoff. Por circunstancias de la vida se verá obligado a empezar a trabajar y se verá inmerso en todo lo que él critíca constantemente.

Personalmente es una novela que me encanta, es una tragicomedia, humor negro, satírico. Una crítica a la sociedad americana de aquella época, no tan lejana de la nuestra, en la que hay un desarraigo de valores tradicionales, el trabajo se precariza, la dignidad humana se pisotea.

Para mi Ignatius es uno de los mejores antihéroes, un outsider de la sociedad; estrafalario, ególatra, con su característico gorro con orejeras, es una mole que va contracorriente chocando contra todo y contra todos.

Desgraciadamente su autor murió sin ver publicada su novela, fue gracias a la insistencia de su madre que al final un editor aceptó su publicación. Se dice que el personaje podría ser el reflejo del autor, exagerado obviamente.

Fue un libro que tuve apartado durante mucho tiempo; me pasó como me suele pasar con la buena música, que de primeras no me entró, para después quedárseme grabado a fuego en la mente.

Creo que a los que nos gusta este libro, en mayor o menor medida, tenemos un poco o un mucho de Ignatius en nuestro ser.

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Hemos sido testigos de un crecimiento aparente de las micro, pequeñas y medianas empresas (mipymes) en Cuba, un programa presentado por el régimen como un supuesto paso hacia la libertad económica y el desarrollo. Sin embargo, detrás de la fachada se esconde una realidad mucho más compleja.

El régimen de La Habana está haciendo un esfuerzo visible por mostrar una apertura económica al mundo –especialmente a la Unión Europea–, de la que se lucra constantemente, mientras ejerce un control absoluto sobre las empresas para su conveniencia. Es evidente que la dictadura comunista necesita más recursos y apoyo internacional, y las mipymes son un medio para lograrlo.

¿Qué hay detrás de empresas aparentemente independientes?

Según investigaciones y declaraciones de diversos expertos, existe un entramado alrededor de las mipymes: habrían sido creadas por altos funcionarios del régimen, familiares o amigos, bajo la égida militar. Algunas se han registrado en países como Panamá y Canadá.

Uno de los casos más llamativos es el del espía cubano Gerardo Hernández, ahora coordinador nacional de los Comités de Defensa de la Revolución (CDR). Se ha señalado que Hernández es "padrino", si no dueño, de una de las empresas privadas que operan en Cuba, un hecho que pone en entredicho su autonomía, y su clara conexión con el aparato estatal. Este es solo uno entre decenas de casos.

Es fundamental que la comunidad internacional siga investigándolas y cuestionándolas. Debe garantizarse que no se conviertan en una herramienta adicional del régimen

Además, las acusaciones de que las mipymes han sido utilizadas para adquirir propiedades de alto valor en el extranjero a través de paraísos fiscales son motivo de preocupación. No pueden ser en vano las dudas sobre el destino de los recursos generados por estas empresas y si están siendo utilizados en beneficio del pueblo cubano. La respuesta es no.

La directora de la plataforma digital ADN Cuba, Gelet Fraguela, ha expuesto públicamente el entramado durante una rueda de prensa organizada en Miami por la Asamblea de la Resistencia Cubana.

Las pesquisas indican que sirven al régimen como una forma de obtener dinero a través de las compras realizadas por exiliados, destinadas a sus familiares en la Isla. De esta forma, el régimen se capitaliza, en medio de la profunda crisis que afronta desde hace décadas.

El propósito detrás de estas mipymes parece ser la apertura de cuentas en bancos estadounidenses, para luego solicitar créditos a nombre de tales empresas. Sin embargo, esto genera preocupaciones adicionales, ya que podría llevar a una presión indebida sobre los bancos para utilizarlos como lobistas y que terminen pidiendo la eliminación del embargo.

Las mipymes en Cuba plantean muchas más interrogantes. Por tanto, es fundamental que la comunidad internacional siga investigándolas y cuestionándolas. Debe garantizarse que no se conviertan en una herramienta adicional del régimen para mantener su control sobre la economía cubana y evadir sanciones internacionales.

Una apertura económica genuina y la libertad empresarial en Cuba son deseables, pero en un gobierno democrático, que, como sabemos, no existe en la Isla desde 1959. Lo ideal sería que estas iniciativas estén en manos de emprendedores reales y no sean utilizadas como una estrategia para obtener recursos económicos y más poder. Es hora de que Estados Unidos abra sus ojos ante esta realidad.

Autor: Orlando Gutierrez Boronat Coordinador de la Asamblea de la Resistencia Cubana

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Los cubanos celebrarán este aniversario 155 del inicio de las luchas independentistas con apagones. Durante todo este 10 de octubre, que para muchos en la Isla es feriado, habrá cortes de electricidad, según el pronóstico de la empresa estatal Unión Eléctrica (UNE) de Cuba.

De acuerdo a una nota de la empresa, publicada en su página de Facebook y replicada en los medios estatales, se esperan afectaciones al servicio durante las 24 horas de este martes. A las 7:00AM, la disponibilidad del sistema eléctrico nacional (SEN) era "de 2000 MW y la demanda 2.270 MW, con 290 MW afectado por déficit de capacidad de generación".

El pronóstico apunta una repetición de los apagones que sufrieron los cubanos este lunes, cuando se afectó el servicio durante todo el día por déficit de capacidad de generación.

La mayor afectación del lunes se produjo a las 8:00PM y fue de 807 MW. Para el horario pico de martes, se prevé una afectación de máxima 794 MW. En ese horario, se estima un déficit de 724 MW como resultado de  una disponibilidad de 2.226 MW y una demanda máxima de 2.950 MW.

Como ya es habitual para los cubanos, algunas centrales termoeléctricas están fuera de servicio por avería y otras por mantenimiento. En el primer caso se encuentran la unidad 2 de la CTE Santa Cruz, la unidad 5 de la CTE Rente y la unidad 2 de la CTE Felton. En el segundo, la unidad 5 de la CTE Mariel y la unidad 6 de Energas Boca de Jaruco.

Se mantienen las limitaciones en la generación térmica (416 MW). En la generación distribuida, están indisponibles por avería 808 MW y en mantenimiento 130 MW.

El agotamiento de los cubanos ante una situación que dura más de dos años, sin que se vislumbren soluciones permanentes, se refleja en los comentarios a la publicación de la UNE en Facebook.

"¡Tremendo día feriado! ¡Día del inicio de las guerras de independencia!", escribió Roxana González. "Me pregunto si, con el tesón y la voluntad férrea que tenía, Maceo les aguantaba este régimen inhumano. Agradezcan que murió hace más de un siglo y que no se ha levantado otro Maceo todavía", advirtió.

"Gracias por la información, hay que ponerles medallas por su esfuerzo y resultados en no dejar dormir al pueblo y hacer que tantos emigren", ironizó Carlos Blanco. "Pobres de los que nos queremos quedar en este país, vamos a terminar en zombis", lamentó.

En la misma línea irónica, Yeney Barreto Barcelo escribió "Gracias, Cuba; vamos por más, tenemos que llegar a los 1000 MW de déficit".

"Felicidades en este 10 de octubre a todos los habaneros, que podrán descansar y tener un feliz feriado. En el resto del país no lo tendremos", dijo Mariano Alejandro, en referencia a la situación de la capital, relativamente mejor que la del resto del país.

Los comentarios incluyeron quejas por no haber podido estudiar y por la posibilidad de que se echen a perder los alimentos y las medicinas que con tantas penurias consiguen los cubanos.

Ni las exportaciones de petróleo desde Venezuela en septiembre, que constituyeron un récord para 2023, ni los 200 millones en petróleo que ha enviado México a lo largo del año, han bastado para aliviar el empeoramiento de la crisis energética en Cuba.

A finales de septiembre, las autoridades cubanas anunciaron medidas extraordinarias para ahorrar electricidad, que consisten en un aumento de los apagones, disminución drástica del transporte público, cierre de fábricas y empresas, así como suspensión de clases presenciales y teletrabajo.

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

El día de hoy #Cuba ha sido reelegida como miembro del consejo de Derechos Humanos de la ONU, un país donde se persiguen las voces disidentes, donde se asesina opositores pacíficos, un país que al día de hoy tiene encarcelados más de mil presos políticos. Un país en el que en Televisión Nacional el día 11 de Julio del año 2021 ordenaron asesinar al pueblo desarmado en las calles solo por gritar Libertad.

Esta es la realidad del cubano, esos que gritan en ese video Abajo los Derechos humanos son los mismos a los que hoy les han dado un asiento en el Consejo de Derechos Humanos. Es una hipocresía total y una falta de respeto para todos nuestros muertos fusilados por los asesinos Fidel Castro y su banda de fascinerosos que hasta hoy ostentan el poder.

AbajoDictadura

ProhibidoOlvidar

@ d6dc9554:d0593a0c

Nos últimos anos, um novo tipo de plataforma de negociação tem ganho popularidade no mundo das finanças: as corretoras descentralizadas. Essas corretoras, baseadas em tecnologias blockchain e contratos inteligentes, estão a revolucionar a maneira como as pessoas negociam ativos financeiros, retirando intermediários e oferecendo maior autonomia e segurança aos utilizadores. Neste artigo, exploraremos o conceito de corretoras descentralizadas, os seus benefícios e os desafios que enfrentam.

O que são corretoras descentralizadas?

Corretoras descentralizadas, também conhecidas como DEX (Decentralized Exchanges), são plataformas de negociação que operam em redes blockchain, como Ethereum e Binance Smart Chain. Ao contrário das corretoras tradicionais, que dependem de intermediários centralizados para facilitar as transações, as DEX permitem que os utilizadores negociem diretamente entre si, usando contratos inteligentes para executar e liquidar as operações.

Benefícios das corretoras descentralizadas:

Autonomia e controlo: Nas DEX, os utilizadores têm controlo total sobre os seus fundos. Eles não precisam de confiar numa instituição centralizada para custodiar os seus ativos, pois as negociações ocorrem diretamente entre as carteiras digitais. Isso elimina o risco de hacks ou falhas de segurança nas corretoras.

Privacidade: Enquanto as corretoras tradicionais muitas vezes exigem informações pessoais aos utilizadores, como KYC (Know Your Customer), as DEX permitem a negociação de forma anonima, protegendo a privacidade dos indivíduos. Isso atrai aqueles que desejam manter as suas informações pessoais confidenciais.

Liquidez global: As corretoras descentralizadas operam em redes blockchain, o que significa que estão disponíveis para qualquer pessoa com acesso à Internet. Isso resulta numa liquidez global, permitindo que os utilizadores negociem ativos 24 horas por dia, sete dias por semana, sem restrições geográficas.

Taxas menores: As DEX geralmente têm taxas de negociação mais baixas em comparação com as corretoras centralizadas. Isso acontece porque não há intermediários envolvidos, e as taxas cobradas são usadas principalmente para cobrir os custos de execução dos contratos inteligentes.

Desafios e limitações:

Apesar das suas vantagens, as corretoras descentralizadas também enfrentam desafios significativos:

Interface e experiência do utilizador: As DEX ainda estão em estágio de desenvolvimento e muitas vezes apresentam interfaces complexas e pouco amigáveis para os utilizadores menos experientes. Melhorias na usabilidade são necessárias para atrair um público mais amplo.

Escalabilidade: As redes blockchain enfrentam desafios de escalabilidade, com limitações em relação ao número de transações que podem ser processadas por segundo. Isso pode resultar em atrasos e custos elevados em momentos de alta procura.

Segurança dos contratos inteligentes: Embora os contratos inteligentes sejam uma parte fundamental das corretoras descentralizadas, eles não estão imunes a falhas. Vulnerabilidades nos códigos podem ser exploradas por hackers, resultando em perdas financeiras significativas. É essencial realizar auditorias de segurança e implementar boas práticas de desenvolvimento para mitigar esses riscos.

Regulamentação e conformidade: As corretoras descentralizadas operam num ambiente regulatório complexo. A falta de identificação dos utilizadores e a natureza global das transações podem levantar preocupações em relação à lavagem de dinheiro e financiamento do terrorismo. É provável que as DEX enfrentem pressões regulatórias à medida que ganham mais popularidade e atenção dos órgãos reguladores.

O futuro das corretoras descentralizadas:

Apesar dos desafios, as corretoras descentralizadas estão a consolidar a posição como uma alternativa viável e empolgante para as corretoras centralizadas. Com o avanço contínuo das tecnologias blockchain, é provável que as DEX superem muitas das limitações atuais, tornando-se mais escaláveis, seguras e fáceis de usar. Além disso, a integração com outras soluções DeFi (Finanças Descentralizadas) pode expandir ainda mais a funcionalidade e os casos de uso das corretoras descentralizadas.

Conclusão:

As corretoras descentralizadas estão a desempenhar um papel importante na democratização do acesso aos mercados financeiros. Com sua autonomia, privacidade e menor dependência de intermediários, elas oferecem benefícios significativos para os utilizadores. No entanto, desafios como usabilidade, escalabilidade e segurança ainda precisam de ser melhorados. À medida que o ecossistema blockchain continua a evoluir, é provável que as corretoras descentralizadas ocupem um lugar central nos mercados financeiros do futuro, promovendo a inclusão e a liberdade financeira para todos.

@ aa8e5554:071fd9fc

Immerse yourself in DoraHacks' latest game, “Dora: The Game”, and embark on a thrilling journey in the Web3 universe! This Click-to-Learn (C2L) experience redefines learning through play.

Step into the shoes of a BUIDLer and shape an entire universe with your own hands in this captivating idle-play RPG game. Crafted by BUIDLers, for BUIDLers, and about BUIDLers, it offers an unparalleled adventure for players of all skill levels.

Conquer the World of BUIDL, Be the Legendary Hacker

“Dora: The Game'' reveals the enchanting power of BUIDL through innovative C2L mechanics. Earn valuable rewards like reputation and Dorayaki as you progress, unlocking mighty upgrades that grant incredible advantages.

The more research you conduct, the more upgrades you acquire, and the more talented team members you hire, the faster your office flourishes. Soon enough, you'll find yourself meeting the U.S. president, exploring frontier technologies, and even owning your very own space station!

"Dora: The Game" offers a collection of 11 BUIDL chapters, each delving into the essential facets of Web3. From Bitcoin and Ethereum to stablecoins, multi-chain architectures, DAOs, Cosmos, and games, this game encapsulates the very essence of the Web3 revolution. What sets it apart is its ability to impart Web3 knowledge within a mere hour, covering over 130 market news items, including major industry developments, key trends, and significant hacks.

This game is not just another run-of-the-mill entertainment experience; it is DoraHacks' flagship series designed to educate both developers and general audiences. With "Dora: The Game," you can immerse yourself in an authentic hacker journey where you'll craft revolutionary products, hire exceptional teams, and ride the rollercoaster of the crypto and Web3 world.

The Story Behind “The Game”

“Dora: The Game” is in honor of Particle Clicker, developed in 2014 at CERN Webfest. Founder of DoraHacks, Eric Zhang was involved in the creation of the original game which aimed to create a fun way to teach the mass audience particle physics. Now, “Dora: The Game” is aiming for the same goal - to onboard developers and users who are new to blockchain and Web3 technology in a vastly different way.

"Through ‘Dora: The Game’, we aim to create a unique fusion of gameplay thrills and the opportunity to explore the world and history of blockchain, Web3, and the hacker movement in general," says Eric Zhang. "Unleash your potential and embark on an extraordinary BUIDLing adventure like no other."

Ready to dive into the world of BUIDL? Start your BUIDLing adventure now at dorahacks.io/thegame/.

@ 475226d4:ccf56e26

Welcome back to our exploration of Bitcoin and "The Game of Satoshi." In our previous posts, we've discussed the basics of Bitcoin and how to get started with the game. Today, we're diving deeper into the vibrant community that surrounds this unique treasure hunt.

The Power of Community
Bitcoin has always been more than just a cryptocurrency; it's a movement. It's a testament to the power of decentralized networks and the spirit of individuals seeking financial freedom. "The Game of Satoshi" embraces this ethos by fostering a thriving community of like-minded individuals.

Discord Channel: The Heart of the Community
At the heart of this community lies the Discord channel. If you're new to the world of online communities, Discord is a chat platform designed for creating communities. It's where "The Game of Satoshi" players gather to discuss the game, share insights, and build connections.

Why Discord?
Discord offers several advantages that make it the perfect hub for this Bitcoin-based treasure hunt:

Real-Time Interaction: Discord provides a real-time chat environment. This means you can engage in conversations, ask questions, and get immediate responses.

Organization: Discord allows for organized discussions through channels. There are channels for general chat, game updates, strategies, and even off-topic conversations. This structure ensures that discussions remain relevant and accessible.

Voice Channels: While text chat is fantastic, Discord also offers voice channels. This means you can engage in voice discussions with other players, fostering a deeper sense of community.

Education and Guidance: Discord is not just about chatting. It's also a place to learn. You can find educational resources, guides, and mentors who are ready to help you navigate the world of Bitcoin.

Updates and Announcements: The game's organizers use Discord to share updates, hints, and announcements. It's the primary source for official information related to the game.

Engage, Learn, and Share

"The Game of Satoshi" is not just about hunting for Bitcoin. It's about engaging with a community that shares your passion for cryptocurrencies and the exciting world of Bitcoin. Here's how you can make the most of this vibrant community:

Ask Questions: If you're new to Bitcoin, don't hesitate to ask questions. The community is here to help you understand and navigate this decentralized landscape.

Share Insights: If you've uncovered a clue or have a unique perspective on the game, share it with the community. Collaboration often leads to breakthroughs.

Learn Together: Dive into the educational resources available on Discord. Understand the underlying technology, explore Bitcoin's history, and discover how it's changing the world.

Stay Updated: Keep an eye on the channels for official updates and announcements. These can provide valuable hints and guidance for progressing in the game.

Make Friends: Building connections within the community can be immensely rewarding. You'll meet people from diverse backgrounds, all united by their fascination with Bitcoin.

Remember, "The Game of Satoshi" is more than just a treasure hunt; it's a journey into the heart of the Bitcoin community. Embrace the spirit of camaraderie, engage in discussions, and forge lasting connections.

In our next blog post, we'll delve into the educational aspects of the game and how it's not just an adventure but also a learning experience. Stay tuned for more insights and updates!

@ faa4cc0f:dcff8126

ก่อนอื่นเหมือนเดิมนะครับ ทุกครั้งที่อ่านบทความที่ไม่เหมือนบทความแต่เหมือนบดยาอันนี้ ผมอยากให้ทุกคนหลับตาอ่าน หลับหรือยังครับ จินตนาการไปพร้อมกันนะ https://image.nostr.build/14def0f51a4f4e0e323b5c0b5c666e9e93ef3664b46c84a1e2d280ff86ea0235.jpg

เรามาวิเคราะห์จุดแข็งของเงินที่เราใช้ทุกวันนี้กันดีกว่า

1.เงินสร้างสันติภาพ ถ้าเราจ่ายเงินให้กับแม่ค้าที่ตลาดแล้วแม่ค้าถามว่าเราจะจ่ายด้วยอะไรให้เค้า เราก็แค่ตอบว่าให้เงินสดก็จบแยกย้ายกัน แต่ถ้าจ่ายด้วยSatsถ้าแม่ค้าถามว่าจะจ่ายด้วยอะไรแล้วเราตอบว่าให้เงินแสรดด(Sats) ก็อาจมีทะเลาะกันจนเลือดออกหัวได้

2.เงินเป็นเครื่องประดับได้ เราสามารถเอาเงินไปร้อยเป็นพวงมาลัยห้อยคอเวลาลูกหลานรับปริญญา หรือเอาไปห้อยคอนักร้องสาวสวยๆตามคาเฟ่ต์ก็ได้ ซึ่งBtcทำไม่ได้

3.เงินมีกลิ่น เวลาทำงานเหนื่อยๆ รู้สึกท้อแท้กับชีวิตเราสามารถหยิบเงินขึ้นมาดม เพื่อเติมเต็มพลังแห่งชีวิตได้

4.เงินสามารถส่งข้ามภพไปให้อากงอาม่าได้ ในช่วงตรุษจีนเทศกาลเชงเม้งเพื่อให้อากงอาม่าเงินไม่ขาดมือเราสามารถเอาเงินใส่ลงไปในปี๊บแล้วจุดไฟด้วยไม้ขีดยี่ห้อพญานาค ไฟเพลิงที่แผดเผาจะสร้างให้เกิดหมอกควันที่สามารถข้ามรูมิติที่เกิดจากนิมิตรของจิตใจ

. . . . โอเคแค่นี้พอก่อนพวกคุณเสียเวลาไปมากแล้ว

. . .

ลืมตาแล้วไปทำงานเหอะ

T.tukjedsadatik

@ 9322bd92:a3d4cb0b

I’ve kept an eye on this Israel situation for the past few days and this is what im gathering. Still studying 🫡

Here’s what I’ve learned, & here are my blunt & honest thoughts:

1. Israel chose to ignore intelligence from Egyptian officials about a major attack coming from Hamas.

2. Multiple former IDF soldiers & Israeli intelligence personnel have come forward online and said there’s a zero percent chance Israel was unaware of this attack beforehand or couldn’t have prevented it.

3. We just watched unsophisticated terrorists on hang gliders soar into one of the most heavily-defended & surveilled countries on the planet.

4. Within 48 hours of the attack, we’re now suddenly seeing enormous support for an American war with Iran and the genocide of the Palestinian people.

I’m witnessing American pastors and formerly level-headed influencers in our world completely lose their minds and call for genocide.

It’s unsurprising, but insane to watch.

If the events of the past three years have taught me anything, it’s that when people get whipped into an emotional frenzy, critical thinking completely goes out the window.

People become highly suggestible and will rush to extremely dangerous conclusions without thinking about the consequences.

I think this is what we’re all witnessing with this situation in Israel.

I’m reminded of Pearl Harbor and 9/11.

In both scenarios, the American government received intelligence in advance of the attacks, but chose not to prevent the attacks.

Why?

The American government was willing to sacrifice the lives of American citizens in order to advance its geopolitical goals.

Pearl Harbor gave the justification to enter WWII.

9/11 gave justification to invade the Middle East & drastically expand the American military industrial complex & our surveillance apparatus.

They were brutal & extremely traumatic events for the American public to witness. The emotional trauma caused people to get whipped into an emotional frenzy.

America wanted ONE THING in response to these attacks:

The blood of our enemies.

I see the same psyop playing out now.

People are whipped into a frenzied bloodlust.

In their frenzied bloodlust, people are overlooking some SERIOUSLY important facts here, notably:

1. The fact that none of this adds up,

2. innocent civilians are being threatened with genocide, and

3. Escalated violence in the Middle East and a war with Iran both risk the rest of the planet getting dragged into WWIII.

What happened in Israel this weekend was obviously gut-wrenching and awful to witness, but I do not trust Israel’s so-called “intelligence failure”, nor do I trust the snakes in Washington calling for war with Iran, & I sure as hell no longer trust any of the emotionally-frenzied influencers calling for explicit genocide of innocent civilians.

This was a defining moment in history, similar to Pearl Harbor, 9/11, COVID, the beginning of the Ukraine war, etc, and a lot of people just got played.

Hard.

People responded by going full mask-off, exposing themselves as reckless & incapable of exercising sound judgment in moments of chaos and heightened emotion.

And we’re now at the brink of WWIII because of it.

This is all worth noting.

There’s a high likelihood there will be more chaos throughout the rest of this decade.

There will be more psychological operations.

There will be more moments in time in which cooler heads ought to prevail, but people will get whipped into an emotional frenzy instead.

Keep your wits about you, & be cautious in whom you allow yourself to be influenced by.

Recognize that governments & intelligence agencies spend enormous resources waging psychological operations on social media nonstop when stuff like this goes down.

Remember that when chaos is at its peak, history shows there is ALMOST ALWAYS a hidden agenda being played out, & that hidden agenda is ALWAYS designed to prey on our base emotions to facilitate a desired end-result.

Pray for world peace tonight.

Thanks. 🤙

@ dd81a8ba:3eb298a5

The Network Effect

The early 21st century cultural/informational landscape is dominated by network effects. Large entities like corporations and governments leverage their networks to extract the quadratic increase in value that each marginal user adds.

Each new user to a network has a marginal cost of acquisition, which is linear in the number of new users. This makes sense, as the cost to onboard new users is constant, that is the same for each new user. Some marginal storage, compute, maintenance, etc will be required to maintain the new user's network presence.

However, the value of the underlying network does not scale linearly, it scales quadradically with respect to, not the number of nodes, but the number of connections between nodes. This is a restatement of Metcalf's law, which says that the value of a communications network scales proportionally to the square of the number of nodes in that network, which approximates the number of connections between the nodes, which is n(n-1)/2, where n is the number of nodes.

Putting it together, the cost to operate the network scales linearly in the number of users, but the value of the network scales quadratically in that same dimension. So each marginal user pushes up the profit margin, some incremental amount, higher than it was with n-1 users. Call this the "network effect dividend".

These large organizations, by gate-keeping their networks, have a natural choke-point where they can control access to the network, and thus monetize the increasing marginal return to user growth. Rents in our present day for use of these closed networks tend to come from targeted advertisement and data collection/arbitrage, but could also be as simple as fares to access the network or even elevated privileges, a la X.

The Enshittification

If you tag words like "centralization" with a negative sentiment, as I do, that previous section sounds dark. It did not seem this way to the general populace while the darkness was growing. For over a decade, as the benefits of all these new networks were manifest, and the cost of centralization was not yet understood, Cassandras like Cory Doctorow, one of the classic cantankerous internet personalities, were as easy to ignore as it was to walk past the end of the world people in Times Square. The consensus was that these networks were finally paying out the dividend of decreasing unit cost of communication to the user, realizing the long-tail of relevancy and connection.

Doctorow recently coined the word "enshittification" to describe the life-cycle of these large centralized networks operated for profit. In his own words:

Here is how platforms die: first, they are good to their users; then they abuse their users to make things better for their business customers; finally, they abuse those business customers to claw back all the value for themselves. Then, they die. I call this enshittification, and it is a seemingly inevitable consequence arising from the combination of the ease of changing how a platform allocates value, combined with the nature of a “two sided market,” where a platform sits between buyers and sellers, hold each hostage to the other, raking off an ever-larger share of the value that passes between them.

The "platforms" in Doctorow's definition are the previously mentioned closed networks: Twitter, Facebook, Instagram, Google, etc.

Doctorow's first stage, making things better for their users, is where the business comprehends their value as a network and wants to grow that network relative to other networks, taking a larger share of the total addressable market. The only way to do that is offer a product for "free", and establish the centrality of your network. This stage, as it relates to the first crop of networks began when they were created in the 2000's and runs up into the early 2010's.

The second stage is when the platform bosses look around, see the regularly increasing network potential, and set about to convert that potential financial energy into kinetic financial energy by "making things better for their business customers". This involves making things worse for the users, as the closed network must then use some of its clout to direct this latent potential down paths the business customers would prefer, either in the form of advertisements slip-streamed into news feeds, selling out of user data from the back end, or acquiescing to government requests to shape the flow of ideas by censorship of various means. This stage followed on after the networks started to see their potential. By 2016 the network influence narrative flipped from the techno-optimist story to the potential of disinformation, foreign influence, and extremism, as this new narrative served the monetization of these networks and provided cover for decreasing utility to the users by blaming outside forces.

We now live in the terminal stage of Doctorow's formulation where both users and business customers are squeezed to generate more return from the increasingly sclerotic and bureaucratic structure of the company behind the network. With rampant inflation, high interest rates, thrifty consumers, and political unrest, the platforms all closed ranks to keep the party going for their shareholders. Not all of them have or will succeed at doing this, with Musk's takeover of Twitter as a lesson for how serious one should take public perception of a network's future prospects, the stock price, of said companies. If it drops regularly and or suddenly, share holders will sell, kicking off a cascade of value loss for the network owners, or they will make drastic changes to shore up their position, up to and including selling the company into a new business model or a wholly new management approach and or team.

A Swerve

Even as the first signs of trouble that would portend a phase-change into the second stage of enshittification were appearing, the global financial crisis of 2008, many individualist early adopters of the internet were sounding the alarm. One nym was out there building a parallel structure to the closed network: Satoshi Nakamoto.

Bitcoin is an example of an open network, the antithesis of the closed network platforms. Accessing to create a new identity in the network, by creating a private key, a wallet, is fundamentally decentralized. Anyone can create as many new Bitcoin wallets as they'd like without any consent or action required or possible, by the operators of the network. Just like the adoption of the HTTP protocol, no one case stop an individual from creating a new Bitcoin wallet or standing up a new website.

The closed network or platform that Bitcoin challenges is the fiat money system. The monetary and financial system, at least in the United States, is an undeniable example of the network effect. When it was created the US Dollar served its users by providing a regular unit of account that allowed the coordination of matters across time easier than before. Then in 1933 and 1945, the monetary system was modified to benefit the business customers (other nations) and platform owners by blocking the exits. In 1933 the use of gold as money was outlawed in the United States (Executive Order 6102 ) and in 1945 the Bretton Woods agreement (Bretton Woods sysem) prevented unaligned interoperability.

The final stage, where the Dollar is printed widely to enable spending of wealth the government doesn't have, was enabled by going of the gold standard completely in 1971, and further signposts to user and business customer abuse are noted during the global financial crisis, chronic zero interest rate policy, and covid-related monetary base expansion. The outcome is inflation and restriction of individual liberties justified by tinkering with the broken system.

Bitcoin offers a swerve off this path by establishing a parallel structure to the monetary system and providing an answer to "what would you do differently?". In the world of monetary systems the network effect dividend already has a name: seigniorage. This is the income realized by the entity that controls the currency. In the gold based systems, the mint charged a premium to coin gold into the standard units of currency, ensuring their quality and quantity. In modern times, central banks create new money and spend it, thus reaping the benefit of their position astride the monetary platform. However, in Bitcoin there is no special access to the network, no insiders. Since the people running nodes ultimately constituency, their consensus is what makes Bitcoin work, and node runners tend to be rabidly opposed to enshittification.

Bitcoin incentivizes those who get in early and hold bitcoin. This incentive is doled out proportionally to the value you provide the network. The more BTC you hold, the more your purchasing power increases over time. You can see this in a comparison to mainstream monetary theory: that the money supply itself should expand and contract with the size of GDP. In that scenario seigniorage is consumed by the central banks that monkey with the supply, they spend or loan the newly created monetary units, while the holder is theoretically left with a currency that has stable purchasing power. Except that is not how things have played out. Purchasing power has declined since the establishment of the Federal Reserve system in 1913 such that $1 in 1913 has the same purchasing power as $31 does today. Where the opposite is true for Bitcoin: it's purchasing power has gone up so much since 2009 (when the first block was mined), that it's difficult to calculate.

The NOSTR Network Effect Dividend

Here we are, back at the present day, our culture and communications encircled and enthralled by a web of enshittified platforms. NOSTR is the analog of Bitcoin in our present scenario. Just as Bitcoin has no insiders and incentivizes those who prvide value to the network, so too does NOSTR. Any user of an app that interacts with NOSTR benefits from new users onboarding anywhere in the protocol. This is unknown to the platforms. It would be like Twitter getting new users, followers, and content every time a new use signed on to Facebook, or TikTok, or any other of the currently closed networks. When someone installs Damus on their iPhone, Amethyst gets first-class access to that same new user, their new follows, and their new content.

The network effect dividend is, through this method of incentivizing those who provide value to the network, driving the allocation of resources towards efforts that benefit the larger network. There are no insiders with special shares or air dropped tokens or preferred stock that can swerve NOSTR policy. It's an open network in the same way the Bitcoin is. This model inherently disincentivizes enshittification by reducing switching costs of network provider to nearly zero. You can stop using Damus and switch to another client without losing your profile, follows, following, etc.

Doctorow includes in his suggested remedies the use of anti-trust laws and regulations to make it harder for companies to enshittify. I don't share this outlook. The government is itself an enshittified platform, and any solutions it proffers should be assumed to be poisoned by present or future abuse and enshittification. The only obvious pathway out of this forest is to build our own unenshittable systems.

The Unenshittables

I've named two unenshittable networks, Bitcoin and NOSTR, in this post. Are you aware of others? They could be other modes of communication, business, cultural transmission, anything where network effects reign. Respond to this post or hit me up directly, I want to hear what other networks are out there, and in which areas.

@ 2baa880a:b6ca1f92

Most of us were not taught how to understand and manage our feelings. You don’t have to control your feelings. You don’t have to feel shame for them. Your feelings are something to learn from and work with.

One of the most helpful tools for doing this is called The Feelings Wheel, a tool developed by Dr. Gloria Wilcox to help people to understand and label their feelings.

Extensive research has found that labeling your emotions is one of the best things you can do to improve your mental health. Studies from UCLA and other institutions have found that putting your feelings into words makes them easier to cope with. For example:

Rating your anger on a scale of 1-5 reduces your heart rate, a measure of distress.

Describing your emotions when dealing with a phobia increases your courage in facing it.

Adding a label to an emotion (like "that's sadness" or "this is fear") decreases the activity in your amygdala, which is where your fight-or-flight response comes from.

The next time that you’re feeling overwhelmed by your emotions, try using our version of the feelings wheel, which you can download here, where you'll also find a full guide on how to use it and helpful tips for understanding and managing your emotions. Learning how to treat yourself with greater compassion — no matter what you're feeling — is one of the most important happiness skills there is.

@ 32e18276:5c68e245

Hey guys, I'm spending some time today preparing v1.6 for the app store, it's been a long time coming with many new features. Here's a breakdown of everything new in this version!

Notable new features in 1.6

• Custom built, embedded C WASM interpreter (nostrscript), which will be used for custom algos, filters and lists
• Longform note support
• Hashtag following
• Configurable reactions
• New Live user status NIP (music, general)
• Adjustable font sizes
• A very long list of bug fixes and performance improvements
• Fast and persistent profile searching using nostrdb

Top priorities for 1.7

• Lists
• Custom algos and filters using nostrscript
• Stories
• Multi account
• Tor integration
• Better NWC integration (wallet balances, transaction history)
• Advanced note search via nostrdb
• Fully switch to nostrdb for all notes
• Discord-like relays (click a relay to view all the notes on it)

So much more but maybe I will not try to be too ambitious ...

Contributors

name added removed commits William Casarin +57964 -8274 288 petrikaj +1524 -0 1 Terry Yiu +1266 -964 9 ericholguin +1234 -252 11 Daniel D’Aquino +1223 -399 19 Suhail Saqan +905 -70 16 Grimless +838 -736 6 Bryan Montz +793 -744 30 Jon Marrs +658 -60 3 Joel Klabo +653 -105 6 transifex-integration[bot] +176 -0 9 Fishcake +129 -21 5 Daniel D‘Aquino +123 -9 5 Jericho Hasselbush +78 -2 2 cr0bar +66 -19 11 Daniel D'Aquino +55 -32 2 Mazin +53 -0 1 gladiusKatana +37 -8 1 doffing.brett +10 -6 1 tappu75e@duck.com +5 -1 2 Ben Harvie +5 -0 1

Changelog

• 76 Fixes
• 18 Changes
• 26 Additions

Added

• Add "Do not show #nsfw tagged posts" setting (Daniel D’Aquino)
• Add ability to change order of custom reactions (Suhail Saqan)
• Add close button to custom reactions (Suhail Saqan)
• Add followed hashtags to your following list (Daniel D’Aquino)
• Add initial longform note support (William Casarin)
• Add r tag when mentioning a url (William Casarin)
• Add relay log in developer mode (Montz)
• Add settings for disabling user statuses (William Casarin)
• Add space when tagging users in posts if needed (William Casarin)
• Add support for multilingual hashtags (cr0bar)
• Add support for multiple reactions (Suhail Saqan)
• Add support for status URLs (William Casarin)
• Add the ability to follow hashtags (William Casarin)
• Added feedback when user adds a relay that is already on the list (Daniel D'Aquino)
• Added generic user statuses (William Casarin)
• Added live music statuses (William Casarin)
• Added merch store button to sidebar menu (Daniel D’Aquino)
• Added padding under word count on longform account (William Casarin)
• Adjustable font size (William Casarin)
• Click music statuses to display in spotify (William Casarin)
• Enable banner image editing (Joel Klabo)
• Finnish translations (petrikaj)
• Hold tap to preview status URL (Jericho Hasselbush)
• Re-add nip05 badges to profiles (William Casarin)
• Show nostr address username and support abbreviated _ usernames (William Casarin)
• Suggested Users to Follow (Joel Klabo)

Changed

• Allow reposting and quote reposting multiple times (William Casarin)
• Damus icon now opens sidebar (Daniel D’Aquino)
• Hide nsec when logging in (cr0bar)
• Improve UX around clearing cache (Daniel D’Aquino)
• Improved memory usage and performance when processing events (William Casarin)
• Increase size of the hitbox on note ellipsis button (Daniel D’Aquino)
• Make carousel tab dots tappable (Bryan Montz)
• Move the "Follow you" badge into the profile header (Grimless)
• Remove nip05 on events (William Casarin)
• Remove note size restriction for longform events (William Casarin)
• Rename NIP05 to "nostr address" (William Casarin)
• Show muted thread replies at the bottom of the thread view (#1522) (Daniel D’Aquino)
• Show renotes in Notes timeline (William Casarin)
• Start at top when reading longform events (William Casarin)
• Switch to nostrdb for @'s and user search (William Casarin)
• Updated relay view (ericholguin)
• Use nostrdb for profiles (William Casarin)
• clear statuses if they only contain whitespace (William Casarin)

Fixed

• Allow relay logs to be opened in dev mode even if relay (Daniel D'Aquino)
• Allow user to login to deleted profile (William Casarin)
• Apply filters to hashtag search timeline view (Daniel D’Aquino)
• Avoid notification for zaps from muted profiles (tappu75e@duck.com)
• Crash when muting threads (Bryan Montz)
• Dismiss qr screen on scan (Suhail Saqan)
• Don't always show text events in reposts (William Casarin)
• Don't spam lnurls when validating zaps (William Casarin)
• Eliminate nostr address validation bandwidth on startup (William Casarin)
• Ensure the person you're replying to is the first entry in the reply description (William Casarin)
• Fix Invalid Zap bug in reposts (William Casarin)
• Fix PostView initial string to skip mentioning self when on own profile (Terry Yiu)
• Fix UI freeze after swiping back from profile (#1449) (Daniel D’Aquino)
• Fix UTF support for hashtags (Daniel D‘Aquino)
• Fix action bar appearing on quoted longform previews (William Casarin)
• Fix broken markdown renderer (William Casarin)
• Fix bug where it would sometimes show -1 in replies (tappu75e@duck.com)
• Fix compilation error on test target in UserSearchCacheTests (Daniel D‘Aquino)
• Fix crash when long pressing custom reactions (William Casarin)
• Fix crash when long-pressing reactions (William Casarin)
• Fix freezing bug when tapping Developer settings menu (Terry Yiu)
• Fix icons on settings view (cr0bar)
• Fix images and links occasionally appearing with escaped slashes (Daniel D‘Aquino)
• Fix issue where malicious zappers can send fake zaps to another user's posts (William Casarin)
• Fix issue where relays with trailing slashes cannot be removed (#1531) (Daniel D’Aquino)
• Fix issue where typing cc@bob would produce brokenb ccnostr:bob mention (William Casarin)
• Fix issue with emojis next to hashtags and urls (William Casarin)
• Fix issue with slashes on relay urls causing relay connection problems (William Casarin)
• Fix lag when creating large posts (William Casarin)
• Fix localization issues and export strings for translation (Terry Yiu)
• Fix localization issues and export strings for translation (Terry Yiu)
• Fix long status lines (William Casarin)
• Fix nav crashing and buggyness (William Casarin)
• Fix nostr:nostr:... bugs (William Casarin)
• Fix npub mentions failing to parse in some cases (William Casarin)
• Fix padding of username next to pfp on some views (William Casarin)
• Fix padding on longform events (William Casarin)
• Fix paragraphs not appearing on iOS17 (cr0bar)
• Fix parsing issue with NIP-47 compliant NWC urls without double-slashes (Daniel D’Aquino)
• Fix potential fake profile zap attacks (William Casarin)
• Fix profile not updating (William Casarin)
• Fix profile post button mentions (cr0bar)
• Fix profiles not updating (William Casarin)
• Fix rare crash triggered by local notifications (William Casarin)
• Fix reaction button breaking scrolling (Suhail Saqan)
• Fix situations where the note composer cursor gets stuck in one place after tagging a user (Daniel D’Aquino)
• Fix small graphical toolbar bug when scrolling profiles (Daniel D’Aquino)
• Fix some note composer issues, such as when copying/pasting larger text, and make the post composer more robust. (Daniel D’Aquino)
• Fix status events not expiring locally (William Casarin)
• Fix text composer wrapping issue when mentioning npub (Daniel D’Aquino)
• Fix text editing issues on characters added right after mention link (Daniel D’Aquino)
• Fix wiggle when long press reactions (Suhail Saqan)
• Fix wikipedia url detection with parenthesis (William Casarin)
• Fix zaps sometimes not appearing (William Casarin)
• Fixed a bug where following a user might not work due to poor connectivity (William Casarin)
• Fixed audio in video playing twice (Bryan Montz)
• Fixed disappearing text on iOS17 (cr0bar)
• Fixed issue where hashtags were leaking in DMs (William Casarin)
• Fixed issue where reposts would sometimes repost the wrong thing (William Casarin)
• Fixed issues where sometimes there would be empty entries on your profile (William Casarin)
• Fixed nav bar color on login, eula, and account creation (ericholguin)
• Fixed nostr reporting decoding (William Casarin)
• Fixed nostrscript not working on smaller phones (William Casarin)
• Fixed old notifications always appearing on first start (William Casarin)
• Fixes issue where username with multiple emojis would place cursor in strange position. (Jericho Hasselbush)
• Hide quoted or reposted notes from people whom the user has muted. (#1216) (Daniel D’Aquino)
• Hide users and hashtags from home timeline when you unfollow (William Casarin)
• Make blurred videos viewable by allowing blur to disappear once tapped (Daniel D’Aquino)
• Mute hellthreads everywhere (William Casarin)
• Show QRCameraView regardless of same user (Suhail Saqan)
• Show longform previews in notifications instead of the entire post (William Casarin)
• Stop tab buttons from causing the root view to scroll to the top unless user is coming from another tab or already at the root view (Daniel D’Aquino)
• don't cutoff text in notifications (William Casarin)
• endless connection attempt loop after user removes relay (Bryan Montz)
• icon color for developer mode setting is incorrect in low-light mode (Bryan Montz)
• relay detail view is not immediately available after adding new relay (Bryan Montz)

Removed

• Remove following Damus Will by default (William Casarin)
• Remove old @ and & hex key mentions (William Casarin)

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

El destacado periodista y locutor cubano Tomás García Fusté falleció en Miami en la madrugada del 9 de octubre de 2023. Nacido en Cuba, García Fusté fue una figura emblemática en el ámbito del periodismo y la locución, particularmente en la comunidad de exiliados cubanos en el sur de Florida. Su trayectoria comenzó en su natal Cuba, pero tras el ascenso al poder de Fidel Castro en la década de 1960, se exilió en Estados Unidos, donde continuó su carrera, dejando una marca indelible en la radio y la televisión en español.

García Fusté fue muy querido y respetado en la comunidad, siendo considerado una de las voces más importantes y representativas del exilio cubano en el sur de Florida. Además de ser una personalidad querida en la radio en español, expuso la dictadura cubana durante décadas a través de sus plataformas mediáticas, convirtiéndose en un símbolo de la lucha por la libertad y la democracia para muchos cubanos exiliados.

A lo largo de su carrera, García Fusté trabajó en diversas emisoras, entre ellas Radio Martí y WQBA 11:40, donde compartió la cabina con su colega Amado Gil entre 1988 y 1995. Su fallecimiento, a los 93 años, ha dejado un vacío enorme en la comunidad, pero su legado y su voz continúan resonando en los corazones de aquellos que luchan por un futuro libre y democrático para Cuba.

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Estados Unidos enviará al portaaviones USS Gerald R. Ford, con sus aviones y sus aproximadamente 5.000 marineros, acompañado con otros buques crucero y destructores. Junto con el portaaviones Ford, Estados Unidos despachará al crucero USS Normandy y a los destructores USS Thomas Hudner, USS Ramage, USS Carney, y USS Roosevelt. Además, despachará más aviones F-35, F-15, F-16 y A-10.

Además, Estados Unidos “otorgará rápidamente a las Fuerzas de Defensa de Israel equipos y recursos adicionales, incluyendo municiones. El primer paquete de asistencia saldrá hoy y llegará en los próximos días”, dijo Austin.

Se trata al parecer de una demostración de fuerza con el propósito de estar listos para cualquier eventualidad, incluyendo la posibilidad de interceptar armas destinadas a Hamas y las labores de vigilancia.

El portaaviones Ford, basado en Norfolk, Virginia, ya está en la zona. La semana pasada estuvo realizando maniobras con Italia en el Mar Jónico. Es el portaaviones más nuevo y avanzado de Estados Unidos, y ésta sería su primera misión completa.

@ 67d52ea7:2fc71832

Not only Bali's enchanting beaches lure domestic and foreign tourists, but there are many other interesting places on the Island of the Gods, one of which is Kayupadi Sunrise Camping.

Kayupadi Sunrise Camping (https://maps.app.goo.gl/4uVAH68SgzWi42C29) offers a beautiful view of the hills behind Mount Batur. It is also the best camping spot in Kintamani.

I am attracted by the beauty of nature. Information about Kayupadi Sunrise Camping can be found here.

1. Kayupadi Sunrise Camping is located at Kayupadi Road, Songan A, Kintamani District, Bangli Regency, Bali. It offers beautiful scenery.
2. This camping ground offers a direct view of the line of hills and Mount Batur.
3. Besides offering a camping area with stunning views of Mount Batur, visitors can also do various interesting tourist activities in this area.
4. Visitors can fish, take a hot shower, trek to Mount Batur, or take a jeep tour through the beautiful hills.
5. Visitors who camp will be satisfied with the beautiful sunset view between the hills in the late afternoon.
6. In the morning, this tourist area has a more interesting view with white cloud fog that gives an atmosphere like being above the clouds.
7. If visitors don't want to camp, they can utilise various locations in every corner for photo backgrounds. It can definitely be used!
8. The admission price is also quite cheap, at $0.95 per person. However, for visitors who wish to pitch a tent, they can purchase a camping package that ranges between $6.37 and $22.28.
9. Visitors who have their own tents are allowed to set up in this camping ground area. A cheaper package, which includes facilities such as a car park, electricity, water, and toilets, is sold for $1.27. Doesn't Kayupadi Sunrise Camping offer a beautiful and breathtaking view of nature? The beautiful scenery makes camping even more fun and enjoyable!

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

Las escalofriantes imágenes de un hombre gravemente herido tras una pelea a machetazos en el malecón de La Habana son otro testimonio de la ola de violencia que mantiene en vilo a los cubanos.

Difundidas por la usuaria que se identifica como Distinta al resto (@damonsupremacy) en X, en varios videos se puede ver cómo la pelea tiene lugar entre la multitud de jóvenes que se reúnen en el malecón los fines de semana.

Uno de los videos muestra persecuciones dentro de la multitud y uno de los jóvenes armado con un machete.

En otro de los videos se puede ver a un joven gravemente herido yaciendo en el suelo mientras varios de sus amigos intentan asistirlo.

A inicios de octubre, se conoció de una pelea tumultuaria que involucró a decenas de personas en una calle de Nueva Gerona, Isla de la Juventud, y a pesar de que el enfrentamiento duró casi dos horas, nunca llegó la policía, denunciaron residentes en ese territorio cubano.

El Observatorio Cubano de Derechos Humanos (OCDH) dijo que grupos de personas protagonizaron “una tumultuosa y violenta pelea; a la cual nunca llegó la policía, a pesar de durar el hecho casi 2 horas”.

En marzo, cuatro cubanos protagonizaron una pelea tumultuaria en una céntrica avenida del municipio habanero de Marianao, en la que debió intervenir la policía.

En medio de la creciente violencia en Cuba, ha trascendido la existencia de “bandas” en la capital cubana y otras partes del país. En mayo un joven cubano de 18 años fue asesinado a puñaladas en supuesta pelea entre bandas rivales en La Habana, según fuentes cercanas a la víctima.

@ b26d78e0:8ea4b113

Chef's notes

This is my take on Oktoberfest Stew. Created for an Autumn Festival/Edged Weapons gathering potluck, where it was a big hit, this has become one of my favorite cool-weather meals.

Details

• ⏲️ Prep time: 15 min
• 🍳 Cook time: 45 min

Ingredients

• 2 Tbs avocado oil
• 2.5 lbs beef smoked sausage, cut in bite-sized slices
• 3 onions, quartered and thinly sliced
• 1 medium head green cabbage, quartered, cored, and thinly sliced
• 4 cloves garlic, minced
• 1 tsp black pepper
• ½ tsp caraway seed
• 2 pinches salt
• 2 12 oz bottles Oktoberfest-type beer
• 4 med-lg russet potatoes, quartered and sliced
• 4 med-lg Yukon gold potatoes, quartered and sliced
• 5 cups chicken stock

Directions

1. Place a large pot over medium heat, and add the avocado oil. Once the oil is hot, add in the sliced beef smoked sausage, and allow the slices to caramelize and brown in the oil, for about 4-5 minutes.
2. Add in the sliced onions, stir, and allow the onions to caramelize with the sausage for another few minutes, until golden-brown and softened.
3. Add in the sliced cabbage, stir to combine, and allow the cabbage to soften for few minutes.
4. Once the cabbage is softened and turning golden, add in the black pepper, caraway seeds and the pinch of salt, and stir to combine.
5. Next, stir in the garlic, and once it becomes aromatic, add in the beer, and stir the mixture to combine. Allow the beer to slightly reduce for about 5 minutes.
6. Add in the sliced potatoes and the chicken stock, stir, and bring to a boil.
7. Once it comes to a boil, place a lid on (slightly askew to allow just a little steam to escape), and reduce the heat to low to gently simmer the stew for about 20 minutes.
8. Serve with rye bread or rustic rolls with butter or cream cheese.

@ 8fa8af43:18735c18

Chef's notes

Optional: to stretch the above ingredients out a bit, add 1 oz lemon juice and/ or some club soda Tastes best with company in sunny warm weather

Details

• ⏲️ Prep time: 5 min
• 🍳 Cook time: 3 min
• 🍽️ Servings: 1

Ingredients

• 2 oz Tequila
• 1.5 oz Lime Juice
• 1 oz Cointreau
• 1/2 oz Agave Syrup

Directions

1. add 2 or 3 ice cubes to a shaker
2. add all ingredients to shaker
3. shake well 60 - 90 seconds
4. pour over 3 - 5 ice cubes in a cocktail glass

@ be9bb3c6:8f7b599a

Details

• ⏲️ Prep time: 15 mins
• 🍳 Cook time: 15 mins
• 🍽️ Servings: 2 - 9" crusts

Ingredients

• 2 1/2 cups pastry flour
• 1/4 tsp fine sea salt
• 3 Tbsp white sugar
• 1/4 cup ice cold shortening, cut into smal cubes
• 3/4 cup frozen unsalted butter, grated
• 1/4 cup - 1/2 cup cold club soda, or sparking water, or 7up etc.

Directions

1. In a large mixing bowl, sift together the flour, salt and sugar. Add the shortening and break it up with your hands as you start to coat it all up with the flour.
2. Add the cold butter cubes and work it into the flour with your hands or a pastry cutter. Work it quickly, so the butter doesn’t get too soft, until the mixture is crumbly, like very coarse cornmeal.
3. Add the ice water, a little at a time, until the mixture comes together forming a dough and bring the dough together into a ball.
4. When it comes together stop working it otherwise the dough will get over-worked and tough. Divide the dough in half and flatten it slightly to form a disk shape.
5. Wrap each disk in plastic and chill in the refrigerator for at least 2 hours and up to 48 hours.
6. On a floured surface roll each disk out into a 10 to 11-inch circle to make a 9-inch pie.
7. Crush Thanksgiving!

@ 61e30815:fe5f1bd1

I can see the quickest way through this.

I know this because I am smart and have intentionally developed my skills to guarantee a flawless outcome.

The ineptitude on display in front of me was boiling my blood quicker than it should. They had no idea how to solve the mess they’d created.

And I had to watch this shit sandwich play out in real time.

My frustration bubbled over to outright anger.

“Learn to fucking drive before you come here wasting my fucking time!”

I was in the supermarket car park, in a hurry to buy nappies for my 3 week old daughter. I was running on very little sleep. And the driver in front of me, blocking my way, was clearly overwhelmed with not being able to park their car properly.

I was angry. But not at the situation exactly. I was annoyed that the driver didn’t value time like I did. To be inefficient at something meant wasting time and delaying the desired outcome.

This is unacceptable.

I loathe being patient. Waiting is for people with nothing better to do.

I can see how efficiently the situation could play out. I know the outcome and the path or series of steps to get there. Do those steps perfectly and you get a perfect outcome.

I eventually got past the incompetence, parked, and stomped through the shops like a grumpy old man.

When I left the car park to drive home, I had a driver right up my rear bumper. I wasn’t slow but he obviously thought so. He eventually sped past me, well over the speed limit. What was the point, I wondered. At best, he might arrive somewhere two minutes earlier. I wonder what amazing feats of brilliance he’ll achieve with that additional time? Nothing, most likely. He’s just an impatient idiot, I think.

Annoyingly, I have another thought. “That idiot is me.”

Other people trigger a reaction in me by displaying a behaviour that I’m also guilty of. Hmm.

HOW I LEARNED PATIENCE

There’s only one way. And it was driven home to me, ironically, as my new house was being built.

Except it wasn’t.

It was delayed. Again and again.

But it didn’t start that way. The beginning of my house build journey was all sunshine, rainbows and puppy dogs.

Selecting block of land had me feeling so lucky because I somehow beat all the other schmucks before they could get it.

Once the land was mine, I could speak to builders. Immediately, I swept away with the possibilities.

“Here, take a fat booklet of our prestige house designs.”

“Why yes, thank you.”

I could literally feel the universe colluding on my behalf as I stepped from reality into fantasy. In this world of dreams, everything is possible.

“Except for that design, sir, it won’t fit on your block.”

“Nor that one I’m afraid. Or that one. Hmm, it seems all the designs on your short-list won’t work on your block.”

Fuck!

“Fine. What about this smaller one.”

“Excellent choice, sir.”

With a design chosen, I began making adjustments. I didn’t need a TV room so I turned it into a 5th bedroom. I also removed a wall to create a wrap around hallway — meaning you could run a full circle loop within the house. The kids love it.

Design locked in. Next up was choosing all the colour selections like tiles and carpet and doors and handles. The list feels endless. I was making so many colour and style decisions without actually seeing how it all fits together. I could only hope that once it was completed I didn’t have a home that looked like chewed up fruit loops.

At this stage emotions are high. I’ve designed a dream.

Then the universe stopped colluding with me and kicked me in the pants via regulations, approvals and red tape.

The nit-picking is exhausting. Apparently, my roof pitch will cast too much shadow on the day of the Winter Solstice. Non-compliance. The front of the dwelling is 20mm too close to the front boundary. Non-compliance.

• Encroachment on easement. Non-compliance.
• Natural light regulations. Non-compliance.
• The brick colour isn’t on the estate’s list of approved colours. Non-compliance.

Building approval denied. Try again.

At this point, I had uttered the words “fuck off” so many times it had become my daily mantra.

This back and forth bullshit took an entire year. According to my puppy dogs and rainbows stage, the house was to be finished 6 months ago.

Zero construction had occurred.

And then, within the space of a week, I had progress!

Building approval received and advised the house is on the construction list.

Fuck yes! Finally!

But this euphoria was short lived.

“Congratulations on being placed on the construction list. However, we’re sorry to advise you that due to covid, we are experiencing labour shortages and supply chain disruptions. This will add an additional 3–6 months onto the construction time.”

To quote Eric Cartman:

“Fuck fuckity fuck fuck fuck!”

Construction eventually started and the house was built in just over 8 months. It felt excruciatingly slow. I visited the site every week to take progress pictures. I honestly felt like I’d never move in — I would be perpetually building a home but never live in it.

I hated waiting. It made my skin crawl and caused my frustration to undulate like a wave pool.

To me, the cause of the frustration was being told at the beginning how efficient the building process is once the design is ready. I respected an efficient process. I was dealing with professionals.

Unfortunately, some things are out of the professional’s control. Like covid. And trade shortages.

Despite this, I eventually learned the lesson of patience. As I write this, in my completed home, I understand there is only one, true way you can learn and embrace patience.

You have to fucking wait.

Max.

@ 72ac5710:3c982caf

Examining the Sex Life of Jack Patrick Dorsey and his history of sleeping only with African women

Several research studeies examines the factors associated with the lifetime prevalence of sexually transmitted infections (STIs) among 564 African American women. The study investigates the effects of perceptions about the availability of African American males, partner characteristics, and drug history on STI rates. The findings show that women with an STI diagnosis were more likely to have dated a man who was married, older, engaged in same-sex relations, had multiple partners simultaneously, or had a history of incarceration. Approximately half of the participants reported difficulties in finding eligible African American male partners, attributing this to drug trafficking, a lack of monogamy, and high rates of incarceration. Multivariate analysis reveals that dating men with concurrent partnerships or with a history of incarceration, as well as engaging in drug use during sex, were positively associated with having an STI. The study further discusses the implications of these individual and contextual factors.

What does Jack Dorsey have:

Many Research Studies show a corelation between STD's and dating history such as the one Jack has. Sexually transmitted infections (STIs) such as Chlamydia trachomatis, Neisseria gonorrhoeae, Treponema pallidum, and Trichomonas vaginalis continue to be a global health concern, with an estimated 358 million new cases annually. Low- and middle-income countries (LMICs) bear the greatest burden of STIs, particularly in sub-Saharan Africa where the majority of new HIV infections occur. African women, particularly those under 30, face a disproportionate risk of HIV and other STIs. Bacterial STIs can have serious and long-term consequences on sexual and reproductive health, such as pelvic inflammatory disease, infertility, and heightened susceptibility to HIV. It is important to address the physical, psychological, and social impacts of STIs, which disproportionately affect women.

@ cdd14c03:99bc56d5

Chef's notes

Mix Dough, FIlling, & Frosting in three separate bowls. Bake at 350ºF

Details

• ⏲️ Prep time: 30 mins
• 🍳 Cook time: 20-25 mins
• 🍽️ Servings: 8

Ingredients

• 3/4 cup Warm Milk
• 1 packet of Yeast
• 1/4 cup Sugar
• 1 Egg + 1 Egg Yolk
• 1/4 cup Salted Butter
• 3 cup Bread Flour
• 3/4 tsp Salt
• 2/3 cup Brown Sugar
• 1 1/2 tbsp Cinnamon
• 1/4 cup Soft Butter
• 4 oz Cream Cheese
• 3 tbsp Soft Butter
• 3/4 Powdered Sugar
• 1/2 tsp Vanilla

Directions

1. Dough Mix :
2. Add (3/4 cup Warm Milk + 1 packet of Yeast) + 1/4 cup Sugar in a bowl
3. Add in 1 Egg + 1 Egg Yolk + 1/4 cup Salted Butter & Mix all ingredients
4. Then add 3 cup Bread Flour + 3/4 tsp Salt & Mix till a ball forms.
5. Cover dough mix with plastic / towel & let rise for 1 hour
6. After 1 hour, roll out dough into a rectangle shape on a flat surface.
7. Filling Mix : 2/3 cup Brown Sugar+ 1 1/2 tbsp Cinnamon + 1/4 cup Soft Butter; mixed together
8. Spread the filling mix 1 inch away from long side edge
9. Roll rectangle dough with filling mix starting toward the non-filled edge & seal.
10. Slice desired height of cinnamon rolls & place in a non-stick pan.
11. Cover & let rise for 1 hour
12. Bake at 350ºF for 20 - 25 mins
13. Frosting Mix : 4 oz Cream Cheese + 3 tbsp Soft Butter + 3/4 Powdered Sugar + 1/2 tsp Vanilla; mixed together
14. Spread frosting mix onto baked cinnamon rolls & Enjoy!

@ 19aebc39:0f2932e3

RoyaltyPoints, a service by VersusMedia, a company that has been supporting indie filmmakers and musicians since 2001, is currently seeking more films and music videos to add to their Roku and Apple TV channels. All content will also be periodically posted on Nostr so everyone can watch your videos.

RoyaltyPoints, is a self service, that pays out Satoshis for video views to your lightning address.

Are you interested in adding your films or music videos?

Read More on our website: https://royaltypoints.io

@ 19aebc39:0f2932e3

RoyaltyPoints, a service by VersusMedia, a company that has been supporting indie filmmakers and musicians since 2001, is currently seeking more films and music videos to add to their Roku and Apple TV channels. All content will also be periodically posted on Nostr so everyone can watch your videos.

RoyaltyPoints, is a self service, that pays out Satoshis for video views to your lightning address.

Are you interested in adding your films or music videos?

Read More on our website: https://royaltypoints.io

@ 0e649f32:8a33b33b

If you’re a busy entrepreneur who’s looking to get more stuff done in less time, grab something to take notes with and follow along as we discover lessons from some of the world’s most productive small business owners. Discover how to overcome your fears and anxieties and take purposeful, impactful action. If you’re tired of being stuck where you’re at and determined to break through that barrier in front of you, this is the place to be.

Josh is a serial entrepreneur and business consultant who lives in Austin, Texas.

No Nonsense Podcast. Interviewing high performing entrepreneurs and sharing insights from decades of experience. Do Zone DNA Profile. Discover exactly how you are built for maximum productivity and learn how to get more done in less time. A Tribe of Doers. Surround yourself with peak performers who will share their best practices and push you to succeed.

If you're an entrepreneur or business owner looking to get more stuff done in less time, I've put together a list of my 5 best secrets for 10x'ing your productivity.

These 5 strategies form the backbone of my ability to perform at peak levels and run circles around most of my peers while still being able to live the life style I want.

My mission (and passion) is to show people how to break free from the shackles of their current business and create the life and career they actually want in a very short period of time.

It may not be in the way you think (no this doesn’t involve performance enhancing drugs weirdo) – it's actually related to two very simple concepts....

Mindset and Leverage.

I already hear you saying, “That's great, Josh, I've heard that before, but I don't need any more buzz words or pep talks. I need action”.

The truth is, you’re right. You DO need action. But you need what I call...

Deliberate Action.

Only deliberate action will create exponential results. And fortunately, once you understand what this is, you’ll be able to apply it in MINUTES – even if you’ve been stuck where you’re at for years!

I look forward to connecting with you soon, so we can explore this together and create your specific path!

ATTENTION ENTREPRENEURS: Tired of getting to the end of the day wondering where the time went? Spending more time putting out fires than starting new ones? *Frustrated you can't get ahead for all the catching up from behind?

WE GOT YOU! The Do Zone DNA Profile is designed to show you exactly how to operate in your most productive state by uncovering and leveraging hidden character traits you probably didn't even know you had.

Who is the Do Zone DNA Profile Assessment for? For Entrepreneurs Learn how to launch new projects with ease, and in record time. Set up the optimal productive environment that matches your concentration style, so you can steer clear of progress killing distractions. ​Develop the timeline that matches your preferred pace, so you can march forward at the velocity that works best for you. ​​Build the right team and fill the right roles, so you can leverage the collective genius around you to accomplish amazing things quickly without having to jump down a million rabbit holes on your own.

For Business Owners and Employers Learn how to increase the production of your business and have a positive impact on revenue and profit growth without touching sales or marketing Build a work place environment that facilitates optimal performance for each and every employee, so you can maximize production and minimize wasted time and payroll. ​Discover how your business actually solves problems for its customers and clients, so you can serve them better and more efficiently, and build new, highly profitable products for them. ​Set agendas, targets, and deadlines that work for you and your employees, so you can all move forward at the correct pace, not just “as fast as we can.” ​​Understand your specific role as a leader AND member of your team, so you can empower your employees to help you build your business to massive success.

For Employees and Teams Learn how to get more done in less time which will lead to an increased value of production and more income for you. Build a workspace that accommodates how you like to work, so you can enjoy what you do and maximize your productive energy. ​Discover your creative powers and how your brain works in productive mode, so you can spend more time performing tasks you love and less time on the ones that stress you out. Determine how you like to work with relation to time, so you can stop feeling guilty for being a “last minute procrastinator” or for being “too thorough” and instead build a healthy environment that matches your pace. ​Understand your role as part of a larger team, so you can build confidence by claiming ownership of certain projects and roles within the company.

For Coaches and Masterminds Help your students and clients get clarity on how they operate, so they can stay focused on the big picture of your program. Facilitate a productive environment for each participant in your programs, so they can get more done in less time, and thank YOU for it. ​Discuss new concepts related to time management and productivity and how they can apply to what you are teaching. Transform how your group thinks, acts, and believes about the value of their time and the world they build around them.

We LOVE working with teams! The Do Zone DNA Profile fosters an environment of electric energy with your team, helping every team member in every role is cranking on all cylinders and your business is reaching new heights. Your team will become an unstoppable juggernaut of productivity.

Develop a complete understanding of HOW you personally get stuff done...and how you don't.

Get more done in less time! Create and execute your plan for optimal productivity. ​Identify opportunities for leverage and growth Determine personal strengths and weaknesses related to productivity Uncover and maximize your highest level skills and talents. It isn’t about teaching you something new... It’s about discovering who you already are.

Time How long do you take to get things done?

Do you like to start early and take your sweet time, stopping to smell the roses along the way? Or are you a last minute crammer, constantly accused of “procrastinating”? The Do Zone DNA will help place you on the spectrum for how sensitive you are to time pressure.

Your Time DNA report will assist you in understanding how to build a plan that embraces these time tendencies rather than shun or eliminate them.

Ambience Do you keep your place tidy, or is it a mess?

Surprisingly, neither one of those situations is necessarily good or bad for your productivity. What matters is that you embrace what works and avoid what doesn’t. The Do Zone DNA shows you how your environment affects your ability to execute.

Your Ambience DNA report will help you design the work space that fits your inherent preferences, no matter how outside of the “norm” they may look for others.

Personnel Build a team…or don’t.

Either way, the Do Zone DNA shows you multiple ways to leverage other people’s efforts for successful outcomes, or how to maximize your productivity solo if that’s your thing. The primary variable here is you and how you tend to get more things done.

Your Personnel DNA report will show you how you interact with others, what you prefer and how to avoid team environments that are potentially counterproductive for you.

Execution Do you follow the rules or make them? Or do you just break them?

The Do Zone DNA will tell you if rules and structure are a good thing for you, or an unnecessary hindrance. Not all rules should be followed all the time, and not all people should always follow rules.

Your Execution DNA report will provide you the necessary ammo to know when you should be sticking to the script, and when you should be writing it yourself.

Facts about the 4 elements: 81 unique variations encompassing a variety of DNA Profiles ~1% chance you and someone else you know have the same profile More than one year in development for this assessment

Offer the Do Zone DNA to your mastermind, company, or networking group!

We offer custom packages, partnerships, and incentives for those interested in leveraging the Do Zone DNA within their community in order to help more people get more stuff done.

There are lots of ways for us to work together on this, but here’s one key point worth making…

We provide top tier training, support, and assistance on the topics of productivity, time management, business fundamentals, sales and marketing to your ENTIRE member-base COMPLETELY FREE OF CHARGE.

If you host, own, or control a group of 100 or more entrepreneurs, business owners, or employees, and you think they could benefit from getting more stuff done in less time, let’s talk.

If you have a mastermind, networking group, large company, or an online or in-person community of any kind, let’s talk.

I’m Josh Thomas, a 15+ year, battle-hardened entrepreneur and small business consultant. I’ve spent my entire career constantly chasing after the ultimate balance of time and value. Join me and shave years off your timeline to progress and results as we discover how to become the most elite versions of ourselves. I’ll share every single insight, tip, trick, tool, and resource with you both from what has worked for me before, and what I discover anew. And along the way, we’ll each get to know some of the best in the business and learn from them too!

Starting a call center in Costa Rica as an American Ex-patriate, Richard has dissected hundreds of thousands of hours of sales conversations. In this episode, he breaks down a concept he calls micro-expression reading and how it can completely change the way you approach sales forever.

Richard’s vision quest journey is filled with twists and turns. When he was 27 years old, he relocated to Costa Rica to train employees for one of the larger call centers in San Jose. With a mix of motivational public speaking style backed by tactful and appropriate rhetoric, Richard shared his knowledge and trained over 10 000 bilingual telemarketers. Richard Blank has the largest collection of restored American Pinball machines and antique Rockola Jukeboxes in Central America making gamification a strong part of CCC culture.Richard Blank is the Chief Executive Officer for Costa Rica’s Call Center since 2008.

Mr. Richard Blank holds a bachelors degree in Communication and Spanish from the University of Arizona and a certificate of language proficiency from the University of Sevilla, Spain. A Keynote speaker for Philadelphia's Abington High School 68th National Honors Society induction ceremony. In addition, inducted into the 2023 Hall of Fame for Business. Giving back to Abington Senior High School is very important to Mr. Blank. As such, he endows a scholarship each year for students that plan on majoring in a world language at the university level.

Costa Rica’s Call Center (CCC) is a state of the art BPO telemarketing outsource company located in the capital city of San Jose, Costa Rica. Our main focus has been, and will always be to personally train each and every Central America call center agent so that we may offer the highest quality of outbound and inbound telemarketing solutions and bilingual customer service to small and medium sized international companies, entrepreneurs as well as fortune 500 companies.

https://costaricascallcenter.com/en/outbound-bpo-campaigns/

RichardBlank #CostaRica #CallCenter #Outsourcing #Telemarketing #BPO #Sales #Entrepreneur #B2B #Business #Podcast #Leadgeneration #Appointmentsetting #thedozone

https://youtu.be/EP4keCwVuRM

https://youtu.be/EP4keCwVuRM?si=gXl5uyBA1IdROYqC

@ 2baa880a:b6ca1f92

Max Perkins was one of the most celebrated book editors of all time. He discovered Ernest Hemingway; he encouraged F. Scott Fitzgerald to write The Great Gatsby; he helped turn Thomas Wolfe's 1,114-page manuscript into a publishable book.

As an editor, he had learned to be a master of feedback. His approach, described in a lecture that he gave to a group of students in 1946, was "so simple." All his job entailed, from his perspective, was unleashing the innate and unique goodness within his authors.

“The process is so simple,” he said. “If you have Mark Twain, don’t try to make him into a Shakespeare or make a Shakespeare into a Mark Twain." Perkins embraced his authors as they were (fighting the publisher to keep swear words in Hemingway's books) and helped them to learn how to become even better (finding ways to cut Wolfe's epic length while maintaining the beauty of his prose.)

To give good feedback, we need to follow in Perkins' footsteps and look at how we can embrace who someone really is and help them to become more of themselves.

Here's a simple way to put this idea into practice. Before you give feedback, ask yourself these three questions.

1. Who is this person, at their core?

2. Who might this person become, at their best?

3. What feedback or perspective would help them to get there?

It's this type of feedback that helps us to grow, to create new things, to leave a lasting impact. None of us can do great things on our own, and by generously sharing feedback with one another, we can all become who we are meant to be.

@ be9bb3c6:8f7b599a

Chef's notes

Keeps in the refrigerator for up to two weeks.

Details

• ⏲️ Prep time: 10 minutes
• 🍽️ Servings: About 1 cup

Ingredients

• 2 cups fresh Arugula
• 2 cloves garlic
• 1/4 cup toasted pecans
• 1/4 cup high quality Parmesan, grated
• 1/2 tsp fine sea salt
• 1/4 cup Arbequina olive oil (or neutral oil)

Directions

1. Combine all ingredients in a food processor and purée until smooth.

@ d6dc9554:d0593a0c

Os tokens BRC-20 é um padrão (JSON, texto) criado pelo Domo que é o criador do projeto NFT Ordinals Face. A ideia principal é utilizar a camada base da bitcoin para criar tokens alimentados por inscrição (Ordinals inscription). Muito basicamente é uma inscrição ordinal onde os dados são texto JSON, tornando o token adequado para implementação, cunhagem e transferências.

Os metadados do padrão BRC-20 são:

{ "p": "brc-20", "op": "deploy", "tick": "NOSTR", "max": "21000000", "lim": "1000" }

Mais informação em https://domo-2.gitbook.io/brc-20-experiment/

O padrão BRC-20 é apenas um caso de uso experimental do protocolo Ordinals. Um token BRC-20 não é um Ordinal ou NFT em si, simplesmente torna os satoshis marcados ou numerados fungíveis para funcionar como tokens padrão e não NFT's.

Neste momento já existem 24677 tokens na rede bitcoin, o que acho demais para uma coisa experimental. Este novo padrão dará origem a um monte de tokens sem utilidade nenhuma mas alguns sobreviverão e fará com que seja uma fonte viável de rendimento para os mineradores.

Mais informação sobre os tokens BRC-20 cunhados aqui https://brc-20.io/

@ 9ecbb0e7:06ab7c09

El conflicto entre Israel y Hamás ha provocado la muerte de al menos nueve personas oriundas de Estados Unidos, informó esta mañana el portavoz del Departamento de Estado (DOS, por sus siglas en inglés), Matthew Miller.

Además de esta cifra, que podría aumentar en las siguientes horas, existe un número indeterminado de estadounidenses desaparecidos en la región, informó Telemundo 51.

La dependencia aseguró que trabaja incansablemente para confirmar las cantidades exactas de ambas situaciones. Al principio se había informado sobre la muerte de al menos cuatro estadounidenses a causa de los ataques perpetrados por Hamás desde la madrugada del pasado sábado, cuando este grupo extremista lanzó más de 5.000 misiles a territorios fuera de la Franja de Gaza y sus guerrilleros ingresaron a localidades de Israel, donde empezaron a ejecutar a civiles.

El ataque lanzado en el sur de Israel ha cobrado la vida de cientos de personas y ha llevado a la toma de rehenes civiles y soldados por parte de los combatientes de Hamás. Ante la pregunta sobre si ciudadanos estadounidenses podrían estar entre los rehenes, Anthony Blinken, secretario de Estado, afirmó que sí existe esa posibilidad.

El líder de la mayoría del Senado, Chuck Schumer, ha solicitado una sesión informativa clasificada para todos los senadores esta semana, en busca de esclarecer la posición y el apoyo de EEUU a Israel, así como para determinar qué fondos o asistencia adicional podrían requerirse.

El último recuento de víctimas precisó que Israel registra 700 personas fallecidas y más de 2.300 heridos, entre ellos 22 en estado crítico. Los bombardeos sobre Gaza han ocasionado la muerte de 493 ciudadanos y ha lesionado a 2.700.

Como parte de la ofensiva israelí, el ministro de Defensa local, Yoav Gallant, ordenó el bloqueo total de la Franja de Gaza, con el fin de que este enclave palestino no tenga acceso a electricidad, alimentos y combustible.

“He dado una orden: Gaza estará bajo un cierre total. Estamos luchando contra terroristas bárbaros y responderemos en consecuencia”, indicó el ministro, según un comunicado emitido por el gobierno de su país.

Desde 2007, Israel ha impuesto un bloqueo total que abarca el espacio aéreo, la frontera terrestre y las aguas marítimas que rodean la Franja de Gaza. Este cerco se estableció después de que Hamás asumiera el control del enclave. En la actualidad, la Franja de Gaza, con una población de 2.2 millones de habitantes, se enfrenta a la difícil situación de depender de una sola central eléctrica que requiere suministro de combustible para mantenerse en funcionamiento y proporcionar energía a hospitales, viviendas y refugios.

@ be9bb3c6:8f7b599a

Details

• ⏲️ Prep time: 2 hours 30 mins
• 🍳 Cook time: 10 mins
• 🍽️ Servings: 8

Ingredients

• 7g yeast
• 250ml warm water (95 degrees F)
• 385g AP flour
• 1 1/2 Tbsp Olive Oil
• 2 tsp fine sea salt

Directions

1. Combine yeast, water, and 125g AP flour and let sponge rest for about 20 mins.
2. In a stand mixer combine the remaining ingredients and sponge.
3. Knead with the dough hook for 5-6 minutes on low, adding a little more flour as required, until all the dough pulls away from the sides
4. Wipe inside of bowl with 1/4 teaspoon olive oil. Turn dough around in bowl to cover with a thin film of oil; cover bowl with foil and let sit until dough has doubled in size, about 2 hours.
5. Remove dough from bowl and place onto a floured work surface. Lightly pat into a flat shape about 1 inch thick. Use a knife to cut dough into 8 pieces.
6. Form each piece into a small round ball with a smooth top, pulling dough from the sides and tucking the ends underneath the bottom.
7. Cover dough balls with lightly oiled plastic wrap and let rest for 30 minutes.
8. Sprinkle a small amount of flour on a work surface and top of a dough ball; gently pat dough ball flat with your fingers, forming a flat, round bread about 1/4 inch thick. Let dough round rest for 5 minutes.
9. Repeat with remaining dough balls.
10. Cook on lightly oiled, hot cast iron for about 3 minutes, flip for 2 minutes, and back over for 30 seconds

@ 17717ad4:a46f2d58

Writing a test blog. To get a better idea of how things are working... Here is some code <=>